6.
รู้สึกเหนือไม่ไปใต้ไม่มายังไงไม่รู้ งงๆ กับชีวิตจัง แล้วนี่มันจะยังไงต่อ
ตอนค่ำ ช่วยที่บ้านคัดลำไยร่วง แม่เปรยๆ เรื่องเปลี่ยนชื่อ เหมือนว่าจะใจอ่อน เหอะ ถ้าแม่รู้ว่าลูกแม่ต้องเจออะไรบ้างในรอบสัปดาห์จะไล่ให้ไปอำเภอไม่ทัน
“แล้วจะเปลี่ยนว่าอะไรล่ะ มีชื่อดีๆ แล้วเหรอ”
พี่เขยถาม ยังไม่ทันได้ตอบ ยายก็โพล่งขึ้น
“เรืองคำ เป็นไง”
ยาย ฆ่ากันตายเลยดีกว่าไหม โบราณมากกก
“ศรัณญู” แม่บอก “ความหมายดีนะ หรือ ไม่ก็สรพงษ์”
โว้ย นี่มันพ.ศ. ไหนแล้ว ไม่ใช่ปี 2475
“คุณแม่ครับ ขอให้มันเป็นการตัดสินใจของคุณลูกได้ไหม แล้วแบบ สรพงษ์ ศรัณญู ได้ข่าวว่า โหลมาก ก.ไก่ล้านตัว”
“เอ้า แล้วจะเอาอะไรล่ะ”
ไม่อยากบอกเลยว่าหาชื่อเก๋ๆ ไว้แล้วเยอะมาก ที่เข้ารอบก็อย่าง พิพัฒการัณย์ ก่อสกุล หรือชื่อเดี่ยวๆอย่าง ธีร์ แต่อายที่จะบอก (ปล. ชื่อเดิมคือ ชิตตพล นามสกุล ใจเมือง โคตรเมืองอ่ะ บ้านกว่านี้มีอักไหม แล้วยังมี ต.เต่าเป็นกาลกิณี)
“ให้พระที่วัดตั้งให้ดีกว่า ดูอย่างอีใสบ้านเด่น มันให้พระตั้งชื่อให้ใหม่ ชื่อบัวไศล เดี๋ยวนี้มันรวยอู้ฟู่ ลูกเต้าได้ดิบได้ดี เป็นหมอเป็นครู กินเงินเดือนหลวงกันทุกคน”
จ้า ยาย แต่ช่วยเงียบไปเลยจะดีกว่า
“เอาแต่บ่นว่าโชคไม่ดี เคยเข้าวัดทำบุญกับเค้ามั่งไหม” พี่สาวผมว่า “ซื้อปลาซื้อหอยในตลาดที่มันถึงฆาต เอาไปปล่อยทำบุญทำกุศล แทนที่จะมาคิดเรื่องเปลี่ยนชื่อไร้สาระ”
“โอ้ยกล้าพูด ไม่ดูตัวเอง ตอนไอ้โฟกัสเกิด มึงก็เปลี่ยนชื่อลูกตั้งหลายรอบ ทำเอากูงงว่าตกลงมึงได้ลูกกันกี่คน”
“พอๆ หยุดเถียงกันได้ละ” คุณนายศรีตวาด “จะเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน แต่นามสกุล ไม่ให้เปลี่ยน”
เป็นอันจบข่าว
แต่จะว่าไป ก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มากนัก
ตอนสองทุ่ม ผมแวะไปเอาตังก์ที่เอ่ยปากหยิบยืมยัยนกที่บ้าน พูดคุยกันเล็กน้อย จากนั้นจึงตรงไปบ้านยัยเจน สาวเศรษฐศาสตร์แม่โจ้ (ผู้สวยถึกและบึกบึน) เพื่อ เอิ่ม พาร์ที่ย์กันเล็กน้อย
พาร์ที่ย์นี้ถือเป็นประเพณีในกลุ่มเพื่อนโสดที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยประถม ทุกวันหยุดที่กลับบ้านตรงกัน สมาชิกประกอบด้วย ผม /ยัยเจน /ยัยกระแต สาวญี่ปุ่น ม.ราชภัฏ /ยัยน้องเบลล์ สาวจิตวิทยาม.พายัพ และโอชิน นิเทศศิลป์เทคโนฯ เจ็ดยอด เรียกกันเล่นๆ ในกลุ่มว่า พาร์ที่ย์รวมดาวเดือนมหาลัย อิอิ พวกจะมารวมตัวกันเพื่อ จิบชาเอิร์ลเกรย์ ชามะลิ ชาเขียว ชาอัสสัม หรือชาผลไม้ กิ่งไม้แปลกๆ แล้วแต่โอกาส โดยมียัยเจนเป็นเจ้าภาพตลอดกาล ทำหน้าที่เตรียมสถานที่ สรรหาขนมนมเนยมากินแกล้มชา บางวันถึงขั้นลุกขึ้นมาตำมะละกอใส่ปาร้า หรือทำพริกน้ำปลาหวานกินกับมะม่วงมัน เมาท์มอยกันไป ดูละครน้ำเน่าช่องหลายสีทีวีเพื่อใครไปด้วย
จริงๆ แล้ว กะว่าจะมาปรึกษาปัญหาชีวิตเลยแหละ แต่ยัยเจนเปิดประเด็นเรื่องดาราชายเป็นเกย์ซะก่อน เลยต้องรอจังหวะ ตอนนั้นเอง ที่เหล็กดัดไลน์มาหา ผมออกไปตอบข้อความข้างนอก โดยมีสายตาพิฆาตของพวกสาวๆ ดาวมหาลัยเล็งอยู่ที่หลัง
This Kite: “ว่าไง”
Dek Due: “ทำอะไรอยู่เหรอครับ”
This Kite: “อยู่กับเพื่อนครับ”
Dek Due: “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
ชิ แล้วตัวเองล่ะ
This Kite: “มีอะไรป่าวครับ”
Dek Due: “ต้องมีด้วยเหรอครับ”
วะ ต้องมีสิ บอกคิดถึงเดี๋ยวนี้เลย
Dek Due: “ไหนบอกถึงบ้านแล้วจะโทรหา”
อะนะ ผมว่าแล้ว ว่าไอ้เด็กแมกซ์นั่นมันต้อง ร้ายไม่ใช่ย่อย
This Kite: “ลืมน่ะ แล้วทำไมเพิ่งโทรมาเอาป่านนี้อ่ะ”
Dek Due: “ก็รอโทรศัพท์เตงจนหลับเบย”
มีพิรุธ
This Kite: “เหรอ”
Dek Due: “อืม อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เตงบอกจะโทรหาเค้าแล้วก็ไม่โทรมา ชิ”
โทรแล้วโว๊ย!
