BED CARE JOB #พนักงานดูแลเตียง
ตอนที่ 3 ผ้าปิดตา
ผมกดรีโมทโทรทัศน์วนไปอย่างเบื่อ ๆ ในเย็นวันพฤหัส ผมไม่รู้จะทำอะไรนอกจากอ่านหนังสือกับโปรเจ็กที่ต้องส่ง ส่วนงานที่เคยทำนั้นไม่มีแล้ว ผมนั่งทบทวนคำพูดของมิสเตอร์เค ทำไมเขาถึงอยากให้ผมตื่นนัก เหตุผลเพราะยานั่นมีผลต่อร่างกายในระยะยาวแค่นั้นเหรอ
“คิดว่านโยบายที่จะช่วยเหลือคนจนของทางพรรคจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน” เสียงนักข่าวผู้หญิงในโทรทัศน์ยื่นไมค์ไปถามนักการเมืองคนหนึ่ง
“พรรคของเราจะไม่เสนอนโยบายหากไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ครับ” ผู้ชายที่ถูกไมค์นับสิบตัวจ่อหน้าตอบคำถามด้วยท่าทีสำรวมมีสติ
เสียงทุ้มของผู้ชายคนนั้นดึงดูดให้ผมหลุดจากสิ่งที่กำลังคิดอยู่แล้วหันไปมองภาพในโทรทัศน์เครื่องเล็ก ๆ ที่มีอายุมานานแล้ว
“ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้วเป็นไปไม่ได้ เป็นแค่การขายฝันให้กับประชาชนล่ะคะ” นักข่าวคนเดิมยังจี้คำถามต่อไม่ยอมหยุด
“ไม่มีการขายฝันอย่างแน่นอนครับ อยากให้ประชาชนลองเปิดโอกาสให้กับพรรค เพื่อที่เราจะได้ทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้”
ผมกดปิดโทรทัศน์ ช่วงนี้มีแต่ข่าวการเมือง ถึงมันจะเป็นเรื่องใกล้ตัว ชี้ชะตาอนาคตพวกเรา หากการเมืองที่ใกล้เลือกตั้งนั้นเริ่มระอุ เผ็ดร้อน ผมได้ยินมาทั้งวันแล้ว เริ่มเอียนเต็มที
ไม่ไหว
นึกถึงเลือกตั้งแล้วท้อใจ ผมลืมไปลงทะเบียนเลือกตั้งนอกเขตเสียสนิท แปลว่าผมจะต้องกลับไปเลือกตั้งที่บ้านเกิด เคยคิดว่าถ้าหากผมไม่ไปเลือกตั้ง คงไม่เป็นไร ก็แค่เสียงเดียว แต่ก็ทำไม่ได้ผมควรไปใช้สิทธิ์ของตัวเอง ไว้ใกล้ ๆ ถึงเวลา ค่อยตัดสินใจอีกทีแล้วกัน หากยังจ่ายหนี้ไม่หมด ผมก็ไม่อยากกลับไปที่บ้าน
ในเช้าวันอังคารสัปดาห์ถัดมาผมกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน ปีสี่เป็นปีที่วิชาเรียนเริ่มน้อยแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่บ้างประปราย ตอนนี้รอเริ่มเรียน แต่ใจผมเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข มิสเตอร์เคเงียบหายไป เขาไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย ไม่มีการนัดเจอใดๆ แปลว่าผมจะชวดเงินห้าพันบาทไป ถึงแม้จะได้เงินรายวันที่เขาเคยขอให้ไปลาออก โดยเงินนี้มิสเตอร์เครวบให้เป็นรายเดือนก็จริง แต่มันก็นานไป ผมกลัวว่าจะใช้หนี้ไม่ทันภายในสามเดือน
เสียงหญิงสาวสามคนคุยกันเสียงดังเช่นเคย ผมมักจะเลือกนั่งที่เดิมและกลุ่มของพวกเธอก็นั่งที่เดิมเช่นกัน อันที่จริงผมมีเพื่อนนั่งข้างผมอีกสองสามคน แต่ผมไม่ได้สนใจ ผมไม่ได้สนิทกับพวกมันมากเท่ากับที่พวกมันสนิทกันเองเพราะผมมีงานพิเศษต้องไปทำอยู่เสมอ ความสัมพันธ์จึงห่างออกมา
