รถเบนซ์สีดำงามจอดสนิทอยู่หน้าโรงฝึกยูโดเก่าแก่ ใกล้กันนั้น มีชายหนุ่มร่างสูงอายุประมาณ 30 ปียืนทอดอารมณ์อยู่ แม้รูปร่างอันกอปรด้วยกล้ามเนื้อดูแข็งแรงได้สัดส่วนจะดูเหมือนนักกีฬาสักเท่าไร แต่แค่มองด้วยหางตาเพียงชั่วแวบไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้ว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนที่จะมาฝึกศิลปะการป้องกันตัวที่โรงฝึกแห่งนี้เป็นแน่
ด้วยร่างสูงนั้นมีเรือนผมสีทองยาวประบ่า ในมือมีบุหรี่ซึ่งเจ้าตัวค่อย ๆ ละเลียดสูดควันสีเทาเข้าปอดก่อนจะพ่นออกมาช้า ๆ ปิดบังใบหน้าด้วยแว่นกันแดดสีดำ ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับสูทสีดำที่พับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก ผู้ที่ได้พบเห็นก็คงจะสรุปความเอาง่าย ๆ ได้ว่าชายหนุ่มเป็น “คนของโลกเบื้องหลัง” ที่เกี่ยวข้องกับอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรมอันดีเป็นแน่
แต่ด้วยรอบ ๆ โรงฝึกยูโดแห่งนั้นเป็นย่านที่อยู่อาศัยเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้คนผ่านไปมามากมายนัก ทำให้ไม่มีสายตาสงสัยปนหวาดระแวงจ้องมองมาให้ชายหนุ่มได้รำคาญใจเหมือนในเมืองใหญ่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำ
คนเรามันก็แปลก กลัวทั้งกลัวแต่ก็ยังอดสงสัยและส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามไปยังสิ่งที่ตนหวาดระแวงไม่ได้ จะถามออกมาตรง ๆ ก็ไม่กล้า ได้แต่หลบ ๆ ซ่อน ๆ สายตาตนเองไม่ให้ฝ่ายถูกมองรู้เข้า...แต่มีหรือที่คนถูกมองจะไม่รู้ สายตาแบบนั้นเองที่ทำให้ชายหนุ่มรำคาญใจอยู่เสมอ
ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนใจร้อนบุ่มบ่ามเหมือนที่อันธพาลระดับล่าง ๆ มักจะเป็นเวลาที่ถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น เขาไม่เคยปรี่เข้าไปหาเรื่องหรือตั๊นหน้าใครเวลาที่ถูกมอง แต่ก็ยอมรับอยู่ในใจว่าหงุดหงิดไม่น้อยถ้าถูกมองบ่อย ๆ...โดยเฉพาะเจ้าพวกเด็กในโรงฝึกนี้
ร่างสูงทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ดับ รอบ ๆ ตัวมีก้นบุหรี่เช่นนั้นหล่นอยู่ 3 – 4 ตัวแล้ว คนที่เขารอยังไม่ออกมา เขาเหลือบมองข้ามกำแพงสูงไปยังตัวอาคารไม้ที่อยู่ด้านใน ก่อนจะส่ายหน้า...ยังไงเขาก็เกลียดสถานที่อย่างนี้จริง ๆ สิน่า
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เข้าไปต้องสำรวมทั้งกายและใจ ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเคร่งครัด วางท่าให้ดูภูมิฐานน่าเชื่อถือ...โกหกทั้งเพ ไอ้เรื่องพรรค์นั้นมันก็แค่กดความเป็น “คน” ในตัวเองเอาไว้ก็เท่านั้น สุดท้าย เมื่อก้าวออกมาจากสถานที่นั้น ไอ้ที่สร้างภาพเอาไว้ก็กระเทาะหลุดออกจนหมด