This Kite: “แค่นี้นะ จะกลับไปคุยกับเพื่อน”
Dek Due: “เตงเป็นไร โกรธไรผมเหรอ”
ใช้สมองดิ ไอ้เด็กบ้า ใช้สมองและสารภาพมาซะว่าไปทำอะไรไว้
This Kite: “เปล่า เดี๋ยวไว้คุยกันดึกๆ นะ”
Dek Due: “T-T”
ใจหนึ่งก็คิดว่า กูต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้เด็กแมกซ์นั่นไปทำอะไรที่ห้อง แต่คิดอีกที มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมซะหน่อย ต่อให้มันไปเอากันที่นั่นจริงๆ แล้วผมมีสิทธิ์อะไรจะมาไม่พอใจ หรือแม้กระทั่งจะไปสอดรู้ โวะ เครียดวุ้ย
“กิ๊กส่งข้อความมาเหรอ”
ยัยกระแตแซวก่อนใคร คนอื่นๆยิ้มกรุ้มกริ่ม
“บ้า น้องที่คณะเว๊ย”
“แอะ ก็อย่างงี้ตลอด ถ้าไม่ใช่น้องจริงๆ ชั้นแช่งให้เลิกกันเลยนะ”
ยัยเจนว่า อ้าว ยัยนี่
“จะบ้าเหรอ”
ผมกลัวยัยนี่แช่งจริงๆ นะ เขาว่าสาวทึนทึกอ่ะ กำปากมันปิ๊ด คือแช่งอะไรไว้แล้วมันจะจริงตามนั้น
“งั้นเล่ามาเลย นาว”
ผมก็เลยจำใจต้องเล่าให้สาวๆ ฟัง (แต่ไม่ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเจอเจ้าเหล็กดัดยังไง) จะว่าไป เรื่องของผมคงเป็นเหมือนน้ำค้างหยาดลงบนความหวังอันแห้งผากของกลุ่มสาวๆ เพราะพวกชีจะกรี๊ดเป็นระยะๆ เมื่อเล่าถึงตอนสำคัญๆ เอาเป็นว่า กรี๊ดจนแม่ยัยเจนต้องเข้ามาดู คิดว่าใครกำลังเป็นอะไรตายนั่นแหละ
ยัยเบลล์ : ชื่อ ดื้อ เหรอ แค่ชื่อก็น่ารักแล้วอ่ะแก
ยัยโอชิน : ว๊าย เป็นเดือนวิศวะด้วยเหรอ ขี้โม้ แกต้องพามาให้ชั้นดูนะ
ยัยกระแต : เออ จริง วันไหนดีแก นัดมาเลย
ผม : เฮ้ย ฉันกับมันยังไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้คบกัน พวกเธอนี่ดูเลิฟซิกเยอะรอบไปละ ถ้าเกิดคบกันแล้ว ฉันจะถามพวกเธอทำปลาช่อนอะไร ว่าตกลงไอ้ดื้อมันคิดอะไรของมัน
ยัยเจน เบิ้ดกระโหลกผม (โวะ เจ็บนะ): ไม่ต้องมาทำเป็นโง่ เลย มันซื้อมือถือให้แกเนี่ยนะ ไม่ได้เป็นไรกัน
ยัยโอชิน : เออๆ มีรูปไหม มีเฟซ มีไอจีป่ะ ขอดูหน่อย
ผม : มี แต่ไม่ให้ดู
ยัยโอชิน : โอ้ย อีแรด สลิดดก
ยัยกระแต : ชั้นว่าอีว่าว แม่งตอแหลว่ะ
อ้าว
ยัยเจน : มันไม่ตอแหลหรอกแก ว่าว แกกับน้องดื้อได้กันแล้วใช่ไหม ตอบ!
