[ 13 ]
เวลาบ่ายแก่ๆ นั่นฝนตกลงมาอย่างหนัก สภาพอากาศมืดฟ้ามัวดินจนมองไม่เห็นอะไร บรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งนั่งอยู่บริเวณชานบ้านต่างพากันขยับเข้ามาด้านในมากขึ้น เพราะสายฝนที่ซัดกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆ ลุงซอยองผู้นำหมู่บ้านจึงเอ่ยเรียกให้เจ้าหน้าที่เข้าไปข้างใน
“ฝนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ผู้ช่วยกับลูกน้องเข้ามาข้างในก่อนเถอะครับ”
“ไม่เป็นไรลุง พวกผมยืนหลบตรงชายคานี่ดีกว่า ยังไงฝากผู้ช่วยผมคนนี้เข้าไปหลบฝนข้างในคนเดียวพอ”
เพลิงตอบก่อนจะดันไหล่รเณศเข้าไปหลบฝนด้านใน
“ฝนตกมืดฟ้ามัวดินขนาดนี้น่ากลัวทางจะขาดเอานะครับ ยังไงวันนี้พวกผู้ช่วยพักที่นี่กันสักคืนเถอะ”
แกร้องบอกก่อนจะกระวีกระวาดพารเณศเข้าไปนั่งหลบฝน คนเมืองยิ้มแหยให้ผู้นำหมู่บ้านและภรรยาของแกซึ่งยิ้มให้เขาเสียกว้าง ยังไม่ทันที่เพลิงจะเอ่ยตอบ เสียงดังโหวกเหวกโวยวายแหวกเสียงฝนก็ดังมาแต่ไกล นั่นทำให้เพลิงและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ พากันขยับตัว
“ลุงซอยางๆ”
“...”
“ลุงช่วยที ช่วยพวกเราที”
เด็กหนุ่มในหมู่บ้านสองคนในสภาพเปียกม่อล่อกม่อแลกวิ่งฝ่าสายฝนมาหยุดที่ชานบ้าน สีหน้าตื่นตระหนกและเสียงละล้ำละลักนั่นส่งผมให้ผู้นำหมู่บ้านก้าวฉับๆ ออกด้านนอกอย่างว่องไว
“มีอะไรกันรึพวกเอ็ง”
“สะพานขาดจ๊ะลุง”
เพลิงมุ่นหัวคิ้วนึกถึงสะพานข้ามแม่น้ำทางเข้าหมู่บ้านนั่น
“ฝนตกหนักจนสะพานไม้ขาด มีชาวบ้านที่กลับมาจากในเมืองผลัดตกลงไปจ๊ะลุง ตอนนี้มีคนส่วนหนึ่งช่วยพาขึ้นมาอยู่ แต่สู้แรงน้ำไม่ไหวเลยให้พวกนั้นเกาะขอนไม้ลอยตัวไปก่อน พวกผมเลยรีบมาขอกำลังคนจากลุงไปช่วยกันหน่อย”
ลุงซอยางทำหน้าตกใจก่อนที่แกจะก้าวยาวๆ ไปคว้าหน้าไม้และเชือกเส้นใหญ่ที่แขวนอยู่ตรงผนังก่อนจะวิ่งมาหยุดตรงหน้าเพลิง
“ขอแรงหน่อยเถอะผู้ช่วย ฝนตกขนาดนี้ผมกลัวน้ำป่ามาซะก่อนจะช่วยคนตกน้ำได้”
“ไปพวกเรา”
ไม่ทันที่เพลิงจะหันไปเรียกเจ้าหน้าที่ คนเหล่านั้นต่างพากันยืนขึ้นอย่างว่องไว ทุกคนคว้าอุปกรณ์ป้องกันตัวที่นำติดตัวมาก่อนจะวิ่งตามหลังเพลิงไป
“ผมไปด้วย”
เพลิงชะงักปลายเท้าตอนที่รเณศถลันมาหยุดเบื้องหน้า
“ไม่”
น้ำเสียงนั่นเด็ดขาดและแข็งกร้าวจนคนเมืองแอบย่นจมูก
“แต่ว่า...”
