บทที่ 29
“มิวมิว” พี่กชเรียกผมในช่วงสายของเสาร์ “เย็นนี้ไปกินข้าวบ้านพี่กันนะ”
แล้วผมก็มาโผล่อยู่ที่บ้านเดี่ยวหลังหนึ่งในจังหวัดอยุธยา รอบนี้ผมเอาขนมเล็กๆ น้อยๆ มาฝากคุณแม่พี่กชกับน้องก้อง
ทั้งสองคนต้อนรับขับสู้ผมอย่างดี แต่คุณพ่อพี่กชก็ยังวางท่าปั้นปึ่งกับผมและพี่กชเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้ปั้นปึ่งหรือเย็นชาเท่าที่ผมจินตนาการเอาไว้ก่อนจะมา ลึกๆ แล้วผมมีความรู้สึกว่าท่านเองก็พยายามลองเปิดใจอยู่เหมือนกัน บางทีน่ะนะ แต่ของแบบนี้มันจะให้ปุบปับมาทำความเข้าใจคงไม่ได้ และพี่กชเองก็คงพยายามหาช่องให้ผมทำคะแนนถึงได้พาผมมา
“นี่ คุณคะ ลองกินนี่ดูสิ” คุณแม่พี่กชพูดยิ้มๆ ขณะตักปลากะพงผัดเปรี้ยวหวานใส่จานของสามี “จานนี้น้องมิวเป็นคนทำ เห็นบอกว่าอยากรู้เมนูโปรดของบ้านเราแล้วก็ขนวัตถุดิบมาช่วยฉันทำตั้งเยอะแน่ะ แถมตอนอยู่ในครัวคล่องมากเลยนะ”
ผมยิ้มทื่อๆ อย่างหวั่นเกรงให้ชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ พ่อของพี่กชมองผมด้วยสายตาแบบหนึ่งก่อนจะตักกับข้าวที่เพิ่งได้มาเข้าปาก ผมทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวเหมือนตอนที่เปิดดูผลสอบในเว็บไซต์ของทางมหาลัย คือเป็นวินาทีที่ต้องลุ้นว่าความพยายามที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนคุ้มค่าไหม
คุณพ่อของพี่กชพยักหน้าเนิบๆ เหมือนเสียไม่ได้ “รสชาติดีนี่”
ผมผ่อนลมหายใจออกมานิดหนึ่งอย่างโล่งอก พี่กชที่นั่งข้างๆ บีบบ่าผมพร้อมกับส่งยิ้มเหมือนภูมิใจมาให้ นั่นทำให้ผมใจพองฟูขึ้นมาบ้าง
“พี่มิวนี่เก่งจังเลยนะครับ” น้องก้องที่อายุห่างกับพี่กชเกือบหกปีว่าบ้าง “ตอนอยู่ในครัวก็ทำกับข้าวคล่อง เรียนหนังสือก็ได้เกรดสี่ แถมยังพูดภาษาญี่ปุ่นได้อีก”
“ไม่ถึงกับพูดได้ขนาดนั้นหรอก” ผมรีบแก้ เดี๋ยวจะกลายเป็นน้องเข้าใจผิด “แค่พอฟังแล้วก็พูดได้นิดหน่อย จากเกมแล้วก็การ์ตูนทั้งนั้นแหละ”
อุ๊บส์ ตายล่ะหว่า หลุดปากไปแล้วก็นึกขึ้นได้ พ่อพี่กชจะคิดว่าผมเป็นเด็กไม่ได้เรื่องรึเปล่าเนี่ยที่เอาแต่ดูการ์ตูน แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนั้น
“แล้วที่บ้านพ่อแม่ทำอะไรล่ะ” นั่นเป็นประโยคแรกที่คนหัวโต๊ะพูดกับผม ผมรีบตอบอย่างกระตือรือร้นทันที