ผม : จะบ้าไปใหญ่แล้ว รู้งี้ไม่เล่าดีกว่า
ยัยเบลล์ : โว๊ย ขนาดอีว่าว มันยังหาผัวได้เลยอ่ะ แถมหล่อระดับเดือนวิศวะด้วย แล้วทำไมผู้หญิงแท้ๆ สวยเก๋ ชิคๆ คูลๆ ดูดีมีชาติตระกูลอย่างชั้นถึงหาไม่ได้ล่ะ ทำไม นี่มันไม่ยุติธรรมเลย
โว้ย!
พวกเราดาวเดือน เมาท์ไปพลางชิบชาไปพลาง เรื่อยไปจนเกือบเที่ยงคืน จึงได้เลิกสลายตัว ตอนที่ดีที่สุด นอกจากเมาท์เรื่องเจ้าดื้อและสปายเฟซบุ๊คกับอินสตาแกรมของมันแล้ว ก็คือเรื่องวีรกรรมแม่ยัยเบลล์ ที่เล่าเมื่อไหร่ก็ขำเมื่อนั้น คือตอนที่พี่เบ้นซ์ พี่สาวมันแต่งงาน แม่เจ้าสาวท่านเซ็ตทรงผมไว้ตั้งแต่คืนก่อนงานแต่ง นัยว่าเป็นทรงสไตล์หรูอลัง บ้านๆ เว่อร์ๆ (เอ๊ะ ยังไง) ด้วยกลัวผมจะเสียทรง นางจึงไม่ยอมนอนแบบคนปกติทั่วไป แต่ใช้วิธีนั่งพิงที่นอนแทน เป็นเหตุให้ต้องหลับๆ ตื่นๆ ตลอดช่วงเวลาอันน้อยนิดที่ได้พัก เป็นสาเหตุให้เมื่อตกตอนสายใกล้เวลาเลี้ยงเพลฯ คุณแม่เจ้าสาวเกิดหน้ามืด วิงเวียน หัวทิ่มขันโตกเป็นแกงโฮะ ร้อนแขกต้องเรียกหมอเรียกพยาบาลกันให้วุ่น หลังฟื้นคืนสติ นางแก้ตัวอย่างอายๆ ว่า เป็นลมเพราะนอนไม่พอ ตื่นเต้นจัด แต่ทุกคนก็รู้แหละว่า ป้าแกนอนไม่พอเพราะกลัวไม่สวยมากกว่า
กลับถึงบ้าน อาบน้ำสระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าจะเข้านอน ก็เกือบตีหนึ่งแล้ว เปิดโทรศัพท์เช็คดู ในซิมคู่ขา เจ้าเหล็กดัดโทรมาสามหน (ความคิดแรกที่แว่บเข้ามาคือ คิดถึงจัง รู้สึกผิดที่อารมณ์ไม่ดีใส่ แต่พอคิดเรื่องไอ้เด็กแมกซ์ เรื่องผ้าเช็ดตัว อารมณ์ก็เปลี่ยนทันที) ในไลน์ก็ส่งสติ๊กเกอร์มาง้อ มากวน ส่วนในโทรศัพท์ส่วนตัวของผมที่ปิดเครื่องชาร์ตแบตทิ้งไว้ อีเบศร์ เพื่อนเกย์อีกคนที่คณะ โทรมาสามมิสคอลเหมือนกัน ผมเดาว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ปกติ อีเบศร์มันไม่ค่อยโทรหาใครนี่ ผมลองเข้าไปดูในไลน์ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเลือกโทรกลับหามันเป็นสายแรก
เสียงปลายสายดังหนวกหู เหมือนอยู่ในที่เที่ยวที่ไหนซักแห่ง
“เฮ๊ย เดี๋ยวแป๊บนึงนะ เดี๋ยวๆ”
ท่าทางมันจะวิ่งหาที่สงบๆ คุยๆ
“ได้ล่ะๆ”
“ยังไงวะเนี่ย”
“มึงอยู่ไหนเนี่ย โทรไปก็ไม่รับ ไลน์ไปก้ไม่ตอบ มาดูผัวมึงหน่อย อีแมกซ์อ่ะ ท่าทางเมาไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย“
“กูอยู่บ้าน กูกลับบ้าน”
“อ้าว กูนึกว่ามึงอยู่กับมัน อีนิ่มบอกมึงไปอยู่หอมันนี่ โทรให้ใครมาดูมันได้ไหม สภาพทุเรศมาก แล้วมีกะเทยที่ไหนไม่รู้อีกเป็นฝูงล้อมหน้าล้อมหลัง กูสงสัยว่ามันจะไม่ได้เหล้าอย่างเดียว”
“มึงไปเอามันออกมาไม่ได้เหรอ”
“กูไปแล้ว ร่ำๆ จะโดนตบ แม่ง อีพวกกะเทยนี่มองกูอย่างกะจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วอีเหี้ยแมกซ์นะ เสือก เมาจนจำกูไม่ได้อีก ทำไงดีละเนี่ย”
“แล้วมึงไปกันกี่คนวะ เอามันออกมาไม่ได้เลยเหรอ”
“กูมากะกิ๊กแค่สองคน มามอไซค์ด้วย จะทิ้งเค้าไว้ก็ไม่ได้ เด็กกรุงเทพน่ะ”
“เอางี้ เบศร์ มึงจับตาดูมันไปก่อนนะ อย่าเพิ่งให้ใครหิ้วมันไปได้ เดี๋ยวกูไลน์บอกในกรุ๊ป ลองโทรตามคนอื่นไปช่วยเอามันออกมา”
“เออ เร็วๆ ล่ะ กูกลัวมันเป็นเอดส์ตายก่อนรับปริญญา”