“รออยู่ที่นี่”
รเณศเม้มปากแน่น
“ก่อนเข้าป่าคุณบอกจะเชื่อฟังผมทุกอย่าง เวลานี้คุณควรเชื่อฟังในสิ่งที่ผมพูด”
“แต่ผม...”
“อย่าทำให้ผมมีห่วง”
“...”
“รอที่นี่”
แววตาดุดันนั่นจ้องใบหน้าเขาราวกับจะคาดคั้นให้รเณศยอมตกลง สุดท้ายเภสัชกรหนุ่มจึงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เพลิงเห็นอีกฝ่ายยอมจำนนจึงเบาใจก่อนจะเตรียมผละออกไป
“เดี๋ยว”
รเณศเอ่ยเรียก
“มีอะไร”
“คุณต้องปลอดภัยนะ”
คนเมืองเม้มปากแน่นเพราะในใจอดกังวล เนื่องจากสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักแบบนี้มันย่อมทำให้การเดินทางในป่าเต็มเพิ่มอันตรายไปอีกหลายเท่าตัว ถึงแม้เพลิงและเจ้าหน้าที่คนอื่นจะชำนาญการเดินป่าแต่สภาพที่ไม่เอื้ออำนวยแบบนี้มันก็น่ากังวลใจไม่น้อย
“ห่วงผม?”
ฝ่ายนั้นหรี่ตามองเขาแล้วยิ้ม
“กะ ก็ห่วงเจ้าหน้าที่ทุกคนนั่นแหละ”
“ห่วงพูดแบบนี้”
รเณศถอนหายใจก่อนจะพูดว่า
“ถ้าผมบอกว่าห่วง คุณจะกลับมาอย่างปลอดภัยมั้ย”
ร่างสูงโปร่งจ้องใบหน้าคมคายนิ่ง
“อืม”
“ผมห่วง”
รเณศพูดเสียงแผ่ว
“ผมจะกลับมาอย่างปลอดภัย”เพลิงพูดเบาๆ
“ผมสัญญา”
รเณศมองตามแผ่นหลังกว้างในชุดลายพรางที่วิ่งฝ่าสายฝนเม็ดใหญ่ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เขามองจนกระทั่งแผ่นหลังนั้นหายลับไป เสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาดังสนั่น ลมกระโชกแรงจนต้นไม้ไหวเอนไปตามแรงลม
เพลิงเป็นคนรักษาสัญญา
รเณศภาวนาให้เขารักษาสัญญาเขาได้ดังเดิม
“เข้าไปนั่งรอข้างในเถอะคุณ”
ภรรยาผู้นำหมู่บ้านเดินมาฉุดแขนเข้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ถึงนัยน์ตาจะเป็นกังวลไม่น้อยแต่เธอยังอุตส่าห์ตบหลังมือเขาเบาๆ คล้ายจะปลอบประโลมให้คลายกังวล
รเณศเข้าใจแล้ว...เขาเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกของ ‘แนวหลัง’ ที่ต้องรอคอยมันเป็นยังไง
.
.
ชั่วโมงกว่าๆ หลังจากนั้นฝนที่ลงเม็ดมาอย่างรุนแรงก็เริ่มเบาบางลงเหลือเพียงแต่เม็ดฝนปรอยๆ เวลาใกล้ค่ำนั้น
‘ป้าจำเนียร’ ภรรยาของลุงซอยางแกชักชวนให้เขาไปเป็นลูกมือทำอาหารรอท่าเจ้าหน้าที่ ป้าแกเล่าให้ฟังว่าตอนสาวๆ แกพบรักกับลุงซอยางตอนเรียนในตัวเมือง เพราะป้าจำเนียรพื้นเพเป็นในตัวอำเภอบ้านขายข้าวแกง ส่วนลุงซอยางนั้นทางครอบครัวส่งไปเรียนหนังสือที่นั่นเลยได้เจอกัน
มิน่าเล่า ลุงซอยางถึงดูมีท่าทางเข้าใจอะไรได้อย่างง่ายดาย ซ้ำมีมุมมองกว้างขวางสมกับที่ได้เล่าเรียนมา ป้าแกเล่าไปคนแกงในหม้อไปอย่างใจเย็น นั่นจึงทำให้รเณศรู้ไปอีกว่าแกมีลูกชายสองคนซึ่งส่งไปเรียนในเมืองโดยอาศัยอยู่กับญาติที่นั่น
“การศึกษามันสำคัญนะคุณ”
รเณศซึ่งนั่งเด็ดผักอยู่พยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันกับผัวน่ะไม่มีสมบัติอะไรให้พวกมันหรอก ดีหน่อยที่พอส่งเสียให้พวกมันได้เล่าเรียน อย่างน้อยๆ ความรู้ที่มันได้มาจะไม่ทำให้มันอดตาย และหากคิดไกลกว่านั้นพี่ซอยางอยากให้ลูกๆ กลับมาพัฒนาที่นี่”
ป้าแกยิ้มน้อยๆ
“แกบอกว่าเห็นคนหนุ่มอย่างผู้ช่วยทำงานแล้วแกนึกชอบใจไม่น้อย เพราะอยากให้ลูกได้สักครึ่งหนึ่งของผู้ช่วยก็ยังดี คนหนุ่มมีอนาคตไกลแต่กลับเลือกทำหน้าที่ปกป้องป่าไม้ซึ่งน้อยคนนักที่จะเห็นความสำคัญ”
“...”