ดังนั้น ชายหนุ่มจึงชอบ “โลก” ที่ตัวเองใช้ชีวิตอยู่มากกว่า โลกที่ทุกคนเผยตัวตนและความปรารถนาจากก้นบึ้งของจิตใจตนเองออกมา โลกที่ไม่มีการเสแสร้งจอมปลอม...โลกของตัณหาและราคะ
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของบรรดาลูกศิษย์ของโรงฝึกดังขึ้นพร้อมกับเสียงเปิดประตูโรงฝึก...นั่นไง พอสลัดชุดยูโดออก คราบความสำรวมที่พอกเอาไว้ก็ถูกสลัดออกไปด้วย ไม่รอแม้แต่จะให้พ้นประตูโรงฝึกเสียด้วยซ้ำ พร้อม ๆ กับเสียงพูดคุยเอะอะโวยวาย เด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่ก็ทยอยกันออกมาจากประตูใหญ่อันเป็นไม้หนาหนัก เกือบทุกคนลอบปรายตามองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างประตูพลางเงียบเสียงลงคนละชั่วอึดใจโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะพูดคุยกันเสียงดังขึ้นมาอีกหลังจากเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากชายหนุ่ม
แล้วร่างสูงก็ขยับตัวเมื่อเห็นว่าคนที่เขากำลังรอได้ออกมาจากโรงฝึกแล้ว
ในขณะที่เด็กหนุ่มคนอื่น ๆ เดินออกมากันเป็นกลุ่ม แต่คนที่ชายหนุ่มกำลังรออยู่กลับเดินแยกตัวออกห่างจากคนอื่น...ไม่สิ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งด้วยต่างหาก ทั้งที่ใครคนนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มร่างเล็ก มีความสูงน้อยกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันมากพอสมควร ทำให้แม้จะอายุ 18 และอยู่มัธยมปลายแล้วแต่ก็มักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กมัธยมต้นอยู่เสมอ แม้เรือนผมสีดำที่ซอยเลี้ยงด้านหลังเป็นหางยาวลงมาเลยบ่าจะผิดกฎของโรงฝึก แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ด้วยเด็กหนุ่มไปกลับโรงฝึกทุกวันด้วยรถเบนซ์สีดำคันนี้
ลูกชายยากุซ่า
คือสิ่งที่ทุกคนเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องบอก ไม่เพียงแต่รถเบนซ์บอกฐานะคันนั้น แต่ยังมีชายหนุ่มร่างสูงผมทองเป็นบอดี้การ์ดควบตำแหน่งคนขับรถอีกด้วย
แต่ถ้าดูจากการแสดงออกและถ้อยคำที่มีต่อเด็กหนุ่มแล้ว จะบอกว่าชายหนุ่มอยู่ในตำแหน่งที่ว่านั่นจริง ๆ ก็พูดได้ไม่เต็มปาก
“วันนี้ช้านะ โทโมะ” ชายหนุ่มล้วงกุญแจรถออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์พลางยกมือขึ้นเสยผมด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
“ก็ไม่เคยบอกให้มารับสักครั้ง อยากมาเองทำไม” เด็กหนุ่มย้อนเข้าให้พลางตวัดดวงตากลมเหลือบมองร่างสูงชั่วแวบก่อนจะเมินไปทางอื่น