ผมวางสายไอ้เบศร์ เข้ากรุ๊ปไลน์ของภาค แจ้งข่าว แล้วกดโทรหายัยนิ่ม
“นิ่ม แกอยู่ไหน”
“อยู่ท่าช้าง มากับพวกพี่หนึ่ง พี่ต้อม จะกลับแล้วเนี่ย มีไรวะ”
“อ่านไลน์อิเบศร์ในกรุ๊ปป่าว”
“เปล่า มีไรอ่ะ”
“อีแมกซ์นะสิ เออ พวกพี่เค้ามีรถไหม”
“รถพี่ต้อม รถพี่ปุ๋ย สองคัน อีแมกซ์ทำไมวะ”
“ช่วยไปรับมันหน่อยสิ มันอยู่กู๊ดวิว อิเบศร์บอกเมาเหมือนหมา อย่าเพิ่งถามไรมาก เดี๋ยวค่อยคุยในไลน์ ขอฉันคุยกับพี่ต้อมหน่อย”
เสียงนุ่มๆ อบอุ่นๆ พี่ต้อม แว่วมาตามปลายสาย
“ว่าไงมิว อยู่ไหนเนี่ย”
“อยู่บ้านครับพี่ต้อม พี่ต้อมครับ คือพอดีมีเรื่องจะรบกวนหน่อยครับ คืออี เอ่อ แมกซ์มันเมาไม่รู้เรื่องอยู่ที่กู๊ดวิวอ่ะครับ กลัวจะเป็นอันตราย จะวานพี่ พี่เชน พี่ปุ๋ย พี่หนึ่ง ไปเอามันออกมาหน่อยได้ไหมครับ”
“อ๋อ ได้สิ พวก พี่กำลังจะกลับกันพอดี”
“รบกวนพี่ต้อมคุยกับอีเบศร์ในกรุ๊ปไลน์นะครับ มันอยู่ตรงนั้นพอดี”
“ได้ๆ มิวไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวพี่พาแม็กซ์กลับถึงหอปลอดภัยแน่นอนครับ”
“ขอบคุณพี่ต้อมมากเลยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเรียบร้อยแล้วพี่จะโทรบอกมิวนะ”
โอ้ย รู้สึกโล่งใจบอกไม่ถูก ไม่รู้ทำไม พี่ต้อมมักจะอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ
ไอ้เรื่องเป็นห่วงน่ะห่วง แต่ไอ้เพื่อนจัญไรนี่ ปล่อยให้โดนกะเทยลากไปซะให้เข็ดดีไหม แต่ถ้าทำแบบนั้น จะหาว่าผมเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวกับความเหลวแหลกของมันอีก แล้วคนที่ต้องรู้สึกผิดก็ต้องเป็นผมอยู่แล้ว
ห้านาทีผ่านไปอย่างช้าเชื่อง ภาวนาให้ใครก็ได้โทรมา พี่ต้อม ไอ้เบศร์ ยัยนิ่ม รวมไปถึงอีกเครื่องหนึ่งด้วย
สิบนาทีต่อมา พี่ต้อม ไอ้เบศร์ ยัยนิ่ม โทรเข้ามารายงานสถานการณ์ว่าอีแมกซ์ปลอดภัยแล้ว (ค่อยหายใจสะดวก)
แต่กับอีกเครื่องนี่ไม่กระดิกเลย ไม่เปิดไลน์ดูอีกครั้ง ยังเป็นสติ๊กเกอร์ที่ส่งมาเมื่อตอนสามทุ่ม ลังเลใจว่าจะทักไปดีไหม เหอะ ไม่เอาดีกว่า จนกระทั่งตีสองและผมผล็อยหลับไปด้วยความง่วงและเหนื่อย
……
บ่ายสอง วันอาทิตย์
ผมไขกุญแจเข้าห้องเจ้าเหล็กดัดอย่างงๆ หลังจากเคาะอยู่นาน เจ้าบ้านั่นไม่อยู่ ในฐานะผู้อาศัย ผมควรจะรู้สึกเกรงใจใช่ไหม การไม่ได้คุย ไม่ได้เห็นหน้ามัน นานเกิน 24 ชั่วโมงช่างแปลกประหลาด เหมือนว่า มันนานมากแล้ว ตั้งแต่ที่ผมกับเจ้านั่นได้คุยไลน์กันสั้นๆ ที่บ้านเจนเมื่อคืนวาน
ห้องหับเนี๊ยบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน เพราะมีแม่บ้านมาคอยดูแล เสื้อผ้าก็มีคนจากร้านซักรีดมารับส่ง หลังๆ มีเสื้อผ้าของผมปนไปกับด้วย อาหารการกินก็มีของแช่แข็งตุนไว้เต็มตู้ แล้วผมจะทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจเจ้าของห้องได้บ้างนะ ลึกๆ ในใจ ผมไม่เคยชอบคนประเภทนี้เลย ผมว่ามันไม่ใช่อะไรอื่น นอกเสียจากความอิจฉาในการที่คนๆ หนึ่งเกิดมามีทรัพยากรทุกอย่างเพียบพร้อมคอยรองมือรองเท้า และคนพวกนี้อาจจะไม่เคยรู้จักความยากลำบากมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ผมเทอาหารจากถุงแกงที่ผมกับแม่ทำมาจากบ้านลงกล่องทัปเปอร์แวร์ มีน้ำพริกปาร้า ผักจิ้ม แกงหน่อไม้ใส่ปลาเค็มใบโหระพาและเห็ดฟาง