“เมื่อก่อนนี้ท้ายหมู่บ้านนี่มีแต่ป่าแหว่งๆ ทั้งนั้น ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าไหร่หรอก แต่ผู้ช่วยแกก็มาพาพวกเราปลูกต้นไม้ ไปๆ มาๆ เขียวครึ้มกันไปทั่ว แกสอนว่านอกจากป่าจะเป็นแหล่งอาหารและให้ชีวิตแล้ว พวกเราควรจะดูแลรักษา เพื่อที่ป่าจะได้อุดมสมบูรณ์ให้ผลผลิตไว้เก็บกินและให้เราได้พึ่งพาไปอีกนาน”
รเณศยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น มันรู้สึกฟูๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก ผู้ชายตัวโตซึ่งเดินแบกเป้ใบใหญ่ไปทั่ว รองเท้าเต็มไปด้วยโคลนตม เสื้อผ้าเองก็เลอะเปื้อนไปทุกหย่อม สภาพเหล่านั้นไม่น่ามอง ยิ่งใบหน้ามีแต่สีพรางหน้ากระดำกระด่างดูสกปรก แต่แววตาคู่นั้นกลับมีประกายเจิดจ้าทุกครั้งที่ได้มองผืนป่า
แววตาที่เปรียบเสมือนเปลวเทียนแห่งศรัทธา
ศรัทธาที่จะไม่มอดไหม้ไปตามกระแสของสังคม
ศรัทธาในการอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่า
ศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมที่มีในตัวของ...เพลิง
เพลิงคือผู้ช่วยคนดีที่ใครต่อใครต่างกล่าวขวัญ
ผู้ช่วย...ที่ทำให้หัวใจของรเณศกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
ในอดีตรเณศใจสั่นเมื่อสบตากับเตวิชในตอนนั้นแล้วเผลอใจไปในที่สุดเพราะเข้าใจว่านั่นคือความรัก แต่ในตอนนี้รเณศหัวใจเต้นแรงทุกขณะยามที่นึกถึงเพลิง มันเป็นอาการประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ความรู้สึกประหลาดนั้น...คืออาการตกหลุมรัก
รเณศตกหลุมนั้นเข้าให้แล้ว เขาหลงรักความดีของคนตัวโตนั่น
ความดีที่จะทำให้ความรักนั้นมั่นคง เพราะความดีคือสิ่งที่จะไม่เสื่อมคลายแม้กาลเวลาจะแปรผันไปก็ตาม☘☘☘☘
“เดี๋ยวผมลงไปกับพี่เพลิงเอง”
เปลวยกมืออาสาหลังจากที่ช่วยกันนำเอาชาวบ้านสองสามคนขึ้นมาบนฝั่งได้แล้ว แต่ยังเหลือตาหลานคู่หนึ่งซึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งกลางน้ำด้วยสภาพอิดโรย ซ้ำตอนนี้ปริมาณน้ำยังท่วมสูงขึ้นจนใกล้จะถึงกิ่งซึ่งสองตาหลานนั่งกอดกันอยู่
เพลิงเหลือบตามองเศษซากไม้ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นสะพานลอยเหนือน้ำไปติดอยู่ที่กอผักตบริมตลิ่งบ่งบอกว่าสภาพนั้นเสียหายไม่น้อย ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักรับคำเจ้าเปลวก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเชือกเส้นยาวมามัดรอบเอวโดยทิ้งปลายเชือกไว้ให้เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งซึ่งอยู่บนฝั่งเพื่อทำการปฐมพยาบาลคนจมน้ำคอยช่วยจับเชือก ร่างสูงใหญ่ค่อยก้าวลงไปในสายน้ำอันเชี่ยวกรากอย่างระมัดระวัง
“ระวังตัวด้วยเปลว”
ชายหนุ่มหันไปบอกเด็กหนุ่มซึ่งว่ายน้ำเคียงข้างกันมา
“ครับพี่เพลิง”
ทั้งคู่ค่อยๆ ว่ายไปจนถึงต้นไม้ที่ว่านั่น เพลิงเหลือบตามองเด็กน้อยในอ้อมกอดของผู้เป็นตา เด็กนั่นร้องไห้สะอึกสะอื้นท่าทางตกใจไม่น้อย
“รอดแล้ว”
แกละล้ำละลักบอกตอนที่เพลิงเหนี่ยวตัวขึ้นไปจนถึงกิ่งที่ทั้งสองนั่งเกาะอยู่
“พวกเรารอดแล้วลูกเอ๊ย”
คนมีอายุลูบศีรษะเด็กน้อยท่าทางดีใจเสียเต็มประดา ดวงตาพร่ามัวนั่นมีหยาดน้ำตาคลอขึ้นมาเล็กน้อย
“ฮือตาจ๋า”
“ไม่เป็นไรแล้วนะหนู”
เปลวลูบศีรษะเด็กน้อย
“ฮือ หนูกลัว”
“ไม่ต้องกลัว”
เพลิงลูบหลังอีกฝ่าย
“พี่กับเจ้าหน้าที่คนอื่นมาช่วยแล้ว”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก”
ผู้สูงวัยยกมือไหว้พวกเขาปลกๆ เพลิงพยักหน้ารับก่อนจะหันไปทางเปลว
“เราต้องพาไปทีละคน น้ำเชี่ยวแบบนี้พาไปพร้อมกันไม่ไหวหรอก”
เพลิงมุ่นหัวคิ้วนึกกังวลใจเพราะสายน้ำเปลี่ยนเป็นสีโคลนสันนิฐานได้ว่าน้ำป่ากำลังไหลบ่ามาทางนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“หนูจะอยู่กับตา”
เด็กน้อยร้องไห้โฮเมื่อรู้ว่าจะถูกแยก ท่าทางนั้นทำให้ทุกคนนึกกังวล
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่สัญญาว่าเราจะปลอดภัย”
เด็กน้อยชะงักไปเมื่อสบตากับเพลิงตรงๆ
“ยังไงตาไปกับเจ้าเปลวก่อนนะ”
“...”
“เด็กสภาพยังไม่พร้อม ผมกลัวเขาดิ้นจนหลุดจากเชือก”
เพลิงบุ้ยปากไปยังเชือกอีกเส้นที่มัดตัวเด็กให้ติดเพลิง ไม่ต่างจากเปลวที่ผูกเชือกติดกับผู้สูงวัย ชายหนุ่มสบตากับเปลวหน้าเครียดก่อนจะบุ้ยปากไปยังผืนน้ำที่มีสีคล้ำขึ้นเรื่อยๆ
“รีบไปเถอะ”
ท่าทางคนในชุดลายพรางซึ่งอยู่กลางน้ำนั่นทำให้คนบนฝั่งต่างทำหน้าเครียดไม่ต่างกัน เกิ้งนำปลายเชือกของเพลิงและเปลวไปมัดติดกับต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งซึ่งมีความแข็งแรงพอที่รั้งให้ทั้งคู่ไม่พลัดจมไปในน้ำในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เขาถอนหายใจอย่างแรงตอนที่สบตากับพลและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
“ภาวนาอย่าให้น้ำป่ามาเลย”
เขาพูดเสียงเครียด
“แม่งเอ้ยน้ำเปลี่ยนสีแล้วพี่”
พลสบถออกมาอย่างสบอารมณ์ตอนที่เปลวพาชายชรามาถึงกลางทางแล้ว ส่วนเพลิงกำลังประคองร่างน้อยๆ นั่นว่ายตามมาไม่ห่าง
“ไอ้เปลวเร็วหน่อย”
เกิ้งป้องปากตระโกนเรียก
“ผู้ช่วยเร็วหน่อยครับ”
เจ้าหน้าที่ทุกนายวิ่งไปรอกันที่ริมฝั่งด้านหนึ่งหลังจากปฐมพยาบาลคนจมน้ำจนดีขึ้นแล้วมีผู้นำหมู่บ้านคอยดูแลอยู่อีกที
“ช่วยกันดึงเชือกผู้ช่วยกลับมาเร็ว”
เปลวหอบหายใจแรงๆ ตอนที่พาชายชราว่ายขึ้นฝั่งได้แล้วทรุดตัวนั่งอย่างหมดแรง ลุงซอยางรีบมาพาลุงแกไปปฐมพยาบาล ระหว่างเปลวเองก็รีบผุดลุกขึ้นไปช่วยเจ้าหน้าที่คนอื่นดึงเชือกเพราะตอนนี้เพลิงว่ายมาได้กลางทางแล้ว
“ดึงหน่อย”
“เอาหน่อยเว้ย”
“ช่วยกัน”
ทุกคนช่วยกันดึงหน้าดำหน้าแดง เพราะสายน้ำนั้นเกิดเชี่ยวกรากขึ้นมาราวกับมีมวลน้ำขนาดใหญ่หนุนหนำ
“ฉิบหาย”
ใครคนหนึ่งร้องลั่นก่อนจะตะโกนโหวกเหวก
“น้ำป่า”
ทุกคนหันขวับไปยังทิศทางทางซึ่งมีมวลน้ำขนาดใหญ่กำลังไหลบ่ามามาทางนี้
“วิ่ง”
ลุงซอยางตะโกนบอกทุกคน
“วิ่งขึ้นที่สูงเร็ว วิ่งขึ้นไป”
แกตะโกนบอกคนอื่นๆ ก่อนจะช่วยพยุงชาวบ้านซึ่งอ่อนเพลียจากการจมน้ำขยับหนี มวลน้ำนั่นไหลมาอย่างรวดเร็วเมื่อเจอกับสิ่งกีดขวางก็ซัดทุกอย่างกระเซ็นส่านไปทั่ว เปลวมองภาพนั้นอย่างตกใจเมื่อปริมาณน้ำมหาศาลนั่นพัดให้คนที่อยู่กลางแม่น้ำจมหายไปกับตา
“พี่เพลิง”
เด็กหนุ่มร้องลั่นก่อนจะถลาไปเบื้องหน้าหมายจะกระโจนลงน้ำไปช่วย แต่ถูกเจ้าหน้าที่คนอื่นดึงรั้งเอาไว้
“ปล่อยผม ผมจะไปช่วยพี่เพลิง”
เปลวเสียงสั่น มันร้องไห้ขวัญเสียไม่น้อย ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งหน้าเสียไม่ต่างจากมัน
.
.
“โอ๊ย”
รเณศร้องขึ้นตอนที่ถูกปลายมีดแหลมคมเถือเนื้อเข้าให้ เขาสะบัดมือเร่าๆ เมื่อรู้สึกส่วนที่โดนบาดนั่นเลือดพุ่งออกมาทันที
“ตายแล้วคุณ”
ป้าจำเนียรร้องตามแกรีบก้าวฉับๆ เข้ามาหาอย่างว่องไว
“มีดบาดหรือคะ”
“ครับ”
รเณศทำหน้าเหยเก
“ไปล้างน้ำสะอาดก่อนค่ะคุณ มีดนี่มันคมจริงๆ คุณต้องระวังนะคะ”
แกฉุดมือเขาไปที่โอ่งหลังบ้านก่อนจะสาละวนตักน้ำมาล้างทำความสะอาดแผลให้ ระหว่างนั้นซูเนียนและเนียงรอซึ่งลงไปเก็บผักก็เดินสวนขึ้นมาพอดี
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะป้าเนียร”
ซูเนียนทำหน้าตื่นตอนที่เห็นเขาสูดปากเทื่อโดนแกเค้นเลือดออกแล้วกดแผลเอาไว้
“มีดบาดน่ะ”
“ตายแล้ว”
สองคนซึ่งอาสามาช่วยเป็นลูกมือทำกับข้าวเย็นนี้พากันตบอกตกใจ
“เจ็บนิดหน่อยครับ ผมไม่เป็นไร”
รเณศโบกมือไหวๆ หลังจากล้างแผลแล้วเขาก็ขอตัวไปทำแผลปิดพลาสเตอร์เสร็จแล้วเขาก็ออกมาช่วยคนอื่นหยิบจับอะไรเล็กๆ น้อยๆ เนื่องจากป้าแกไม่ยินยอมให้เขาจับมีดอีกแล้ว คนเมืองช่วยเจ้าบ้านทำกับข้าวจนเสร็จก็เป็นเวลาโพล้เพล้ ระหว่างนั้นเสียงเด็กในหมู่บ้านร้องขึ้นเกรียวกราวก่อนที่กลุ่มคนซึ่งหายไปหลายชั่วโมงทยอยเดินกลับมา
“กลับมากันแล้ว”
เนียงรอยิ้มระรื่นก่อนจะทำชะเง้อชะแง้สอดส่ายสายตา รเณศเองก็ผลุนผลันขยับตัวลุกขึ้น ในอกเขาสั่นระรัวเต็มไปด้วยความคาดหวังและตื่นเต้น กลุ่มแรกเป็นชาวบ้านจำนวนหนึ่งสภาพดูอิดโรยมีผู้นำหมู่บ้านเดินตามกันมา ก่อนจะมีคนในชุดลายพรางเดินรั้งท้าย รเณศกวาดสายตามองไปทั่วก่อนจะวิ่งลงจากเรือนไม้มาอย่างเร็วรี่
แต่มองยังไงเขาก็ไม่เห็น...เพลิง
คนเมืองยืนนิ่งพยายามชะเง้อชะแง้มองไปด้านหลังแต่ก็ยังไร้วี่แววของคนที่กำลังมองหา
“เปลว”
รเณศถลันไปเบื้องหน้าเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าซีดเผือด ดวงตามีสีแดงก่ำเพราะอารมณ์บางอย่าง
“ผู้ช่วยล่ะ”
เปลวมองหน้าเขานิ่งก่อนจะพูดเสียงสั่น
“พี่เพลิงจมน้ำครับ”
รเณศยืนอึ้ง
ในสมองเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน ทุกอย่างอื้ออึง คล้ายกับตาบอดหูหนวก เขาไม่รับรู้เสียงที่ดังขึ้นรอบกาย คนเมืองรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะหมดแรง ร่างสูงโปร่งไร้เรี่ยวแรงจวนเจียนจะล้มแต่ว่ามีมือคู่หนึ่งฉุดรั้งเอาไว้
“ระวังล้ม”
เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูนั่นทำให้เขาหันขวับ
ภาพใบหน้าคมคายในสภาพอิดโรย ซ้ำเนื้อตัวยังเปียกปอนเลอะเทอะ สภาพที่ว่านั่นย่ำแย่มากสำหรับคนมอง แต่แววตาคู่นั้นกลับทอดมองกันนิ่ง
“คุณ”
รเนศผวากอดอีกฝ่ายเสียแน่นจนร่างสูงเซถอยหลังก่อนที่จะปล่อยน้ำตาเม็ดโตออกมาอย่างหมดอาย
“ชูว์”
“...”
“รเณศ”
“คุณปลอดภัยใช่มั้ย” รเณศเขย่าตัวอีกฝ่ายแรงๆ “ตอบผมสิว่าคุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
“ผมสัญญา”
เสียงทุ้มกระซิบข้างหู
“สัญญาแล้วไง”
“...”
“ว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย”☘☘☘☘
มาช้า มาน้อย แต่มานะ(สัปดาห์หน้าอัพวันจันทร์เช่นเดิมนะจ๊ะ)
ฝากพี่เพลิงกอดน้องแรงๆ ด้วยคนข้างหลังขวัญเสียแย้ววว
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ป่าห่มรัก ให้ด้วยเด้อ