Chapter 18
ร่างผอมบางของเลขาหนุ่มหายลับประตูไปแล้วหลังจากเอาเอกสารมาวางไว้ถึงโต๊ะทำงานของเต้ย หากทิ้งเอาไว้ซึ่งบรรยากาศบางอย่างที่ทำให้บทสนทนาหยุดชะงัก
เขาไม่เคยเห็นหนูพุกหน้าซีดขนาดนี้มาก่อน แม้เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีที่หนูพุกอยู่ให้เห็นหน้า เจ้านายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความประดักประเดิดที่ชัดเจนจนสังเกตได้
คีรินทร์มั่นใจว่าหนูพุกคงได้ยินทุกอย่างแน่โดยเฉพาะประโยคตอกย้ำสถานภาพทางเพศที่เขาเพิ่งจะพูดออกมากับปาก
ตลอดมาเขาไม่เคยมีความคิดดูหมิ่นดูเเคลนอะไรกับรสนิยมหรือเพศสภาพของใคร ตรงกันข้ามเขาออกจะไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรเสียด้วยซ้ำ แต่ชายหนุ่มไม่คิดว่าสิ่งที่เขามองข้ามมาตลอดจะกลับมาสะกิดใจจนถึงขั้นหอบเรื่องหนักอกมาปรึกษาเพื่อนสนิท
“เฮ้อ..” เต้ยผ่อนลมหายใจ บนใบหน้าไม่เก็บอาการอิดหนาระอาใจแม้สักนิด ดาวตาสุกสกาวที่ใครต่อใครชมว่าสวยนักสวยหนามองราวกับเขาเป็นบัวใต้ตมที่ชาตินี้คงไม่มีวันโผล่พ้นดินโคลนขึ้นมาได้
“กูว่ามึงจัดลำดับความสำคัญผิด” เต้ยยังไม่เก็บปากกาที่ใช้เซ็นเอกสารด่วน แต่กลับใช้มันชี้หน้าเขา
“หืม?” คีรินทร์เลิกคิ้ว พยายามคิดย้อนกลับไปตามคำพูดของหุ้นส่วนบริษัท
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่มึงจะเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่ว่ามึงรู้สึกยังไงต่างหาก” เต้ยสบตาเขาเเล้วเลิกคิ้วบ้าง
แน่นอนว่าตั้งแต่ทำงานร่วมกันมาเขาไม่เคยรู้สึกกับหนูพุกในเเง่ลบ หนูพุกช่วยงานเขาได้ไม่ขาดตกบกพร่องจนกระทั่งเขายังกลัวว่าตัวเองจะเสียนิสัย
“กูไม่ได้หมายความถึงสถานะนายจ้างกับลูกจ้าง” เต้ยดักทางเสียงเข้ม กะจะไล่บี้ภูให้จนมุม เขาเองก็เห็นมานานเเต่แสร้งทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียนาน
อาจเป็นเพราะอยู่ใกล้เกินไป คีรินทร์ถึงไม่เคยค้นพบประกายล้ำลึกบางอย่างที่มักทอดออกมาจากสายตาของหนูพุก
“ก็คงดีนั่นเเหละ” คีรินทร์เสยผม เขาหาคำจำกัดความอื่นไม่ได้เลยนอกจากคำว่า ‘ดี’
ระหว่างเขากับหนูพุกไม่เหมือนตอนที่เขาพบกับแพร เขาไม่ได้รู้สึกถวิลหารุนแรง ไม่รู้สึกว่าอยากเข้าหาเพื่อจะให้ได้มา เขาไม่เคยรู้สึกว่าต้องมีการหยั่งเชิงหรือเล่นเกมลองใจ
หนูพุกเป็นเหมือนเเสงอาทิตย์เรืองรองสำหรับเขา อบอุ่น ส่องประกาย และเข้าอกเข้าใจ คีรินทร์เพียงแต่รับรู้ว่าเขาอยู่กับหนูพุกแล้วสบายใจ ไม่เกินเลยไปกว่านั้น
“คงเพราะหลายอย่างมันคงไม่ค่อยชัดเจน” เต้ยเปรย ชายหนุ่มเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิทที่คล้ายกับจมจ่อมลงในห้วงความคิดของตัวเอง
“เอาเป็นว่าตอนนี้มึงติดใจเรื่องอะไรมากที่สุด” ที่ปรึกษาพยายามจะสรุปทุกอย่างให้ง่าย
“กูแค่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไร กูหยุดคิดถึงจูบนั้นของหนูพุกไม่ได้เลย”
