บทที่ ๓๒
วานลมจูบ(ครึ่งแรกค่ะ
)
ไม่มีใครรู้ว่าฉันรักเธอ รักยิ่งสิ่งใด
เฝ้าแต่ห่วงใย ห่วงหวงจนเงาของร่างเธอ
ห่วงหวงดวงตามากกว่าฟ้าห่วงดาวเสมอ
หวงริมปากเธอ ยิ่งกุหลาบหวงกลีบของมัน
อยากจะจูบก็ได้แต่ห่วง ก็ได้แต่หวง
ไม่เคยลุล่วงแม้ในความฝัน
ฉันคนจนยากได้แต่รำพัน
เฝ้าวอนลมนั้นให้ช่วยจูบแทน*คนทั้งบางรู้กันว่าถ้าไม่จำเป็น ไอ้ลอยไม่ไปเหยียบกระท่อมยายช้อย บ้างก็ว่ากันว่าเพราะมันไม่ถูกกับจ้อย จะว่าไปก็แปลก เพราะมันก็ไม่ถูกกับจินดาเหมือนกัน แต่ก่อนร่อนชะไร.. ตอนที่ครูจินดายังอยู่ มันกลับแวะเวียนไปมาหาสู่ประจำ
มันบอกว่ามันไปตามทวงหนี้ครูจินดา ทว่าตั้งแต่จินดาจากไป มันก็มาเหยียบที่นี่แทบนับครั้งได้
ไม่มีใครรู้เหตุผล นอกเสียจากตัวมันเอง
สุริยานั้นลอยดวงโด่งขึ้นมาเหนือเรียวไผ่เป็นไหนๆ ท้องทุ่งสว่างจ้าด้วยแสงแดดเฉิดฉัน กระท่อมหลังน้อยริมคลองยังคงเงียบเชียบ มีเพียงเสียงแม่ไก่กุกเรียกลูกคุ้ยเขี่ยหาอาหาร และเสียงใบตาลต้องลมสีกันดังโกรกกราก ท่ามกลางไม้ดอกไม้ผลมากมีที่ยายช้อยปลูกไว้ร่มรื่น ไอ้ลอยผูกเรือไว้ก่อนก้าวขึ้นไปบนท่า จุดบุหรี่สูบด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์ใด
รอบกายไร้วี่แววผู้คน ร่างสูงใหญ่ไต่บันไดขึ้นไปบนกระท่อม เปิดประตูไม้ฟากอย่างย่ามใจ จะลงกลอนลงดาลไว้ก็หาไม่ บ้านนอกบ้านนาแถบนี้ไม่เคยมีเสือมีโจร ไม่เคยมีเรื่องร้ายแรงนอกจากโจรลักควายที่กระท่อมสับปะรังเคหลังนี้ไม่ใช่เป้าหมายของมัน ทุกอย่างสงบร่มเย็น
เว้นเสียแต่คืนนั้น..
คลองน้อยวับแวมด้วยแสงหิ่งห้อย กระท่อมน้อยเป็นหอรอรัก หอมกลิ่นดอกไม้ชวยมา ในคืนไร้แสงจันทร์ดาวประฟ้า ร่างขาวโพลนนอนระทวยสะท้านอยู่บนผืนเสื่อ
“เบาๆ หน่อยนะ ดอกไม้ดอกนี้แบบบางนัก พี่ลอยทะมึนไปทั้งตัวอย่างนี้หากไม่สงสาร จินดาคงขาดใจตาย”
“ไม่มีใครตายหรอกทูนหัว..” หึ.. ไม่มีใครตายหรอก..
นอกจากเอ็งที่ตายจากข้าไป จินดา!
