-9-
ร้านดอกไม้ที่ไม่ได้คึกคักมานานเพราะเจ้าของร้านสุดหล่อหายตัวไปกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อมีคนบอกต่อๆ กันว่าเห็นหนุ่มหล่อของใครหลายๆ คนกลับมาทำงานแล้ว ปกรณ์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการชั่วคราวรับศึกหนักที่สุดเมื่อสาวๆ มาที่ร้านแล้วไม่เจอภีมภัทร เขาจึงต้องคอยตอบคำถามและรับของฝากสารพัดจนแทบจะเต็มเคาน์เตอร์
“เหนื่อยหน่อยนะพี่” ปอนด์หัวเราะอารมณ์ดีขณะกำลังเปลี่ยนน้ำให้ดอกไม้ เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมาทุกที
“ไม่ต้องหัวเราะเลยไอ้ปอนด์ เดี๋ยวพี่เข้าไปคุยกับคุณภีมเมื่อไหร่แกก็ต้องมาดูร้านแทนแล้ว” ปกรณ์ผลักหัวน้องชายที่หันขวับมามองในทันทีที่เขาพูดจบเบาๆ เป็นเชิงหยอก “รับมือกับสาวๆ ไปคนเดียวแล้วกัน”
“โธ่พี่ปก...อย่าแกล้งผมดิ” ปอนด์โอดครวญ ตัวเขาเล็กนิดเดียว จะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับสาวๆ แรงเยอะพวกนั้นกัน
“ไม่ได้แกล้ง คุณภีมจะฟังสรุปงานจริงๆ เว้ย”
“เชื่อก็ได้...ว่าแต่พี่ปก” ปอนด์ทำหน้าตาตื่นพลางหันซ้ายหันขวา พอเห็นทางสะดวกแล้วก็ขยับมากระซิบจนชิดเหมือนกลัวจะมีใครมาได้ยิน “คนที่มากับคุณภีมใครเหรอ”
“นี่แกเห็นคุณเขาด้วยเหรอ” ปกรณ์ถามด้วยความแปลกใจ ตอนที่เจ้าเด็กนี่มาถึงร้านเขาก็เห็นเจ้านายพาคุณคนนั้นเข้าไปด้านในแล้ว ไม่คิดว่าเจ้านี่จะเห็นด้วย
“ก็ตอนเข้าไปหยิบของในห้องทำงานคุณภีมผมเผลอสบตาเขาพอดีน่ะสิ” เด็กหนุ่มลูบแขนตัวเอง ท่าทางหวาดกลัวจริงจังจนปกรณ์จะด่าก็ด่าไม่ลง “โคตรหล่อเลย ผมว่าถ้าเขาไม่ผอมขนาดนั้นนี่น่าจะยิ่งกว่านายแบบอีก...แต่น่ากลัวฉิบหาย”
“อืม...น่ากลัวจริงๆ นั่นล่ะ” ปกรณ์พยักหน้าเห็นด้วย
เขายังจำได้ดีในตอนที่มาถึงร้านแล้วเห็นเจ้านายกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะพูดคุยกับผู้ชายที่เขาไม่เคยเห็นหน้า เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่คิดจะเอ่ยปากทัก ดวงตาคมกริบคู่นั้นก็ตวัดมามองเสียก่อน แต่แค่มองวูบเดียวกลับทำเหมือนจะดึงวิญญาณคนโดนมองตามติดไปด้วย มันไม่ใช่แค่เย็นชา ทว่าดุดันและแข็งกร้าวในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คนคนนั้นทำราวกับกำลังมองศัตรู พอเห็นว่าไม่ใช่จึงถอนสายตากลับไปเหมือนเดิม หารู้ไม่ว่าได้สร้างความหวาดกลัวขึ้นในใจผู้ชายแมนๆ คนหนึ่งไปแล้ว
“ปอนด์มาดูร้านแทนพี่ก่อน คนไม่เยอะหรอก มันหมดพักเที่ยงแล้ว” ชายหนุ่มถอดผ้ากันเปื้อนออก ตากวาดมองเพียงชั่วครู่เพื่อหาว่าลืมอะไรไว้ไหม เมื่อแน่ใจแล้วจึงหันกายเดินไปทางห้องด้านหลัง
“โชคดีนะพี่”
“เออ”
ไม่รู้ทำไมการพูดการจาและท่าทางถึงได้ดูเหมือนจะเข้าห้องเชือดขนาดนั้น...
ปกรณ์เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาแล้วสองสามครั้ง สถานการณ์ที่เจ้านายไม่อยู่แล้วทิ้งให้เขาดูแลร้้าน เมื่อกลับมาแล้วก็จะเรียกเข้าไปคุยแล้วถามเรื่องต่างๆ ครั้งแรกเขาคิดว่าแค่ถามสถานการณ์ทั่วไป ที่ไหนได้...ให้สรุปรายรับรายจ่าย จำนวนของทั้งหมด ขอหลักฐานสารพัดในครั้งเดียว เล่นเอาเอ๋อแดกไปเป็นวัน ครั้งต่อๆ มาเขาเลยไม่เคยทำพลาดอีก แต่แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกและปกรณ์ก็รู้อยู่แล้วว่าควรเตรียมอะไรมาบ้าง เขาก็ยังอดเกร็งไม่ได้อยู่ดี เผลอๆ จะเกร็งมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ปกติคุณภีมคนเดียวก็จะบ้าตายอยู่แล้ว นี่มีคนดูดวิญญาณอีกคน บอกตรงๆ ว่าน่ากลัวคูณสิบ...
ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตครับ”
ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเคาะประตูและปลงไปเอง
“เข้ามาเลยปกรณ์”
เจ้าของชื่อสูดหายใจเข้าจนสุดเพื่อรวบรวมสติ วินาทีที่เปิดประตูเข้าไปด้านใน ปกรณ์เตรียมรับแรงกดดันที่มากกว่าปกติไว้เต็มที่ หากแต่เมื่อได้เงยหน้ามองชัดๆ แล้วเขาก็แทบจะปิดประตูไปอีกรอบ ไม่ใช่เพราะกดดัน...แต่อะไรคือการที่เจ้านายของเขากำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นเพื่อบีบนวดขาของคนที่นั่งอยู่บนโซฟากัน
น่ากลัว...
ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวเสียเหลือเกิน
“ยืนทำอะไร เข้ามานั่งสิปกรณ์” ภีมภัทรพูดทั้งที่หันหลังอยู่ ยังดีที่ปกรณ์รู้สึกตัวไว เขารีบเก็บสีหน้าเหวอๆ ของตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
“ผมเตรียมรายงานไว้ให้แล้วครับคุณภีม” เขารีบเอาสมุดรายงานออกมาวางบนโต๊ะ เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงยืนอย่างสงบรอให้ภีมภัทรลุกขึ้นยืน แม้คิ้วจะกระตุกหน่อยๆ ตอนเห็นสีหน้าเจ้านายดูอ่อนโยนผิดปกติแต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกมากไปกว่านั้น
“เดี๋ยวผมจะอ่านทีหลัง...” เจ้าของร้านหนุ่มไม่สนใจปกรณ์ที่กำลังทำหน้าเหวอ จริงอยู่ที่เขาเป็นคนเข้มงวดและค่อนข้างจะละเอียด แต่ไม่เห็นว่าจะดุตรงไหน ไม่เข้าใจว่าแค่บอกว่าจะอ่านทีหลัง ไม่ได้อ่านในทันทีแบบทุกครั้งแล้วมันน่าตกใจขนาดนั้นเลยหรือไง “คุณชินกับการทำงานตำแหน่งใหม่หรือยัง”
“คิดว่าเข้าที่แล้วครับคุณภีม มีเจ้าปอนด์คอยช่วยด้วยเลยลดภาระไปได้เยอะ” ปกรณ์ตอบไปตามตรง
“งั้นก็ดีแล้ว...คุณทำงานตำแหน่งเดิมต่อไปแล้วกัน ส่วนเรื่องรายงานผมจะตรวจสอบเป็นงวดๆ อีกไม่นานผมจะปล่อยร้านนี้ให้คุณดูแลทั้งหมด คุณไหวใช่ไหมปกรณ์” ประโยคคำถามที่คล้ายประโยคคำสั่งทำให้ปกรณ์ตกตะลึงอยู่นาน เขาเกือบจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจออกมา แต่เพราะยังมีสติอยู่บ้างจึงรีบยั้งไว้แล้วพยักหน้ารับคำ
“ครับคุณภีม ขอบคุณมากครับที่ไว้ใจผม”
“อืม…” ภีมภัทรยิ้มบาง “ไปเถอะ”
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างสุภาพแล้วรีบเดินไวๆ ออกไปจากห้องโดยไม่ลืมก้มหัวให้จักรพรรดิที่นั่งอยู่ตรงโซฟา
ภีมภัทรมองตามหลังลูกน้องคนสนิทไปจนประตูปิด เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่คิดว่าการวางภาระที่แบกไว้ให้ใครสักคนช่วยจัดการให้จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขนาดนี้
“เป็นยังไงบ้าง” เสียงเรียบๆ ของคนต้นคิดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว ร่างโปร่งรีบเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงตรงโซฟาข้างกัน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มพลางพยักหน้าหงึกหงักเพื่อบอกให้รู้ว่ามันเป็นอย่างที่อีกคนบอกจริงๆ ด้วย
“ภีมเพิ่งรู้ว่ามันรู้สึกดีขนาดนี้”
“ดีแล้ว” จักรพรรดิลูบหัวทุยเบาๆ ดวงตาฉายชัดถึงความเอ็นดูที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน
“พี่จักรเคยเป็นแบบภีมใช่ไหมครับ พี่ถึงได้รู้ว่าควรทำยังไง”
ภีมภัทรยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยไว้ใจใครเท่าไหร่นัก เวลาใช้ให้ใครทำอะไรให้ก็มักใช้อย่างเสียมิได้ แล้วก็ต้องมานั่งตรวจสอบเองแบบละเอียดทีหลัง ทั้งหมดเพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมาทำลายความสมบูรณ์แบบของตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองที่มีมากเกินไปจนไม่อยากทำงานร่วมกับใครอาจจะทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาต้องทำงานกับคนหมู่มาก
จักรพรรดิอ่านทุกอย่างได้ขาด เขาบอกให้ภีมภัทรเริ่มจากการปล่อยให้คนช่วยดูแลร้านเล็กๆ แห่งนี้ก่อน เมื่อภีมภัทรทำท่าทางลังเล ชายหนุ่มก็ถามเพียงว่าปกรณ์ทำงานมานานแค่ไหนแล้ว และสำหรับภีมภัทรเขาไว้ใจได้หรือเปล่า คำตอบที่ได้รับกลับมาทันควันโดยไม่ต้องคิดคือไว้ใจได้ แค่นั้นคนตอบก็เริ่มรู้สึกตัวว่าควรทำอย่างไรต่อไป
“ไม่เคย”
คนถามทำหน้าตางงงวยเมื่อได้ยินคำตอบ เขาคิดว่าจักรพรรดิอาจจะเคยไม่ไว้ใจใครและต้องการทำทุกอย่างด้วยตัวเองแบบเขาเสียอีก
“แล้วทำไม...”
“พี่ตรงข้ามกับภีมแทบทุกอย่าง”
“ภีมไม่เข้าใจ”
“พี่ไม่มีสิ่งที่เป็นของตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นถึงไม่สนใจว่าอะไรจะดีหรือไม่ดี ใครจะทำอะไรก็ช่างมัน แค่ถือเอาคำสั่งเป็นสำคัญและทำตามเท่าที่ต้องทำก็พอ” จักรพรรดิเหยียดยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ “ยกตัวอย่างเช่น...ถ้าบริษัทที่พี่ทำงานอยู่ล้มละลายเพราะมีคนยักยอกเงินออกไป พี่ก็ไม่เคยคิดสนใจเพราะมันไม่ใช่ปัญหาของพี่ มันไม่ใช่หน้าที่ของพี่ พูดแบบนี้พอเข้าใจไหม”
เข้าใจ...แต่ก็ไม่อยากเข้าใจเลย
“ตอนนี้พี่จักรไม่ต้องคิดแบบนั้นแล้ว พี่จักรอยู่กับภีมก็พอเนอะ” ภีมภัทรฉีกยิ้มกว้างพลางขยับตัวเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม และท่าทางแบบนั้นทำให้จักรพรรดิยิ้มออก
“รู้แล้ว” เขาดึงแก้มเด็กน้อยของตัวเองเบาๆ “ที่พี่แนะนำให้ภีมทำแบบนั้นก็เพราะภีมพูดเองว่าเขาไว้ใจได้ แล้วอีกอย่าง...พี่อยากให้ภีมเหนื่อยน้อยลงด้วย การแบกทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองมันเหนื่อยมากนะ”
ภีมภัทรรับฟังทุกอย่างด้วยรอยยิ้ม นาทีนี้ไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะเป็นเด็กน้อยหรือเปล่า สัมผัสสากๆ ของฝ่ามือที่กำลังลูบหัวอยู่ทำให้เขาได้ใจ ร่างโปร่งทรุดตัวลงนอนบนโซฟา แอบเอาหัวพิงตักของคนตัวสูงไว้แบบเนียนๆ
“ขอบคุณครับ”
จักรพรรดิมองคนขี้อ้อนที่กำลังซุกตัวกับตักเขาอย่างรู้ทัน แม้ขาทั้งสองจะไร้ความรู้สึก ต่อให้นอนทับนานแค่ไหนก็ไม่มีวันเมื่อย หากเจ้าตัวก็ยังไม่กล้าวางหัวทับลงมาเต็มที่ เพียงแค่พิงเอาไว้เท่านั้น
น่าเอ็นดูจริงๆ…
“ภีม”
“หือ...ครับ” ภีมภัทรตอบกลับเสียงงัวเงีย
“เหนื่อยเหรอ”
ที่ต้องดูแลกัน…
ทั้งตื่นมาเตรียมข้าวเช้าให้ พาไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล แล้วยังกลับมาดูงานที่ร้านต่ออีก
“เหนื่อยสิ” คนพูดขยับตัวขยุกขยิกให้กลับมานอนหงาย ดวงตาคู่สวยทอดมองเจ้าของใบหน้าคมคายที่กำลังเป็นกังวลด้วยแววตาอ่อนโยน “เหนื่อยที่ต้องเดินไปซื้อข้าวเพราะมันเมื่อยขา เหนื่อยที่ต้องไปโรงพยาบาลเพราะต้องขับรถ เหนื่อยที่ต้องทำงานเพราะมันน่าเบื่อสุดๆ แต่เพราะพี่จักรคอยเติมพลังให้...แบบนี้”
เจ้าตัวหยิบมือเจ้าของตักไปวางแปะบนหน้าตัวเองแล้วสูดหายใจเข้าจนสุด
“ภีมเลยพลังงานเต็มถังตลอดเลย”
“เข้าใจพูด” จักรพรรดิขยับมือไปดีดหน้าผากมนเบาๆ จนคนโดนทำร้ายหัวเราะคิกคักอารมณ์ดี และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ถูกยึดมือไปแนบแก้มนิ่มอีกครั้ง
“เหนื่อยกายอาจเป็นไปได้ แต่ภีมไม่เคยเหนื่อยใจเลย พี่จักรเชื่อภีมนะ”
จักรพรรดิไม่ตอบอะไร เพราะเพียงแค่เขากลับไปลูบหัวทุยของคนที่เริ่มตาปรือเบาๆ ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนเกินพออยู่แล้ว
พี่เชื่อภีม…
หากบอกว่าภีมภัทรเป็นตัวเรียกลูกค้าชั้นดี เช่นนั้นจักรพรรดิก็คงจะเป็นตัวไล่ลูกค้าชั้นเลิศ มีอย่างที่ไหน...เห็นใครมองเจ้าของร้านตาละห้อยหน่อยก็มองตามเขาด้วยดวงตาคมๆ จนลูกค้าแทบจะวิ่งหนีออกจากร้าน โน้ตบุ๊กที่ภีมภัทรยกให้ ไม่รู้ว่าเจ้าของใหม่เคยก้มลงมองเกินห้านาทีหรือเปล่า ครู่เดียวเป็นต้องเงยหน้ามองตามร่างขาวๆ ที่เดินไปตรงนั้นทีตรงนี้ทีทุกครั้งไป
“อีกนิดเดียวก็จะเป็นตูดแล้วนะนั่น” ปอนด์ที่ซุ่มมองอยู่ไม่ไกลกระซิบกระซาบบอกพี่ชายที่กำลังจัดช่อดอกไม้
“อะไรของแก”
“หน้าบูดเป็นตูดไงพี่ปก” ว่าแล้วก็พยักพเยิดให้ดูคนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาข้างเคาน์เตอร์
“ระวังปากหน่อย เดี๋ยวก็โดนดีหรอก” ปกรณ์เตือนน้องทั้งที่ปากยกยิ้ม ใช่ว่าเขาไม่ได้สังเกต เพียงแต่ไม่กล้าพูดเหมือนไอ้คนเด็กกว่าก็เท่านั้น
คุณจักรพรรดิที่คุณภีมแนะนำให้พวกเขารู้จักเป็นคนเงียบมาก ตอนที่แนะนำตัวกันก็พูดเพียงแค่สวัสดีคำเดียว หลังจากนั้นถ้าไม่สนใจโน้ตบุ๊กก็จะเอาแต่มองตามหลังเจ้าของร้านอย่างเดียว ซึ่งดูเหมือนอย่างหลังจะกินเวลามากกว่าเสียด้วย
“คุณภีมมมมมมมมมมมม”
เสียงร้องเรียกโหยหวนที่มาก่อนเจ้าของเสียงดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนในร้านไม่เว้นแม้แต่จักรพรรดิ เขามองร่างบึกบึนของเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาที่วิ่งเข้ามาในร้านด้วยแววตาราบเรียบ หากคิ้วกลับขมวดมุ่นเมื่อได้ยินว่าคนคนนั้นเรียกชื่อใคร
“ฉิบหายแล้วไง” ปอนด์พึมพำเบาๆ
“เข้าไปกันให้คุณภีมเร็วไอ้ปอนด์” ปกรณ์ผลักเด็กหนุ่มตัวเล็กแรงๆ หนึ่งทีจนเจ้าตัวปลิวไปบังอยู่หน้าภีมภัทรที่กำลังหมุนตัวกลับไปหาคนเรียก เพียงเท่านั้นร่างบึกบึนของเด็กหนุ่มที่พุ่งตัวเข้ามาก็หยุดชะงักในระยะเผาขน ปอนด์หลับตาปี๋ กลัวจะโดนพุ่งชนจนล้มตึงเข้าจริงๆ
“ถอยไปเตี้ย กูจะหาคุณภีม” คนตัวใหญ่เหมือนยักษ์ทำหน้าตาบึ้งตึง ใจนึกอยากจะดึงตัวไอ้เด็กเตี้ยตรงหน้าออก แต่เห็นทีกระดูกมันคงจะหักตามแรงไปด้วย และที่สำคัญ...ขืนทำอะไรมันเข้าไอ้คนที่กำลังเดินตามมาด้านหลังคงฆ่าเขาแน่
“คือ…”
“เร็วๆ ไอ้เตี้ย”
“ฮือ…” ปอนด์เบะปากเหมือนจะร้องไห้ จะถอยก็ไม่ได้ จะพูดอะไรก็พูดไม่ถูก คุณภีมก็ไม่ยอมช่วยอะไรเลย เอาแต่ยืนอยู่ข้างหลังเขาชมละครอยู่นั่นแหละ เป็นแบบนี้ทุกทีเลยฮือ...
“ฉิบหาย...” คนตัวใหญ่ตาโต มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขเมื่อเห็นไอ้เตี้ยทำท่าจะร้องจริงๆ
“ไอ้ใหญ่!”
นั่นไง...
“ปอนปอน มานี่” คนมาใหม่พูดเสียงเข้มอยู่ด้านหลัง ใหญ่กลอกตาก่อนจะยอมหลบให้ไอ้เตี้ยวิ่งไปหาเจ้าของเสียงแต่โดยดี ปอนด์กอดเอวคนตัวสูงเอาไว้แน่น ปากที่เมื่อกี้ไม่รู้จะพูดอะไรฟ้องเอาฟ้องเอายกใหญ่
“พี่ใหญ่พุ่งเข้ามาหาเหมือนจะฆ่าผมเลย ผมกลัวอ่ะเฮีย...”
“ไม่เป็นไรนะ มันไม่กล้าทำอะไรปอนปอนหรอก” ชายตัวสูงหน้าตาดีที่ถูกเรียกว่าเฮียลูบหัวคนตัวเล็กในอ้อมกอดเบาๆ ขณะส่งสายตาฆ่าฟันไปให้เพื่อนตัวโต
“ลำไยไอ้พี่น้องคู่นี้จริงๆ...คุณภีมครับ ใหญ่มาหาแล้วน้า ทำไมคุณภีมหายไปเลย จะติดต่อก็ติดต่อไม่ได้”
ภีมภัทรกะพริบตามองคนที่หันมาออดอ้อนเขาด้วยรอยยิ้ม เขายอมให้อีกฝ่ายพูดจางุ้งงิ้งใส่โดยไม่ได้ว่าอะไร หากตัวกลับเคลื่อนหลบอย่างคล่องแคล่วทุกครั้งเมื่อเห็นว่ามือปลาหมึกคู่โตนั้นทำท่าจะเนียนมาแตะโดน
“ผมมีธุระต้องจัดการเยอะน่ะครับคุณใหญ่”
“แล้วก็ไม่ยอมบอกกันบ้างเลย ใหญ่น้อยใจนะเนี่ย”
“ขอโทษด้วยนะครับ”
“ใหญ่โกรธคุณภีมไม่ลงหรอก...”
ในขณะเดียวกับที่ภีมภัทรถูกดึงตัวไปโดยคนมาใหม่ ส่วนปอนด์ถูกคนที่ตัวเองเรียกว่าเฮียกักตัวไว้ คนที่ถูกลืมสองคนมองภาพเหล่านั้นเงียบๆ คนหนึ่งละเหี่ยใจคล้ายเคยชิน ทว่าอีกคนขมวดคิ้วหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังเผื่อแผ่ความกดดันไปทั่วบริเวณ ท้ายที่สุดแล้วริมฝีปากที่ปิดสนิทมาตลอดก็เปิดออกและเอ่ยถ้อยคำสั้นๆ ออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นั่นใคร”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าประโยคนี้ถามใคร ปกรณ์วางดอกไม้ในมือลงก่อนจะขยับกายเข้าไปหาคนถามแล้วกระซิบตอบโดยอัตโนมัติ
“ลูกค้าประจำของร้านเราครับ คนหน้าหล่อนั่นเป็นลูกพี่ลูกน้องของปอนด์กับผมชื่อสอง ส่วนไอ้หมีถึกตัวเท่าควายนั่นเป็นเพื่อนสองชื่อใหญ่ มันมาติดบ่วงคุณภีมตั้งแต่สองสามเดือนก่อน หลังจากนั้นก็โผล่หน้ามาให้เห็นแทบทุกวัน คุณภีมพูดตรงๆ ก็แล้ว บ่ายเบี่ยงก็แล้วมันก็ยังไม่ยอมรับความจริงเสียที เหตุการณ์แบบนี้ผมเห็นจนชินตาแล้วล่ะครับ แต่อีกสักพักพอคุณภีมเริ่มหุบยิ้มเดี๋ยวก็ไปเอง”
“นานไหม”
“เอ่อ...ส่วนใหญ่ก็เป็นชั่วโมง”
“นานไป”
“ครับ?”
“ภีม…” ไม่ต้องรอให้ปกรณ์สงสัยนานจักรพรรดิก็เอ่ยปากเรียกชื่อของคนที่กำลังยิ้มเสียงเรียบ เขาไม่ได้ตะโกน ไม่ได้เรียกเสียงดังกว่าปกติ เพียงแค่พูดออกมาตามปกติเท่านั้น แต่...
“พี่จักร” คนที่ยืนอยู่ห่างพอควรหุบยิ้มฉับขณะวิ่งไปหาคนเรียก ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า มือกอบกุมมือใหญ่ไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“มานั่งข้างพี่” ไม่ว่าเปล่า จักรพรรดิฉุดแขนรั้งให้อีกคนลุกขึ้นมานั่งข้างกายจนแนบชิดและไม่ได้พูดอะไรอีก หากสายตาคมกลับมองไปยังทิศทางเดิมไม่เปลี่ยน ภีมภัทรทำหน้างุนงงอยู่เพียงครู่เดียว ทว่าเมื่อมองตามสายตานั้นไปก็เข้าใจ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มจาง เผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าพี่จักร...
“หึงเหรอ”
เผลอพูดไปแล้ว...แต่จะเอาคำพูดคืนก็ไม่ได้ เมื่อไม่ทันแล้วจึงได้แต่จ้องรอคำตอบตาแป๋ว
จักรพรรดิละสายตาออกจากคนที่ไม่ถูกชะตาแต่แรกพบเพื่อหันมามองหน้าคนถาม แววตาดุดันอ่อนแสงลงเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยมองตรงมาด้วยความคาดหวัง ไม่รู้เจ้าตัวจะลืมไปหรือยังว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย
“อืม” เขาตัดสินใจตอบออกไปแบบนั้นเมื่อหางตาแลเห็นคนมาใหม่กำลังทำตาโตจ้องมองมาอย่างตกตะลึง
“จะ...จริงเหรอ”
“…” คนตอบถึงกับไปไม่เป็นเมื่อโดนถามย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง จักรพรรดิลืมเลือนทุกสิ่งแล้วจมดิ่งไปกับความคิดตัวเอง
หึงงั้นเหรอ...
เขาไม่เคยรู้จักหรือสัมผัสกับคำคำนี้มาก่อน ชีวิตที่เคยถูกผูกมัดไว้และไร้ซึ่งอิสระทำให้ความรู้สึกที่ควรมีกลายเป็นแข็งกระด้างไปหมด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความรักหรือความชอบพอกันระหว่างคนสองคนเลย
ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่เรียกว่าอะไร
“พี่จักร...”
“ใช่…” จักรพรรดิพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงโดยไม่ต้องให้ถามอีกรอบ ซ้ำยังสำทับไปอีกคำเป็นการย้ำทั้งตัวเองและคนฟัง “พี่หึง”
ภีมภัทรกะพริบตาปริบๆ มองคนพูดด้วยใบหน้าเอ๋อเหรอ ทว่าเมื่อจับใจความได้ซ้ำยังโดนลูบหัวเบาๆ ความร้อนก็พวยพุ่งขึ้นจากปลายเท้าลามมายังใบหน้าจนแดงไปหมดทั้งตัว
“โอย…”
จักรพรรดิหัวเราะเบาๆ ยามมองคนตัวแดงก้มหน้าก้มตาเพื่อหลบซ่อนใบหน้า เขาใช้มือข้างที่ลูบหัวอีกฝ่ายอยู่กดหัวทุยให้ซบลงมาที่ไหล่ ซึ่งเด็กน้อยก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการเกาะเสื้อเขาไว้แน่น ดวงตาคมเหลือบมองผู้ชมที่อ้าปากค้างกันเป็นแถบๆ ขณะมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน
“ไอ้ใหญ่” สองสะกิดไหล่เพื่อนที่ยืนตัวแข็งเป็นหินเบาๆ เป็นเชิงเตือน “ไปได้แล้วมึง”
“ดะ...เดี๋ยวก่อน”
“เดี๋ยวอะไรอีก”
“คะ...คุณภีมของกู” ใหญ่เพ้อ ใบหน้าดำเมี่ยมคล้ายคนจะร้องไห้ “คุณภีมยอมให้ผู้ชายกอด...กูยังไม่เคยจับมือเลยนะ”
“เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือไงว่าเขามีเจ้าของแล้ว” สิ้นคำพูดของเพื่อนก็เหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางใจ ร่างบึกบึนแข็งทื่อหนักกว่าเดิม สายตามองตามร่างโปร่งของคนที่นึกชอบตั้งแต่แรกเห็นนิ่งงัน และยิ่งนิ่งเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นคุณภีมคนแมนขยับตัวซุกไหล่ไอ้หน้าโคตรหล่อที่มาทีหลัง
“ใหญ่ปวดใจ...”
“พูดไม่รู้เรื่องแล้ว ปอนปอนมาช่วยเฮียลากมันออกไปหน่อย”
ปอนด์ที่ยืนเอ๋ออยู่รีบวิ่งเข้าไปช่วยพี่ชายลากหมีตัวแข็งออกไปด้านนอกโดยมีปกรณ์เดินตามออกไปด้วย ทิ้งคนสองคนไว้กับโลกที่มีเพียงสองเราอีกครั้ง
“พี่จักรทำให้ภีมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย รู้หรือเปล่า” ประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบดังงุ้งงิ้งอยู่ไม่ไกล ภีมภัทรซุกใบหน้าเข้ากับไหล่ผอม พยายามอย่างยิ่งไม่ให้เจ้าของดวงตาคมเห็นใบหน้าตัวเอง ทว่าสุดท้ายเมื่อถูกเชยคางให้เงยขึ้นมอง เขาก็ยอมทำตามอย่างง่ายดาย
“ไม่ใช่ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกหรือไง” จักรพรรดิถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“เป็นแค่กับพี่นั่นแหละ” คนหน้าบูดทำปากเป็นสระอิ “อย่าว่าแต่ภีมเลย พี่จักรเองก็เหมือนกันนั่นล่ะ”
“พี่ทำไม”
“พี่ก็เป็นเหมือนภีมไง”
“อืม...สงสัยจะจริง พี่เองก็เป็นแค่กับภีมเหมือนกัน” จักรพรรดิมองหน้าแดงสลับเขียวของเด็กน้อยขำๆ อดคิดตามคำพูดของตัวเองไม่ได้
จะว่าไปแล้วก็คงจริงอย่างที่ว่า...
ภาพความทรงจำที่นับวันยิ่งมองเห็นชัดระหว่างตัวเองกับเด็กน้อยของเขานั้น ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนตัวเขาเลยสักนิด จักรพรรดิที่แสนเย็นชา ดุดัน ไม่เห็นหัวใคร ไม่รู้ทำไมถึงได้อ่อนโยนนัก
หรือว่าที่จริงแล้ว...ยามอยู่กับภีมภัทรคือตัวตนที่แท้จริงของเขากันแน่
“พี่จักรขี้แกล้ง” ปากสระอิของคนพูดบิดเบี้ยวไปมาเหมือนไม่พอใจ ทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำยิ่งกว่าลูกตำลึง
จักรพรรดิมองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู...และแล้วเขาก็ได้คำตอบในที่สุด
ไม่หรอก...
ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิคนไหนก็คือตัวจริงทั้งนั้น เพียงแต่ท่าทีที่เขาแสดงออกกับคนคนนี้แตกต่างไปจากคนอื่นก็เท่านั้นเอง
“พวกนั้นต้องตกใจแน่ๆ ที่เห็นภีมเป็นแบบนี้” ปากแดงเรื่อขยับขมุบขมิบไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะบ่นใครกันแน่
“แล้วปกติภีมเป็นแบบไหน”
“ก็...เรียกว่าวางตัวดีน่าจะได้ ถ้าเป็นกับลูกน้องในร้านภีมมักจะทำหน้านิ่งๆ ตามปกติอยู่แล้ว แต่ถ้ามีลูกค้าเข้ามาก็ต้องยิ้มไว้ก่อนตามมารยาท ขนาดคนตัวใหญ่เมื่อกี้มาเกาะแกะภีมยังไม่เคยหลุดมาดเลยนะ” ภีมภัทรได้ทีพูดยกใหญ่ หากจะมองเป็นการโอ้อวดก็คงใช่ เพราะเจ้าตัวคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอวดจริงๆ
แต่ในสายตาจักรพรรดิ...มันเหมือนเด็กชายภีมตัวน้อยๆ กำลังเอาเรื่องระหว่างที่ไม่ได้เจอกันมาเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง
“เก่งมาก” เขาพูดชมออกมาเบาๆ
“แค่นี้เองเหรอ”
จักรพรรดิกะพริบตาช้าๆ ด้วยไม่เข้าใจว่าควรตอบแบบไหนจึงจะถูกต้อง สุดท้ายเขาเลยยิ้มจางแล้วพูดออกไปอีกคำ
“เด็กดี...”
ภีมภัทรติดสถานะพูดอะไรไม่ออกไปนานหลายวินาที ณ ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าควรเถียงเรื่องตัวเองไม่ใช่เด็กก่อนหรือควรหยุดหน้าแดงให้ได้ก่อน ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าคำพูดต่อไปจะดังออกมา
“ขยันโปรยเสน่ห์เหลือเกิน”
“ก็มันได้ใจ”
“หือ”
“โปรยทีไรก็มีเหยื่อติดบ่วงทุกที”
“นี่!” ภีมภัทรถลึงตาใส่คนขี้แกล้ง ใบหน้าไหม้แล้วไหม้อีกจนไม่รู้จะไหม้ยังไง “หยุดเลย...ภีมรับไม่ไหวแล้วนะ”
“อะไรไม่ไหว” จักรพรรดิยังไม่หยุดแกล้ง ชายหนุ่มอารมณ์ดีทุกครั้งที่เห็นแก้มขาวๆ นั้นขึ้นสี แต่ดูเหมือนวันนี้จะแดงมากกว่าทุกครั้งตั้งแต่ที่เขายอมรับว่าหึง เพราะงั้นถึงได้แกล้งไม่หยุดเสียที
เด็กน้อยจริงๆ...
“ไอ้ปอนด์! อย่าผลักสิวะ”
“พี่ปกนั่นแหละ ขยับไปหน่อยดิ ให้ผมดูด้วย”
“ไอ้เหี้ยสอง! คุณภีม...คุณภีมหน้าแดงด้วยว่ะมึง”
“มึงจะยิ้มทำไมไอ้ใหญ่ เขาไม่ได้หน้าแดงเพราะมึง”
“ชู่ว....เบาๆ กันหน่อย”
ปกรณ์หันไปขมวดคิ้วเตือนพวกที่ยืนอยู่ด้านหลัง ขืนยังคุยกันเสียงดังอยู่แบบนี้ อีกเดี๋ยวคนด้านในต้องรู้ตัวแน่ ทีนี้ไม่ใช่แค่โดนทำหน้าตึงใส่ แต่น่าจะได้ตายกันทั้งหมดนี่ล่ะ
“จะไปอยากรู้เรื่องชาวบ้านอะไรขนาดนั้น” คนที่ไม่ได้อยู่ในวงโคจรของพวกขี้เผือกที่กำลังเกาะประตูบ่นพึมพำเบาๆ คนเดียว สองกลอกตาก่อนจะเดินถอยหลังไปยืนอยู่ไกลๆ
อย่างไรเขาก็จะไม่ยอมโดนลูกหลงไปกับไอ้พวกบ้านี่แน่...
ปกรณ์ไม่น่าห่วงเพราะคงเอาตัวรอดได้ ส่วนไอ้ใหญ่ช่างหัวมัน สงสารก็แต่ปอนปอนน้องชายสุดที่รักที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ตัวก็เล็กแค่นั้นไม่รู้จะเถียงสู้ใครเขาได้ไหม
แล้วนั่น...สายตาของใครต่อใครที่เดินผ่านมาเห็นคนหันตูดให้สามคนขณะแอบเกาะประตูร้านดอกไม้ชื่อดัง ไม่อายชาวบ้านชาวช่องกันมั่งเหรอวะน่ะ
“ปวดหัว” สองยกมือกุมศีรษะหน่ายๆ จากที่ไม่อยากยุ่งและไม่คิดสนใจเริ่มจะอับอายแทนอยู่หน่อยๆ แล้วตอนนี้
เอี๊ยด!
ดูพวกมัน...ขนาดมีรถมาเบรกเสียงดังอยู่หน้าร้านแล้วยังไม่หยุดเผือกอีก
เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรชายหนุ่มตัวสูงก็ได้แต่มองไปทางโน้นทีทางนี้ที จนกระทั่ง...
“Sorry…” เสียงพูดเป็นภาษาอังกฤษจากทางด้านข้างในระยะเผาขนทำให้คนที่กำลังเบื่อต้องหันไปสนใจอย่างช่วยไม่ได้ สองมองชาวต่างชาติตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ...ไม่เข้าว่าไอ้หน้าหล่อผมเทานี่มันจ้องเขาแบบนั้นทำไม
จ้องเหมือนสงสัยอะไร...
“มีอะไร” เขาขมวดคิ้วถามกลับไปด้วยภาษาไทยโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือเปล่า
“ตอนแรกมีธุระกับเจ้าของร้านนี้” หนุ่มต่างชาติคลี่ยิ้มมุมปาก ก่อนแว่นกันแดดราคาแพงจะถูกถอดออก เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสที่ขับให้เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเป็นคนขี้เล่นน่าคบหา “แต่ว่าตอนนี้...”
“พูดไทยได้นี่หว่า” สองพึมพำเบาๆ เพราะแม้ฝรั่งนี่จะพูดไม่ชัดเท่าไหร่นักแต่ก็เรียกว่าพูดได้แน่นอน เมื่อสรุปกับตัวเองได้แน่ชัดแล้วจึงเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าแล้วถามต่อ “ตอนนี้อะไร”
“ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
“อะไรของ...”
“รู้ไหมว่าคนที่ยูยุ่งอยู่เขามีเจ้าของแล้ว”
คราวนี้สองเบิกตากว้าง เขาแทบจะตรงเข้าไปชกหน้าไอ้ฝรั่งนี่ด้วยความหัวเสีย
“มึงหมายความว่ายังไง!”
“หมายความว่า...” หนุ่มต่างชาติเริ่มหุบยิ้ม ดวงตาที่ฉายแววขี้เล่นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นวาววับดั่งจะเชือดเฉือนอีกคนให้ตายคาที่ “คนคนนั้นเป็นของไอ”
“…”
“กลับไปซดน้ำบกใบบัวแล้วไสหัวไปดีกว่านะ”
“…”
เขามีแต่ใบบัวบกโว้ย!
———————-
TALK: สำหรับคุณเกรย์กับพี่สอง รอติดตามต่อได้ในเรื่องของประมุขนะคะ ในเรื่องนี้เป็นเหมือนเรื่องเปิดของสามคู่ เราจะเอาออกมาให้รู้จักกันให้ครบทุกคู่เลยค่ะ ทั้งคุณพายุกับฮ่องเต้ แล้วก็คุณเกรย์กับประมุขด้วย ส่วนพี่สองก็คงต้องกินน้ำบกใบบัว สปอยไว้ตรงนี้เลย ฮา สำหรับเรื่องของพี่จักเราเขียนจบแล้วค่ะ มียี่สิบตอน น่าจะเปิดพรีช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี่ล่ะ ระหว่างนี้ก็จะลงเรื่อยๆ ยันจบเลย ขอบคุณค่า