“ที่บ้านทำร้านอาหารตามสั่งครับ คุณแม่กับป้าทำด้วยกัน ส่วนคุณพ่อผมทำงานบริษัท”
“มิน่า ที่บ้านทำร้านอาหารนี่เอง น้องมิวถึงได้คล่องนัก” แม่พี่กชว่าอย่างชื่นชม แถมยังหันไปช่วยหยอดกับสามีตัวเอง “แถมรสชาติก็ดีเลยใช่ไหมคะคุณ กำลังดีเลย ไม่เหมือนลูกชายเราสองคน ทำอะไรไม่เป็นสับปะรดสักอย่าง”
“อ้าว แม่ พูดงี้ได้ไง” พี่กชแกล้งโวยขึ้นมา “ผมเองก็พอทำกับข้าวได้นะ ถึงจะไม่อร่อยเท่าที่มิวทำก็เถอะ”
“ไม่ใช่แค่ทำกับข้าวนะ” น้องก้องว่า “เรื่องเรียนพี่กชก็สู้พี่มิวไม่ได้เหอะ”
“ไอ้ก้อง” พี่กชหันไปเอ็ดน้องชายตัวเอง “ว่าแต่เขา เราเรียนเก่งกว่าพี่มากนักรึไงฮะ? ”
“แต่พี่มิวเก่งกว่า! ”
“เออ ไอ้แว่นมันขยัน” พูดพร้อมกับตักกับข้าวใส่จานผม “แต่เดี๋ยวคอยดูเถอะ สอบคราวนี้พี่จะทำคะแนนดีๆ ให้ดู”
“จริงเปล่า” ก้องพูดแซว
“เอาให้มันแน่เถอะกช” พ่อพี่กชพูดขึ้นมาทำเอาทั้งผมและพี่กชไหวตัวกันแทบไม่ทัน “หัดตั้งใจเรียนเหมือนน้องเขาบ้าง ไม่ต้องถึงขั้นเกรดสี่หรอก แค่อย่าซ้ำชั้นก็พอ”
หลังจากนั้นตลอดมื้อค่ำพ่อพี่กชก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่แค่ที่ท่านพูดมาผมก็เริ่มมีความหวังนิดหนึ่ง
“นี่ พี่กช” ผมทักคนข้างตัวที่ยืนล้างจานเป็นเพื่อน “ตอนที่พ่อพี่บอกตั้งใจเรียนให้เหมือนน้องนี่… หมายถึงผมหรือน้องก้องน่ะ? ”
“ก็ต้องเหมือนมิวสิ” ลดเสียงพูดเล็กน้อยเพราะกลัวคนอื่นจะได้ยิน แม้ว่าตรงนั้นจะไม่มีใครเลยก็ตาม “ไอ้ก้องมันจะไปเอาอะไรเป็นแบบอย่างได้ล่ะ มันขี้เกียจกว่าพี่อีก”
“ก็เพราะพี่ทำตัวไม่ดีให้น้องเห็นล่ะสิ” ผมซ้ำเติม พี่กชจิ๊ปากเหมือนไม่พอใจพร้อมกับตีก้นผมแรงๆ หนึ่งที ผมหน้าร้อนวูบ “พี่! ”
“หมั่นไส้ว่ะ” พี่กชลอยหน้าลอยตา ล้างจานต่อเฉย ผมเขยิบตัวไปกระซิบกับเขา
“อย่าทำตัวรุ่มร่ามได้ไหมครับ เกิดพ่อพี่มาเห็นจะทำยังไง”
เขายื่นหน้ามาจูบปากผมเร็วๆ ทีหนึ่ง ไม่สนใจว่าผมจะหน้าร้อนไปถึงหลังหูขณะพูดตอบ
“งั้นเดี๋ยวจูบโชว์พ่อให้ดูเลยเป็นไง”
“...ผมว่าคราวนี้คนที่จะโดนซัดคงไม่ใช่พี่แค่คนเดียว”
“ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะปกป้องมิวมิวเอง”
พี่กชว่ายังไงก็เอาแบบนั้นแหละครับ
คืนนั้นผมได้นอนค้างพี่บ้านอย่างงงๆ เพราะเวลาที่เราสองคนตั้งใจจะปลีกตัวลาค่อนข้างมืด แม่พี่กชนั่นแหละเป็นคนเริ่ม