กรอบรูปบนหลังตู้บานนั้นยังอยู่ดี เป็นสิ่งเดียวที่มันไม่คิดแตะต้องในวันที่ตามไอ้สิงห์มาทวงหนี้ยายช้อยเมื่อหลายเดือนก่อน ดวงตาสวยโศกในภาพถ่ายนั้นมองกลับมาอย่างเย็นชาเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิต
จินดา.. เอ็งนะเอ็ง.. ตามหลอกหลอนให้ข้าว้าวุ่นได้ไม่วายเว้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย
ร่างสูงใหญ่หันหนีภาพนั้นก่อนก้าวลงจากกระท่อม ลัดเลาะเข้าไปในเรือกสวน เงียบ.. สงบ.. มีเพียงเสียงสายลมหยอกล้อใบไม้กรูเกรียว สลับกับเสียงแม่ไก่พาลูกคุ้ยเขี่ยหาเศษข้าวเปลือก เงียบแบบนี้ เห็นทียายช้อยคงไม่อยู่บ้าน ชะรอยคงพาหลานคนใหม่ไปตะลอนๆ ที่ไหนกระมัง
จนกระทั่งถึงค้างพลูที่แม่เฒ่าปลูกไว้กินกับหมาก นักเลงหนุ่มหยุดยืนหลบข้างต้นมะม่วงเหมือนเสือซุ่ม
ร่างโปร่งบางในเสื้อคอโปโลและกางเกงขาสั้นสะอาดสะอ้าน ผมสีอ่อนเป็นประกายกับแสงแดด ปลายเท้าคะเย่อเขย่ง มือขาวเหมือนกระเบื้องกำลังเอื้อมเด็ดใบพลูทุลักทุเล ตะกร้าใบย่อมวางอยู่กับพื้นไม่ห่างกัน
อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย คุณชายเลยพยายามช่วยงานยายเท่าที่พอช่วยได้ อย่างงานนี้.. ยายให้มาเก็บใบพลู กำชับนักหนาให้เด็ดใบที่สามจากยอด กินกับหมากกำลังดีไม่อ่อนไม่แก่เกินไป เลอมานเพียรนับจนตาหูลาย ไอ้ที่ต่ำๆ ก็เก็บไปหมดแล้ว ที่ยังเหลือก็สูงเกินมือเอื้อมถึงนี่แหละ
หารู้ไม่ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาใครบางคน
ดวงตาวาววับจ้องเรียวขาขาวตาเป็นมัน ยกมือลูบปลายคางสากอย่างใช้ความคิด แม่เจ้าโว้ย ขาวหยั่งกะคนตีนไม่เคยแตะดิน
ร่างสูงใหญ่สาวเท้าเงียบเชียบเข้าหาจากด้านหลัง คนตกเป็นเป้าไม่รู้ตัวสักนิด ถ้าไม่มัวแต่นับใบพลูเพลินก็คงใจลอยคิดถึงใครอยู่ เด็กอะไร สัญชาติญาณเอาตัวรอดไม่มีเลย เหมือนแมวเลี้ยงเชื่องๆ เอาไปปล่อยป่าคงโดนเสือกัดตาย
ต่างจากจินดาโดยสิ้นเชิง ลองเขาย่องเข้าหาแบบนี้ แค่สองก้าวมันก็รู้ตัวหันมาประเคนสันมือใส่บ้องหูเข้าให้แล้ว คนอะไรร้ายกาจเหลือรับ แต่ร้ายๆ อย่างนั้นละไอ้ลอยถูกใจนัก
เหมือนเสือตะครุบเหยื่อ โดยไม่ให้สุ้มให้เสียง อันธพาลบ้านนารวบกอดร่างหม่อมราชวงศ์หนุ่มไว้จากด้านหลัง คนถูกกอดสะดุ้งเฮือก
ไม่ขัดขืนสักนิด..
อ้อมแขนแข็งแกร่ง รั้งร่างเขาเข้าไปกอดแน่นจนแทบจมหายลงไปกับแผงอกกำยำ วูบแรกในเสี้ยวคำนึง เลอมานนึกถึงคนเพียงคนเดียว
“อาจารย์” เสียงที่หลุดจากปากแผ่วหวิวและเต็มไปด้วยรอยอาลัย
แต่ทว่า..