เอาละ สามสาวเริ่มพูดถึงที่ผมกำลังสนใจ
“กระเป๋ามึงไปไหนแล้วล่ะ” สาวผมดำตัดสั้นถามสาวผมแดงกระโปรงสั้นมาก ผมจึงขยับตัวแล้วมองไปที่กระเป๋าของเธออย่างอดไม่ได้
“ใบไหนวะ”
“ใบที่มึงพึ่งได้มาก่อนที่เมียเขาจะมาแหกหน้ามึงไง”
“อ๋อ...” สาวผมแดงลากเสียงยาวก่อนจะพูดต่อว่า “ยังอยู่ ๆ”
“นึกว่าขายไปแล้ว” สาวผมตรงดำยาวพูดแทรกขึ้นบ้าง
“ขายไปแล้ว แต่เป็นใบอื่น” สาวผมแดงยักไหล่ไม่รู้ร้อนเหมือนเคย
“ช่วงนี้แกลบเหรอ” สาวคนเดิมถามต่อ
“นิดหน่อยว่ะ ผัวกูแทงบอลหมดไปเยอะ”
“ผัวมึงคนนี้รักมึงจริงใช่ไหม” สาวผมดำยาวถามคำถามขึ้นใหม่ ผมสังเกตว่าผู้หญิงคนนี้มักจะถามตรง ๆ และค่อนข้างมีสาระมากที่สุดในกลุ่ม
“รักมั้ง กูก็ไม่รู้ ที่รู้คือกูรักมัน ช่างเถอะ กูเต็มใจให้”
“อย่าให้ความรักมันต้องกัดกินตัวมึงจนไม่สนอะไรเลย มึงเอาตัวไปแลกเงินมา ทำอะไรก็คิดหน่อยเถอะ รักตัวเองบ้าง” เธอสอนเพื่อนผมแดง แต่ผมไม่รู้ว่าสาวผมแดงสนใจจะรับฟังความห่วงใยไหม
คำถามของพวกเธอทำให้ผมมักจะเก็บเอามาคิดเสมอ คนที่เป็นผัว เอ่อ..หรือแฟนของสาวผมแดง คงจะคล้ายกับพ่อแม่ของผม
ผมรักพวกเขานะ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขารักผมบ้างไหม
“เอ้า ทำหน้าเซ็งไปอีก ที่กูพูด ไม่ได้อยากให้มึงเครียด แค่อยากให้มึงคิดเยอะ ๆ” สาวผมยาวพูดซ้ำ
“รู้ ๆ เออ ขอบใจ” สาวผมแดงรับ
“แล้วทำไมต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น มีอะไรอีก”
“ไม่มีลูกค้าเหรอ” คราวนี้กลับมาที่สาวผมดำสั้นถามแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อืม ช่วงนี้ไม่มีใครติดต่อกูมาเลยว่ะ สงสัยกูจะเรียกแพงไป”
“เดาถูกด้วยเว้ย แล้วมึงเรียกแพงขึ้นกว่าเดิมมากเหรอ” สาวคนเดิมตกใจ
“ใช่ เกือบสองเท่าอะ กูร้อนเงิน”
“แพงไปใครจะจ้างมึงวะ” สาวผมดำสั้นพูดอีก
“ไปทำอย่างอื่นแทนไหม แต่ถ้าไม่อยากทำ มึงก็ลดค่าตัวลงเถอะ แพงไปไม่มีคนซื้อหรอก แล้วให้ผัวมึงไปหาเงินด้วย รักกันต้องช่วยกันดิ” สาวมีสาระผมดำยาวพูดขึ้น
“ไม่รู้มันจะยอมหรือเปล่า”
พวกเธอไม่ได้คุยกันต่อเพราะอาจารย์เดินเข้ามาในห้องพอดี บทสนทนาจึงหยุดลงเพียงเท่านั้น แต่ความคิดผมกลับไปต่อจนทำให้คาบเรียนนี้ผมเรียนไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย
ผมกลายเป็นแฟนคลับลับ ๆ ของสาวผมแดง เธอกลายเป็นไกด์ให้ผมโดยไม่รู้ตัว ผมได้ฟังประสบการณ์รุ่นพี่ การพูดคุยของพวกเธอทำให้ผมตัดสินใจมาเป็นพนักงานดูแลเตียงให้มิสเตอร์เค อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเป็นเขา เป็นใครก็ได้ แต่นั่นละเพราะการรับสมัครงานแปลก ๆ ทำให้ผมสนใจลองเสี่ยงดวงไป
