บทที่ 2
พี่ใหญ่กว่ามาตรฐานชายไทย
แล้วป๋า...หมายถึงพี่พระพายก็ล็อกคอผมพาซ้อนเวสป้าคู่ใจขับมากินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากหอของพวกเรา ป้าเจ้าของร้านทักทายพี่พระพายอย่างสนิทสนม ท่าทางเขาจะเป็นลูกค้าขาประจำ
“กินอะไรดี”
“อะไรก็ได้ครับ”
“เมนูอะไรก็ได้นี่หน้าตายังไง” พี่พระพายตีหน้าซื่อถาม เขาก้มอ่านใบเมนู แล้วหันไปตะโกนถามป้าเจ้าของร้าน “ป้าแจ๋วครับ ร้านป้ามีเมนูที่ชื่ออะไรก็ได้มั้ย”
“เอ็งกวนตีนป้าเหรอพระพาย!”
“หยอกครับคนสวย อย่าดุผมสิ” เขาขยิบตาให้ป้าแจ๋ว จากนั้นหันมาหาผม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเห็นใจ “ไม่มีเมนูชื่อนี้เลยครับน้องเฟน หนูเลือกเมนูอื่นแทนได้มั้ยเอ่ย?”
“พี่พระพาย” ผมเรียกเขา พออีกฝ่ายยิ้มรับ ผมก็พูดต่อ “ขอโทษนะครับ แต่พี่กวนตีนเราชิบหายเลย”
“เอ็นดู ทำไมพูดคำหยาบได้น่าเอ็นดูจัง ด่าพี่อีก ขอแรงๆ มันเร้าใจ”
“...” คราวนี้ผมหมดคำจะพูดจริงๆ
“ฮ่าๆๆ ล้อเล่น พี่หยอกๆ” เขาลูบหัวผมเหมือนขยี้หัวหมา “อะ เลือกเมนูได้แล้วบอกพี่ เดี๋ยวไปสั่งให้”
ผมหน้ามุ่ย แต่ก็รับใบเมนูมาดู ไล่สายตาแป๊บๆ ก็เลือกได้ ผมบอกชื่ออาหารที่ต้องการสั่งกับพี่พระพาย เขาจดมันลงกระดาษแผ่นเล็กที่ตัดเสียบกล่องวางไว้เป็นปึกให้ทุกโต๊ะ
“น้ำล่ะ?”
“น้ำเปล่าก็ได้ครับ”
“โอเค” เขาว่ายิ้มๆ ชี้ไปมุมหนึ่งของร้าน “ถ้าน้ำเปล่าที่นี่ฟรี แต่ต้องบริการตัวเอง ตู้กดน้ำอยู่ตรงนั้น ถังน้ำแข็งกับชั้นวางแก้วอยู่ข้างๆ ฝากเผื่อพี่ด้วยแก้วนึง”
“โอเคครับ”
ผมพยักหน้ารับ ลุกจากโต๊ะไปกดน้ำในขณะที่พี่พระพายเอาใบสั่งอาหารไปส่งป้าแจ๋ว กลับมาอีกทีก็เจอพี่พระพายนั่งรออยู่แล้ว เขามองหน้าผม ยิ้มแย้มดูเป็นมิตรเกินไปจน...น่ากลัว
“รอข้าวประมาณสิบห้านาทีนะ”
“โอเคครับ”
“ระหว่างรอ…” พี่พระพายหรี่ตา มุมปากยกยิ้ม “เรามาคุยกันฆ่าเวลาดีกว่า”
ผมชะงักนิ้วที่กำลังไถหน้าจอโทรศัพท์เข้าทวิตเตอร์ กะพริบตาจ้องหน้าพี่เขาตาปริบๆ ผมไม่รู้ว่าจะคุยอะไร พวกเราเพิ่งเจอกัน และผมไม่ใช่พวกคิดหาหัวข้อสนทนาเก่งเท่าไหร่
“คุยอะไรครับ?”
“เรื่องทั่วไป อย่างเช่นเฟนชอบอะไร ไม่ชอบอะไร”
“พี่อยากรู้เรื่องเราไปทำไม”
“อ้าว ก็เป็นเมตกัน” เขาว่าหน้าตาย “พี่จะได้รู้ไงว่าทำอะไรได้บ้าง อันไหนไม่ได้ ไม่ดีเหรอ”
“อ่า…” ผมเริ่มคิดตาม “จริงๆ มันก็ดีแหละ”
“เนอะ งั้นมาแชร์กัน” พี่พระพายยิ้มหวาน ผมเกือบยิ้มตามถ้าไม่ใช่เพราะแววตาวิบวับของเขามันดูน่ากลัวแปลกๆ “พี่ถามเฟนก่อน มีกฎการอยู่ร่วมกันคร่าวๆ มั้ย”
“เราไม่ค่อยเรื่องมากเท่าไหร่หรอกพี่ แค่รักษาความสะอาดบ้าง อย่าปล่อยห้องรกหรือมีกลิ่นอับก็พอ” ผมยกแก้วน้ำขึ้นดูดแก้เก้อเมื่อพี่พระพายเอาแต่มองหน้า ยิ้มพลางพยักหน้าหงึกหงัก “ว่าแต่...พี่สูบบุหรี่หรือเปล่า”
“สูบบ้างแล้วแต่อารมณ์” เขาตอบ ผมเผลอหน้าหงิก
“เราไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ แพ้อะพี่ ได้กลิ่นแล้วจมูกตันๆ หายใจไม่ออก” ผมลอบสังเกตสีหน้าเขา กลัวอีกฝ่ายจะคิดว่าผมด่า “แต่ถ้าพี่จะสูบเราก็ไม่ห้ามนะ แต่ไปสูบที่ระเบียงให้กลิ่นหายค่อยเข้าห้องได้เปล่า”
“อ่าฮะ ไม่มีปัญหา”
“อ้าว ยอมง่ายจังเลย”
“ก็หนูแพ้ เห็นพี่ใจร้ายเหรอเรา”
“ก็เปล่า ไม่ได้มองว่าพี่ใจร้ายสักหน่อย” ผมบ่นงึมงัม “แล้วก็บอกว่าอย่าเรียกเราว่าหนู มันตลก”
“น่ารักดีออก”
“ทำไมพูดยากจังพี่พระพาย เดี๋ยวเราต่อยเลย!”
“ดุจังเลยตัวเล็กแค่นี้”
“เราสูงตามมาตรฐานชายไทยนะ!” ผมเถียง จ้องหน้าพี่พระพายอย่างไม่พอใจ “พี่ต่างหากใหญ่เกินไป”
“รู้ได้ไงว่าพี่ใหญ่”
“ก็เห็นอยู่เนี่ย” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจทำไมพี่พระพายถามแปลกๆ
“โห เห็นของพี่แล้วเหรอ”
“เห็นดิ”
“พี่ใหญ่เนอะ” เขาตาวาววับ รอยยิ้มกว้างกว่าเดิม
“อือ ใหญ่”
“ใหญ่กว่ามาตรฐานชายไทยด้วยจะบอกให้”
“จริงเหรอ?” ผมเบิกตากว้าง จะว่าไปพี่พระพายก็ตัวใหญ่จริงๆ แหละ ไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่งลูกเสี้ยวฝั่งไหนบ้างหรือเปล่า
“จริง อยากดูชัดๆ มั้ย”
“หือ ตอนนี้ก็เห็นชัดอยู่นะ?” นั่งอยู่ตรงข้ามผมแค่นี้ ต้องให้ชัดแค่ไหนอีก งง
“ชัดได้มากกว่านี้อีก” พี่พระพายยักคิ้ว เขายื่นหน้ามาใกล้ ลดเสียงลงจนผมต้องขยับหน้าเข้าไปฟังชัดๆ “เพราะของที่ว่าใหญ่ๆ ของพี่อะอยู่ในกางเกง…”
“ฮะ?”
“ชื่อพระพายน้อย” พี่พระพายจุ๊ปาก “แต่ขนาดไม่น้อยเหมือนชื่อนะ ใหญ่เชียวล่ะ”
ผมนิ่งไป สมองเริ่มประมวลบทสนทนาของพวกเราตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ คำตอบค่อยๆ ปรากฏในหัวพร้อมกับเสียงหัวเราะชั่วร้ายของพี่พระพายและแววตาแพรวพราวไม่น่าไว้ใจ ผมเด้งตัวออกจากเขาทันที อ้าปากพะงาบๆ เมื่อรู้ตัวว่าโดนหลอกให้คุยเรื่องอะไร
“พี่แย่อะ!”
“อันนี้คือด่าแล้วใช่มั้ยหนู?”
“เราไม่รู้จะด่าพี่ด้วยคำไหนดีแล้ว” ผมกุมขมับ “อย่าพาบทสนทนาลากต่ำกว่าเอวได้มั้ยพี่ เราขอ เรายังเป็นเยาวชน ไม่ควรถูกพี่มอมเมาด้วยเรื่องพวกนี้ปะ”
“โห ใช้คำว่ามอมเมาเลยนะเรา”
“หรือมันไม่จริง” ผมย้อนถาม “เรายังไม่อยากใจแตกนะเว้ยพี่!”
“อายุเท่าเฟนคนอื่นๆ เขาตั้มสาวกันไปหมดแล้ว”
“ตั้มอะไรนะ?”
“พี่หมายถึงซั่ม” พี่พระพายอธิบายหน้าตาย “รู้จักคำว่าซั่มมั้ย เอากันน่ะ”
“พี่พระพาย!”
“ก็กลัวไม่เข้าใจ” เขาเฉไฉ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าพูดอะไรออกมากลางร้านอาหารตามสั่ง ถึงไม่ได้พูดเสียงดังแต่ก็ไม่ควรหรือเปล่า โอ๊ย! “น่าๆ อย่าเครียด เรื่องเพศศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย”
“พอแล้วพี่!”
“ถ้าไม่ตั้มใครสักทีระวังจะเป็นฝ่ายถูกตั้มนะหนู”
“ไม่คุยกับพี่พระพายแล้ว ปวดหัว พี่ตั้มไปคนเดียวเหอะ” ผมตัดจบบทสนทนาที่ลงต่ำกว่าหัวเข็มขัดนี่ซะ คือผมก็ไม่ได้ไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้เลยสักหน่อย แค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เอามาคุยเล่นบนโต๊ะอาหารกับคนที่เพิ่งรู้จักกันหรือเปล่า?
“ข้าวหมูกรอบไข่ดาวกับข้าวผัดกุ้งได้แล้วจ้า”
พี่พนักงานเสิร์ฟวางจานข้าวลงบนโต๊ะ พอมีอาหารหอมๆ อยู่ตรงหน้า เรื่องของพี่พระพายกับท็อปปิก 18+ ก็หายออกไปจากหัวผมทันที ผมเริ่มจัดการข้าวหมูกรอบไข่ดาวของตัวเองด้วยความหิว วันนี้เหนื่อยมากจริงๆ ทั้งย้ายของเข้าหอและจัดของ แถมยังปวดหัวกับคำพูดคำจาของพี่พระพายด้วย ไม่รู้คิดถูกหรือผิดที่ให้เขามาเป็นรูมเมตด้วย เฮ้อ…
“ไม่อิ่มสั่งเพิ่มได้นะ” พี่พระพายพูดขึ้นหลังเงียบไปสักพัก ผมเงยหน้ามองเขา “ร้านป้าแจ๋วมีพวกของหวานด้วย เผื่อชอบ สั่งเลย พี่เลี้ยงเอง”
“พี่ไม่ต้องเลี้ยงก็ได้ เกรงใจ เพิ่งรู้จักกัน”
“น่า กระชับความสัมพันธ์ไง”
“งั้นรอบหน้าเราเลี้ยงคืนนะ”
“ขอเงินแม่อยู่อย่าซ่าเลี้ยงคนอื่นสิหนู”
“พูดเหมือนพี่ไม่ได้ขอ” ผมเถียง
“เห็นงี้พี่ทำงานนะ”
“หือ พี่ทำพาร์ทไทม์ด้วยเหรอ เราคิดว่าปีสามจะงานเยอะ ไม่มีเวลาทำอะไรซะอีก”
“มันก็มีเวลาอยู่บ้าง พี่แบ่งเวลาเก่ง”
“แล้วพี่ทำอะไรเหรอ”
“อ๋อ พี่เป็นผู้ชายขายน้ำ”
“...” มันยังไงนะ?
“หมายถึงทำพาร์ทไทม์ร้านขายน้ำหน้ามอ คิดอะไรเหรอหนู : )”
“...เปล่าครับ รีบกินเถอะ”
ผมสั่นหน้าปฏิเสธ เริ่มเรียนรู้แล้วว่ากับพี่พระพาย อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยไปเถอะ อย่าไปเต้นตามนักเลย
รวมถึงปล่อยเขาให้หัวเราะผมเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ด้วย
สาธุ ขอให้ข้าวติดคอ!
[พระพาย]
เฟนเป็นเด็กตลก ตลกแบบที่ตัวเองไม่รู้ตัว แถมยังชักจูงง่ายมาก ผมไม่ได้บอกว่าน้องโง่หรือหัวอ่อนนะ เฟนแค่ความรู้สึกช้าไปนิดเท่านั้นเอง มันทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูอยากแกล้งให้เจ้าหนูนี่ร้องโวยวายบ่อยๆ
ความจริงแล้วผมเองก็พักอยู่หอนี้นี่แหละ หารห้องกับเพื่อนอยู่ชั้นเจ็ด แต่ที่ผมมาเป็นรูมเมตเฟนจะเรียกว่าถูกชะตาก็น่าจะได้ แถมช่วงนี้ผมไม่มีอะไรสนุกๆ ทำแก้เบื่อ การได้รู้จักกับเฟนเลยเป็นเรื่องสนุกสนานที่เข้ามาในชีวิต ผมแทบไม่คิดอะไรตอนบอกน้องว่าจะเป็นรูมเมตด้วย ตอนแรกคิดว่าเฟนจะปฏิเสธซะแล้ว ใครมันจะกล้าเอาตัวเองมาอยู่กับคนที่มีงานอดิเรกแบบผมกัน แต่เฟนกลับตกลง ดูท่าว่าคงไม่กล้านอนคนเดียวจริงๆ
สายฟ้าเพื่อนผมด่ากลับยกใหญ่เมื่อจู่ๆ ผมก็ย้ายออกจากห้อง ทิ้งมันโดยไม่บอกกล่าว มันแทบบีบคอคาดคั้น แต่ผมไม่บอกซะอย่าง ไม่บอกด้วยว่าย้ายลงมาแค่สองชั้นเท่านั้น ไว้มีอารมณ์ค่อยเล่าให้มันฟังอีกที ผมชอบเวลาเห็นมันอยากเสือกเรื่องชาวบ้านแต่หาทางเสือกไม่ได้ ตลกดี
“พี่พระพายอาบน้ำก่อนก็ได้นะ เรายังไม่อาบตอนนี้”
เสียงเฟนดึงผมหลุดจากความคิด ถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังมองเขาอยู่ เจ้าเด็กนอนคว่ำอยู่บนเตียง หันหัวมาทางปลายเตียง ส่วนขาอยู่หัวเตียง เขาเกยคางกับหมอน ตาจ้องจอโทรทัศน์ ดูละครหลังข่าวท่าทางติดพัน
“ติดละครเหรอเรา?”