“หึ” ไม่ใช่เสียงอาจารย์! หัวใจเด็กหนุ่มกระตุกวาบ! ขืนตัวออกจากอ้อมกอดทันควัน และจังหวะที่เอี้ยวตัวไปมอง ปลายจมูกก็ทิ่มเข้ากับแก้มสากที่จงใจยื่นเข้าหา
“นายลอย!” มือเล็กถูจมูกจนแดงก่ำ คนฉวยโอกาสระเบิดเสียงหัวเราะก้อง นกกระจอกหลายตัวโผขึ้นจากยอดมะม่วงกรูเกรียว
“ถูกเขากอดแบบนี้บ่อยล่ะสิ” ตาที่มองมาคลับคล้ายจะทะลุทะลวงถึงภายใน เลอมานหลบตาวูบ
“มะ..มาหายายหรือ” เขาทำเป็นไม่ได้ยิน “ยายไม่อยู่” ว่าพลางก้มหน้าก้มตาเดินหนี หนีจากนักเลงหนุ่มผู้มีรังสีอำมหิตแผ่ซ่านที่ยังหัวเราะไล่หลัง
เพราะรีบลนลานเกินไปหรือไรไม่ทราบได้ คนเอาแต่ที่ก้มหน้าเดินงุดๆ แทบชนกับใครคนหนึ่งที่แถวหน้ากระท่อม
ร่างสูงใหญ่ในชุดข้าราชการสีกากี เห็นแค่ปลายเท้าเลอมานก็จำได้
อาจารย์คนึง!
มวลอากาศรอบตัวราวกับหยุดเคลื่อนไหวฉับพลัน เด็กหนุ่มหายใจติดขัดขึ้นมาดื้อๆ แดดกล้าฉายส่องเสี้ยวหน้าคมคายที่ตามไปหลอกหลอนในฝันทุกคืน
เขา.. เขาคิดถึงอาจารย์เหลือเกิน..
ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งขึงราวกับรูปปั้น เลอมานจะรู้บ้างไหมว่าหัวใจที่ซ่อนอยู่นั้นสั่นไหวเพียงใด ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดอาจารย์ฝ่ายปกครองผู้เข้มงวดจึงมายืนเฝ้าหน้าประตูโรงเรียนตั้งแต่เช้าเหมือนคนบ้า จวบจนได้เวลาเข้าเรียนก็ยังยืนเฝ้าอยู่อย่างนั้น นักเรียนคนอื่นหัวหดกันหมด พาลนึกไปว่าเขากวดขันเรื่องมาสาย แต่กลับไม่มีใครเห็นเขาลงโทษคนมาสายเลยสักคน
คาบเช้าผ่านไปอย่างว้าวุ่น คนึงไม่มีกะจิตกะใจสอน เฝ้ารอให้ช่วงพักเที่ยงมาถึงเร็วๆ เพียงเพื่อจะพายเรือออกมาอย่างเงียบเชียบ
ถึงจะพยายามฝืนทำเป็นเย็นชาเข้มงวดอย่างไร แต่ดวงตาที่ห่วงหาอาลัยนั้นสื่อความหมายชัดเจน
เลอมานหันหลังเดินหนี คนึงรี่ไปคว้าข้อมือไว้ทันควัน
“หนูเล็ก..” คำพูดที่ไม่ได้ผ่านสมองกลั่นกรองหล่นจากปาก อาจารย์หนุ่มนึกอยากตบปากตัวเองนัก “คุณชาย” นี่สิ.. ถึงจะถูกต้อง “เห็นคุณไม่ไปโรงเรียน ผมเลยมาตาม”
เขาอยากจะใช้คำพูดที่ดีกว่านี้ ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่านี้ อยากบอกไปตรงๆ ว่าคิดถึงมากเพียงใด อยากรำพันรักกันเหมือนเมื่อครั้งกระต่ายมีวาสนาได้ฝังกายในดวงจันทร์ แต่ไม่อาจเอื้อม..