และแกงอ่อมจิ๊นแห้ง แล้วหาที่ให้มันในตู้เย็นขนาดใหญ่นั้น เด็กนั่นจะกินเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำไมยิ่งรู้จัก ยิ่งรู้ว่าฐานะเรามันต่างกัน ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแฮะ ผมเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บในตู้เสื้อผ้าที่เจ้าเหล็กดัดแบ่งให้ใช้ครึ่งหนึ่ง มาถึงตรงนี้ เวลาที่ได้จ้องมองพื้นที่ในตู้เสื้อผ้า ผมเกิดรู้สึกสงสัยว่า เจ้าดื้อชอบผมจริงๆ ใช่ไหม หรือมันเป็นคนอย่างนี้เอง คือเป็นคนที่มีพร้อมจนเหลือเฟือ พร้อมที่จะแบ่งปันหรือช่วยเหลือใครก็ได้ทุกคนที่น่าสงสาร
ผมโชคร้ายขนาดที่ว่า ไม่มีแม้แต่ตู้เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง คิดแบบนี้แล้วก็นึกอยากร้องให้ ทำไมถึงต้องซวยขนาดนี้ด้วย ผมไปทำอะไรใครไว้เหรอ
บ่ายสองสี่สิบ เจ้าดื้อยังไม่มา ผมให้น้ำดอกไม้ในกระถางตรงระเบียงอย่างเซ็งๆ คิดถึงเรื่องที่ว่า เมื่อวานเจ้าเด็กแมกซ์นั่นมาที่นี่ กลิ่นของมันเหมือนจะยังลอยตลบอบอวนอยู่ในห้อง แค่คิดก็หงุดหงิดแล้ว
เอ๊ะ สเปรย์ปรับอากาศอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่านะ
มองจากตรงนี้ ระเบียงชั้นเจ็ด เห็นหลังคาหอเก่าของตัวเองอยู่ลิบๆ ไกลๆ ด้านซ้ายมือเป็นดอยสุเทพ อพาร์ทเม้นท์เปิดใหม่แห่งหนึ่งทาสีพาสเทลน่ารัก แต่ท่าทางจะแพงเอาการเหมือนกัน อย่างว่า นี่มันย่านนิมมานฯ นะ มีแต่คอนโด คอนโด และคอนโด ผุดขึ้นอย่างกับหญ้าอ่อนหลังฝนในสองสามปีมานี้
จำได้ว่าเพื่อนเคยแนะนำหอถูกๆ แถววัดอุโมงค์ วันนี้แดดไม่ร้อน ออกไปหาหอดีกว่า นั่งรถแดงไปหอไอ้แมกซ์เพื่อไปเอารถหรีดเน่าก็ได้ จะได้แวะไปดูมันด้วย
อย่างน้อยก็ดีกว่ามายืนจิตตกอยู่อย่างนี้
…..
ผมเคาะประตูอยู่สามเซ็ต กว่าที่ไอ้แมกซ์จะยุรยาตรเปิดให้ ผมเข้าไปในห้อง มันกลับไปนั่งที่เตียง นุ่งกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว (อีกแล้ว)
“เพิ่งตื่นเหรอ”
ผมทักมัน
“อืม”
“มาเอารถหรีดน่ะ จะไปหาหอ”
มันเงยหน้าขึ้นมาสบตา ตาคล้ำ หน้าโทรม หนวดเครารุงรัง แต่ยังหล่อเหมือนเดิม
“มาคนเดียวไม่กลัวกูปล้ำเหรอ”
มันถาม แม่ง อารมณ์ขึ้นอ่ะ
“มึงจะโกรธกุทำไมเนี่ย กูสิต้องโกรธมึง แล้วทำเชี่ยไรวะเนี่ย มึงประชดกูทำไม หา กูไม่ใช่เพื่อนมึงแล้วเหรอ”
“เออ เพราะกูมันเสือกคิดกับมึงเกินเพื่อนไง”
“แล้วมึงถามความเห็นกูหรือยัง กูโกรธมึงเหรอ ไม่เว้ย ไม่งั้นกูจะมาง้อมึงหาพระแสงขอเงี้ยวอะไร”
“กุญแจรถเมิงอยู่โต๊ะเขียนหนังสือ”
มันบอก ผมเดินไปหา แต่หาไม่เจอ
“ไหนอ่ะ”
มันเดินมาหยิบให้ เอาอกเปลือยมาชิดกับหลังผม ทำไมถึงรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยอ่ะ
“กูถามมึงหน่อยสิ” ไอ่แมกซ์เข้ามาใกล้ “มึงเอากันแล้วใช่ไหม”
“มึงสนใจแค่นี้ใช่ไหม”
“เออ”
“เออ” ผมตอบ “ถ้าเมิงหมายถึงเอากันแล้วน่ะ ใช่ พอใจยัง”
มันพ่นลมหายใจอย่างผิดหวัง แล้วเดินกลับไปที่เตียง ผมรีบเดินไปที่ประตูห้อง บอกตรงๆ ว่า กลัว
“พรุ่งนี้ที่มอกูหวังว่าจะได้เห็นมึงเข้าเรียนนะ ไม่อย่างนั้นกูจะถือว่ามึงไม่ยกโทษให้กู แล้วก็จงใจทำให้กูรู้สึกผิด”
ผมบอกมันก่อนจะออกมา
โอ้ย เกือบไปแล้ว
…..