“ไม่ติดนะ” เขาส่ายหัว ตายังจ้องจอไม่ละไปไหน แต่ก็ยังใจดีตอบผม “แต่แม่เราชอบนางเอกคนนี้ ตอนอยู่บ้านเลยดูเป็นเพื่อนแม่ ดูไปดูมาเลยติดเฉพาะเรื่องนี้เฉยเลย”
“แล้วชอบนางเอกเหมือนแม่มั้ย?”
“ชอบสิ สวยมากเลย” คราวนี้เขาหันมาทางผม “สเป็กพี่ปะ สวยๆ แบบนี้”
“หึๆๆ ก็สวย แต่เอาไม่ได้น่ะสิ ฟ้าจะผ่า”
“หือ?”
“พี่ไปอาบน้ำก่อน” ผมลุกจากเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่า เฟนส่งเสียงอือออตอบรับในลำคอแล้วกลับไปสนใจละครต่อ ผมมองเขา มันเขี้ยวจนต้องแวะบีบแก้มอีกฝ่ายไปทีนึงก่อนหนีเสียงโวยวายเข้าห้องน้ำไป
“ละครจบแล้ว ไปอาบน้ำได้แล้วไป”
ผมไล่เจ้าเฟนที่ละครจบแล้วแต่ยังไม่ยอมอาบน้ำ เอาแต่เข้าแท็กละครในทวิตเตอร์อ่านไปเรื่อยเปื่อย ผมเห็นเขาเซฟรูปนางเอกคนสวยนั้นรัวๆ ดูท่าจะชอบจริง
“อื้อๆ แป๊บนึง”
เฟนว่า เขาก้มหน้าพิมพ์ยิกๆ ก่อนกดปิดหน้าจอ น้องวางมือถือไว้บนเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็เผ่นเข้าห้องน้ำไป ผมกดปิดทีวี เข้าทวิตเตอร์แอคบิ๊กไซซ์ของตัวเอง ลืมเล่าไปว่าหลังจากวันนั้นผมก็บล็อกแอคของเฟนเอาไว้ กลัวว่าน้องจะเผลอกดมาเจออะไรไม่งามเข้าให้ แต่ถึงผมไม่บล็อกก็คงเป็นเฟนนั่นแหละที่บล็อกผมเอง
เอาเป็นว่าอย่างน้อยเราสองคนก็มีความเห็นตรงกันนั่นคือจะไม่ส่องแอคด้านมืดผม
ถามว่าผมหมกมุ่นด้านนี้มั้ย ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แค่มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี เป็นการทำอะไรที่หลุดจากกรอบ ไม่ต้องสนใจสายตาใครเพราะไม่มีใครรู้จักคุณ
มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองก็มีอิสระเหมือนกัน
แกร่ก…
เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ ก่อนรู้สึกคล้ายตัวเองตาพร่าไปชั่วขณะ เฟนเดินออกจากห้องน้ำ เนื้อตัวเปล่าเปลือย มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวเอาไว้ แล้วอีผ้าเช็ดตัวก็ไม่ได้ผืนใหญ่อะไรนะ ดูโป๊ชิบหายบอกเลย
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ขาวมาก
เนื้อตัวดูนุ่มนิ่มชุ่มฉ่ำนวลเนียน
“พี่พระพาย เป็นไร ตาลอยๆ”
“ชมพู…”
“ฮะ?”
ผมกลืนน้ำลาย ตั้งสติเตือนใจตัวเอง
“ยุบหนอ ขาวหนอ ไม่โด่หนอ”
“นั่นพี่ท่องอะไรน่ะ?”
“เอ่อ…” ผมได้สติ สะบัดหัวอยู่สองสามที พยายามบังคับสายตาตัวเองให้ละจากสีชมพูสองจุดขึ้นมองตาเขา กระแอมไอเรียกเสียงที่แหบแห้งพร้อมทำเสียงเข้ม “คราวหลังแต่งตัวในห้องน้ำนะ อย่าเปลือยบนออกมาแบบนี้”
“เอ้า ทำไม เรางงแล้วนะ พี่เป็นไรอีก”
“พื้น…” ผมกลืนน้ำลาย “พื้นมันจะเปียก พี่ไม่ชอบ”
“แต่พี่ก็เดินโทงๆ ออกจากห้องน้ำแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” เฟนสาวเท้าเข้ามาใกล้ ท่าทางจะเถียงให้ชนะให้ได้ ตาผมพร่ากว่าเดิม จุดสีชมพูดนวลเนียนล่อตาจนหาความคิดดีในหัวแทบไม่เจอ ใจผมคิดภาพตัวเองตะครุบเฟนนับร้อยครั้ง แต่ความเป็นจริงคำว่าเยาวชนค้ำคอและทำได้แค่เตือนสติตัวเอง
“หมาตายลอยน้ำ หมาตายลอยน้ำ ไม่ขาว ไม่ชมพู นั่นเยาวชน อนาคตของชาติ!”
“พี่พระพาย พี่เป็นบ้าเหรอ ให้เราโทรเรียกรถพยาบาลมั้ย?”
“พี่จะเป็นบ้าเพราะหนูนั่นแหละ!”
“เดี๋ยว งง เราไปทำอะไรพี่อีก”
“หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาใกล้”
“เอ๊า?!” เฟนเกาหัว ขมวดคิ้วจ้องหน้าผม ผมลุกขึ้น ก้าวฉับๆ ผ่านหน้าน้องไปทางห้องน้ำ “พี่จะไปไหนอะ”
“พาพระพายน้อยไปปล่อยน้ำครับ”
“เอ่อ หมายถึงปวดฉี่?”
“น้ำที่ไม่ใช่ฉี่อะครับน้อง…” ผมสบตาเขา ชี้เป้าตัวเองที่เริ่มพองดุนดันกางเกงนอนออกมาจนเห็นรูปร่างชัดเจน “ไม่อยากบอกตรงๆ กลัวตกใจ แต่เรามันความรู้สึกช้าว่ะ พี่โด่เพราะเราเนี่ย ยั่วชิบหาย อย่าคิดว่าเป็นเยาวชนแล้วจะมาทดสอบความอดทนกันแบบนี้ได้นะเว้ย พี่น่ะผู้ชายร้ายๆ นะบอกก่อน”
“...”
“ว่าแต่เสียงดังนิดนะ ไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”
เฟนอ้าปากพะงาบๆ สุดท้ายก็ไม่ตอบอะไร ทำแค่หันหลังหนี พุ่งตัวไปทางตู้เสื้อผ้า ใช้เวลาแต่งตัวแทบไม่ถึงนาทีก่อนโดดขึ้นเตียง หยิบเฮดโฟนมาสวมแล้วเปิดเพลงกรอกหูตัวเองดังลั่นจนเสียงทะลุออกมา
ในขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำนั่นเอง เฟนก็หันกลับมา เขม็งตาจ้องผม ท่าทีดุดันเหมือนลูกแมวที่โดนแย่งขวดนม เขาอ้าปากด่าผม หนึ่งคำสั้นๆ แต่ความหมายสุดลึกล้ำ
“คนจัญไร!”
โอ้ ว้าว...ตรงประเด็นดีจัง
------------------------------
ทุกคนไม่ต้องห่วงน้องเฟนนะคะ น้องแค่ความรู้สึกช้า เราเชื่อว่าน้องจะรับมือพี่ พพ. ได้ 555555
แล้วเจอกันตอนหน้าค่า
ฝากติดแท็ก #เพื่อนกล่อมนอน ด้วยนะคะ ชุ้บบบบ