“แม่ว่าคืนนี้กชนอนที่บ้านดีกว่าไหมลูก ให้น้องมิวนอนด้วย ขับรถกลับค่ำๆ แบบนี้แม่เป็นห่วง”
“ยังไม่สามทุ่มเลยนะแม่” พี่กชว่าหากอีกฝ่ายก็เซ้าซี้จนกระทั่งพ่อของพี่กชที่เดินลงมาจากชั้นบนได้ยินเข้าแล้วพูดเรียบๆ ขึ้นมา
“ก็นอนนี่สักคืนสิกช จะให้แม่แกเป็นห่วงทำไม”
ผมรู้นะว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีจนบางทีเหมือนซื่อบื้อ แต่ผมรู้สึกว่าคุณพ่อของพี่กชก็ไม่ได้ใจร้ายอะไรกับพวกเราทั้งนั้น
“พ่อพี่ก็งี้แหละ” พี่กชว่าหลังจากผมถามความเห็น “จะชอบโกรธปึงปัง เอะอะไว้ก่อน แต่พอใจเย็น ค่อยๆ พูดจากันแล้วก็เป็นคนมีเหตุผลอยู่ อีกอย่างเห็นพ่อพี่ดุๆ แบบนั้นแต่จริงๆ แล้วแกตามใจพี่จะตายไป แต่เรื่องที่พี่คบกับผู้ชายมันอาจจะเกินลิมิตแกไปหน่อย แต่ให้เวลาสักพักเถอะ เดี๋ยวแกก็ยอมรับพวกเราเอง”
“ครับ” ผมตอบรับอย่างง่ายดาย พี่กชนั่งลงบนเตียงข้างๆ ดันผมลงไปนอนแล้วเริ่มไซ้คอลงมาอย่างนุ่มนวล ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะดันเขาออกอย่างไม่จริงจัง “จั๊กจี้น่า พี่”
“มิวมิวหอมจัง” ยังอีก ทำเป็นไม่ได้ยินที่ผมพูดอีก
“ก็สบู่ขวดเดียวกับพี่ไหมล่ะ”
“แต่พอลงบนผิวมิวมิวแล้วหอมกว่า”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำเอาทั้งผมและพี่กชผละออกจากกันแทบไม่ทัน พี่กชเดินไปเปิดประตู พ่อพี่กชเป็นคนที่ยื่นหน้าเข้ามาพร้อมกับถุงขนมจากต่างประเทศถุงหนึ่ง
“มิว”
ผมลุกขึ้นยืนตรงพรวดเลย “ครับ”
“เอานี่ไปฝากพ่อกับแม่สิ” เขาว่าเรียบๆ “ทางนั้นเอามาฝากตั้งหลายครั้งแล้ว นี่ไม่มีอะไรกลับไปให้สักที”
“ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ” ผมว่าอย่างเกรงใจ ดูจากถุงแล้วน่าจะมาจากประเทศจีนไม่ก็ไต้หวัน
“เอาไปเถอะ นี่พ่อไปทำงานมาเมื่อสัปดาห์ก่อน”
“ขอบคุณครับพ่อ” พี่กชฉีกยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายที่ค่อยผละจากไป จากนั้นร่างสูงก็ตรงเข้ามารัดผมด้วยความดีใจ “เย่! มิว เห็นไหม พี่ว่าพ่อพี่น่าจะยอมรับมิวขึ้นมาเยอะแล้วนะ ถึงกับให้เอาของไปฝากที่บ้านแบบนี้”
ผมพยายามพูดตอบเขา แต่ไม่ทันพี่กชที่ดันปากลงมาจูบปากผมอย่างหนักหน่วงแล้ว ให้ตายเถอะ ก็รู้หรอกนะว่าดีใจ แต่แบบนี้จะคุยกันรู้เรื่องได้ยังไง
พี่กชดันผมไปที่เตียงอีกรอบ ไม่ได้สำนึกเลยว่าอยู่ในบ้านตัวเอง พ่อแม่น้องชายอยู่กันครบ ยังคิดจะทำเรื่องหื่นๆ อีก แล้วไอ้มือที่สอดเข้ามาใต้เสื้อนี่ยังไง!? เดี๋ยวก่อนนะ พี่กชล้อผมเล่นใช่ไหม เขาคงไม่ได้คิดจะทำเรื่องอย่างว่าทั้งที่รู้ว่ามีสมาชิกในบ้านพร้อมหน้าแบบนี้หรอกใช่ไหม? คือผมก็มียางอายเหมือนกันนะเว้ย
“อะ… อื้อ”
อืม… ขอโทษครับ ผมมียางอาย แต่เจอจูบอ่อนหวานกับสัมผัสร้อนแรงนี่ก็ทำให้ผมละลายทุกที แล้วผมก็ไม่เคยรอดมือพี่กชเลยสักครั้งถ้าพี่แกคิดจะกินผมขึ้นมา
“มิวมิว” เสียงนั้นดังอยู่ข้างหูตามมาด้วยสัมผัสนุ่มหยุ่นจากลิ้นร้อนของเขาที่แทรกเข้ามา ผมสะดุ้งสุดตัว หูเป็นอะไรที่โคตรเซนซิทีฟเลย แล้วพี่กชก็รู้ดีซะด้วยถึงได้คอยแกล้งผมอยู่เรื่อย “รักนะ”
“พี่กช… เดี๋ยวก่อนครับ” ผมพยายามห้าม “คือ… ผมว่าเราไม่ควรทำนะ มันคงไม่ดีเท่าไร นี่มันบ้านพี่”
“ไม่มีใครดูอยู่สักหน่อย”
“มันเป็นเรื่องของความรู้สึก”
“งั้นเดี๋ยวทำให้รู้สึกอยากเอง”
คนละความรู้สึกแล้วเฟ้ย!
ระหว่างที่กำลังปู้ยี่ปู้ยำ (?) กันอยู่นั่นเอง เสียงเคาะประตูอันเปรียบเสมือนมารผจญของพี่กชก็ดังขึ้นอีกรอบ ใบหน้าคมของอีกฝ่ายชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาจนผมนึกขำปนสงสาร พี่กชคว้าข้อมือผมที่พยายามดันไหล่เขาออกจากนั้นก็ซุกหน้าลงบนซอกคออีกรอบ ผมเลยใช้มืออีกข้างที่เป็นอิสระตบหัวเขาไปทีหนึ่ง
“ลุก พี่ มีคนมาแน่ะ”
“อือ… ไม่อยากไปเปิดเลย”
“ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมว่า พี่กชลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ก่อนจะหงุดหงิดหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นว่าคนที่มาหาครั้งนี้คือน้องก้อง
“พี่กช ทำไมมาเปิดประตูช้าจัง มัวทำอะไรอยู่”
“ธุระ” เขาว่า ผมรีบยกมือปัดผมของตัวเองให้เป็นทรง หวังว่าก้องคงไม่ทันสังเกตนะว่าที่พี่กชไปเปิดประตูให้ช้าเพราะมัวแต่แทะโลมผมอยู่
“ธุระอะไรในห้องนอน”
“ตีความสิ ลองเชื่อมโยงเรื่องราวดู”
นั่น ยังจะไปเสี้ยมสอนน้องแบบนั้นอีก มันน่าตบหัวอีกสักทีไหม
“แล้วพี่มิวเป็นยังไงบ้างครับ” ก้องเดินผ่านพี่ชายเข้ามาในห้องเพื่อคุยกับผม “โห เสื้อพี่กชใหญ่ไปเปล่าเนี่ย จริงๆ ให้พี่มิวใส่เสื้อผ้าผมดีกว่าไหม”
“ไม่ต้องเลย” คนที่อารมณ์ค้างว่าอย่างหงุดหงิด “นี่แฟนพี่นะ ให้ใส่เสื้อผ้าพี่อ่ะถูกแล้ว แล้วนี่มีอะไร”