สาวผมแดง รุ่นพี่ในการทำงานของผมกำลังประสบปัญหาไม่มีลูกค้า ผมเองก็เช่นกัน อย่างที่บอกว่ามิสเตอร์เคเงียบหายไปอาทิตย์กว่าแล้ว ถ้าสัปดาห์นี้เขายังเงียบอีก ผมคงจะลำบากแน่ ๆ
หรือผมควรจะรับพิจารณาคำพูดของเขาและความคิดอย่างสาวผมแดงดี ในเมื่อร้อนเงินแล้วถ้าผมตื่นผมจะได้เงินหนึ่งหมื่นบาท
วนมาถึงวันพฤหัสอีกครั้ง ผมเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้อง กำลังคิดว่าควรจะอีเมลไปหาเขาดีไหม แจ้งเขาไปตรง ๆ ว่าผมร้อนเงินมาก อยากขอให้เขามานอนกับผมและอย่าลืมจ่ายเงินด้วย
คิดแล้วสมเพชตัวเอง
ผมปลดล็อกโทรศัพท์แล้วเข้าไปที่อีเมล ยังไงก็ต้องบอกเขาเพราะร้อนเงินจริง ๆ หากผมกลับแปลกใจที่เห็นข้อความใหม่จากมิสเตอร์เคแทน ผมกดเข้าไปอ่านด้วยมือสั่นเทา กลัวจะเป็นการยกเลิกสัญญาหรือสาเหตุอื่นโดยไม่คาดคิด เขาอาจจะเบื่อผมที่เลือกหลับก็เป็นได้
สวัสดีครับ คุณเปล
ขอโทษที่ขาดการติดต่อไป ตอนนี้ผมมาทำงานที่ต่างประเทศและจะกลับไทยประมาณวันศุกร์ ผมอยากเจอคุณที่คอนโดตอนสองทุ่ม คุณมีคีย์การ์ดที่คอนโดนั้นแล้ว คุณเข้าไปรอได้เลยครับ
ผมหวังว่าคุณจะตื่นตอนที่ผมไปถึง
Mr.Kข้อความนั้นทำให้โล่งใจ มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แต่มันกลับทำให้ผมลังเล ผมกัดริมฝีปาก ใจเต้นตึกตักก่อนจะกดปุ่มreply แล้วพิมพ์ผิด ๆ ถูก ๆ ต้องลบแก้หลายครั้ง
สวัสดีครับ Mr.K
เจอกันวันศุกร์สองทุ่มครับ
ขอบคุณครับ
ธาวินผมกดส่งไปแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบคำถามเขาเลย จึงส่งซ้ำไปอีกครั้งอย่างรวดเร็วจนลืมกล่าวขอโทษไปเสียสนิท
ไม่ต้องเตรียมยานอนหลับให้ผมนะครับผมส่งแล้วรีบหอบอากาศเข้าปอด ผมกลัวจริง ๆ แต่อิทธิพลของเงินเอาชนะความกลัวนั้นไปอย่างเฉียดฉิวด้วยคำว่าหนึ่งหมื่นบาท หนึ่งหมื่นบาทและหนึ่งหมื่นบาท
ผมเหลือหนี้อยู่สามหมื่นห้าพันบาท เท่ากับใช้หนี้ไปแล้ว หนึ่งหมื่นห้าพันบาท หนึ่งหมื่นบาทแรกมาจากที่ไปนอนหลับกับเขา สองครั้ง ครั้งละห้าพัน ส่วนอีกห้าพันมาจากเงินพิเศษที่มิสเตอร์โอนรวบเป็นรายเดือนมาให้ ถ้านอนกับเขาอีกสามครั้งรวมเป็นสามหมื่นแล้วใช้เงินจากเงินพิเศษอีกห้าพัน เดือนหน้าก็น่าจะจ่ายหนี้ได้หมด
มันทำให้ผมฮึดมีแรงสู้ขับไล่ความกลัวนั้นออกไป
เวลาหนึ่งทุ่มคืนวันศุกร์ ผมมาถึงคอนโดและเข้าห้องนั้นได้อย่างเรียบร้อย ไม่มีใครเดินเข้ามาถามว่าผมต้องการความช่วยเหลือไหม ไม่รู้ว่าพนักงานตรงชั้นล่างเห็นผมหรือเปล่า หรือเห็นแล้วแต่ไม่ได้สนใจ จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา มิสเตอร์เป็นคนรอบคอบ เขาคงตระเตรียมและบอกกล่าวพนักงานเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว
ผมฉุกคิดมาได้อย่างหนึ่ง สัญญาระหว่างเราเป็นความลับต่อกันแล้วพนักงานเหล่านั้น หรือป้าแม่บ้าน หรือลุงป้อมยามที่หมู่บ้านล่ะ ไหนจะเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลอีกเล่า พวกเขารู้รายละเอียดมากน้อยแค่ไหน
ในขณะที่ผมไม่รู้จักใครเลย แต่พวกเขากลับรู้จักตัวตน รูปร่างหน้าตาของผมจนหมด มันยุติธรรมแล้วหรือ
ผมเข้าไปอาบน้ำและเตรียมความพร้อมเหมือนทุกครั้ง กลับออกมาด้วยเสื้อคลุมสีขาวก่อนจะนั่งลงที่เตียงหลังใหญ่ ผมเห็นผ้าปิดตาที่วางอยู่บนหมอน อีกสิบห้านาทีจะถึงเวลานัด ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนตรงเวลาหรือไม่ ถ้านัดสองทุ่มแล้วมาตีสองล่ะ ผมไม่ต้องสวมผ้าปิดตายาวนานขนาดนั้นหรอกหรือ
ก๊อก..ก๊อก..เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมสะดุ้งสุดตัวหันไปมองบานประตูนั้นอย่างรวดเร็ว
“เปลครับ” เสียงทุ้มนุ่มชวนฝันดังขึ้นอยู่ที่หน้าประตู ถึงจะได้ยินเสียงนี้ผ่านโทรศัพท์เท่านั้นแต่ผมก็จำได้
เขาตรงเวลา
มิสเตอร์เคมาถึงแล้ว
“คะ..ครับ คุณอย่าเพิ่งเข้ามา ผมยังไม่ได้ใส่ผ้าปิดตาครับ”
“ผมยังไม่เข้าไปจนกว่าจะสองทุ่ม แค่มาบอกให้คุณรู้ตัวไว้”
ผิดจากที่ผมคิดตรงไหน เขารอบคอบจริง ๆ นอกจากรอบคอบแล้วยังตรงเวลาเสียด้วย
“ครับ”
“สองทุ่มเจอกัน” ผมเหลือบมองนาฬิกา เหลืออีกห้านาทีเท่านั้น ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ถึงเวลาแล้วสินะ ผมใส่ผ้าปิดตาอย่างระวัง จัดแจงขยับที่จะทำให้สบายมากที่สุด สายไม่รัดตรงหู หรือไม่หลวมจนหลุด เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วผมจึงบอกเขา รู้สึกตัวเองเสียงดังเกินกว่าปกติ
“คุณเข้ามาได้แล้วครับ ผมสวมผ้าปิดตาแล้ว”
“อืม”
ใจผมเต้นรัวราวกับตีกลอง ผมมองไม่เห็นอะไร หูผมได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดขึ้นช้า ๆ ประสาทสัมผัสของผมกำลังเครียดเกร็ง เสี้ยววินาทีประตูถูกปิดลง ผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลย แต่รู้สึกเหมือนมีเงาหรือบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ๆ จนที่นอนยุบตัวลง
ผมสะดุ้งสุดแรงด้วยความตกใจ ร่างกายขยับหนีอัตโนมัติ
“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ได้ทำอะไร” มิสเตอร์ปลอบผมด้วยน้ำเสียงชวนฝันของเขา แต่ขอโทษนะ ไม่ได้ทำอะไรผมจริงเหรอ เขาโกหกชัด ๆ เพราะเขาจะทำอะไรผมไง ผมถึงกลัวอย่างที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้
“ผม..”
“อันที่จริง ผมเบื่อที่คุยเพราะวัน ๆ หนึ่งผมต้องคุยกับคนมากมาย แต่ท่าทางคุณกลัวมาก คุณอยากคุยกับผมก่อนไหม” เขาเริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ผมไม่เคยทำแบบนี้”
“ไม่เป็นไร คุณอาจจะยังเตรียมใจไม่ทัน เอาอย่างนี้ละกัน ผมจะไปอาบน้ำอีกห้อง”
“ครับ”
“ผมจะปิดไฟและคุณก็ถอดผ้าปิดตาออก”
“จะไม่เป็นไรเหรอครับ” ผมถามเขาไป ทำไมเขาถึงยอมให้ผมไม่ใส่ผ้าปิดตาก็ได้
“ห้องนี้มืดสนิท ต่อให้สายตาปรับตัวในความมืดได้ คุณก็มองเห็นผมไม่ชัดหรอก เจอกันข้างนอกคุณก็ไม่รู้จักผมอยู่ดี”
“ครับ ถ้าคุณเจอผมข้างนอก คุณคงรู้ว่าเป็นผม”
“ไม่ปฏิเสธ”
“พนักงานข้างล่างคอนโด ป้าแม่บ้าน หรือลุงยามที่บ้านคุณ ถ้าพวกเขาเจอผม พวกเขาก็จะรู้ว่าเป็นผม”
“ใช่ กังวลหรือ”
“คุณบอกว่าสัญญาของเราเป็นความลับ”
“ใช่ ถูกแล้ว มันเป็นความลับ”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงรับรู้เรื่องผมล่ะครับ” ผมยั้งปากไม่ทัน ถ้ามิสเตอร์โกรธหรือโมโหผมแล้วยกเลิกสัญญา ผมจะทำยังไงเล่า อยากตบปากตัวเองจริง ๆ เลย
“ผิดแล้วเด็กน้อย พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร พวกเขาแค่รับรู้ว่าคุณมาทำงานให้ผม”
“ผมขอโทษที่ถามไปแบบนั้นครับ” ผมพนมมือยกมือไหว้เขา ไม่รู้ว่าไหว้ถูกทิศทางไหม แต่คงถูกล่ะนะ
“ไม่เป็นไร ถ้าคุณสงสัย คุณสามารถถามผมได้ทุกเมื่อ และผมจะตอบเท่าที่ผมตอบได้”
“ครับ”
“ไม่ต้องกังวลไป ผมมีงานหลายอย่างที่พวกเขาจะไม่นึกสงสัยคุณเลยว่ามาทำอะไรให้ผม”
“ครับ ขอโทษที่ผมคิดอะไรไร้สาระ”
“เอาละ” เสียงเขาเหมือนอยู่บนหัวผม เขาคงลุกขึ้นยืน “พอได้ยินเสียงปิดประตู คุณค่อยถอดผ้าปิดตาออกนะ”
“คุณไม่กลัวว่าผมจะเปิดไฟตอนคุณกลับมาเหรอครับ” ผมลองแกล้งถามเขา
“ผมไม่เคยยอมให้ใครถอดผ้าปิดตาออก รู้ไหม..คุณเป็นคนแรก” ใจผมเต้นแรงขึ้นเมื่อได้ยิน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาพูดจริงพูดเล่น
“ไม่เป็นไรครับ ผมใส่ไว้ก็ได้” ผมรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ผมเชื่อใจนะว่าคุณจะไม่เปิดไฟ”
“ครับ”
ผมได้ยินเสียงประตูเปิดแล้วปิด นับในใจหนึ่งถึงห้าแล้วค่อยๆ ถอดผ้าปิดตาออกอย่างระวัง ในคราวแรกตาผมพร่ามัว ขนาดใส่มันไม่กี่นาทีเท่านั้น ใช้เวลาชั่วครู่ใหญ่กว่าสายตาผมจะไม่ลาย มองเห็นอะไรดีขึ้น ผมคิดว่าสายตากลับมาเป็นปกติแล้ว ผมมองรอบห้องไม่ชัดด้วยความมืด เห็นทุกอย่างเป็นภาพในความทรงจำว่าตรงนี้เป็นโต๊ะ ตรงนั้นเป็นห้องน้ำ
มิสเตอร์เคคงกลัวคนเห็นใบหน้าของเขามาก ผมเดาว่าใบหน้านั้นมีรอยแผลเป็น น่าเกลียดน่ากลัว เขาอาจจะมีใบหน้าเหมือนอสูรร้าย จนกลัวว่าคู่นอนจะหวาดกลัว ตกใจลนลานจนเป็นลมหรือสลบไปก็ได้ เมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มคิดฟุ้งซ่าน ผมรีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวสมอง
ชักเลอะเลือนไปกันใหญ่
ผมนั่งรอเขาโดยไม่รู้เวลาว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู และผมตอบรับออกไป เขาถึงยอมเปิดประตูเข้ามา ไม่มีแสงไฟลอดเข้ามา ข้างนอกคงปิดไฟเช่นกัน เขาดูระวังตัวมาก จนไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยอมให้ผมถอดผ้าปิดตาบ้า ๆ นั่น
มิสเตอร์เคกลับมานั่งข้างตัวผมอีกครั้ง ผมไม่กล้ามองเขาเลย หากจมูกกลับได้กลิ่นกายหอมที่น่าจะมาจากครีมอาบน้ำ มันให้ความรู้สึกสดชื่น ก่อนหน้านี้ที่เขามานั่งข้างผม มิสเตอร์เคก็ไม่ได้มีกลิ่นเหม็นอะไรนะ มันเป็นกลิ่นที่ผมไม่รู้ว่าเป็นน้ำหอมหรือกลิ่นครีมอาบน้ำที่เขาใช้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปกลิ่นเหล่านั้นจะผสมกับกลิ่นเหงื่อจนได้กลิ่นใหม่ออกมา
น่าแปลกใจ ผมกลับไม่รู้สึกรังเกียจเขาเลยไม่ว่าจะเป็นกลิ่นไหนก็ตาม
“ผมจับมือคุณได้ไหม” มิสเตอร์เคทำให้ผมแปลกใจ ผมคือคนที่เขาซื้อมาด้วยเงินค่าจ้าง เขามีสิทธิ์ในตัวผมอยู่แล้ว
“ครับ คุณไม่ต้องขอผมก็ได้”
“ผมกลัวคุณตกใจเลยบอกก่อน”
“ขอบคุณครับ” ทำไมมิสเตอร์เคถึงต้องใส่ใจความรู้สึกคนอื่นมากขนาดนี้ด้วย
“คุณคงทำงานหนักมาก” เขาพูดขณะที่ลูบฝ่ามือผมไปพร้อมกัน
“ครับ”
“เล่าให้ผมบ้างสิว่าตอนเด็ก ๆ คุณอยู่ที่ไหน ทำอะไร ใช้ชีวิตยังไง”
“ชีวิตผมไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ” ผมบอกปัด
“อย่าดูถูกตัวเองแบบนั้น ทุกชีวิตมีค่าและน่าสนใจ มีเกียรติทั้งนั้น เล่ามาเถอะ ผมอยากฟัง” มิสเตอร์เคน่าจะมีวาทศิลป์ที่ดี ยิ่งผสมกับเสียงทุ้มนุ่มชวนฝันของเขาแล้ว มันยิ่งทำให้เคลิ้มได้โดยง่าย
“ผมเกิดและโตที่ลำปางครับ” ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ “เรามีกันทั้งหมดสี่คน พ่อแม่ ผมแล้วก็น้องชาย บ้านผมอยู่บนดอย อากาศดีมากครับ”
“ทำไมถึงเลือกมากรุงเทพฯ อากาศที่นี่แตกต่างจากที่ที่คุณอยู่มากเลยนะ”
“ผมอยากเรียนสูง ๆ ถ้าเรียนจบแล้วก็อยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ”
“แค่นั้นเหรอ ถ้าอยากเรียนสูง ๆ ที่จังหวัดคุณหรือใกล้ก็น่าจะมีมหา’ ลัย ไม่ใช่หรือ”
“ผม..” ผมไม่กล้าพูดต่อ มันเป็นความในใจที่ผมไม่เคยพูดกับใคร ผมอยากอยู่ให้ห่างจากครอบครัว
“ลำบากใจหรือ ไม่เป็นไร งั้นผมจะพูดบ้าง จริง ๆ แล้ว ผมอยากเปิดไฟ”