ผมงัวเงียตื่นขึ้นเพราะเสียงทีวี พยายามดันตัวเองออกจากซอกจากโซฟา หันไปที่เตียง เจ้าดื้อกำลังนั่งจ้องทีวีอยู่ สีหน้าเคร่งเครียด
โวะ อะไรอีกล่ะเนี่ย
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผมถาม มันนิ่งอยู่นานเหมือนกำลังคิดว่าจะตอบดีไหม
“ซักพักแล้วครับ”
ผมดูท่าทีเจ้าเหล็กดัดก่อน เพราะทำตัวไม่ถูก ควรจะง้อ หรือจะงอนดี ก็เรื่องไอ้เด็กแมกซ์นั่นแหละ หนอย
“กี่โมงแล้วเนี่ย”
“สองทุ่มครึ่ง”
เหล็กดัดตอบสั้นๆ สงสัยต้องง้อแล้วล่ะ
“กินอะไรหรือยัง พอดีทำกับข้าวมาจากบ้าน แม่พี่ทำอ่ะ กินอาหารเมืองเป็นป่ะ กินเผ็ดได้ไหม”
เจ้าเหล็กดัดหันมาจ้อง อะไรวะ
ผมเดินไปหามัน แล้วนั่งลงข้างๆ
“ดื้อไปไหนมาเหรอ”
“ไปเตะบอล” เจ้าดื้อถอนหายใจ “มาถึงเมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรเรียกผมไปรับ ไลน์มาก็ได้”
“แหะๆ ขอโทษนะ ไม่อยากรบกวนดื้ออ่ะ ให้ดื้อไปรับไปส่งทุกครั้ง เดี๋ยวก็ติดเป็นนิสัย วันใดวันนึงเกิดดื้อเบื่อจะเล่นตามจีบพี่ขึ้นมา พี่ก็ลำบากแย่สิ ใช่ไหม ฮ่าๆๆ”
หัวเราะกลบเกลื่อนทำไมเนี่ย
“ใครบอกพี่ว่าผมคิดเล่นๆ”
โอ๊ย เกิดมาเพิ่งจะเคยรู้สึกว่ามีค่า มีแต่คนมะรุมมะตุ้มรุมรักก็ตอนนี้เอง ผมยิ้มเนือยๆให้แทนคำขอบคุณ
“พี่มิว”
“ครับ”
“มานั่งใกล้ๆ นี่”
ผมขยับเข้าหาตามคำสั่ง ยังไม่ทันจะถึงตัว เหล็กดัดดึงตัวผม ปากประกบปาก
อืมมมม
นี่เป็นจูบอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผมกับเจ้าเหล็กดัด
มัน ว้าว จะอธิบายยังไงดี ทีแรกก็แรงๆ หายใจขัดๆ แล้วต่อมาก็ เนิบช้า อ้อยอิ่ง เซ็กซี่ แบบนี้ผมจะขัดขืนยังไงไหว
ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่จูบ จะทำให้รู้สึกดีได้ถึงขนาดนี้
“พี่มิว... เสาร์หน้าไปเดินขึ้นดอยกับผมนะ”
เจ้าเหล็ดดัดกระซิบ หลังจากที่ถอนริมฝีปากแต่ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมไปไหน
“อืม”
“พูดเพราะๆ สิ”
“ครับๆ”
“พี่มิว”
“ครับ”
“มือพี่ล้วงของๆ ผมอยู่นะ”
โอ้ย ก็มันไม่รู้ตัวนี่ ผมจะดึงมือออก แต่เจ้าเหล็กดัดห้ามเอาไว้ พร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์
“รับผิดชอบด้วยครับ”
โอ้ย เขินว่ะ เหล็กดัดก็ยังไม่เลิกยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นยิ้มที่น่ารักที่สุดในโลกแล้ว
ถึงไม่รู้ว่ามันจะยังไงต่อไป ถึงจะยังมีเรื่องที่ค้างคาใจอีกมากมาย แต่ขออยู่แบบนี้อีกซักหน่อยเถอะนะ ขอร้องละครับท่านพญายม (เลียนแบบยัยฮะจิ ในเรื่องนานะ) แล้วเดี๋ยวค่อยไปเผชิญกับความเป็นจริงแบบคนอับโชคต่อก็ได้
ผมว่า ผมชอบเจ้าเหล็กดัดไปเต็มๆแล้วล่ะ
…..
เจ้าดื้อมาส่งผมที่คณะเพราะอยากให้เคยตัว คริคริ
เมื่อคืนอยากบอกว่า มันสุดยอดมาก ฟินมาก ยิ่งกว่าที่เคยคิดไว้ซะอีก อิอิ (คืออะไรไม่บอกหรอก) โวะ นี่ขนาดครั้งแรกนะเนี่ย (ผมเชื่อเจ้าดื้อครับ) ลืมไอ้เด็กแมกซ์นักสร้างความร้าวฉานไปได้เลย ถ้าเจ้าดื้อบอกว่าไม่ก็คือไม่ ใช่ไหมครับ โอ้ย มีความสุขจัง มีความสุขเกินไปล้าววว ผมยืนโบกมือให้เจ้าเด็กโข่งที่ต๊ะเบ้ตอบกลับมาอย่างเท่
โอ๊ย เขินๆๆ หุหุ จะน่ารักเกินไปแล้วนะ
“Hey, You!”
เสียงฝรั่งที่ไหนเนี่ย กรี๊ด! ตกใจ (จริงๆ นะ ไม่ได้แกล้ง) ยัยเมี่ยงส้ม (หะแรกคิดว่าแม่บ้านมีหนวด) โผล่มาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง
ไงล่ะนังเห็ดหูหนูดำ ตะกี้แกเห็นแฟนชั้นแล้วใช่ไหม ใช่ไหม
“Hold on, wait, wait. Who’s that boy, Is he your boyfriend?”
ผมยิ้มน่าหมั่นใส้ ยักไหล่แทนคำตอบ
“Oh Noooo ฉันเข้าใจผิดไปเองใช่ไหม Right! เพราะน้องคนนี้ดูดีเกินไปสำหรับเธอ โวะ ชั้นนี่ก็... คิดไปได้ยังไงเนอะ แย่จัง It’s don’t really make sense”
อ้าว อีนี่
เหอะ จะคิดยังไงก็ช่าง ฉันแฮปปี้ ไม้โทล้านตัว
“ว่าแต่ เธอนั่งรถเขามาได้ยังไง ไม่เดินลดโลกร้อนแล้วเหรอ”
“คาร์พูลก็เป็นวิธีลดโลกร้อนอย่างหนึ่งเหมือนกันจ้า”
“โว้ย น้องเค้าลำบากทีเดียวเนอะ ที่ต้องขับรถโดยมีคัพเค้กก้อนเบ้อเร่อวางอยู่บนเบาะข้าง อะไรเข้าฝันให้แต่งสีพาสเทลตัดกันฉึบฉับได้ขนาดนี้คะ คุณเพื่อน”
อ้าว อีนี่ กูเพิ่งจะอารมณ์ดีๆ
“ว้าย ทักแค่นี้ถึงกับเสียเซลฟ์ ว้าย ขอโทษจ้ะ ที่เพื่อนพูดแรงไปนีสสส”
“เออ ปากไม่มีหูรูด นี่ รู้ไหม ถ้าเมื่อไหร่เธอ ลด ละ เลิก นิสัยคิดเอง สรุปเองได้แล้วเนี่ยนะ เธอจะดูขาวขึ้นมากกก ขาวโดยไม่ต้องใช้ครีมญาญ่าซองละสิบบาทที่เธอแอบบีบใส่กระปุกซิสเลย่าอีกเลย เอ๊ะ อยากจะให้ฉันแฉไหม ว่าไอ้ซิสเลย่า ลาแพรี่ เอสเคทู เคลย์ เดอโป เคาน์เตอร์แบรนด์ประดามีของเธอน่ะ มันตลาดนัดผสมกาดหลวงทั้งนั้น แม่ง ปลอมมมม ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ แล้วไอ้ครีมญาญ่าซองละสิบบาทกับโลชั่นเภสัชที่เธอเหมาเกือบหมดเชียงใหม่ไดเร็ค อ้างว่าซื้อไปฝากคนงานไทใหญ่ที่บ้านนั่นน่ะ จริงๆ แล้ว มันอยู่บนสารร่างและหนังหน้าเธอนี่เอง ดู คนบ้าอะไร หน้างี้หยาบเหมือนหลังตีน ทาครีมหมดกระปุกยังไม่ซึม ทิ้งรอยเป็นคราบ เป็นด่างเป็นดวง เหมือนคนเป็นโรคสะเก็ดเงิน…”
นังเห็ดผึงกับผงะ หน้าเสีย นางสะบัดหน้าดึงสติที่เหวอกระเจิง กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปด้วยความอับอายเต็มที่
“ไปไกลๆ เลยนะ อีปันต๋าย”
ไงล่ะ โว้ยยยย หวังว่ามันคงจะเข้าใจคำเมืองนะ ก็บ้านมันอยู่สารภีนี่
เอาเถอะถึงจะต้องเจอ อิเห็ดหูหนูดำนี่แต่เช้า ผมก็ยังโอเคเลยล่ะ
................
“มิว”
ใครอีกล่ะ ขายดีจริงๆ วันนี้
ผมหันกลับไป พี่ต้อมในชุดนักศึกษาสะอาดตาสาวเท้าเข้ามาหาอย่างเท่ พร้อมรอยยิ้มกระชากใจ โอ๊ย ไม่ไหว เรื่องหล่อขั้นเทพหรืออะไรเนี่ย ยกให้พี่ต้อมหมดเลยครับ
“ทำไมมาเช้าจัง มีเรียนแล้วเหรอ”
“เปล่าครับ พอดีผมจะเข้าไปดูน้องที่ผ่านออดิชั่นซ้อมที่สโมฯ อ่ะครับ เขาซ้อมเช้า เพราะตอนค่ำน้องๆ ติดห้องเชียร์กัน”
“จริงดิ เสียดาย ไม่ได้มาดูวันพฤหัส”
“แล้วพี่ต้อมมีเรียนรึยังครับเนี่ย ตัวเองก็มาเช้าเหมือนกันนะ”
“ก็ เดี๋ยวตอนเก้าครึ่งน่ะ เออ แล้วแมกซ์เป็นไงบ้าง”
“เอ้อ ลืมขอบคุณพี่ต้อมไปเลยครับ เรื่องคืนก่อนถ้าไม่ได้พี่ต้อม พี่ปุ๋ย พี่เชน คงแย่เลย”
“ฮ่าๆๆ พี่ก็ว่างั้น นี่ถ้าพี่ไม่รับสมอ้างว่าเป็นแฟนไอ้เจ้าแมกซ์ พวกนั้นไม่ปล่อยออกมานะ”
“โห ต้องเปลืองตัวถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ ขอโทษครับ”
“แทนคำขอโทษ เลี้ยงน้ำพี่หน่อยสิ จะไปแคนทีนอยู่แล้วนี่”
“โอ้ย เลี้ยงข้าวเลยก็ยังไหว”
“จริงๆ นะ”
“จริงครับ”
วะ นี่ถ้าผมไม่ตกลงปลงใจกับเจ้าดื้อไปแล้ว ผมจะจีบพี่ต้อมจริงๆ นะเนี่ย ก็พี่เขาทอกสะพานมาขนาดนี้
……
“พี่ต้อมเขาจีบแกเหรอ”
จู่ๆ ยัยนิ่มก็ถามขึ้นมา ผมตกใจเล็กน้อย ไอ้แมกซ์ที่กลับมาเรียนแล้วและกลับมานั่งข้างผมเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตหันขวับมามอง
“บ้า พี่เขาไม่ได้เป็นนะเขามีแฟนเป็นผู้หญิง แกก็เห็น”
ผมตอบ ก็ไม่แน่ใจในคำตอบของตัวเองหรอก
“เหรอ แต่พี่ต้อมเขาโสดแล้วนะ เขาเลิกกับพี่เบสท์แล้ว” ยัยนิ่มต่อ “แกว่า เค้าจะเป็นไหมวะ ฉันดูไม่ออกแล้วว่ะ คนหล่อๆสมัยนี้... แล้วพี่เขา เหมือนสนใจแก แปลกๆ ไม่รู้สึกเหรอ”
“เอามาจากไหนวะ”
“อ่าว ก็กูไปกินเหล้ากับพี่เค้า วันที่อีนี่เมาเหมือนหมานั่นแหละ” อิแมกซ์กลอกตา “เขาว่าเขากับพี่เบสท์ นิสัยเข้ากันไม่ค่อยได้ บ่นๆ เบื่อผู้หญิงแล้ว กี่คนๆ ก็เป็นแบบนี้ แต่ยกเว้นผู้หญิงแบบกูนะ”
“ฆ่ะ”
“เขาเป็นเกย์ชัวร์ เพราะเขาชอบแก”
“สาธุ ขอให้จริงเถอะ ยัยนิ่ม”
ไอ่แมกซ์หัวเราะหึหึในลำคอแทรกเข้ามา โอ้ย กวนส้นตีน
“มึงอยากรู้ว่าพี่เขาเป็นรึเปล่าเหรอนิ่ม”
อ้าวก็พูดได้นี่ อมขี้อยู่ตั้งนาน
“เออ”
“ไม่ต้องยุ่งกับไปไอ้ว่าวมันหรอก ถึงพี่เค้าจะสนมัน แต่มันคงไม่สนเค้าแล้วล่ะ “
“หมายความว่าไง”
ยัยนิ่มถามต่อ นางมองหน้าผมกับไอ้แมกซ์สลับกันไปมา
“ก็หมายความว่าเพื่อนมึงมันมีผัวแล้วน่ะสิ”
“เฮ้ย จริงดิ ใครวะ”
“ปากหมา แกอย่าไปเชื่อมัน”
“เออ กูปากหมา ช่างเถอะ มึงว่าพี่ต้อมเลิกกับแฟนแล้วใช่ป่ะนิ่ม เดี๋ยวกูจะช่วยพิสูจน์ให้เองว่าพี่เขาเป็นรึเปล่า”
“เฮ้ย มึงจะจีบพี่เขาเหรอ จะดีเหรอวะ”
ยัยนิ่มท้วง ใช่ๆ ไม่ดีหรอก อีแรด
ไอ้แมกซ์ไม่สบตาผม แต่ก็รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิต ผมไม่อยากจะคิดในเรื่องอกุศลที่มันเด้งขึ้นมาในใจ
พี่ต้อม พี่ที่นิสัยดี จิตใจดี ไม่ควรต้องมาตกเป็นเป้าสนทนาในเรื่องแบบนี้ นอกซะจากว่า....
ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ นะ