“แกไม่เคยบอก แต่ฉันต้องทำตามคำสั่งท่านประธาน” พูดแล้วก็กดสวิตช์เปิดล็อกก่อนจะเปิดประตูรถให้ “เชิญครับ คุณหนูโทโมกิ”
โทโมกิไม่พูดอะไร เด็กหนุ่มส่งกระเป๋ากีฬาให้ร่างสูง ซึ่งชายหนุ่มก็ยื่นมือมารับ พลันมือของทั้งสองก็สัมผัสกันโดยไม่ตั้งใจ แต่นั่นส่งผลให้โทโมกิถึงกับกระชากมือกลับอย่างรวดเร็วจนกระเป๋าหล่นลงพื้น ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบอดี้การ์ดมองเจ้านายตัวเล็ก ก่อนจะถอนใจพลางส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วก้มลงไปหยิบกระเป๋าขึ้นมา โทโมกิอาศัยจังหวะนั่นก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังแล้วปิดประตูโดยไม่รอให้อีกฝ่ายปิดให้
ร่างสูงเปิดประตูหน้าแล้วเหวี่ยงกระเป๋ากีฬาใบนั้นโยนโครมไว้บนเบาะหน้าด้านข้างคนขับอย่างไม่มีการทะนุถนอมอะไรทั้งสิ้น แล้วก็เดินอ้อมรถไปนั่งประจำที่คนขับรถ กระชากรถออกอย่างแรงจนบรรดาศิษย์สำนักยูโดที่ยังเตร่อยู่แถวนั้นต้องรีบโดดหลบกันจ้าละหวั่น
บรรยากาศในรถเงียบจนน่าอึดอัด ซ้ำยังกรุ่นไปด้วยกลิ่นบุหรี่ของร่างสูง แม้จะคุ้นเคยกับกลิ่นนั้นอยู่แล้ว แต่โทโมกิก็ไม่อยากจะถูกห่อหุ้มด้วยกลิ่นนั้น ด้วยมันเกี่ยวข้องกับความทรงจำที่เขาแสนจะชิงชังโดยตรง
มือเล็กเอื้อมไปกดปุ่มเปิดกระจก ก่อนจะพบว่ามันล็อก เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแล้วพยายามอีกครั้ง...ใช่เลย มันล็อก...และคนล็อกก็ไม่ใช่ใครหรอก เจ้าคนที่นั่งขับรถอยู่ข้างหน้านี่แหละ ประตูและกระจกของรถคันนี้เป็นแบบเซ็นทรัลล็อกที่สามารถควบคุมการเปิดปิดประตูทั้งสี่ด้านได้จากปุ่มที่ข้างประตูด้านคนขับ
“วายะ เปิดกระจกหน่อย” แม้จะไม่อยากเสวนากับบอดี้การ์ดคนนี้นัก แต่ในที่สุดโทโมกิก็บอกออกไป
“ไม่” คำปฏิเสธห้วนสั้นสวนกลับมาทันที
“ฉันบอกให้เปิด” เด็กหนุ่มยังไม่ยอมแพ้
“ไม่”
“วายะ!!” คนตัวเล็กขึ้นเสียง หากที่ตอบกลับมาคือน้ำเสียงเรียบ ๆ เรื่อย ๆ ไม่แสดงอารมณ์อะไรของคนที่ถูกเรียกว่าวายะ
“ฉันสอนให้เรียกฉันว่าอะไร โทโมะ?”
ร่างเล็กกัดริมฝีปากตัวเอง คิ้วเรียวขมวดมุ่น กระแทกตัวลงกับเบาะแล้วมองเมินออกไปนอกหน้าต่างอย่างขัดใจ...ไม่อยากเปิดให้ก็ไม่ต้องเปิด มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นหรอก
แต่เพราะหงุดหงิดเสียแล้ว เด็กหนุ่มจึงไม่สามารถสงบใจลงได้ด้วยการมองดูข้างทาง เขาหยิบวอล์คแมนออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทเครื่องแบบนักเรียน แต่ก่อนจะเสียบหูฟังเข้าหู น้ำเสียงห้าวต่ำของคนที่ทำหน้าที่สารถีก็ดังขึ้น
“วันนี้ต้องออกไปงานเลี้ยงกับท่านประธานนะ”
“หา?”