“เอ๊ะ จริงเหรอ ทำไมครับ” คำพูดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากคนตั้งกฎเอง น่าประหลาดใจ ผมรีบเงยหน้าหันไปมองเขา
ผมเห็นใบหน้ามิสเตอร์เคไม่ชัดเลย เป็นอย่างที่เขาบอกไว้ ถ้าเจอกันข้างนอก ผมจะไม่มีวันจำเขาได้ ผมเห็นดวงตาอีกฝ่ายระยิบระยับ มันช่างดูสวยงามในความมืด
“มันมืดเกินไป” เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ผมบุ้ยปาก ทีตัวเองยังไม่ชอบความมืดแต่บังคับให้คนอื่นปิดตาเลยเนี่ยนะ เอาเปรียบกันเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรครับ คุณอยากให้ผมใส่ผ้าปิดตาคืนเหมือนเดิมไหม”
“แบบนี้ละ”
“ผมเข้าใจว่าคุณอาจจะมีหน้าตาน่าเกลียดหรือมีรอยแผลเป็น แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้าผมเผลอไปโดนแผลของคุณ ผมจะไม่บอกใคร”
“น่าเกลียด? แผลเป็น?” ผมไม่รู้ว่ามิสเตอร์เคทำหน้ายังไงตอนที่ถามผม แต่เสียงเขาดูไม่มั่นใจ
“ใช่ครับ ไม่งั้นคุณจะตั้งกฎพวกนี้เหรอครับ”
“รู้ดีกว่าผมอีกเหรอเนี่ย” เขาหัวเราะเต็มเสียง ปกติเขาจะหัวเราะเบา ๆ นี่เขาคงตลกกับคำพูดผมมากเลยสินะ ผมอุตส่าห์เป็นห่วงเขา
เหอะ เสียแรงเปล่า
“ผมมีเหตุผลที่ทำแบบนี้ แล้วคุณล่ะ นอกจากอยากเรียนสูง ๆ หรือหางานทำ กรุงเทพฯ ตอบโจทย์อะไรกับคุณอีก”
“ผม..ผมไม่อยากอยู่ลำปาง”
“มาอยู่ที่นี่พ่อแม่คุณไม่ห่วงหรือ”
“เรื่องของผม!” ผมเสียงดังกว่าเดิมเล็กน้อย เราเพิ่งคุยกันยาว ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก และเขาเป็นนายจ้าง ส่วนผมเป็นลูกจ้าง พวกเราไม่จำเป็นต้องรู้ชีวิตกันและกันถึงขนาดนั้น
“โอเค ๆ ผมไม่ถามแล้ว ผมขอโทษ ขยับเข้ามาใกล้ ๆ สิ” เขาขอโทษผมอย่างง่ายโดยไม่มีน้ำเสียงโกรธเลยสักนิด แขนถูกเขาดึงเบา ๆ ผมจึงขยับตัวตามคำพูดมิสเตอร์เค ด้วยความรู้สึกผิดที่เผลอใส่อารมณ์กับเขาไป
“ผมก็ต้องขอโทษคุณด้วยครับ ผมไม่น่าขึ้นเสียงใส่คุณ” ผมเงยหน้ามองเขา ทั้งที่เรานั่งบนเตียงเดียวกัน แต่ผมยังต้องเงยหน้ามองเขา ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนตัวยาวหลังยาว แสดงว่าต้องสูงน่าดู
ผมเอียงคอมองใบหน้ามิสเตอร์ก้มต่ำลงมา ไม่แน่ใจว่าเขาตั้งใจทำอะไร แต่ทันทีที่ริมฝีปากเขาประกบลงมาบนปากผม ผมก็เข้าใจแล้วว่าท่าทีของเขาคืออะไร ผมตกใจจึงตั้งใจจะบอกให้เขาหยุด แต่เขาก็สอดลิ้นเข้ามาในปากผมเสียแล้ว ผมไม่เคยถูกจูบ ทำตัวไม่ถูกร่างกายจึงแข็งทื่อแน่นิ่งเป็นหิน กระทั่งครู่ใหญ่กว่าใบหน้ามิสเตอร์เคจะเลื่อนห่างออกไป
“คราวหน้าถ้าจะขอโทษให้ทำแบบนี้” =====================
ชักไปกันใหญ่เช่นกัน ตกลงต้องกี่ตอนดีน้า
ใครเล่นทวิตไปทวง บ่น หรือชมก็ได้น้า ที่แทกนี้เลย #พนักงานดูแลเตียง