เลอมานพยายามแกะมือออก แต่เขายิ่งยึดแน่น อีกฝ่ายยิ่งฮึดฮัด เขายิ่งยื้อยุด แต่คงแรงไปหน่อย ร่างเล็กกว่าจะเซเข้ามาปะทะแผงอก
“โอ้โห..” เสียงทุ้มห้าวดังมาจากท้ายกระท่อม ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มยียวนออกมา ตบมือเหมือนได้ดูละครชั้นเลิศ “ยังกะผัวเมียทะเลาะกันแล้วเมียหอบผ้าหนี”
ไอ้ลอย!
คนึงใจกระตุกวูบ รีบปล่อยมือทันใด เขายอมรับว่าตกใจ ตกใจที่เห็นคนชาติชั่วอย่างมันมาอยู่ที่นี่
เลอมานอยู่บ้านยายช้อย ไม่น่าไว้ใจดังคาดเสียแล้ว!
“กลับโรงเรียนเดี๋ยวนี้” อาจารย์ออกคำสั่ง
“ผมไม่กลับ” เด็กดื้อสะบัดเสียงใส่ ในแววตาร้าวรานฉายชัด “จะกลับไปเพื่ออะไร”
“ที่นี่.. ไม่ปลอดภัย” เขากระซิบ เหลือบมองคนที่นั่งผิวปากมองนกมองไม้สบายใจบนแคร่
“พูดเหมือนผมอยู่กับอาจารย์แล้วปลอดภัยนัก?”
ถูกย้อนแบบนี้อาจารย์ถึงกับอึ้ง ดวงตาสีเข้มหรี่ลงอย่างรานใจ
“ค่อยพูดค่อยจากันนะ ลิ้นกับฟันกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา” ตัวเสือกแซวมาเข้าหู เขาขบกรามกรอด พลาดแล้วที่ยอมปล่อยเลอมานห่างหูห่างตาแบบนี้ แม้ใจจะอยากลากเจ้าเด็กรั้นไปคุยกันสองคน แต่การทำแบบนั้นยิ่งเพิ่มพิรุธ ปากหมาตาผีอย่างไอ้ลอยมันไม่ยอมปล่อยแน่
“จะไปจะมาไม่เคยบอกกล่าว” เขาดุ พยายามใช้คำพูดเช่น ‘อาจารย์’ คนหนึ่งคุยกับ ‘ศิษย์’
“ รู้ไหมว่าคนอื่นเขา..” คำว่า ‘เป็นห่วง’ ถูกเก็บกลืนลงคอ “..เดือดร้อนแค่ไหน”
“มาง้อทั้งที พูดดีๆ หน่อยก็ไม่ได้” อีกครั้งที่ไอ้ลอยสอดขึ้น ยักคิ้วหลิ่วตาเจ้าเล่ห์ หันไปพยักพเยิดกับคนที่ยืนบื้อ “เนอะ..หนูเล็ก”
ชื่อเรียกอันเป็นสิทธิ์ของเขาเพียงคนเดียวส่งผลให้คนฟังกำหมัดแน่น พยายามรักษาท่าทีไว้สุดระงับ
“ผมลาหยุดหนึ่งวัน ขออนุญาตอาจารย์ปรีชาแล้ว” หม่อมราชวงศ์หนุ่มพยายามตัดบท “พรุ่งนี้ผมจะไปโรงเรียน”
“ดีเลย ให้ผมไปส่งที่โรงเรียนไหม” นักเลงหนุ่มเสนอหน้า “อย่างคุณชาย ผมมารับทุกวันก็ยังได้”
“ไม่ต้อง!” อาจารย์แทรกขึ้นทันใด ดึงแขนศิษย์ไว้อย่างหวงแหน “ผมจะมารับคุณเอง”
คนึงไม่รู้ว่าเขาจะมีน้ำอดน้ำทนไม่ตะบันหมัดใส่หน้ากวนบาทาของไอ้ลอยได้อีกกี่น้ำ เดชะบุญที่ยายช้อยเดินอาดๆ หน้าตาตื่นตรงเข้ามาเสียก่อน แกคงตกใจไม่น้อยที่พบผู้มาเยือนอย่างเขาและไอ้ลอยอยู่ที่นี่พร้อมหน้ากัน เขาน่ะไม่เท่าไรหรอก