ไม่มีการทวนคำซ้ำนอกจากการเหลือบสายตามองมาทางกระจกหลัง แล้วหันกลับไปมองถนนต่ออย่างไม่ใส่ใจ
“งานเลี้ยงอะไร?” โทโมกิถาม...เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยิน แค่ตกใจจนอยากจะถามซ้ำเท่านั้น แต่เจ้าคนนิสัยเสียนั่นก็ดันกวนอารมณ์เสียได้
“ก็งานเลี้ยงลูกค้าอะไรทำนองนั้น ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงท่านประธานก็ไม่เอาแกไปรับรองแขกอยู่แล้ว เพราะงั้นจะงานเลี้ยงอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ”
โทโมกิกัดฟันกรอด...เกลียดหมอนี่เหลือเกิน เกลียดจนไม่อยากจะหายใจร่วมกับมันเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ไป”
“ไม่ได้ ท่านประธานสั่งมาแบบนี้”
“ไม่ไป!!” ร่างเล็กขึ้นเสียงอีกครั้ง
“ไม่เกี่ยวกับฉัน แกไปบอกท่านประธานเอาเอง” พูดพลางก็หักพวงมาลัยตีโค้งอย่างแรงจนโทโมกิเสียหลักล้มลงนอน
“วายะ!” โทโมกิแหวอย่างหัวเสียทันทีที่ยันตัวขึ้นมาได้
“ฉันสอนแกว่ายังไง โทโมะ?” ขาดคำก็หมุนพวงมาลัยหักเลี้ยวจนโทโมกิล้มลงไปนอนอีกครั้ง
“ไอ้บ้าชุน!!!!” โทโมกิโวยวายทั้งยังนอนกลิ้งอยู่บนเบาะ
ร่างสูงอมยิ้มน้อย ๆ กับคำบริภาษนั้น ก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ
“แกจะไปหรือไม่ไปฉันไม่รู้ แต่ดูเหมือนฮิโรอากิจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้แกแล้วนะ”
...
รถเบนซ์คันงามเข้าจอดตรงหน้าเรือนไม้ขนาดใหญ่แบบญี่ปุ่นแท้ ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ 2 – 3 คนรีบวิ่งเข้ามาที่รถก่อนจะตั้งแถวรับ “คุณหนูเล็ก”
ตามปกติแล้วคนขับรถจะต้องเป็นคนลงมาเปิดประตูให้คุณหนู แต่โทโมกิกลับรีบเปิดประตูลงมาเองทันทีที่วายะปลดเข็มขัดนิรภัย
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ คุณหนู!”
คำกล่าวต้อนรับจากเหล่าชายชุดดำดูขึงขังหนักแน่น แต่กลับทำให้โทโมกิรู้สึกอึดอัด...ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชินกับการต้อนรับแบบนี้เสียที
“กลับมาแล้วเหรอ โทโมกิ?” เสียงทักทายดังมาจากระเบียงด้านที่ติดกับสวนญี่ปุ่นหน้าเรือนใหญ่
“กลับมาแล้วครับ คุณพี่ฮิโรอากิ” โทโมกิหันไปค้อมศีรษะให้ผู้ทักทาย
ผู้ที่อยู่ตรงระเบียงคือชายหนุ่มรูปร่างสันทัดในช่วงวัย 20 กลาง ๆ ใบหน้ารูปไข่ล้อมด้วยเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวเกือบถึงเอวดูอ่อนหวาน หากดวงตาเรียวกลับซ่อนประกายซุกซนตามประสาคนขี้แกล้ง
ฮิโรอากิก้าวฉับ ๆ ตรงมาหาโทโมกิอย่างกระตือรือร้น “รออยู่ตั้งนาน นึกว่าจะไม่กลับบ้านเสียแล้ว ฉันเตรียมชุดเอาไว้ให้แน่ะ วายะบอกแล้วใช่มั้ย เรื่องงานเลี้ยงน่ะ?”