“อะไรกัน” ก้องเบ้ปาก เด็กชายมีเค้าโครงหน้าที่ค่อนไปทางคุณแม่ ส่วนพี่กชน่ะเหมือนพ่อ “พอเอาแฟนมานอนด้วยหน่อยก็ทิ้งน้องเลยนะ”
“ทิ้งที่ไหน แค่ถามว่ามีธุระอะไรเฉยๆ เอง”
ก้องทรุดตัวนั่งลงข้างผมบนเตียง “พี่กช พี่บล็อกเฟสพี่ก้อยเหรอ”
พี่กชดึงเก้าอี้ที่ติดกับโต๊ะออกมานั่ง “ก้อยมาฟ้องล่ะสิ”
“ไม่ได้มาฟ้อง แค่วันก่อนผมบังเอิญเจอพี่ก้อยแล้วคุยกัน” น้องก้องมองหน้าพี่ชายอย่างคาดคั้น ผมเองก็สนใจเหมือนกัน นี่พี่กชตั้งใจจะตัดขาดกับแฟนเก่าของตัวเองอย่างจริงจังแล้วสินะ
“อืม ใช่” พี่กชมองหน้าคนถามตรงๆ “แล้วก็ไม่ใช่แค่เฟสนะ ไลน์ด้วย ก็อย่างว่า ไม่ได้มีเรื่องให้ต้องติดต่อกันนี่”
“เพราะที่ก้อยโพสท์ก่อนหน้านั้นรึเปล่า” ก้องน่าจะพูดถึงโพสท์ที่พี่ก้อยพูดเรื่องผมกับพี่กชในทางที่ไม่ดีล่ะมั้ง ผมเองก็ไม่เคยเห็นโพสท์ที่ว่าหรอก แล้วก็ไม่อยากเห็นด้วย
“ก็มีส่วน” พี่กชพยักหน้ายอมรับ “แต่ก็มีอีกหลายๆ เรื่องด้วย แล้วจริงๆ ก้อยอยากกลับมาคบกับพี่น่ะ แต่พี่มีแฟนแล้ว” หันมาส่งยิ้มหวานให้ผมนิดหนึ่งอย่างเอาใจ “ก็เลยคิดว่าตัดขาดกันไปน่าจะดีกับทุกฝ่ายมากกว่า”
“หืม” ก้องลากเสียงยาว หันมามองผมพร้อมกับส่งยิ้มให้ “ขอโทษนะครับพี่มิว เรื่องแฟนเก่าของแฟนแบบนี้ พี่คงไม่อยากฟัง”
“ไม่หรอก” ผมว่า “พูดกันตรงๆ ต่อหน้าแบบนี้ดีกว่ามีอะไรลับหลังนะ”
“พี่มิวเป็นคนดีจัง” ก้องหัวเราะ ผุดลุกขึ้นจากเตียง “น่าเสียดายที่ต้องมาคบกับพี่ชายผม”
“อ้าว ไอ้ก้อง พูดงี้เดี๋ยวได้ฟาดปาก”
“น่ะ นักเลงหัวไม้อีกแล้ว” ก้องว่าพร้อมกับแกล้งยกนิ้วชี้ขึ้นมาส่าย ทำเสียงจุ๊ๆ “ทำตัวป่าเถื่อนระวังพี่มิวไม่รักน้า เหวอ! พี่กช! ผมล้อเล่น ไปแล้วๆ คืนนี้ฝันดีกันนะครับพี่ ผมจะไปเล่นเกมต่อล่ะ”
“เออ รีบไปเลย” พี่กชยกมือไล่น้องตัวเอง ผมหัวเราะกับความสนิทแปลกๆ ของทั้งสองคน
“น้องพี่เล่นเกมอะไรน่ะ” เผื่อเล่นเกมเดียวกันจะได้ชวนเล่นด้วย แต่พี่กชตีหน้าเบ้ ยกมือมาบีบแก้มผมแรงๆ ทันที
“หน็อย คิดจะไปเล่นเกมกับไอ้ก้องงั้นเหรอ ไม่ให้หรอกเฟ้ย แค่ทุกวันนี้มิวเล่นกับแอมป์อะไรนั่นพี่ก็หึงจะแย่แล้ว”
“อ้อแอ้อางอั๊งเอง (ก็แค่บางครั้งเอง) ” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะพี่กชยังไม่ปล่อยมือ คนตัวสูงกว่าถอนหายใจยาวเฮือกแล้วถลาเข้ามากอดผมแน่น
“โอ๊ย ทำไมมิวมิวของพี่ถึงได้น่ารักแบบนี้”