“อ้าวครู พ่อลอย” แม่เฒ่าหน้าซีดเป็นไก่ต้ม “มา..มาที่นี่มีเรื่องอะไรรึ”
มันกอดอกสาธยายว่าคุณนายพูนทรัพย์ให้มาเก็บดอก ถึงจะยกต้นให้แล้ว แต่ดอกที่ยังค้างอยู่อย่างไรก็ต้องจ่ายให้หมด
“ตอน.. ตอนนี้ยายไม่มีหรอกพ่อ” ยายละล่ำละลัก “ขอผัดไปก่อนได้ไหม”
“ได้สิ วันหลังค่อยมาใหม่” มันตกปากรับคำง่ายดายจนยายช้อยแปลกใจ ก่อนหันมาทางเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ หูตาวับวาวราวจะกลืนกิน
“จะมาทุกวันเลย..คอยดู”
********************************
หญ้าเขียวระบัดแตกใบอ่อนชุ่มหยาดน้ำค้าง เสียงน้ำไหลเซาะมาตามรากไม้ที่ขึ้นอยู่สองฝั่งลำปะโดง ระฆังทองของชีวิตคนบ้านนาผูกอยู่ที่คอควาย เสียงเกราะและเสียงกระดึงบริสุทธิ์ผุดผ่อง พอค่ำลงเสียงกลองย่ำค่ำก็ดังแว่วมาจากหอกลองของวัด
วิถีชนบทใสสะอาดชำระล้างโศกตรมในหัวใจหม่อมราชวงศ์หนุ่มได้ชะงัดนัก หากความไม่โสภาอย่างเดียวที่พบเจอก็คือ.. ไอ้ลอย..
หากเลอมานไม่เคยปริปากบอกความอึดอัดใจนี้กับใคร แม้กระทั่งยายช้อย
ฝ่ายแม่เฒ่าน่ะหรือ ได้แต่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่มาเยือนกระท่อม มีหนุ่มๆ มาหาหัวกระไดไม่แห้ง ไอ้ลอยมันมาทุกวันจริงๆ ดั่งลั่นวาจา บางวันก็สองเวลาเช้า-เย็น กะเวลาที่คุณชายสูงศักดิ์อยู่กระท่อมพอดีพอดิบ ออกปากว่าคุณนายให้มาเก็บดอกเบี้ยที่คั่งค้าง แต่พอยายบอกว่ายังไม่มีมันก็ไม่ถือสาหาความอะไร ไม่อาละวาดทำลายข้าวของเอาไปขัดดอกอย่างที่เคยทำ ได้แต่มองหลานชายคนใหม่ของยายตาเชื่อม ไม่ว่าคุณชายเล็กจะทำอะไรมันต้องเสนอหน้าไปสอดอยู่เรื่อย
ฝ่ายอาจารย์คนึงก็น้อยหน้าอยู่เมื่อไร เช้ามาก็เห็นมานั่งรออยู่ที่ท่าตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ รอรับพ่อเล็กไปโรงเรียนพร้อมกัน ตกเย็นก็พายเรือมาส่ง ส่งแล้วก็ใช่ว่าจะกลับเลย พอเจอไอ้ลอยคอยท่าอยู่เท่านั้นละ พ่อคนึงปักหลักอยู่ยาวจนมืดค่ำ ยายคิดว่าครูคงไม่อยากให้คุณชายเล็กไปคลุกคลีตีโมงกะนักเลงหัวไม้อย่างไอ้ลอยมันมาก ถึงได้คอยมาดูแลปกป้องกันแบบนี้
พ่อเล็กก็ช่างกระไรเลย จะพูดดีๆ ให้ครูชื่นใจสักคำไม่มี เป็นต้องปั้นปึ่งใส่กันอยู่ร่ำไป แหม่..นี่ถ้าเป็นผู้หญิงสักคน ยายคงนึกไปว่าเขาพ่อแง่แม่งอนอะไรกันมา อีกฝ่ายถึงต้องมาตามง้อขอคืนดีแบบนี้ บางค่ำครูก็แค่อาศัยฝากท้องมื้อเย็น หากบางคืนครูก็ปลงใจนอนค้างที่นี่
กระท่อมสัปปะรังเคของยาย พ่อเล็กมาอยู่พักเดียว ดูหรูหราขึ้นมาทันตาเห็น ห้องนอนนั้นจัดไว้น่ารักเป็นหนักหนา ที่นอนนุ่มปูบนเสื่อ วางหมอนขาวสะอาดเคียงแพรเพลาะ ราคาไม่ใช่ถูกๆ ตะเกียงลานทองเหลืองขัดไว้เป็นเงาวับ มีครอบแก้วใสกระจ่างตา ตู้ผ้าวางซ้อนกันอยู่มุมห้อง ทั้งคนโทน้ำวางเป็นระเบียบ คนมีกะตังก็งี้ ไปชี้ๆ เลือกๆ ที่ตลาดแผล็บเดียว สักพักเรือสำปั้นก็ทยอยส่งข้าวของมาถึงกระท่อม
ส่วนไอ้จ้อยของยายน่ะรึ โอ๊ย..อย่าไปถามถึงมันเลย นู่น..มันสารภาพออกมาแล้วว่าไปอยู่กะพ่อสิงห์ลูกกำนันเสริมที่โรงสีเถ้าแก่ฮง ยายจะไปว่าอะไรได้ ดีใจเสียอีก เพราะความปรารถนาอย่างหนึ่งของยายคือการได้เห็นเจ้าสองคนนี้กลับมารักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนตอนเด็กๆ ยายเลยแทบจับเจ้าจ้อยใส่พานประเคน หลานตัวดีทำหน้าตูมเป็นดอกบัว บอกว่าคุณนายพูนทรัพย์ฝากให้ไปดูแลลูกชายหรอก ยายได้แต่หัวเราะเฮ่อะๆ ไปเถิดจ้อยเอ๋ย ไปอยู่ดูแลพี่เขา มันจะแวะมาหายายบ้างก็เพื่อมาเอากับข้าวกับปลาไปให้พี่ วันดีคืนดี มันหิ้วเตาอั้งโล่ของยายไปใบนึงด้วยแหละ
ฝ่ายครูคนึงน่ะหรือ เห็นดูแลศิษย์รักดั่งจงอางหวงไข่แบบนี้ แต่บางทีก็รอดหูรอดตา อย่างวันที่ครูต้องไปประชุมในตัวจังหวัด มาเฝ้าพ่อเล็กไม่ได้อย่างทุกที.. เช่นวันนี้อย่างไรเล่า
เช้าแล้วหนา.. ขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ
หม่อมราชวงศ์หนุ่มดูแม่เฒ่าทำคันเบ็ดอย่างสนอกสนใจ ไม้ไผ่ผ่าซีกแบนๆ ใหญ่ขนาดนิ้วมือ เหลาให้เรียว ตรงปลายควั่นเป็นร่องสำหรับผูกสายเบ็ด ลนไฟเพื่อดัดให้ปลายงอเล็กน้อย ทุกขั้นตอนยายทำอย่างชำนาญ แป๊บเดียวก็ได้คันเบ็ดยาวสองศอก ตรงโคนเสี้ยมให้แหลมเพื่อปักลงดิน ส่วนสายเบ็ดนั้นยายควั่นด้วยป่าน ต่อไปก็ถึงขั้นตอนทุบลูกมะเกลือมาย้อมให้เชือกป่านทนน้ำ
“อ้าว! ทำไมเหลืออยู่แค่นี้!” หญิงชราเอ็ดตะโรเมื่อเห็นลูกมะเกลือที่แกเก็บมาเต็มขัน เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง
“เมื่อกี้จ้อยหยิบใส่กระเป๋าก่อนไป” คุณชายสารภาพเสียงอ่อย “ผมนึกว่าเขาขอยายแล้ว”
ยายส่ายหน้าทำปากจิ๊จ๊ะ บ่นพึมพำว่ามันขอตั้งแต่เมื่อไร “ไอ้หลานคนนี้ ไปเอานิสัยลักเล็กขโมยน้อยแบบนี้มาจากไหน” อดีตโจรขโมยปลาทูหน้าม่อย มือขาวสะอาดนับมะเกลือที่เหลืออยู่หกลูกไปมา
“แล้วจะเอาลูกมะเกลือไปทำอะไร พิลึกคน” แม่เฒ่าส่ายหน้าหน่าย ก่อนสั่งให้เขารออยู่ตรงนี้ แกจะเข้าป่าไปเก็บมาเพิ่มให้พอกับจำนวนเชือกป่านขดใหญ่
ยายเดินลิบๆ ลับเข้าแนวไม้เขียวครึ้มท้ายสวนไปแล้ว เหลือเพียงหม่อมราชวงศ์หนุ่มนั่งอยู่บนแคร่หน้ากระท่อมท่ามกลาง ‘ของเล่น’ มากมี คันเบ็ดเพิ่งลนไฟใหม่ๆ แหจับปลาที่ยังถักไม่เสร็จผูกโยงอยู่กับกิ่งขนุน แหนี่เห็นยายบอกว่าจะย้อมเหมือนกัน วิธีย้อมก็ง่าย ยายบอกว่าแค่ทุบมะเกลือให้แตกแล้วเอายางสีดำของมันมาย้อม
อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ดังนั้น.. เล็กจะช่วยยายทุบมะเกลือนะครับ
ครกหินใบเขื่องวางอยู่ไม่ห่างกัน เลอมานคว้ามาวางใกล้ๆ โยนลูกมะเกลือแก่สีดำสนิทลงไป คว้าสากหินหนักอึ้งขึ้นมาทำท่าจะตำทุลักทุเล แต่เขาเคยขอยายตำหมากมาแล้ว แค่นี้คงไม่ยากกว่ากันเท่าไร
“ผมช่วย” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นใกล้ตัว เด็กหนุ่มชะงัก เงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าคร้ามคมยื่นเข้ามาเสียใกล้ ผงะหนีแทบไม่ทัน
ไอ้ลอยยักยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนนั่งลงเคียงข้าง เลอมานเขยิบออกห่าง นึกเกลียดตัวเองที่ประสารทสัมผัสเขาบกพร่องนัก มีคนมายืนใกล้ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวมือขาวๆ จะเปื้อนหมด” มือหยาบใหญ่ถือวิสาสะจับมือเขา คนเย่อหยิ่งรีบสะบัดมือหนี มันไม่ถือสา เอาแต่ยิ้มเล่นหัว “ยางมันดำ ถ้าติดมือเข้าละก็ ล้างไม่ออกไปหลายวัน”
“ยายไม่อยู่” เขาบอกห้วน ผินหน้าหนี ไม่อยากเสวนา
“โถๆๆ หนูเล็ก” มันจุ๊ปากเหมือนปลอบเด็ก เลอมานทำตาขวางใส่ อีกครั้งแล้วที่มันจาบจ้วงเรียกเขาแบบนี้ “ไม่รู้ตัวอีกหรือ ที่ไอ้ลอยเทียวไปเทียวมาเช้าค่ำ ไอ้ลอยมาหาใคร”
หูตาแพรวพราวจ้องหน้าเขาราวจะกลืนกิน อีกครั้งที่ราชนิกุลหนุ่มรู้สึกแขยงผู้ชายคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ดวงตาสีอ่อนนิ่งมองร่างกำยำเอนหลังเท้าแขนกับแคร่ผ่อนคลายเหลือหลาย
“ทะเลาะอะไรกับอาจารย์” จู่ๆ มันก็ถามขึ้น สายตาจับจ้องอยู่ที่ผ้าขาวม้าสองผืนที่ตากไว้คู่กันบนราวไม้ไผ่ ของเขากับอาจารย์ เมื่อคืนอาจารย์นอนค้างที่นี่
เลอมานไม่ตอบ วงหน้าคมเข้มหันมาจ้องหน้าเขาเขม็ง
“ได้กันบ่อยแล้วสิ”
“พูดอะไร!” เขาเสียงดัง โกรธจนหน้าแดงก่ำ “ระวังปากบ้างนะ!” ในหัวใจเหมือนมีใครมาตีกลองไม่เป็นส่ำ สะท้อนสะเทือน กระทบกระทั่ง
“อ้าว แบบนี้มันไม่ผิดกฎหรือ อาจารย์กับลูกศิษย์เป็นผัวเมียกันแบบนี้” มันลอยหน้าลอยตา “ชาวบ้านเขาจะว่ายังไงน้า ถ้ารู้ว่าอาจารย์ที่ตัวยกมือไหว้เอาลูกศิษย์ตัวเองทำเมีย ลูกศิษย์ผู้ชายเสียด้วย”
“ฉันกับอาจารย์ไม่ได้มีอะไรกัน!” เลอมานโพล่งออกไปด้วยความเหลืออด ความกระดากกระเดื่องระงมเข้าจับใจจนสั่นสะท้าน
ดวงตาคมดุจเหยี่ยวคู่นั้นหรี่มองราวจะจ้องให้ปรุถึงเนื้อใน มุมปากยกยิ้มหยัน
“ถุ้ย! ไอ้พวกผู้ดี!” มันถ่มน้ำลายลงพื้น กักขฬะเยี่ยงสถุลไพร่ ว่าหยาบคายไม่อายปาก
“เอากันจนน้ำเต็มโอ่งแล้วยังบอกว่าไม่มีอะไรกัน!”
.......................................
ติดตามต่อครึ่งหลังฮ่ะ
ค่อยๆ ย่องมาอัพ หลบตาคนอ่านเป็นระยะๆ ๕๕๕๕๕๕๕+ จะมีใครอยากตื้บเก๊าบ้างมั้ยน้อ
ครึ่งแรกสั้นไปนิด เดี๋ยวไปชดเชยให้ในครึ่งหลังนะคะ และคาดว่าครึ่งหลังคงไม่ปาเข้าไปเดือนครึ่งแบบนี้ เพราะแอบเขียนเก็บไว้แล้วบางฉาก เอามาแปะๆ ต่อๆ กัน เขียนเพิ่มอีกนิดหน่อย รอกันอีกนิดนะคะ
อ้อ เรื่องระหว่างพี่ลอยกับจินดา คนเขียนตั้งใจเขียนเพิ่มขึ้นมาเพื่อปูทางไปยังเรื่องต่อไป 'ดอกฟ้าในมือโจร' ที่พี่ลอยเป็นพระเอกน่ะค่ะ ไม่ต้องประหลาดใจเน้อ ที่จู่ๆก็พูดถึงคู่นี้ แต่จริงๆ ก็แอบหยอดๆไว้ประปรายนะ ว่าคู่นี้เค้ามีซัมติงกัน จะมีใครพอนึกออกมั้ยน้อ นานจัดดดด
สามปีแล้วนะเรื่องนี้ แต่ตั้งใจว่าจะเอาให้จบในปีนี้แหละค่ะ ฮึบๆๆ
รักคนอ่าน
ดอกไม้
๑๕ มี.ค. ๕๘
ปล. ไม่ได้เช็คคำผิด ถ้าเจอฝากทักด้วยนะคะ กร๊ากกกกก ชุ่ยตัลหลอดดด
ปล.2 ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ ถึงจะไม่ได้ตอบ แต่เราอ่านทุกคอมเม้น ขอบคุณมากๆเลยค่ะ^^