สัมผัสอ่อนนุ่มคล้ายยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ลมหายใจอุ่นร้อนที่ทาบทับลงมาคล้ายกำลังหยั่งรากลึกลงในความรู้สึก ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่นอกเหนือจากหยั่งรากเเล้วยังแตกกิ่งก้านและใบครอบครองเอาพื้นที่ความคิดของเขาไปจนหมด
“ถ้ามึงอยากจะแน่ใจ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่าควรจะต้องทำยังไง”
เต้ยสบตาเพื่อนสนิทเขม็ง ข้อหนึ่งที่ทำให้เขากับภูไปกันได้คือการดับเครื่องชน พวกเขาพร้อมที่จะเสี่ยงอยู่เสมอหากมันจะทำให้เกิดผลตอบเเทนที่ยิ่งใหญ่
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตัวภูเองว่าครั้งนี้เขาจะเห็นว่าผลตอบเเทนที่จะเกิดขึ้นนั้นคุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงหรือไม่
.”...” เต้ยวางปากกาลง เมื่อเห็นว่าคีรินทร์ไม่คิดจะตอบอะไรก็ไม่คิดจะคาดคั้น ของแบบนี้ใครบอกก็คงไม่สู้รู้ด้วยตัวเอง เขาจึงตัดสินใจทำลายความตึงเครียดด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ไปกันสักที กูหิวข้าวจนจะกินออฟฟิศได้อยู่เเล้ว”
บ่ายวันนั้น ภูตั้งใจจะเข้าไปปรับความเข้าใจกับหนูพุกแม้ว่าในหัวสมองของเขาจะว่างเปล่า ทว่าเลขาหนุ่มของเขาดูคล้ายจะงานยุ่งกว่าทุกวัน ช่วงที่เขากลับมาจากมื้อกลางวันหนูพุกเพียงแต่เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะแล้วยิ้มให้อย่างทุกที
เขาหยุดคิดเรื่องข้อสังเกตของเต้ยที่ว่าหนูพุกรู้สึกพิเศษกับเขาไม่ได้อีกเช่นกัน มันคงเป็นโชคดีของนายจ้างที่เลขายังสามารถทำงานต่อไปได้อย่างปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็คงเป็นโชคร้ายของเขาที่ไม่ได้มีโอกาสจะแก้ตัวหรือเเม้กระทั้งเปรยเรื่องส่วนตัวขึ้นมา
“หนูพุก”
เจ้านายหนุ่มเดินออกมานอกห้อง ว่าจะวานให้เลขาจัดอาหารว่างให้ช้ากว่าเดิมสักหน่อยเนื่องจากวันนี้รับประทานอาหารไปค่อนข้างมาก ทว่าเจ้าของร่างกายผอมบางกลับไม่ได้อยู่ที่โต๊ะทำงาน
เขาเดินลงมาที่ครัว ในมือถือเเก้วกาเเฟมาด้วย หวังว่าจะเติมเพียงกาเเฟร้อนเเล้วจะกลับขึ้นไปนั่งทำงาน หากพบว่าคนที่เขาตามหาอยู่เมื่อครู่กำลังหันหลังจัดจานของว่างอยู่ในครัวนี่เอง
“หนูพุก” เลขาหนุ่มสะดุ้งโหยง เพียงแต่เลขาหนุ่มไม่ยอมหันมาตามเสียงเรียกตามปกติวิสัย
“ครับ พี่ภูจะเอาอะไรหรือเปล่า”
“พี่แค่จะมาเติมกาเเฟ” เขาสืบเท้าเข้าไปใกล้ แต่หนูพุกก็ยังไม่ยอมหันมาอยู่ดี
“วางเเก้วไว้เลยครับ เดี๋ยวพุกเติมแล้วเอาขึ้นไปให้พร้อมของว่าง” ถ้าหูเขาไม่ได้เพี้ยนไป ภูคิดว่าเสียงของหนูพุกดูจะอู้อี้กว่าปกติ
“ร้องไห้ทำไม” สถาปนิกหนุ่มวางเเก้วไว้กับเคาน์เตอร์ก่อนจะรั้งร่างของหนูพุกให้หันมาสบตากัน
“เมื่อกี้แกะซองน้ำตาลแล้วไม่ทันระวังมันเลยกระเด็นเข้าตาครับ” เลขาหนุ่มทำเฉไฉ ใช้หลังมือสองข้างช่วยกันปาดน้ำตา หวังว่ามันจะหายไปโดยเร็ว
“เรานี่นะ…” คีรินทร์ถอนใจ ไม่รู้ว่าจะมีใครเคยบอกหนูพุกหรือเปล่าว่าเจ้าตัวน่ะโกหกไม่เก่งที่สุดในโลก
เห็นเลขาหนุ่มทำตาเเดงใส่อย่างนี้เเล้วเขารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ภูแน่ใจว่าสกเหตุที่หนูพุกร้องไห้ต้องมาจากตัวเขาเองเเน่ เพียงแต่ไม่แน่ใจนักว่าหนูพุกเจ็บปวดเพราะเขาพาดพิงถึงรสนิยม หรือหรือพุกเจ็บปวดเพราะคำปฏิเสธกลาย ๆ ของเขากันเเน่
“ล้างหน้าซะ เดี๋ยวอันนี้พี่ยกขึ้นไปเอง” ความตั้งใจที่จะขอเลื่อนอาหารว่างพังทลายลงเมื่อเขาเห็นว่าหนูพุกเตรียมมันอย่างตั้งอกตั้งใจ คีรินทร์วางเเก้วกาเเฟทิ้งไว้เเละถือจานใส่เเซนด์วิชของตัวเองขึ้นไปโดยไม่หันมองเลขาหนุ่มอีก
ข้อหนึ่ง เขาไม่กล้าพอที่จะหักหาญน้ำใจของหนูพุกหากอีกฝ่ายรู้สึกพิเศษกับเขาอย่างที่เต้ยว่า
ข้อสอง ทุกครั้งที่มองหน้าเลขาหนุ่ม เขาห้ามสายตาตัวเองไม่ได้เลยที่จะไม่ให้มันจดจ่ออยู่กับริมฝีปากบางซึ่งกำลังขยับสื่อสารอยู่กับเขา
หลายวันมานี้หนูพุกทำงานตามปกติเเม้ในใจจะพังทลายเหมือนใครเอาค้อนมาทุบจนเเหลกสลายไปแล้ว เขาเจ็บปวด เขาเสียใจ แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือความรู้สึกอับอายที่ล้นปรี่
หนูพุกยอมทำทุกอย่างเพื่อเเลกกับการที่พี่ภูจะเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้าง
ยอมจนหลงลืมไปว่าความรักที่แท้จริงนั้นไม่ต้องเอาอะไรไปแลกเพื่อให้ได้มา
เขารู้ตัวว่าคงตัดใจจากพี่ภูในครั้งเดียวไม่ได้แน่ ๆ ในตอนนี้เขาหมายใจว่าจะตั้งเป้าหมายสั้น ๆ เริ่มจากการขีดเส้นคั่นสถานะที่ชัดเจน
.
..ระหว่างเขากับพี่ภู ต้องเป็นเจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น…
“หนูพุก…”
“ครับ” เลขาหนุ่มขานรับ ไม่นานนักก็ละมือออกจากงานเเล้วเข้ามาในห้องเจ้านายหนุ่มทันใด
วันนี้พี่ภูง่วนอยู่กับการตรวจงานดีไซน์ทั้งวันดังนั้นคงจะไม่มีเรื่องเอกสารมาถามเขา หากไม่เรียกไปขอกาเเฟ ก็คงให้เรียกสถาปนิสักทีมเข้าประชุม
“พี่ขอกาเเฟหน่อยครับ” หนูพุกสบตาเขา พยายามอย่างยิ่งที่จะหักห้ามความรู้สึก
“ครับ” มือเรียวรับเเก้วมักสีเข้มจากเจ้านาย โดยระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ปลายนิ้วแตะถูกกัน
หากเป็นเมื่อก่อน หนูพุกคงเตือนให้เขาเลี่ยงกาเเฟเพราะวันนี้พี่ภูแทบจะดื่มกาเเฟต่างน้ำเปล่าเลยด้วยซ้ำ เขาสบตาคีรินทร์ที่ดูเหมือนกับกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างแต่กลับไม่พูดออกมา ร่างกายสูงใหญ่เบื้องหลังโต๊ะทำงานเพียงแต่จ้องมองเขาจนทำให้คนถูกมองรู้สึกตกประหม่า
“....”
จนตอนนี้เขาไม่รู้ว่าพี่ภูรู้ไส้รู้พุงเขาไปถึงไหนต่อไหนเเล้ว และต่อให้รู้เขาก็จะไม่สนใจในเมื่ออีกฝ่ายยังคงตีหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากนี่ไม่เรียกว่าการปฏิเสธ หนูพุกก็ไม่รู้จะจำกัดความมันว่าอะไร
“หิวหรือเปล่าครับ รับเป็นเเซนด์วิชไหม”
ประโยคที่หลุดล่วงออกจากปากเลขาหนุ่มเป็นสิ่งที่คีรินทร์ไม่คาดคิด เขาไม่ได้หวังว่าจะได้ยินประโยคคำถาม เพียงแต่คาดหวังที่จะได้ยินคำเตือนที่หนูพุกพูดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเรื่องโทษของคาเฟอีน
...น่าประหลาดที่ภูไม่เคยนึกเบื่อที่จะฟัง...
“ไม่เป็นไร ขอบใจมาก”
ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้พูดกับหนูพุกอย่างเป็นจริงเป็นจังเพราะตัวเขาเองที่ยังเอาแน่เอานอนกับอะไรไม่ได้ แต่เขารู้สึกได้ว่าหนูพุกกำลังพยายามหลบหน้าเขาอย่างชัดเจน
แม้ว่าเนื้องานของเขากับหนูพุกเเทบจะต้องสื่อสารกันตลอดเวลา แต่ช่วงไหนที่ไม่ได้มีงานเป็นข้อบังคับ หนูพุกก็จะปลีกตัวและหายไปราวกับเสกได้
ก่อนหน้านี้เป็นคีรินทร์เองที่เคยเห็นใจตอนหนูพุกอยู่ทำงานดึกเพื่อรอเขากลับบ้าน จนเขาต้องเอ่ยปากว่าถ้าไม่มีงานก็ให้กลับบ้านได้
นี่คงเป็นช่วงเวลาที่หนูพุกจะใช้คำอนุญาตนั้น เนื่องจากทุกเย็นหนูพุกมักจะจัดอาหารไว้ให้เขาตรงตามเวลา แล้วก็เผ่นเเผล็วหายไปหลังเวลาเลิกงาน
เพราะต้องการเห็นหน้าค่าตา จึงเป็นเหตุผลที่วันนี้เขาเรียกเติมกาเเฟอยู่บ่อยครั้ง ภูไม่ใคร่ห่วงสุขภาพร่างกายของตัวเองเท่าไหร่นักเพราะมันคงชินชากับฤทธิ์ของกาเเฟเเล้ว ต่อให้ดื่มสักแก้วสองแก้วก่อนเข้านอนเขาก็ยังหลับลงอยู่ดี
ประตูกระจกใสถูกเคาะตามมารยาทก่อนมันจะเปิดออก ปรากฏร่างของหนูพุกเเละแก้วมักที่บรรจุกาเเฟดำอุ่น ๆ เกือบเต็มถ้วย
“หนูพุก” มือที่วางเเก้วบนโต๊ะชะงักนิดหน่อย ก่อนที่เลขาหนุ่มจะวางเเก้วเอาไว้เเล้วเขยิบออกมายืนนิ่ง
“ครับ”
“เย็นนี้ถ้าว่าง ไปกินข้าวกับพี่หน่อย” น้ำเสียงของพี่ภูดูออกจะเคร่งขรึมเเละเป็นทางการ เท่าที่จำได้หนูพุกไม่เคยเอ่ยปากขอให้ไปไหนมาไหนด้วยชัดเจนขนาดนี้ด้วยซ้ำ
“คงไม่สะดวกครับพี่ภู เย็นนี้พุกมีนัดเเล้ว” หนูพุกพูดเสียงราบเรียบ คงไว้ซึ่งรอยยิ้มเปี่ยมมารยาทอย่างที่เลขาพึงมี
“พรุ่งนี้ล่ะ”
“พรุ่งนี้ก็ติดนัดครับ” หนูพุกอมยิ้มแม้ว่าในใจจะรู้สึกว่ากำลังถูกบีบคั้น ทั้งจากตัวเองเเละจากคนตรงหน้า เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะตัดความรู้สึกทางใจเเละคงไว้ซึ่งมาตรฐานการทำงาน แต่ดูเหมือนคีรินทร์จะไม่ให้ความร่วมมือเลยเเม้เเต่น้อย
“มะรืน”
“มะรืนก็ติดนัดครับ” เลขาหนุ่มยืนยันคำเดิม
คล้ายกับว่าคีรินทร์คงจะเริ่มหมดความอดทน หนูพุกเห็นว่าเจ้านายหนุ่มละมือออกจากเมาส์ และประสานมือไว้ด้วยกันโดยใช้มันเป็นที่เท้าคางกลาย ๆ
“เราไม่ได้หลบหน้ากันอยู่ใช่หรือเปล่า”
“เปล่านี่ครับ” หนูพุกก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ภูไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าจากคนที่เคยเเม้กระทั่งนอนเตียงเดียวกัน ตื่นเช้ามาทำงานด้วยกัน จะลงเอยด้วยความห่างเหินประเภทถามคำตอบคำอย่างนี้
โดยปกติเขาไม่ใช่คนใจร้อนอะไรนัก ทว่าเมื่อคนใกล้ชิดเป็นเเบบนี้ขึ้นมา เขาก็อดรู้สึกหัวเสียไม่ได้
“โอเค เปล่าก็เปล่า รบกวนเราตามปูนมาคุยเรื่องคอนเซปต์หน่อยเเล้วกัน” เจ้าของห้องทำงานพยักหน้า ไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรอีกเมื่อเห็นว่าคาดคั้นไปก็คงไม่ได้ความ มือใหญ่ผายไปที่ประตูเป็นเชิงว่าเขาไม่มีอะไรจะซักถามอีก
เมื่อเลขาหนุ่มหายลับออกไปจากประตู ภูก็หมดสมาธิจะทำงาน เขาได้แต่เซฟไฟล์เอาไว้แล้วนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ว่างเปล่า
ข้อสงสัยของเต้ยที่ว่าหนูพุกน่าจะรู้สึกพิเศษกับเขาดูท่าเเล้วก็น่าจะเป็นความจริงเมื่อพิจารณาย้อนหลังกลับไป เขาปล่อยให้เรื่องส่วนตัวที่เขาจัดการเองไม่ได้เบียดบังเวลาของหนูพุกไปมาก แต่อีกคนกลับยินดีทำให้เขาโดยไม่ปริปากบ่น
เพียงเเค่เขาเปรยว่าต้องการอะไร หนูพุกก็หามาให้เขาเเทบจะในทันที
ในตอนที่เขาเสียใจจนหมดท่า คนที่คอยปลอบเขาก็มีแค่เพียงหนูพุก
หากลบหน้าที่การงานออกไปอย่างที่เต้ยว่า จะมีเหตุผลอะไรกันที่ใครสักคนจะทำเพื่อเขาขนาดนี้
เมื่อคิดตกเเล้วว่าตัวเอง ‘พิเศษ’ อย่างไร คีรินทร์ก็รู้สึกเหมือนว่าข้างในตัวเขาคงมีใครเเอบเอาลูกโป่งสูบลมมาใส่ไว้ มันทั้งพองฟูและเต็มล้น
เพียงเเวบเดียวลูกโป่งนั้นก็ถูกเจาะลมออก เขาตระหนักเเล้วว่าท่าทีของหนูพุกน่าจะเกิดขึ้นจากอะไร ภูนิ่งเงียบ เขายอมรับว่าเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากให้หนูพุกเปลี่ยนเเปลงไปทั้ง ๆ ที่เขาตัดรอนอีกฝ่ายก่อน
...ป่านนี้จะเกลียดกันหรือยังก็ไม่รู้…
“พี่ภูครับ” ปูนเข้ามาพร้อมกับมู้ดบอร์ดและรูปสเก็ตช์คร่าว ๆ ของโปรเจ็คบ้านเดี่ยวที่เพิ่งรับมาเมื่อสัปดาห์ก่อน
“มีอะไรคืบหน้าบ้าง” คีรินทร์หยิบปากกาขึ้น เขาดูรูปเสก็ตช์เเละฟังคอนเซ็ปท์ที่ปูนอธิบายได้ไม่ทันไรก็เผลอขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้เราคุยกันไปเเล้วนี่” เขาเปิดสมุดของปูนดูเเล้วคว้าสมุดโน๊ตของตัวเองที่จดไว้ด้วยตัวอักษรหวัด ๆ
“ก็ใช่ไงพี่ภู พี่เพิ่งจะให้ผมมาคุยเมื่อเย็นวาน เเล้วเรียกอีกทีตอนนี้ ใครมันจะไปแก้ทัน” ปูนพูดติดตลก แต่ก็เอื้อมมือไปพลิกกระดาษที่เขาทำบับเบิ้ลใหม่เอาไว้ให้ดูพอแก้ขัด
“เออโทษที ไว้ค่อยคุยกันอีกทีวันศุกร์แล้วกัน” คีรินทร์ถอนหายใจ เขายกมือนวดขมับโดยไม่ปิดบัง คงเพราะคิดเรื่องอื่นมากเกินไปถึงต้องมานั่งทำงานซ้ำซ้อนอย่างนี้
“ช่วงนี้พี่ดูเครียด ๆ นะ” ปูนรวบกระดาษเข้ามาสอดไว้ในหนังสือ ถึงเเม้มันจะไม่เป็นระเบียบนักแต่ก็ยังดีกว่าให้มันกระจัดกระจาย
“ดูออกขนาดนั้นเลย?” เจ้านายเลิกคิ้ว
“ก็ทำนองนั้นครับ อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงนะพี่ ตอนนี้เหมือนพี่กับพี่พุกทะเลาะกัน” ปูนเปรย สถาปนิกรุ่นน้องพยายามนั่งให้นิ่งนี่สุด เเละพยายามกลบเกลื่อนความอยากรู้อยากเห็นทางเเววตาด้วยการเสไปมองทางนั้นทีทางนี้ที
“เปล่านี่” ภูยกแก้วกาเเฟขึ้นจิบ เขาไม่แยแสท่าทีของลูกน้องที่ดูคล้ายจะไม่เชื่อเท่าไหร่นัก ปูนจะไม่เชื่อก็ช่างหัวมัน ถ้าเขาบอกเเล้วว่าไม่ก็คือไม่
“ก็ตามนั้นครับ แค่ผมเห็นว่าเวลาพี่ไปทาง พี่หนูพุกก็จะไปอีกทาง ไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อนที่ชอบนั่งด้วยกัน” ปูนเลือกใช้น้ำเสียงเนิบ ๆ คล้ายจะไม่ให้ความสำคัญกับบทสนทนานี้นัก
“เหรอ แล้วบรรยากาศในออฟฟิศมันแย่หรือเปล่า”
กายละเอียดของปูนเเทบจะตบหัวเข่าดังฉาด มาอีหรอบนี้ถ้ายังบอกว่าไม่ทะเลาะกันเขาก็อยากจะขำให้ฟันร่วง
“สำหรับผมก็เฉย ๆ นะ แต่สำหรับพี่น่ะโอเครึเปล่า” คนพูดหย่อนเบ็ดกะจะตกปลาใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นไปตามคาด
“เฉย ๆ ก็ดี เอาเป็นว่าคุยกันอีกทีวันศุกร์” คีรินทร์หักคอปูน วันนี้ไอ้ตัวดีได้รู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มากเกินไปแล้ว
เมื่อสถาปนิกรุ่นน้องออกไปเเล้ว เจ้าของห้องทำงานก็ได้แต่นิ่งเงียบทบทวนคำพูดของปูน เมื่อก่อนเขากับหนูพุกเข้ากันได้ดีกว่านี้ ทุกวันนี้แม้การงานจะไม่ได้มีปัญหาอะไรเขาก็ยังรู้สึกเหมือนหัวไปทางตัวไปทางอยู่ดี
สุดท้ายเเล้วก็คงมีแต่ตัวเขาเองที่เฝ้าถามตัวเองว่าเขาโอเคกับการที่ทุกอย่างเป็นอย่างนี้หรือไม่
ภูไม่รู้ว่าเขาปล่อยให้เวลาไหลผ่านตัวเองไปมากน้อยแค่ไหน กว่าจะรู้ตัว หนูพุกก็มาเคาะประตูบอกว่าจะกลับบ้านแล้ว
“พุกกลับแล้วนะครับ”
“ไปสิ กลับด้วยกันเลยก็ได้ เดี๋ยวติดรถพี่ไปลงที่รถไฟฟ้า” เขาเสนอตัว ไหน ๆ เขาก็ไม่มีสมาธิมากพอจะทำงานแล้ว ก็ไม่ควรจะปล่อยช่วงเวลานี้ให้เสียเปล่า
ตอนนี้ภูตระหนักรู้แล้วว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อหนูพุกคงไม่ใช่เพียงเพื่อนร่วมงาน เพียงแต่ว่าอะไร ๆ มันยังไม่ชัดเจนพอให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย
เขาอาจะแค่พึงพอใจเพราะไม่มีใครก็ได้
จากนี้เขาจะดับเครื่องชน หากไม่รู้ เขาก็จะทำให้ตัวเองรู้ หากชอบพอเขาจะเดินหน้า แต่ถ้าคำตอบคือไม่เขาจะหยุด คีรินทร์ไม่ต้องการทำร้ายหนูพุกด้วยความไม่รู้อีกต่อไป
“ไม่เป็นไรครับ มีคนมารอพุกแล้ว” หนูพุกยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ผ่านมาจากดวงตาเหมือนเคย คล้ายกับมีกำเเพงเเก้วบางใสขวางเอาไว้ กันไม่ให้เขาเเตะต้องสัมผัส
“โอเค งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” คีรินทร์เเสร้งทำเป็นไม่ยี่หระ วางกุญเเจรถไว้กับโต๊ะทั้งที่เก้อกระดากเต็มทน
หนูพุกเดินออกจากห้องทำงานเขาไปสักพักเเล้ว แต่ตะกอนภายในใจของเขากลับไม่ยอมนิ่งสนิทตาม ภูมองลงไปยังหน้าถนนผ่านหน้าต่างห้องทำงาน เขาเห็นรถยนต์ห้าประตูคันใหญ่จอดนิ่งอยู่ ข้างกันเป็นชายหนุ่มผิวขาวจัด ตัวสูงโย่ง ท่าทีดูสนิทสนมกับหนูพุกมากทีเดียว
ใคร ?
คำถามนั้นก่อกวนคีรินทร์ตลอดเวลาแม้ว่าเขาจะเข้าใจดีว่านั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของหนูพุก ไม่ใช่กงการอะไรของเขาที่จะต้องรับทราบ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถปล่อยวางมันได้
ภูไม่เคยคิดที่จะเอาหน้าที่การงานมาเบียดบังเพื่อหาผลประโยชน์จากลูกน้องเลยครั้ง แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาคิดและลงมือทำ
“หนูพุก วันนี้ช่วยอยู่เย็นหน่อยได้ไหม พอดีพี่มีงานเอกสารให้ช่วยหน่อย”
แน่นอนว่าได้ยินอย่างนั้น เลขาหนุ่มก็ขัดไม่ได้ หนูพุกส่งข้อความไปหาเพื่อนใหม่ที่อุตส่าห์มาเยี่ยมกันถึงกรุงเทพฯ ว่าวันนี้เขาคงไม่สะดวกเท่าไหร่นักและขอเลื่อนนัดกินข้าวไปเป็นวันหลังเเทน
คีรินทร์ขุดทุกงานเอกสารที่เขานึกได้ทั้งหมดขึ้นมาสะสางและตรวจสอบ ในตอนนี้ทั้งเขาเเละหนูพุกต่างก็นั่งกันอยู่อย่างเงียบเชียบบนโต๊ะทำงานเดียวกัน ระหว่างเจ้านายและเลขานุการหนุ่มมีเพียงเสียงพลิกเเผ่นกระดาษ และเสียงคีย์บอร์ดเท่านั้น
“หนูพุกจะกินอะไรหรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าเข็มนาฬิกาล่วงไปจนเกือบจะเเตะเลขแปด คีรินทร์ก็เพิ่งนึกได้
“ไม่เป็นไรครับ พุกไม่หิว พี่ภูทานก่อนเลย” หนูพุกไม่เเม้เเต่จะเงยหน้าขึ้นมาคุยกับพี่ภูสักนิด ทั้งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงและปฏิบัติงานเป็นพนักงานที่ดีเเล้ว เหตุใดกันพี่ภูจึงพยายามที่จะข้ามเส้นคั่นของเขาอยู่เสมอ
ปากก็พูดอยู่เเท้ ๆ ว่าจะมารู้สึกกับเขาในเชิงนั้นได้ยังไง
คิดอย่างนี้ หนูพุกยิ่งรู้สึกเสียด ๆ ในอก เขาไม่ต่างอะไรไปจากหมากตัวหนึ่งที่กำลังเข้าตาจน หากเดินหน้าก็รังแต่จะพ่ายแพ้ ยิ่งถอยหลังก็ยิ่งถูกรุกคืบ
ยิ่งคิดต่อไปหนูพุกก็ยิ่งโกรธ เขาไม่รู้เลยว่าพี่ภูมีจุดประสงค์อะไรที่จะต้องนำเอกสารเก่าที่ค้างไว้ขึ้นมาสะสางทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็พยายามทำมันไปวันละเล็กละน้อยเพราะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
“ไปถ่ายเอกสารนะครับ” หนูพุกลุกยืนขึ้นจนเต็มความสูง มือเรียวรวบเอาเอกสารที่คัดไว้ว่าจะถ่ายสำเนาในส่วนของตัวเองออกไปด้วย และรอคอยว่าพี่ภูจะฝากถ่ายเอกสารชิ้นไหนหรือไม่
“ฝากนี่ด้วยครับ ขอบใจนะ” คีรินทร์ยื่นเอกสารส่วนของเขาให้ ปลายนิ้วมือของเขาเเตะถูกปลายนิ้วมือของเลขาหนุ่ม ราวกับมีกระเเสไฟแปลบปลาบวิ่งผ่านสัมผัสเพียงเสียววินาทีนั้นทำให้หนูพุกดึงมือออกแทบจะทันใด
“ดะ.. เดี๋ยวมาครับ”
คีรินทร์สายหน้าน้อย ๆ สัมผัสได้ถึงความตื่นกลัวของเลขาหนุ่ม เขาเห็นว่าหนูพุกเดินชนโต๊ะอีกหนเหมือนตอนย้ายเข้ามาทำงานเเรก ๆ ไม่มีผิด หากอีกฝ่ายยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เห็นทีว่าเขาจะต้องหุ้มทั้งห้องด้วยยางกันกระเเทกสำหรับเด็ก
บรรยากาศของห้องทำงานเงียบสนิทจนภูนึกสงสัยว่าเขาเคยอยู่ให้ห้องนี้แทบจะทั้งวันทั้งคืนได้อย่างไร ดวงตาคมเหลือบมองไปยังนาฬิกาดิจิตัลแล้วก็เห็นว่านี่เป็นเวลาที่นานเกินไปสำหรับการถ่ายสำเนา
เขาลุกขึ้น บิดตัวไล่ความเมื่อยขบก่อนจะเดินออกไปยังโซนถ่ายเอกสารซึ่งจัดเอาไว้มุมหนึ่ง ในครรลองสายตา เขาเห็นภาพร่างกายผอมบางของหนูพุกก้ม ๆ เงย ๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะเเกะฝาเครื่องถ่ายเอกสารออกมา
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังทำให้หนูพุกชะงัก
หากเขาจะตอบว่าไม่ก็คงขัดกับความเป็นจริงอย่างเห็นได้ชัด ในเมื่อกระดาษที่เขาใส่เข้าไปเพื่อถ่ายสำเนามันติดอยู่ด้านใน พยายามจะเปิดเเล้วหมุนเเกนเลื่อนเพื่อเอาต้นฉบับออกมาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
“ต้นฉบับมันติดอยู่ด้านในครับ แต่ไม่รู้ว่าไปติดที่ตรงไหน” หนูพุกอธิบาย เขาชีให้ภูเห็นว่าบนหน้าจอดิจิตัลปรากฏภาพแกนหมุนให้หมุนเอาเอกสารออกมาก่อน แต่แก้เข้เเล้วกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คีรินทร์ดันหนูพุกออกจากหน้าเครื่องถ่ายเอกสาร โดยที่เลขาหนุ่มเองก็ก้าวถอยหลังไปจนชิดมุมผนังซึ่งกั้นด้วยพาร์ทิชั่นให้เป็นคอกสี่เหลี่ยม รองรับการวางชั้นเก็บเอกสารทั้งสามมุม
คนตัวสูงใหญ่ก้มลงแก้ไขตามที่เครื่องโชว์ขึ้น เขาถอดเอาชั้นพักที่ขวางเเกนหมุนออกเเล้วก็เห็นว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ในนั้น มือใหญ่ขยับเเกนหมุนปรับองศาจนเครื่องถ่ายเอกสารส่งเสียงครืดคราดคล้ายกลับมาใช้การได้
ทุกชิ้นส่วนถูกประกอบกลับไปอย่างง่ายดายจนหนูพุกนึกอิจฉาในความสามารถ ภูกดรีเซ็ทเครื่อง ปล่อยให้มันดังอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเงียบสนิท
“รอพักนึงเดี๋ยวมันก็คายต้นฉบับออกมาให้”
เพราะมัวเเต่จดจ่ออยู่กับการเเก้ปัญหา ภูจึงไม่ทันสังเกตว่าเมื่อสักครู่เขาดันหนูพุกเข้าไปยังคอกเก็บเครื่องมือเเละเอกสาร ระยะห่างระหว่างเขากับหนูพุกนั้นน้อยนิด แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถออกไปจากตรงนี้ได้หากเขาไม่ยอมถอยให้
“ขอบคุณครับ”
หนูพุกพยายามใจกล้า ตั้งใจจะเดินเข้าหาเพื่อให้พี่ภูถอย แต่ผลกลับไม่เป็นอย่างที่คิด นอกจากพี่ภูจะไม่ถอยเเล้วยังขยับเข้าหาเขาอีก
ภูมองคนที่ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมาเเล้วก็นึกเอ็นดูสงสาร สายตาเขาเลื่อนไปจับจ้องที่กลีบปากสีชมพู มันสั่นระริกเมื่อหนูพุกคิดหาถ้อยคำเอ่ยให้เขาหลบทางให้
ภูไม่เเน่ใจว่าระยะห่างระหว่างเขากับเลขาหนุ่มลดลงตั้งแต่เมื่อไหร่ หากตอนนี้มันใกล้จนเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
ถ้อยคำของเต้ยเมื่อหลายวันก่อนดังขึ้นในความคิดเขา ครอบครองเอาจริยธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่พึงมีไปสิ้น
...เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร…
คีรินทร์ทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของเลขาหนุ่ม คราวนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญหรือใครสักคนตกอยู่ใต้อำนาจของน้ำเมาอีกต่อไป
ฝ่ามือใหญ่เชยคางของหนูพุกขึ้น เขาประคองข้างเเก้มของคนอ่อนวัยกว่าเอาไว้มือหนึ่ง ในขณะที่อีกมือประคองตรงบั้นเอวบางราวกับจะหักได้หากสัมผัสเเรง ๆ สักหน
รสจูบของคีรินทร์ไม่ใช่เพียงการแตะกันเเผ่วเบาอย่างที่หนูพุกทำเมื่อวันนั้น เขาทั้งขบกัด ดูดดึงคล้ายหมายจะเก็บเกี่ยวเอาวิญญาณของหนูพุกติดมือไปด้วย เรียวลิ้นของเขาเเทรกซอนเข้าไปในอาณาเขตของอีกฝ่ายอย่างลึกล้ำโดยไม่เเม้แต่จะให้สัญญาณขออนุญาต
ยิ่งแตะต้องภูก็เหมือนตกลงไปในห้วงสเน่หา เขาตักตวงอย่างไม่รู้จักพอ ยิ่งอีกคนถอยหลบ เขาก็ยิ่งได้ใจ ทั้งโอบกอดเเละกวาดต้อน ยึดครองสติเเละสัมปชัญญะของหนูพุกไปโดยสมบูรณ์
เสียงชื้นเเฉะไม่ทำให้คีรินทร์รู้สึกเก้อกระดาก วินาทีนี้เขาทั้งหูหนวกและตาบอด กลิ่นโคโลญจน์อ่อน ๆ ที่หนูพุกใช้เป็นประจำยิ่งทำให้ลุ่มหลง เขารู้สึกถึงเเรงจากฝ่ามือเล็กที่เเตะลงบนต้นเเขนเขา กำเสื้อเนื้อนุ่มไว้แน่นราวกับจะใช้มันเป็นที่ยึดเหนื่ยวสุดท้าย
หนูพุกเหมือนเขาวงกต ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็หาทางออกไม่เจอ ยิ่งเดินหน้า ยิ่งถลำลึก ริมฝีปากหยักบดเบียดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาประคองกอดคนที่เรียวแรงที่ขาคล้ายจะหดหายไปหมด
...ยังไม่พอ อย่างไรเขาก็ยังไม่พอ…
เสียงสัญญาณหวีดเเหลมจากเครื่องถ่ายเอกสารดังขึ้นจนคนในอ้อมกอดของเขาสะดุ้ง มันไม่เพียงขัดจังหวะทว่ายังปลดปล่อยสติสัมปชัญญะคืนแก่หนูพุก มือเรียวที่เคยเเตะอยู่บนต้นแขนเขาคลายออก หนูพุกผลักเขาออกก่อนที่จะคว้าเอกสารเดินกลับเข้าห้องทำงานไปโดยที่ไม่ให้โอกาสคีรินทร์ได้เอ่ยอะไรออกมาเเม้แต่คำเดียว
ดวงตาสีดำหนักแน่นมองตามหลังเลขานุการหนุ่ม คราวนี้ภูรู้แจ้งแก่ใจแล้วว่าเขารู้สึกอย่างไร และควรจะทำอย่างไรต่อไป
...ทุกอย่างชัดเจนสำหรับเขาแล้ว...
---------------------------
หนูพุกรูกแม่