“บอกแล้วครับ แต่...” โทโมกิอ้อมแอ้มตอบ
“อย่าบอกนะว่าจะไม่ไป คราวนี้หนีไม่ได้หรอก คุณพ่อเขาอยากเปิดตัวลูกชายคนเล็กของเขาเสียที นายเบี้ยวมาหลายหนแล้วนะ” ฮิโรอากิคว้ามือผู้เป็นน้องแล้วลากดุ่ย ๆ ไปตามระเบียงอย่างไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายปฏิเสธ
“แต่ผมไม่ถนัดกับงานแบบนี้นี่ครับ”
“แค่ไปเสนอหน้าให้คนอื่นเห็นเท่านั้นเองน่า ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเสียหน่อย”
“คุณพี่ไม่ยาก แต่ผมยากนี่นา” โทโมกิบ่นอุบอิบ
“ทีเวลามีเลี้ยงที่โรงเรียนกับเพื่อน ๆ ทำไมไปได้?” ฮิโรอากิย้อน
“ไม่เคยไป” เด็กหนุ่มเถียงห้วน ๆ
ฮิโรอากิหันมามองคนตัวเล็กกว่าก่อนจะยิ้มนิด ๆ “นั่นสินะ ไม่เคยไปสินะ”
พูดแค่นั้นแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก ฮิโรอากิรู้ดีว่าโทโมกิมีเพื่อนน้อยยิ่งกว่าน้อย หรือจะเรียกว่าไม่มีเลยก็อาจจะได้ด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มตัวเล็กคนนี้ค่อนข้างจะเก็บเนื้อเก็บตัวทีเดียว มีแต่เขานี่แหละที่สามารถลากโทโมกิไปโน่นมานี่ได้บ่อย ๆ
“แต่ถึงจะพูดแบบนั้น วันนี้ก็หนีไม่ได้หรอกนะ คุณพ่อสั่งมาโดยตรงแบบนี้ยังไงก็ต้องไปละ” ฮิโรอากิพูดพลางเลื่อนประตูห้องที่กรุด้วยกระดาษให้เปิดออก “คุณพ่อโทรมาสั่งให้ฉันเตรียมชุดไว้ให้นาย หาแทบตาย นายเล่นไม่เคยตัดสูทเอาไว้เลย ไม่รู้คุณพ่อพลาดเรื่องนี้ไปได้ไง ขนาดคิริฮาระซังยังมีสูทใหม่ใส่ทุกงาน แต่นายกลับไม่มีสูทจะใส่เสียได้”
โทโมกิเพียงแต่มองตามพี่ชายที่เดินไปหยิบสูทสองสามตัว 2 – 3 ชุดที่แขวนไว้ที่ฝาห้องโดยไม่พูดอะไร เพราะเขาไม่เคยคิดว่าจะไปออกงานอะไร ถึงได้บ่ายเบี่ยงที่จะมีสูทของตัวเองมาตลอด
“ฉันไปค้นได้สูทตัวเก่าของฉันมา ไม่แน่ใจว่านายจะใส่ได้มั้ย มาลองดูหน่อยซิ”
ลองฮิโรอากิเจ้ากี้เจ้าการแบบนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ เขาถอดเครื่องแบบนักเรียนของตัวเองออกแล้วเดินเข้าไปหา พลันประตูห้องก็เลื่อนเปิดอีกครั้ง
“มาช้านะ วายะซัง” ฮิโรอากิหันไปพูดกับผู้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ “เป็นบอดี้การ์ดประสาอะไร ปล่อยให้คนอื่นเอาเจ้านายไปต่อหน้าต่อตาได้”
“เพราะเป็นคุณหนูฮิโรอากิลากมาถึงได้ปล่อยให้มาน่ะสิ” วายะย้อนพร้อมกับยิ้มบาง ๆ “ลองชุดหรือยัง?”