“น่ะ อีกแล้วนะพี่” ผมหน้าร้อนขึ้นด้วยความเขิน ดีนะที่หัวพี่กชอยู่บนบ่าเลยมองไม่เห็นหน้าผม
“ทำกันเถอะ”
“ทำอะไรครับ” ผมแกล้งถามซื่อๆ
“เรื่องบนเตียง”
“แล้วถุงยาง? ”
“น่ะ อีกแล้วนะพี่” ผมหน้าร้อนขึ้นด้วยความเขิน ดีนะที่หัวพี่กชอยู่บนบ่าเลยมองไม่เห็นหน้าผม
“งั้นก็ต้องอดไปตามระเบียบครับ” ผมดันเขาออกพร้อมกับส่งยิ้มเย็นไปให้
หึ เรื่องไหนก็ไม่ว่าหรอกนะ เขาอ้อนมานิด รุกมาหน่อยผมก็ยอมใจอ่อนให้ แต่เรื่องนี้นี่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด!
…
วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายแล้ว และผมก็เพิ่งส่งกระดาษคำตอบกับข้อสอบทั้งหมดคืนให้อาจารย์ที่คุม
ออกมานอกห้อง ไอ้เก่งที่เดินตามมาติดเริ่มถอนหายใจเฮือกๆ ครวญครางประหนึ่งว่ามีญาติเสีย แถมตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังระหองระแหงกับแฟนอีก ยิ่งทำเอาบ่นเป็นหมีกินผึ้งเข้าไปใหญ่
ผมทำได้ตบบ่ามันแปะๆ เพื่อปลอบ
“เอาน่า ไอ้เก่ง อย่าคิดมากไปเลย อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ อีกอย่าง… มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่แกคิดก็ได้นะ ตอนก่อนสอบแกก็อ่านหนังสือมาเยอะขนาดนั้น”
“ก็ใช่… ก็ใช่อยู่หรอก” คนคิดมากยังซึม “แต่ไอ้มิว ไอ้ข้อสามสิบสองอะ ที่เป็นคันจิตัวเปิดกับตัวปิดอะ แม่งเอ๊ย อุตส่าห์มั่นใจว่าท่องมาดิบดีแล้วนะ แต่เหมือนสมองมันเบลอไปเลยตอนนั้น แล้วเพิ่งมานึกได้ตอนออกจากห้องสอบมาแล้ว โอ๊ย”
“แค่ข้อเดียวเองมึง” ผมปลอบ อันที่จริงไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจไอ้เก่งนะ อันที่จริงเราสองคนเป็นประเภทเดียวกัน ที่ต้องมาซึมหลังสอบเสร็จไปแล้วเนี่ย แต่เหมือนเราผลัดๆ กันปลอบไง แล้วรอบนี้ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้ดีเลยไม่ค่อยเฟลมาก “ช่างแม่งเหอะ คิดแต่เรื่องสนุกๆ ดีกว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปก็ปิดเทอมแล้ว นี่แพลนจะทำอะไรบ้าง”
“ยังไม่รู้เลยว่ะ”
“ไว้ไปเที่ยวที่ไหนกันไหม”
“กับมึงสองคนอะนะ? ” ไอ้เก่งทำแหยงผมเลยศอกใส่สีข้างมันไปที
“ก็ชวนคนอื่นไปด้วยดิ้”
“ใคร” พูดด้วยเสียงเหยียดหยามอย่างรู้ดีว่าพวกเราสองคนไม่ค่อยคบหาสมาคมกับคนอื่นๆ ในคณะเท่าไร… แต่เราไม่จำเป็นต้องชวนแต่คนในคณะนี่!
“ไอ้แนทไง! ”
“อะไรกับกู? ”
“เฮ้ย! /เหี้ย” ผมกับไอ้เก่งร้องออกมาพร้อมๆ กันเมื่อจู่ๆ คนที่พูดถึงก็โผล่มาอยู่ตรงหน้า “ไอ้แนท มาไงเนี่ยมึง ตกใจหมด”
“เดินมา” แนทว่าพร้อมกับยกมือกอดอก “สอบเสร็จกันหรือยังพวกแก”
“แล้ว” ไอ้เก่งตอบ
“นี่มีอีกวิชาหนึ่ง เดี๋ยวก็เป็นไทล่ะ”
“โชคดีนะเพื่อน” ผมว่าบ้าง ไอ้แนทเลิกคิ้วให้ผม
“แล้วเมื่อกี้พูดอะไรถึงเรา”
“แค่คุยๆ กับไอ้เก่งว่าปิดเทอมน่าจะไปเที่ยวไหนกันบ้าง” ผมว่า “แล้วจะไปกันแค่สองคนก็ฟังดูน่าหดหู่เกินไป ก็เลยนึกถึงแกไง”
“ไอ้มิว” แนทส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนเอือม “แกลืมคิดอะไรไปรึเปล่าวะ ไอ้เก่งมีแฟนแล้วมันก็ควรจะไปเที่ยวกับแฟนมัน ส่วนมึง…” พูดพร้อมกับพยักพเยิดไปด้านหลัง “ผัวมาแล้วนั่นน่ะ”
หือ?
ผมหันขวับไปมอง พี่กชกำลังเดินแยกจากกลุ่มเพื่อนของตัวเองเข้ามาหาผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไอ้แนทก้มลงกระซิบข้างหูผม
“แกรู้ไหมว่าเราเห็นแล้วนึกถึงอะไร”
“อะไร? ”
“หมาตัวใหญ่ๆ ที่เจอเจ้าของตัวเอง” พูดเสร็จแล้วก็ยิ้ม “กระดิกหางมาแล้วนั่น”
“ไอ้ห่าแนท” ผมต่อยไหล่มันไปที “อย่าว่าแฟนกู” ถึงผมจะแอบขำและเห็นด้วยกับที่มันพูดก็เถอะ แต่แฟนผม ผมมีสิทธิ์ว่าได้คนเดียวเฟ้ย
“มิว” พี่กชเลื่อนแขนมาโอบรอบบ่าผม “สอบเสร็จแล้วใช่ไหม พี่เองก็สอบหมดแล้วเหมือนกัน หลังจากนี้ก็ปิดเทอมแล้ว”
“ดีเลยครับ” แนทพูดยิ้มๆ “พี่จะได้พาแฟนไปเที่ยวไง เนอะมิว อยากไปไหนทำไมไม่บอกพี่กชล่ะ”
“อยากไปมาเก๊า” ผมแกล้งพูด พี่กชสะดุ้งเฮือกก่อนจะชักสีหน้าแหยๆ
“ไม่ไหวมั้งที่รัก”
พี่กชขอกลับไปคุยอะไรบางอย่างกับเพื่อนกลุ่มตัวเองอีกครู่หนึ่ง ไอ้เก่งมีนัดหลังจากนี้เลยปลีกตัวไป ส่วนแนทเหมือนจะรอจังหวะที่จะได้กับผมตามลำพัง มันก้มลงกระซิบกระซาบ
“มิว ถามไรหน่อยดิ”
“อะไร? ”
“พี่บอสมาคุยกับแกยัง”
ผมกะพริบตาปริบๆ “คุยอะไร”
“ก็แบบ… ปรับความเข้าใจอะไรกันงี้”
“เออ” ผมยกแขนขึ้นกอดอก “จะว่าไปล่าสุดพี่บอสก็มาชวนเราไปกินข้าวแล้วขอโทษที่เคยพูดจาไม่ดีใส่เราด้วย”
“งั้นเหรอ” ดูแนทจะยิ้มอย่างยินดี แต่ผมยังเล่าต่ออย่างเมามัน
“แถมนะ… แกรู้ไหม พี่บอสกับน้องมังกรเป็นคนคนเดียวกัน! ”
ถึงตรงนี้ไอ้แว่นเพื่อนผมก็นิ่งไปเล็กน้อย แต่มันดูไม่ตกใจเท่าที่ผมคิดนะ?
“แล้วแกรู้ได้ไง? ”
“บังเอิญหลายๆ อย่าง แต่รู้แล้วกัน”
แนทนิ่งไปครู่หนึ่ง ผมอ่านอารมณ์มันไม่ออกเลย แต่แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มแล้วตบบ่าผมแปะๆ
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
“หืม? ”
“ก็แกอยากเจอน้องมังกรมาตั้งนานแล้วนี่”
“ก็ใช่” ผมว่า “แต่แกไม่ตกใจเลยเหรอวะ? ”
“เออ ก็นิดหน่อย” มันพูด แต่ผมว่าไม่อ้ะ เอ็งดูไม่ตกใจเลยสักนิด “แต่ตอนนี้กังวลเรื่องสอบอยู่ ขอตัวก่อนนะมิว ต้องไปอ่านหนังสือหน้าห้องสอบหน่อย”
“ตามสบายเพื่อน” ผมว่า เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่กชเดินกลับมาหาผมพอดี
“โทษทีที่ให้รอ” เขาว่ายิ้มๆ ยกแขนขึ้นโอบบ่าผม “งั้นไปหาไรกินกันนะ พี่อยากกินบิงซู”
“ไม่เอารสสตรอว์เบอร์รี่แล้วนะครับ” ผมดักคอ ไปกินทีไรพี่แกชอบสั่งแต่รสเดิมๆ เบื่อจะแย่ล่ะ
“งั้นชาไทย”
“ม่ายอ้ะ” ปฏิเสธขณะก้าวเท้าไปพร้อมคนข้างตัว ปัทที่บังเอิญเดินผ่านมาส่งเสียงทักทาย ผมหันไปโบกมือตอบให้เจ้าตัว
“แล้วมิวอยากกินรสอะไร”
“ชาโฮวจิ”
“โห ฟังดูไม่น่ากินเลย”
“ไม่ลองจะรู้ได้ไงอะพี่” ผมดักคอพร้อมกับหัวเราะร่วน เดินตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของคนข้างตัว
ว่าแต่… ปิดเทอมนี้ผมจะชวนพี่กชไปเที่ยวไหนดี
------------------------------------------------
Talk: จบ แล้ว! //ชูสองมือกลางอากาศ// เดี๋ยวจะเอาบทส่งท้ายสวยๆ มาให้ทุกคนคราวหน้านะคะ^^ ส่วนบอสแนท(หรือแนทบอส) ที่หลายๆ คนขอกันมาอาจจะเปิดเรื่องไว้ก่อน ยังไงจะเอามาแจ้งให้ทุกคนทราบอีกทีค่า
ขอบคุณที่อ่านกันมาจนถึงตอนนี้น้าาาา รักทุกคนเลย >3< ม้วฟๆ