“ยังเลย กำลังจะลองอยู่เดี๋ยวนี้แหละ เอ้า โทโมกิ มานี่สิ เอาชุดนี้ไปลองซิ” ประโยคสุดท้ายบอกกับโทโมกิ
การจะลองสูทก็ต้องถอดทั้งเสื้อและกางเกงเพื่อสวมทั้งชุด ร่างเล็กขยับตัวอย่างอึดอัด
“...วายะ ออกไปก่อน” เด็กหนุ่มเอ่ยเบา ๆ
“ไม่” ปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย
โทโมกิส่งประกายตาวาววับไปให้อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ หากคนถูกมองไม่สะดุ้งสะเทือน
“เอาน่า อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ยิ่งไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วย ถอดเสื้อผ้าซะ โทโมกิ ฉันไม่ปล่อยให้เจ้าบ้านั่นทำอะไรนายหรอกน่า” ฮิโรอากิออกตัวห้ามทัพก่อนที่ทั้งสองจะพูดอะไรมากไปกว่านี้
โทโมกิจำใจถอดเสื้อผ้าออกอย่างเสียมิได้ เขาพยายามไม่สนใจร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงประตูห้อง...วายะเป็นบอดี้การ์ดของเขา วายะแค่ทำหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่น...โทโมกิพร่ำบอกตัวเองเช่นนั้น
“อืม...เอาชุดสีเทานี่แล้วกัน ตัวอื่นไม่พอดี ใส่แล้วไม่สวย” ฮิโรอากิตัดสินให้ในที่สุด ชุดที่เลือกคือสูทสีเทาอ่อนที่เมื่อโดนแสงก็จะสะท้อนเป็นประกายเหลือบเงินตามเนื้อผ้า
โทโมกิลอบถอนใจ เขาไม่คิดว่าสูทชุดนั้นเข้ากับเขาสักนิด แต่คนที่ยืนดูอยู่ตลอดกลับบอกว่า
“ก็ดี กำลังว่าจะบอกเหมือนกันว่าตัวนั้นดูดีที่สุด”
“ใช่มะ? ฝีมือมั้ยล่ะ” ฮิโรอากิหันไปเออออกับวายะ “เอาละ ทีนี้ก็ไปอาบน้ำซะ เหม็นเหงื่อเชียว ฝึกจนจะได้สายดำแล้ว ไม่รู้จะขยันไปทำไมทุกวัน โรงฝึกเนี่ย”
“ก็ยังไม่ได้สายดำนี่” โทโมกิว่าพลางถอดสูทที่สวมอยู่ออก ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่บนราวพาดผ้ามาพันท่อนล่างไว้
“ให้เรียบร้อยภายใน 6 โมงครึ่งนะ เดี๋ยวฉันก็จะไปเตรียมตัวเหมือนกัน อ้อ...วายะซังด้วย แต่งตัวดี ๆ นะ” ฮิโรอากิบอก
“แค่เบ๊ จะแต่งอะไรดีนักหนา”
“ยังไงซะก็อย่าให้เสียชื่ออดีตโฮสต์อันดับ 1 ของลูนาติก คลับก็แล้วกัน” พูดแล้วชายหนุ่มก็จากห้องไป
เมื่อเหลือกันอยู่สองคนกับวายะ ในห้องก็เงียบเท่าเข็มตกได้ยิน โทโมกิยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่กล้าขยับเขยื้อน และเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของวายะ เด็กหนุ่มก็ถึงกับสะดุ้งน้อย ๆ
“ไปอาบน้ำซะ มีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง จัดการตัวเองให้เรียบร้อยล่ะ”
เสียงเลื่อนประตูกระดาษเปิดและตามมาด้วยเสียงปิด ทันทีที่เหลืออยู่คนเดียวในห้อง โทโมกิก็ลอบถอนใจ...ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ความกลัวที่มีต่อผู้ชายคนนั้นยังคงเกาะแน่นอยู่ในหัวใจของเขา
...แบบนี้แล้ว...เมื่อไรจะฆ่ามันได้เสียที...
6 โมงครึ่งแล้ว แต่ประตูห้องของโทโมกิยังปิดเงียบเชียบ ฮิโรอากิซึ่งเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วทนรออยู่ที่รถไม่ไหวต้องส่งวายะมาตามตัว
ร่างสูงใช้ข้อนิ้วเคาะเบา ๆ ที่กรอบไม้ของบานประตูกรุกระดาษ
“โทโมะ ยังไม่เสร็จหรือไง?”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบจากสวรรค์