"Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19  (อ่าน 249907 ครั้ง)

ออฟไลน์ ju11221

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :m15: :monkeysad: ขอร้องงงงง มาต่อไวๆๆน้าค้าาาา กำลังติดงอมแงมเลยยย

อยากให้จบแบบแฮปปี้ๆ  :ling3:

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนพิเศษ 02.03.15
«ตอบ #481 เมื่อ02-03-2015 14:16:41 »

ตอนพิเศษ สั้นจุ้ดดุ้ด


เสียงประทัดดังตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนน ทำให้รู้ว่า แม้แต่ในย่านการค้าและที่พักอาศัยแถบทำเลเงินทำเลทองอย่างทองหล่อ ก็ยังมีหลายร้านที่ยึดประเพณีไหว้เจ้าทุกวันตรุษจีนอยู่

หน้าร้านอาหารของคุณวีรชาติก็ด้วย
ทุกเทศกาลตรุษจีน ทางร้านจะกำหนดให้หยุดเป็นเวลา 7 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนวันจ่าย 1 วัน พอเข้าสู่วันจ่าย ซึ่งคือวันเมื่อวานนี้ ทางร้านก็จะเตรียมของหลายอย่าง แบ่งแยกเอาไว้เป็นกองหลายสิบกอง กองใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่ว่าลูกค้าจะสั่งอะไรไปไหว้ ทางร้านจะเตรียมของให้ตามออเดอร์ก่อนที่ช่วงบ่ายๆลูกค้าจะทยอยมารับของตามที่สั่งไป

มาวันนี้วันไหว้ คุณวีรชาติก็ให้เด็กในร้านตั้งโต๊ะตั้งแต่เช้ามืด ประกอบด้วยเครื่องไหว้โหงวแซ เหล้า น้ำชา และพวกกระดาษเงินกระดาษทอง พอสายหน่อยก็เตรียมตัวจะไหว้บรรพบุรุษต่อ ตอนนั้นเองที่มีรถเบ็นซ์ซีคลาสสีดำเลี้ยวโฉบเข้ามาในที่จอดรถ คนขับลดกระจกลงเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกชายเจ้าของร้านชะโงกมาดู ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เมื่ออีกฝ่ายทำปากบอกให้เร็วๆ

ร่างสูงกำยำอย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอกำลังกวาดเอาของที่เบาะหลังรถและบนคาร์ซีทสำหรับเด็กมาไว้ในมือหนึ่ง อีกมือก็พยายามดึงเอากล่องเลโก้ขนาดยักษ์ออกมาจากช่องประตู แต่เสียงร้องทักจากด้านหลังทำให้เขาต้องละมือลงทันที

"ทำอะไรน่ะครับ"
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวมองข้ามไหล่ลงมาเห็นณัฐวีร์ยืนหล่อหน้าบูดอยู่ด้านหลัง

"ของฝากเดี๋ยวค่อยลงมาเอา รีบไปไหว้ก่อนครับ ป๊ารออยู่เดี๋ยวเลยฤกษ์"
มกรพยักหน้ารับแล้วยอมวางมือจากกล่องเลโก้ เขายอมถอยออกจากตัวรถแล้วใช้มือข้างว่างปิดประตูรถเสีย

"มา..นัทช่วยครับ"
คนตัวเล็กกว่าก้าวเข้าไปพร้อมกับยื่นมือจะช่วยถือ แต่ก็พลาดเพราะอีกฝ่ายดึงมือหนีแล้วคว้าเอวเจ้าตัวลากเข้าไปกอดไว้ทั้งอย่างนั้น

"คิดถึงจัง.."
เสียงกระซิบเบาๆทำให้ณัฐวีร์ที่กำลังตกใจการกระทำอีกฝ่ายชะงักไปไม่กล้าต่อว่า ยิ่งปลายจมูกของคนตัวสูงกดลงที่แก้ม ณัฐวีร์ยิ่งไม่รู้จะทำตัวยังไง

นี่คือห่างกันไปเกือบเดือน เพราะมกรต้องไปทำงานที่สิงคโปร์ กำหนดกลับจริงๆ คือเมื่อคืน แต่ก็จำต้องเลื่อนไฟล์ทเพราะเกิดปัญหาหน้างานขึ้น คือทำงานกันจนหยดสุดท้ายก่อนวันไหว้ตรุษที่จะหยุดกันยาว ทางสิงคโปร์เองก็ได้หยุดหลายวันเช่นกัน มกรถึงจับไฟล์ทเช้าสุดมาไทยได้

"อยู่ทางโน้นเร่งงานเยอะมาก เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน มางีบบนเครื่องไปได้แป้บเดียวเอง" มกรบ่นแล้วซบหน้าลงบนไหล่ณัฐวีร์ "อยากกลับมาหานัทใจจะขาด คนอะไรใจร้าย บอกให้บินไปหากันบ้างก็ไม่ไปเลย.. เราจะกลับมาก็ไม่ยอมให้กลับ ไม่คิดถึงกันบ้าง"

"อย่าพูดแบบนั้นสิครับ.." ณัฐวีร์บอกแล้วกอดตอบอีกฝ่าย พร้อมกับเอามือลูบหลังเป็นเชิงปลอบใจ "นัทไป งานนัทก็ไม่เสร็จ แล้วก็จะลาพักร้อนยาวๆไม่ได้ ไปเที่ยวกับพี่แมนสบายๆแบบไม่ต้องห่วงงานไม่ได้นะครับ.."

"ก็รู้..จูบที" มกรยื่นหน้าเข้ามาหา แต่ณัฐวีร์กลับเอนตัวหนี

"ไม่ได้ ป๊ารออยู่.."

"น่า จูบที.."

"ไม่เอา" ณัฐวีร์ยังยืนกราน

"งั้นหอมสิบที" อีกฝ่ายทำแก้มพองป่องยื่นมาให้

"พี่แมน..ช้าแล้วนะครับ"

"นี่ไง.." ชายหนุ่มทำหน้าม่อย "ไม่คิดถึงกันจริงๆ ด้วย"

"ไม่ใช่.." ณัฐวีร์กรอกตา "แต่มันช้าแล้วเดี๋ยวก็ไม่ทันไหว้ แล้วนี่มันลานจอดรถนะครับ ทำอะไรประเจิดประเจ้อเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า"
ตรงลานจอดรถนี้เป็นลานจอดของร้านอาหารส่วนหนึ่ง และเป็นของคนในห้องเช่าด้านบนอีกส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นเวลากลางวันอย่างนี้ผู้พักอาศัยจะออกไปทำงานกันหมด รถก็จะไม่ค่อยมี แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดีสำหรับความคิดของณัฐวีร์

"เถียงกันไปเถียงกันมาถ้าทำจริงๆ ก็เสร็จไปแล้ว.." มกรบ่นเป็นยุงเลย
ณัฐวีร์มองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ถอนใจ.. "นี่..ดราม่าอะไรมาครับ.. ทำตัวเป็นเด็กไปได้"
มือเล็กโน้มไหล่อีกฝ่ายลงมากระซิบเข้าที่ข้างหู ".. ไม่รอคืนนี้หน่อยหรือครับ"

"หือ?.." มกรเลิกคิ้ว "วันนี้ไม่ต้องอยู่บ้านหรือ.."

"ไหว้เสร็จ นัทว่าจะพาพี่แมนกลับไปพักที่คอนโด หรือไม่อยากไป?"
มกรยิ้มกว้าง "ไป.."

"งั้นก็เลิกดราม่า ไปหาป๊ากันครับ"

"แต่คืนนี้กับตอนนี้มันต่างกันนะ.." ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ "มาจูบก่อนแล้วจะปล่อย"

"พี่.."

ไม่ทันแล้ว..ปากที่จะร้องห้ามถูกประกบปิดปลายลิ้นอุ่นร้อนที่แทรกเข้ามาทำให้ณัฐวีร์ขยับตัวประชิดกอดอีกฝ่ายมากขึ้น เมื่อได้สัมผัสความคิดถึงก็เอ่อล้น

ใครบอกว่าเขาไม่คิดถึง ใครบอกว่าเขาไม่โหยหา.. ห่างกันไปเป็นเดือนต้องให้บอกไหมว่าเขาถึงกับอยู่ที่คอนโดไม่ได้ มองไปทางไหนก็แทบจะทนไม่ไหวจนต้องหนีกลับมาอยู่บ้าน ต้องให้บอกไหมว่าเขาเอาเสื้อของอีกฝ่ายมานอนกอดทั้งคืน ต้องให้บอกไหมว่า..รักมาก่อนตั้งนาน คิดถึงมาก่อนตั้งนาน

ณัฐวีร์เปิดปากตอบรับจูบเรียกร้อง มือก็โอบกอดแผ่นหลังกว้าง ร่างก็เบียดเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
กระทั่งมกรยอมลามือไป ณัฐวีร์จึงถอนใจออกมาเบาๆ ดวงตานั้นยังหลับปิดไว้เพื่อสะกดความต้องการของตัวเอง เขาเบี่ยงหน้าหนีซุกเข้าไปที่ซอกไหล่กว้าง รับสัมผัสของแก้มและคางแข็งๆที่กดแนบลงมาตรงบริเวณขมับ

อ้อมแขนเพียงข้างเดียวยังอุ่นขนาดนี้ ถ้าได้กอดด้วยสองแขนแข็งแกร่งนั่น ณัฐวีร์คงได้คลายความคิดถึงลงบ้าง คงได้พอชุ่มชื่นหัวใจที่หลังจากนี้อาจจะต้องห่างกันอีกเดือน หรือถ้ายืดเยื้ออาจจะสองเดือน

"คิดถึงพี่แมนนะครับ.."
ณัฐวีร์กระซิบบอก แล้วจูบลงบนสันกรามที่มีไรหนวดเขียว แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย
มกรหัวเราะ "ไม่ไหวๆ อยู่ตรงนี้เดี๋ยวได้ลากไปปล้ำในรถแน่ๆ ..ไปกัน เดี๋ยวป๊ารอ"

ณัฐวีร์คลายอ้อมกอดลงแล้วพึมพำ "ทำอย่างกับไม่เคย.."

"ว่าอะไรนะนัท?" มกรหันมาเลิกคิ้ว

"ไปเร็ว ป่านนี้รอกันแย่แล้วครับ" ณัฐวีร์เดินเข้าไปในร้านก่อน ที่จะมาช่วยถือของก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย พอเข้าไปในร้านทั้งคู่ มกรจึงปลีกตัวไปวางของแล้วค่อยปรี่ไปไหว้แม่ไก่กับป๊าวี เอาหน้ามากกว่าลูกชายตัวจริง

"แม่ทำแกงจืดหมูสับที่แมนชอบเอาไว้ เดี๋ยวไหว้เสร็จแล้วแม่จะอุ่นให้นะ" ณฐกาบอกลูกชายคนโตแบบนั้น
มกรเป็นคนกินง่าย ทำอะไรให้ก็ชอบไปหมด แต่ดูเหมือนที่เจ้าตัวติดใจจะเป็นอาหารมื้อแรกที่ณัฐวีร์ทำให้ลองกิน ข้าวผัดกับแกงจืดหมูสับ

ชายหนุ่มเดินเข้าไปสวัสดีคุณวีรชาติก็ได้แรงมือตบไหล่มาสองปุพร้อมกับถาม "กลับมาพักกี่วัน?"

"7 วันครับ ทางโน้นหยุดยาวกว่าเราแล้วผมเลยลาเพิ่มมา"

"เมื่อคืนงานเสร็จเรียบร้อยดีใช่ไหม"

"เรียบร้อยครับป๊า" ชายหนุ่มตอบแล้วก็มองหา "แล้วนี่ตัวเล็กไปไหนล่ะครับ"

"ยังนอนอยู่เลย นี่ป๊าว่าจะขึ้นไปปลุกให้ลงมาไหว้บรรพบุรุษด้วยกัน"

มกรยิ้ม "งั้นเดี๋ยวผมไปปลุกเอง อยู่ที่ห้องนัทใช่ไหมครับ"

"ขอบใจนะ อยู่ที่ห้องนัทนั่นแหละ"
ชายหนุ่มตอบรับคำบอกนั้นแล้วเดินขึ้นไปยังชั้นบน ที่ตึกใหม่นี้ห้องของณัฐวีร์อยู่ชั้นเดียวกันกับบิดา ห้องกว้างขวางและมีห้องน้ำในตัว จัดแต่งแยกโซนที่พัก กับโซนนั่งเล่นไว้ต่างหาก ของตกแต่งด้านในบางอย่างป๊าก็หามาให้ บางอย่างสองคนเขาก็เลือกซื้อกันมาเอง.. แต่ที่เพิ่มมาคือเตียงเด็ก เตียงเล็กๆที่ตกแต่งเป็นรูปทะเล มีหมอนและหมอนข้างใบน้อยๆเป็นรูปปลาและเปลือกหอย มีผ้าห่มเป็นลายหาดทรายพร้อมคลื่นซัด

แต่มกรกลับไม่เห็นเจ้าของเตียง.. ชายหนุ่มปิดประตูอย่างเบามือแล้วย่องไปที่เตียงใหญ่ จึงได้เห็นเด็กน้อยนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่ม เขายิ้มแล้วเดินเข้าไปหา พอเปิดผ้าห่มขึ้นพุงขาวๆของตัวเล็กก็ลอยเด่นมาเลย
มกรหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปดึงเสื้อลงมาปิดพุง เด็กน้อยเกือบจะอายุครบห้าขวบแล้ว.. และเขายังจำตอนที่พาไปโรงเรียนได้อยู่เลย
เขากับณัฐวีร์เถียงกันแทบตายตอนที่จะพาไปเข้าเรียน เขาน่ะไปปรึกษาหมอมาด้วยซ้ำว่าควรให้เข้าเรียนแล้วหรือไม่ แล้วก็ลากยาวกันมาจนถึงสามขวบถึงได้เข้าเรียนจริงจัง

อย่างแรกที่เขาไม่อยากให้รีบเข้าเรียนเพราะกลัวตัวเล็กจะไปติดหวัด กลัวสุขภาพจะไม่พร้อม แต่นัทเองก็มีเหตุผล ป๊ากับแม่ต้องทำงาน นัทก็ต้องทำงาน ไม่มีใครดูน้อง จะทิ้งไว้กับพี่เลี้ยงก็ไม่ดี ตอนนั้นก็เถียงกันน่าดู สุดท้ายคุณมนธิชาพาตัวเล็กไปดูแลเฉยเลย บอกเดี๋ยวช่วยเลี้ยงหลาน เลี้ยงไปได้เกือบเจ็ดเดือน จึงได้ยอมให้เข้าเรียน กลางวันอยู่กับคุณมนธิชา กลางคืนถึงให้มกรและณัฐวีร์รับกลับมาบ้าน

"ตัวเล็กๆ ตื่นครับ" มกรจับแขนน้อยพลิกไปพลิกมา
ตัวเล็กเป็นเด็กไม่งอแง และไม่ใช่เด็กชอบเรียกร้องความสนใจ แถมยังได้รับความรักความอบอุ่นเต็มที่จนเติบโตมาอย่างที่มกรไม่เคยได้รับในวัยเด็ก ดังนั้น เมื่อถูกปลุก ตัวเล็กจึงไม่ได้งอแงโวยวาย แค่ลืมตาขึ้นมามองว่าใครเรียก แล้วพอเห็นว่าใครก็เลยยิ้มหวานให้

"แมน ..แมนมาแล้วเหรอ"

ตัวเล็กร้องพร้อมกับยื่นมือมาหาทำท่าจะกอด..แต่กลับไม่ยอมลุก
นี่ก็อีกคน บทจะดื้อก็ดื้อได้ใจเหมือนกัน ใครพูดอะไรก็ไม่ค่อยฟังหรอก
มกรถึงต้องโน้มตัวลงไปหายอมให้ตัวเล็กเกี่ยวคอไปกอด

"ตื่นเร็ว ไปไหว้กันป๊าให้มาตาม" ชายหนุ่มพยายามช้อนเอาตัวเล็กขึ้นมาจากเตียง ติดห้อยเป็นลูกลิงขึ้นมาเลย แต่ตัวเล็กก็คือตัวเล็ก.. มีจุดพิฆาตคือลูกอ้อนระดับยี่สิบกระโหลก

"แมน..ขอห้านาทีได้ไหม"

"ขอห้านาที..? จะนอนอีกสิเราน่ะ" มกรจับจมูกเล็กอย่างหมั่นเขี้ยว

เด็กน้อยส่ายหน้า "ห้านาทีนะ นะ"

"เอาๆ ..อะไรห้านาที?" มกรยอมปล่อยมือจากตัวเด็ก ทำให้ตัวเล็กถอยไปล้มแผละลงนอนอีกเหมือนโดนที่นอนดูด

"อ้าว ไหนว่าไม่นอน"

"เปล่าไม่ได้นอน.. นี่กำลังรอ.." ตัวเล็กบอกแล้วตบเตียง "รอแมนมานอนด้วยกัน ห้านาที นะ รอให้แมนอยู่ตรงนี้แค่ห้านาทีก็ยังดี คิดถึง แมนหายไปนาน มาๆ เดี๋ยวเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง แมนนอนๆ"

แล้วก็กลายเป็นมกรยอมล้มตัวลงนอนตามคำเชิญชวนของตัวเล็กจนได้
เขาเพลินฟังเรื่องที่โรงเรียนของตัวเล็ก.. ตัวเล็กชอบเล่าเรื่องที่โรงเรียน วันไหนไม่ได้ฟังก็จะเกิดอาการขาดอะไรไปสักอย่าง ทำให้ต้องมารอฟังอัพเดทจากณัฐวีร์

ช่วงเดือนที่ผ่านมานี่ก็ได้ฟังทางวีดีโอคอลอย่างเดียว นี่พอได้มาฟังสดๆ ห้านาทีคงแค่แป้บเดียว..





----------
แต่มันนานเกินกว่าที่ณัฐวีร์จะรอได้..

เขาเดินขึ้นมาตามมกรที่ห้อง เพราะเห็นว่าหายขึ้นมาชั้นสองนานเกินจะรอ พอเปิดประตูเข้าไปจึงได้พบว่า..
โลกที่เงียบสงบของสองคนนั้น..คือโลกแห่งนิทรารมย์

ชายหนุ่มส่ายหน้ากับตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปดึงเสื้อปิดพุงตัวเล็ก..และก้มจูบหน้าผากคนรัก
ฝันดีครับ..
เขาเอ่ยเบาๆก่อนจะถอยออกมางับประตูให้..



--------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2015 16:12:19 โดย pae666 »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนพิเศษ 02.02.15
«ตอบ #482 เมื่อ02-03-2015 14:24:26 »

น่ารักไปนะ ตอนนี้น่ะ  อิ อิ อิ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนพิเศษ 02.02.15
«ตอบ #483 เมื่อ02-03-2015 15:13:59 »

ต้องรออีกนานใช่ไหมสำหรับฉากหวานๆน่ารักๆแบบนี้

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51 08.03.2015
«ตอบ #484 เมื่อ08-03-2015 11:45:12 »

มาต่อแล้วค่ะ  :katai4:
มีใครรอแม้นศรีคนงามอยู่ไหมนี่?  :mew2:

-----
เข้าช่วงบ่ายกว่าๆ
คุณลักษณ์ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสอบปากคำคนภายในอีกเล็กน้อยเพื่อหาหลักฐานและพยานเพิ่มเติม แต่แทบจะเรียกได้ว่ามาเพื่อปิดคดีชี้เป้าผู้กระทำความผิดอยู่แล้ว เพราะตอนนี้กลอยและผู้ชายในคลิปหนีหายออกจากบ้านไป ทางตำรวจจึงกำลังออกหมายเรียกสอบ

จากคำให้การที่รวบรวมได้ ทางตำรวจพุ่งเป้าไปที่ผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัท ทางการสอบสวนทราบว่า ผู้บริหารคนนั้นเสียผลประโยชน์ต่างตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัทเพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่อยากให้บริษัทเข้าตลาดได้สำเร็จ การปล่อยข่าวเสียหายทั้งเรื่องตกแต่งบัญชี เรื่องทุจริตภายใน จึงเป็นหนทางที่จะชะลอการเข้าตลาด เพื่อยักย้ายถ่ายเทสิ่งที่ยังตกค้าง และหาวิธีกลบปิดความผิดของตัวเองให้มิดชิด

ดีว่าจับได้ไล่ทัน เพราะถ้าไล่ไม่ทัน ผู้บริหารคนนี้จะยังอยู่ที่นี่ต่อไปและกลายเป็นเหลือบคอยสูบความเจริญของบริษัทไม่หยุดหย่อน

คุณมนธิชา คุณประคอง และมกรนั่งอยู่ในห้องประชุมเล็กข้างห้องประธานบริษัท และกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อแถลงกับสื่อและหาทางออกที่สวยงามที่สุดสำหรับบริษัท ซึ่งการให้ข่าวใดๆจะต้องออกจากฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ที่คุณประคองดูแลอยู่เท่านั้น

ประชุมกันตั้งแต่บ่ายจนเกือบจะลับแสงอาทิตย์ ข้อสรุปจึงออกมาเรียบร้อย มกรได้รับหน้าที่ให้สรุปรายงานการประชุมครั้งนี้ เพราะชั้นความลับของบริษัทระดับนี้ แอมจะไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย
จนกระทั่งคุณประคองลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินออกจากห้องประชุม คุณมนธิชาจึงเรียกไว้เสียก่อน

"รอสักครู่เถอะค่ะ"
คนถูกเรียกหันใบหน้าสงสัยกลับมามอง แต่คุณมนธิชากลับเบือนหน้าไปทางลูกชาย
มกรเองเมื่อเห็นจังหวะที่แม่ส่งมาให้ เขาจึงยกมือไหว้และกล่าว "ขอโทษครับ" ออกไปทันที
ผู้ใหญ่อย่างคุณประคองเมื่อได้รับคำขอโทษก็ยิ้มให้อย่างใจดี "ไม่เป็นไร จำไว้เป็นบทเรียนแล้วกันนะหลานชาย"

"ครับ.." มกรตอบรับ "คราวหน้าผมจะระวังคำพูดให้มากขึ้น"
"ดีแล้ว.. คำพูดเป็นนายเรา เวลามันหลุดจากปากไปแล้วเรียกคืนได้ยาก เอาเถอะ ยังไงลุงก็ไม่ถือสาล่ะนะ ไว้มาคุยกันใหม่แล้วกัน" คุณประคองเอ่ยอย่างติดตลกแล้วขอตัวออกจากห้องไป ปล่อยให้สองคนแม่ลูกยังนั่งอยู่ในห้องประชุมนั้น

"เดี๋ยวผมจะไปเขียนรายงานการประชุมส่งให้คืนนี้" ลูกชายพูดแล้วทำท่าจะรวบรวมเอกสารออกไปจากห้อง
"พรุ่งนี้ก็ได้.. วันนี้ต้องรีบไปหาน้องไม่ใช่หรือไง"

"รีบครับ.." เขาก้มลงดูนาฬิกา "แต่ยังพอมีเวลา ผมอยากทำงานให้เสร็จก่อน"
คุณมนธิชายิ้ม ลูกชายเธอมีความรับผิดชอบมากขึ้น พอๆกับที่เข้าใจชีวิตมากขึ้น ไม่ได้เอาตัวเองเป็นใหญ่อีกแล้ว
แต่ด้วยความเป็นแม่ ต่อให้ลูกโตแค่ไหน เธอก็ยังห่วง "แล้วนัทเขาจะกลับมาทำงานเมื่อไรล่ะ ได้ถามเขาไหม?"
มกรชะงักไป เขาได้แต่ส่ายหน้า "ผมเองก็ไม่รู้ ตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้ยังไม่ได้พูดกันสักคำ"

"เอ๊ะ..? ทำไมเป็นแบบนี้.." คุณมนธิชาถามอย่างสงสัย "ไหนเล่าให้แม่ฟังหน่อย"
"เรื่องเกดที่เล่าให้ฟังเมื่อวานน่ะครับ.. เขายังเข้าใจผิดและผมก็คิดว่าเขายังไม่พร้อมจะคุยกับผมด้วย ก็เลยยังไม่ได้โทรไป"

"อ้าว ยิ่งเขาเข้าใจผิดเรายิ่งต้องรีบอธิบาย ปล่อยให้ความเข้าใจผิดมันยืดเยื้อไม่ได้นะแมน" คุณมนธิชาบอกลูกแล้วก็หวนคิดถึงเรื่องของตัวเอง..
นั่นสิ..ปล่อยให้ความเข้าใจผิดมันยืดเยื้อต่อไปจะดีหรือ..?

เธอยังไม่พร้อมจะบอก ยังหาจังหวะจะพูดไม่ได้ ..แล้วเธอจะไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้ลูกทำในสิ่งที่เธอก็ยังทำไม่สำเร็จได้อย่างไร
มนธิชาส่ายหน้ากับตัวเอง เธอนี่ไม่ไหวเลย ชีวิตครอบครัวไม่ใช่ธุรกิจ.. จะมาใช้จังหวะชิงไหวพริบอะไรกันไม่ได้หรอก ..มันมีแต่ต้องใช้ใจคุยกันเท่านั้นแหละ

"ผมเข้าใจครับ.. เดี๋ยวเย็นนี้ว่าจะไปหาเขาที่บ้าน อยากไปคุยให้รู้เรื่องเหมือนกัน"
"ถ้าน้องไม่ยอมคุยล่ะ"
มกรหันมามองหน้ามารดาแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ "ก็คงต้องรอดูว่าเขาจะยอมฟังผมเมื่อไร"

"จะให้แม่ช่วยอะไรไหม? อย่างเช่นบอกเขาว่าเขาต้องมาให้ปากคำเพื่อเป็นพยานในคดีนี้"
มกรส่ายหน้า.. "ให้เป็นไปตามรูปคดีเถอะครับแม่ ถ้าตำรวจต้องสอบปากคำเขาก็ให้ทำหมายไป หรือให้ตำรวจโทรไปเอง อย่าไปกดดันให้เขาต้องมาเลย.." ชายหนุ่มใช้สายตาแน่วนิ่งมองมารดา "อย่าให้เราต้องไปบังคับหรือหลอกลวงอะไรเขาอีกเลยครับ แค่นี้ผมก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว"

คุณมนธิชามองใบหน้าลูกชายด้วยความชื่นชม
"แม่เชื่อว่าสักวันน้องจะเห็นความจริงใจของแมน.. น้องต้องเข้าใจแมนสักวัน"
"ครับ..ผมก็หวังอย่างนั้น"

มารดาก้าวเข้ามาหาลูกชาย เธอโอบแขนกอดร่างสูงกำยำนั่นแล้วใช้มือลูบหลังและไหล่หนาอย่างให้กำลังใจ

"แม่ภูมิใจที่แมนเข้มแข็งขึ้นนะ.. ถ้ามีปัญหาหนักหนานักก็ปรึกษาพ่อกับแม่ได้นะลูก"
การเอ่ยคำชื่นชมอย่างพอดีและจริงใจ เป็นอีกหนึ่งคำแนะนำที่แพทย์ให้ไว้ ซึ่งคุณมนธิชาก็เพิ่งจะได้เอ่ยอย่างจริงใจก็วันนี้เอง
ที่สำคัญ มกรรับรู้ได้ถึงความจริงใจนั้น เขากอดตอบมารดาเบาๆก่อนจะถอยออกเพื่อมองหน้าแม่ให้ชัดเจน

"ไม่ต้องห่วงครับ..เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง"
------
บอกว่าจะจัดการเอง..
แต่สองอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้เห็นหน้าณัฐวีร์เลย

ทุกเย็นหลังจากเลิกงาน มกรจะเทียวไปหาณัฐวีร์ไม่ได้ขาด ไปทานข้าวที่บ้าน ไปช่วยเก็บของ อยู่ที่นั่นจนเกือบเที่ยงคืนจึงยอมขับรถกลับ บางคืนเหนื่อยจากงานมากๆ ก็เผลอหลับบนโซฟา มารู้สึกตัวตอนตีหนึ่งตีสอง คุณวีรชาติมาปลุกก็จึงจะได้กลับบ้าน

บางทีไปถึงน้องอยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง ออกไปเที่ยวกับแพรวบ้าง ดูหนังกันบ้าง ทางนี้ก็ได้แต่ตั้งตารอ เผลอตัวนิดเดียว อาจจะเข้าห้องน้ำ หรือหันไปช่วยป๊าวีจัดข้าวของนิดหน่อย ณัฐวีร์ก็จะหนีขึ้นชั้นบนไปโดยที่เขาจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
มีครั้งหนึ่ง มกรถูกแม่ไก่ใช้ให้ขึ้นไปตามน้องลงมาทานอาหารเย็น..
สิ่งที่ได้กลับมาหลังจากเคาะประตูไปสามครั้ง คือ ความเงียบ..

กลายเป็นป๊าวีเดินขึ้นมาตามเขาลงไป..จนเขาได้รู้ว่าน้องไลน์ไปบอกป๊าวีว่าจะไม่ทานข้าวพร้อมเขาแน่นอน
เขากำลังถูกหลบหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ..

ไม่ให้ได้ยินกระทั่งเสียง..
ไม่ให้ได้เห็นแม้แต่ปลายนิ้วมือ..

รู้ว่าแค่พังประตูเข้าไปก็ได้เจอ.. แค่ทำตัวเกเรหน่อยก็ได้คุยกัน ..แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง นั่นไม่ใช่สิ่งที่ณัฐวีร์ยินดีแน่ๆ เขาจะใช้กำลังและความมุทะลุมาแก้ไขปัญหาอีกไม่ได้
ต้องโตเป็นผู้ใหญ่เสียที..
--------

จนเข้าสัปดาห์ที่สาม
วันนั้นเองที่มกรหักห้ามใจตัวเองไม่ได้
เขากำลังเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดตอนที่ณัฐวีร์กำลังออกจากรถแท็กซี่พร้อมกับแพรว ทำให้ชายหนุ่มรีบจอดรถแล้วลงจากรถวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
ตอนที่ก้าวเข้าไป เขาเห็นหลังณัฐวีร์ไวๆกำลังจะพ้นเหลี่ยมบันได มกรจึงรีบพุ่งขึ้นตามไปโดยไม่ได้สังเกตว่าใครอยู่บริเวณนั้นหรือไม่

"แมน.." คุณณฐกายกมือค้างจะห้ามก็เรียกไม่ทัน

วันนี้เธออยู่บ้านกับเด็กในร้านแค่สองคนเท่านั้น สามีออกไปดูงานก่อสร้างที่ทองหล่อ เพราะเห็นว่าใกล้เสร็จสมบูรณ์รับมอบงานได้แล้ว ช่วงนี้จึงต้องเทียวไปเทียวมาบ่อยๆ ส่วนณัฐวีร์ วันนี้ออกไปมหาวิทยาลัยเพื่อลงเรียน นี่ก็เพิ่งจะกลับเข้ามาเมื่อครู่ แพรวที่ไปมหาวิทยาลัยมาด้วยกันก็เพิ่งแยกกลับบ้านไป แล้วก็มีแมนนี่แหละที่วิ่งตัวปลิวตามเข้ามาเรียกไว้ไม่ทัน

คุณณฐกาชะเง้อขึ้นไปข้างบน แต่ความเงียบก็ทำให้เธอเบาใจจนก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
*******

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 52 08.03.2015
«ตอบ #485 เมื่อ08-03-2015 12:04:52 »

มาต่อๆ  :katai2-1:


ณัฐวีร์กำลังจะปิดประตูห้องอยู่แล้ว ตอนที่มีมือใครบางคนแทรกผ่านประตูเข้ามาและดันมันไว้ ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงเพราะไม่ทันได้คิดว่าจะมีใครโผล่พรวดพราดขึ้นมาบนนี้

"นัท..พี่เอง"

คำเรียกนั้นติดเสียงหอบมาเล็กน้อย แรงดันแขนทำให้ประตูเปิดออกและพบว่ามกรอยู่ในชุดเชิ้ตทำงานที่ปลดเนกไทออกแล้ว
ณัฐวีร์ใจเต้น คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดตัวเอง การไม่ได้เจอกันมาเกือบครึ่งเดือนทำให้เขารู้สึกคิดถึง ยิ่งมาเห็นหน้ากันแบบนี้ก็ยิ่งคิดถึง อยากกอด อยากหอม อยากจะยอมไปเสียทุกอย่าง

..ใช่ เขารู้ใจตัวเองดีว่าอ่อนแอแค่ไหน
ยอมตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน มาถึงตอนนี้ก็ยังยอมให้ไม่ว่างเว้น

ถ้ามกรจะจับจุดถูก.. ถ้าผู้ชายตรงหน้านี้จะ "รู้ตัว" สักนิด
ณัฐวีร์ก็คงไม่มีทางไปไหนได้อีกแล้ว..

ณัฐวีร์กัดฟันอย่างหงุดหงิดตัวเอง
"ขึ้นมาทำไมครับ.." เขาใช้เสียงเย็นชาสาดใส่อีกฝ่าย ทำให้ฝ่ายนั้นเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย

"อยากคุยด้วย อยากมาคุยกันให้รู้เรื่อง"
ณัฐวีร์ยืนนิ่งแข็งขึงอยู่ได้อีกเพียงครู่เดียว เด็กหนุ่มก็ละมือออกจากลูกบิดแล้วหันหลังหนี ปล่อยให้อีกฝ่ายแทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูตามหลัง

ถึงจะไม่ได้ยินเสียงล็อคประตู..
แต่นี่ก็เป็นในห้องส่วนตัวที่พอปิดประตูแล้วก็เท่ากับพวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคน

ณัฐวีร์รู้สึกว่าตัวเองใจไม่สงบ เขาจึงหาถ้อยคำเชือดเฉือนและตัดเยื่อใยพูดออกมา "ผมว่าเราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วนะครับ"
"มีสิ มีหลายเรื่องที่พี่อยากอธิบายให้เราได้เข้าใจกัน" มกรเดินเข้ามาใกล้ ขณะที่ณัฐวีร์เดินไปหยุดลงที่โต๊ะหนังสือ

เด็กหนุ่มเอากระเป๋าสะพายออกจากไหล่วางลงบนโต๊ะ แล้วจึงคลายกระดุมเสื้อลงหนึ่งเม็ดด้วยความร้อน
เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่ร้อนระอุ บรรยากาศภายนอกก็ร้อน ในใจนี้ก็ร้อน..                                                                             

"ผมเข้าใจ เรื่องที่เกิดขึ้นผมเข้าใจดี"
"แต่อาจจะเข้าใจผิด.."

"เพราะสิ่งที่ทำมันผิดและบิดเบี้ยวมาตั้งแต่ต้นต่างหาก ถ้าผมจะเข้าใจผิด มันก็เป็นเรื่องที่ผมได้รับประสบการณ์ตรงมาเอง..ไม่ใช่
ผิดเพราะไปฟังใครเขาเล่ามา"
"อย่างเรื่องของเกด.." มกรพยายามแย้ง
"เรื่องคุณเกดเป็นเรื่องในอดีตที่พี่ต้องไปเคลียร์ตัวเอง ไม่ใช่เรื่องของผม" ณัฐวีร์หันขวับมามองหน้า

"นัทกำลังเข้าใจผิด พี่ไม่ได้ทำอย่างที่ไอ้กรุงมันบอก"
ณัฐวีร์เมินหน้าหนี "นั่นก็คือเรื่องที่พี่ต้องไปเคลียร์กับครอบครัวนั้นเอาเอง ผมไม่เกี่ยว.."
"แต่ว่า.."

"ผมยืนยันคำเดิมว่าผมไม่เกี่ยว" เด็กหนุ่มกอดอกพิงสะโพกไว้กับโต๊ะหนังสือของตัวเอง "เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน"
คนฟังแทบจะล้มทั้งยืน "ไม่เกี่ยวกันงั้นหรือ?"
ณัฐวีร์เห็นใบหน้านั้นแล้วก็รู้สึกสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง.. แต่ความตั้งใจของเขายังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง.. มกรต้องได้รับบทเรียนเสียบ้าง นักโทษที่ทำความผิดยังต้องติดคุกเป็นการไถ่โทษ ดังนั้นจะมาละเว้นความผิดให้เพราะเขา "รัก" ..ไม่ได้หรอก..

"ใช่..ไม่เกี่ยวกัน"
"แต่พี่รู้เรื่องแพรวแล้วนะ แพรวไม่ใช่แฟนของนัท"
เด็กหนุ่มยักไหล่ "แล้วยังไง เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย ผมจะเป็นแฟนกับแพรวหรือไม่ พี่ก็ไม่เกี่ยว แพรวก็ส่วนแพรว พี่แมนก็ส่วนพี่ ผมก็ส่วนผม เราสามคนไม่เกี่ยวข้องกัน"
ด้วยคำตอบนั้น มกรกลับปราดเข้ามาคว้าแขนน้องไว้ทั้งสองข้าง

"แล้วที่มีอะไรกัน ที่ยอมให้พี่กอด.."
ณัฐวีร์มองมืออีกฝ่ายเขม็ง แล้วก็เงยหน้าที่โมโหกรุ่นขึ้นสบดวงตาคมที่มองมาอย่างคาดคั้น

"มันก็แค่บรรยากาศพาไป.. ไม่เคยหรือไงกันครับ เวลาคนเรามันอยากมันก็ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ.. ผมก็แค่อยากสนุกไปตามเรื่องตามราว พี่คิดว่าผมจะยอมทำดีกับคนที่เคยทำร้ายผมเพราะอะไรล่ะ" ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆ "มันก็แค่เรื่องบนเตียงหรอกพี่..อย่าไปคิดมาก"

"ไม่จริงหรอก นัทไม่ใช่คนแบบนั้น” มกรส่ายหน้าปฏิเสธ “นัทไม่เหมือนพี่ สมัยก่อนพี่สามารถนอนกับใครก็ได้ แค่ต้องการก็นอนด้วยได้ แต่นัทไม่เหมือนกัน นัทไม่ใช่เด็กแบบนั้น”
ณัฐวีร์เมินมองไปทางอื่น ..ก็จริง ใช่เลย เขานอนกับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้หรอก.. แต่จะให้ยอมรับออกไปก็ดูจะกระไร

“เรื่องในอดีตที่ทำร้ายนัท พี่รู้ตัวว่าผิด พี่ขอโทษ พี่พยายามทำดีทุกอย่างเพื่อไถ่โทษ อยากให้นัทให้อภัย..มันอาจจะอีกนานกว่านัทจะให้อภัยพี่ได้ แต่พี่ก็จะพยายามทำ พี่ทำนัทแขนหัก บอกตามตรงว่าตอนนั้นพี่ไม่รู้สึกตัวเลย พี่โมโหและขาดสติไม่รู้สึกตัวจริงๆ พี่ขอโทษมากๆ" มกรพูดด้วยความพยายามแสดงออกถึงความจริงใจของตัวเอง “และถ้ามันจะช่วยให้ดีขึ้นบ้าง พี่ก็อยากจะบอกว่าพี่ไม่เคยได้นัท.. ครั้งแรกของเราคือที่บ้านนัท ครั้งที่นัทยอมให้พี่ได้กอดอย่างเต็มใจครั้งนั้น”
คนฟังรู้สึกตกใจแล้วชาวาบไปทั้งตัว..ว่ายังไงนะ?

“ไม่..ไม่จริง..” คนพูดส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ตอนนั้นพี่แค่พยายาม แค่พยายามจะเข้าไปเท่านั้น แต่ไอ้พวกเพื่อนพี่มันมาถึงห้องทัน พอรู้สึกตัวพี่เพิ่งเข้าไปเอง แต่เพราะพี่ดึงดันและคงรุนแรงมันก็เลยฉีก นัทก็เลยคิดว่าพี่ทำไปแล้ว..จริงๆคือยัง.. ยังเลย”
“ไม่เชื่อ..”

“นัทจะไม่เชื่อพี่ก็ได้ แต่พี่ยืนยัน.. พี่ยังไม่เคยกับนัท ครั้งแรกของเราคือที่บ้านนัทวันนั้น วันที่เราทำข้อตกลงกัน..ว่าเราจะเป็นแฟนกัน วันนั้นคือครั้งแรกของเรา"
"ไม่เชื่อ!" ณัฐวีร์ตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย และเริ่มดิ้นเพื่อจะพาตัวเองให้หลุดออกจากมือของมกรให้ได้

"ต้องทำยังไงนัทถึงจะเชื่อ" มกรเอ่ยอย่างหมดแรง "ต่อให้พี่มีพยานนัทก็คงไม่เชื่อปากไอ้พวกนั้นอยู่ดี มันก็.."
ณัฐวีร์ชะงักไปทันที "พยาน..?? ตอนนั้น?"

มกรพยักหน้า "พี่จะไม่โกหกอีก..ตอนนั้น นัทใจเย็นๆแล้วฟังพี่นะ คือ ..พี่อาจจะผิดที่ตั้งกล้องแชร์ภาพให้ไอ้พวกนั้นเห็น แต่ถ้าถามพวกนั้นดูนัทจะรู้ว่า..”
"ออกไป..ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!!"

ณัฐวีร์ตะโกนออกมาสุดเสียง เขาใช้แรงทั้งหมด ทั้งผลัก ทั้งถีบเพื่อให้ตัวเองหลุดออกมา แต่มกรก็ตัวใหญ่กว่ามาก พอชายหนุ่มรวบกอดร่างน้องไว้น้องก็หมดหนทางจะดิ้นหนีแล้ว
"ปล่อย! ปล่อยกู!!"

ณัฐวีร์ร้องเสียงดัง ทั้งหมัด ทั้งศอกเขาพยายามประเคนเข้าใส่แต่ด้วยระยะห่างที่ไม่มากมันจึงไม่มีน้ำหนักพอจะทำให้อีกฝ่ายปล่อยร่างเขาได้

"นัท! ใจเย็นๆ ฟังพี่ก่อน นัท.." มกรพยายามใช้แรงของตัวเองกอดน้องไว้แนบตัว แต่ณัฐวีร์ก็ผู้ชายคนหนึ่ง แรงไม่ได้น้อยนัก ดังนั้นกว่าจะสยบน้องลงได้มกรก็โดนไปหลายหมัด เล่นเอาทั้งเหนื่อยทั้งจุก
จนกระทั่งหมดแรงแล้วนั่นแหละน้องถึงได้หยุดยืนหอบอยู่ในอ้อมแขนแกร่งที่สาบานกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ยอมปล่อยคนๆนี้ไปอีกเด็ดขาด

"พี่ขอโทษ แต่พี่อยากบอกให้รู้ ทุกเรื่องที่พี่ทำผิดกับนัทไว้ พี่อยากบอกให้รู้ทุกอย่าง พี่สัญญาว่าจะไม่ปิดบัง จะไม่โกหกอีก พี่ถึงต้องบอก ต้องให้นัทได้รู้ความเลวที่พี่เคยทำไว้" มกรพูดไปก็หอบไป แรงขืนจากณัฐวีร์ยังมีอยู่บ้าง แต่คงเพราะเหนื่อยแล้วถึงได้ไม่มากเท่าเดิม "พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ขอโทษมากๆ ตอนนี้จะให้พี่ทำอะไรก็ยอมหมดเลย แค่อยากให้นัทอภัยให้พี่บ้าง"
ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนของมกรสั่นเทา เสียงสะอื้นเบาๆดังออกมาอย่างไม่มีทางออกให้กับตัวเอง..

เขาตั้งใจที่จะให้บทเรียนกับมกร ต้องการลงโทษช่วงระยะเวลาหนึ่ง..แต่เรื่องราวความจริงใหม่ๆก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ มาบั่นทอนความรู้สึกของเขาอีกเรื่อยๆ

"นัทอย่าร้องไห้เลย พี่ขอโทษ"
มกรยอมปล่อยน้องก่อนจะหันไปลากเอาเก้าอี้ออกมาเพื่อพาร่างที่คล้ายจะหมดแรงนั่งลง พอน้องนั่งได้เขาก็คุกเข่าลงตรงหน้า

"อย่าคิดมากนะนัท พี่บอกความจริงเพราะอยากให้ได้รู้ ไอ้พวกนั้นไม่เคยพูดถึงเรื่องแคมเลย" มกรพยายามพูดให้คลายใจ โดยไม่รู้ว่านั่นยิ่งไปย้ำให้ณัฐวีร์โมโหหนักขึ้นมาอีก
ฝ่ามือเล็กเลยฟาดมาอีกเปรี้ยงที่ใบหน้าคมสัน เล่นเอามกรหน้าหันไปเลย
ชายหนุ่มร้องอูย ส่ายหน้าหน่อยๆอย่างมึนงง ในอุ้งปากได้รสสนิมมาด้วย

"มือหนักเหมือนกันนะเนี่ย.." เขาบ่นพลางหันมายิ้มหวานอย่างเอาใจ "นัทจะตีพี่อีกก็ได้ เอาที่นัทสบายใจเลย"
"ถ้าจะให้สบายใจคือมึงออกไปจากบ้านกู ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!"
"นัท.." มกรเรียกอย่างอ่อนแรง เขาจับเข่าน้อง เพราะถ้าแค่มือยังพอไหว ถ้าขามาด้วยนี่ก้านคอสลบแน่ “พี่ขอร้อง ..ให้โอกาสพี่บ้าง”

"ได้.." ณัฐวีร์ยอมตอบออกมา เขายกแขนขึ้นกอดอก "ผมเกลียดที่พี่ทำรุนแรงกับผม ดังนั้น ผมจะไม่ทำอะไรแบบนั้นกับพี่แน่.. เอาล่ะ ถ้าไม่อยากให้เรื่องมันเลยเถิดไปมากกว่านี้ พี่ก็ควรกลับไปเสีย อย่ามาให้ผมเห็นหน้า"
"เดี๋ยวสินัท.." มกรพยายามประนีประนอม
"ผมโกรธมากที่พี่เคยทำร้ายผม ผมพยายามให้อภัยแล้ว และจะคิดเสียว่าเรื่องทั้งหมดมันแค่ฝันไป พี่ไปจากชีวิตผมเสียเถอะ.."

"นัท.." มกรทำอะไรไม่ถูกยิ่งเมื่อณัฐวีร์วางเฉยแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตูเปิดมันออก เขายิ่งมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ
"กลับไปเสียเถอะครับ.."

"แต่พี่รักนัท..พี่จะไม่.."
"แต่มันไม่มีค่าสำหรับผมเลยครับ" ณัฐวีร์ตอบอย่างชัดเจน ทำให้มกรลุกขึ้นเดินมาหา

"นัท.. อย่าตัดความหวังพี่แบบนี้สิ"
เด็กหนุ่มส่ายหน้า "เปล่าเลยครับ ผมไม่เคยให้ความหวังพี่อยู่แล้ว ที่ผมพูดผมหมายความตามนั้น..คำว่ารักของพี่มันเชื่อถือได้มากแค่ไหนกัน ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่ไม่ได้ไปรับคำท้ามาจากใครอีก ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่ไม่ได้ไปเล่นพนันที่ไหนไว้อีก.. เราจะคบกันได้ยังไงถ้าผมยังไม่ไว้ใจ.. สักวันมันก็จะเกิดเรื่องอีกอยู่ดี เกิดเพราะความที่ผมไม่ไว้ใจเนี่ยแหละ.."

"นัท..โธ่" มกรฟังแล้วแทบอยากจะชกตัวเอง นี่อดีตมันย้อนรอยเขาขนาดนี้เชียวหรือ "ขอให้เชื่อใจพี่ได้ไหม..พี่ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นจริงๆ"
ณัฐวีร์ยิ้มอย่างเลือดเย็น "ผมเคยเชื่อใจ.. แต่สุดท้ายมันก็เป็นเหมือนที่ผ่านมาไงครับ ดังนั้น ผมไม่อยากถูกหลอกซ้ำอีก คราวแรกพี่ก็ทำดีหลอกให้ผมตายใจ คราวนี้.. มันอาจจะเป็นแบบเดิมก็ได้ใครจะไปรู้.."

"ต้องทำยังไงให้นัทเชื่อพี่ล่ะ" มกรพูดอย่างอ่อนใจ..
"ออกไปจากที่นี่.. ออกไปจากชีวิตผมเสียที" ณัฐวีร์เอ่ยอย่างมั่นคง "อย่ามาให้ผมเจอหน้าพี่อีก แบบนั้นผมถึงจะเชื่อใจได้"

"แต่ว่า.."

"แค่นี้พี่ก็ทำไม่ได้แล้ว.. จะให้ผมเชื่อใจพี่ได้ยังไง!" ณัฐวีร์ตวาด "ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้ ผมอยากพักผ่อน!"
มกรจำต้องเดินออกมาจากห้องน้อง เขาส่งสายตาเว้าวอนไปให้แต่ดูเหมือนณัฐวีร์จะไม่ได้สนใจ น้องปิดประตูใส่หน้าทิ้งร่างสูงยืนเคว้งอยู่หน้าห้องนั่นเอง
-----
อีกหลายวันหลังจากนั้น มกรก็ยังพยายามเทียวมาหาณัฐวีร์ที่บ้านอยู่ดี คราวนี้เขาได้พบหน้าฝ่ายนั้นบ้าง แต่กลายเป็นว่าเขาคืออากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน ไม่ว่าจะชวนคุย หรือพยายามทำอะไรให้ ณัฐวีร์จะเมินเฉยเสียทุกครั้ง

แต่มกรก็ยังไม่ละความพยายาม เขาเชื่อว่าสักวัน เขาจะทำให้ณัฐวีร์เชื่อใจได้
จากนั้นอีกกว่าสองอาทิตย์ที่บรรยากาศมืดมัวยังคงแผ่ปกคลุมไปทั่ว

กระทั่งครอบครัวนี้ย้ายไปอยู่ที่ทองหล่อแล้ว มกรก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชนะใจณัฐวีร์ได้ หนำซ้ำดูเหมือนจะหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะจากที่หลบหน้า มาสู่การเมินเฉย จนถึงขั้นถัดไปที่ณัฐวีร์ทำยิ่งกว่า
-----

โพสต์ไปอีก 2 ตอน..ฮูเร้

ใกล้จะจบแล้วนะคะ นี่ก็ว่าจะเปิดจองแล้วล่ะ ถ้ายังไงติดตามรายละเอียดที่เพจกันได้นะคะ ถ้าเปิดจองจะโพสต์แจ้งไว้ค่ะ

อีกอย่างคือ งานสัปดาห์หนังสือ ทาง morse ไปออกบูธกับสนพ.สะพาน และเบเกอรี่บุ๊คด้วยนะคะ นักอ่านท่านไหนสนใจเรื่องเก่าๆก็ไปลองดูได้ค่ะ

มอสคงไปที่บูธเบเกอรี่บุ๊ควันที่ 29 มีนาคมค่ะ ถ้ามีใครแวะไปก็ทักทายกันได้นะคะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2015 12:07:56 โดย pae666 »

ออฟไลน์ PoPuAr

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
«ตอบ #486 เมื่อ08-03-2015 12:35:35 »

นึกว่าจะได้คืนดีกัน เลวร้ายกว่าเดิมลงไปอีก
สงสารพี่แมนมาก พยายามต่อไปนะพี่ น้องนัทรักพี่อยู่แล้ว
เพียงแต่น้องยังขาดความเชื่อใจในตัวพี่ คนที่เคยเจออย่างนัทเมื่อในอดีต
ก็ย่อมที่จะไม่เชื่อใจอะไรง่ายๆอีกแล้ว พี่ต้องทำให้นัทกลับมาเชื่อใจพี่ให้ได้
ให้เวลาน้องนัทเค้าได้คิดทบทวนอะไรก่อนนะ เชื่อว่ารักไม่ทิ้งพี่ไปแน่นอน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
«ตอบ #487 เมื่อ08-03-2015 13:36:53 »

หนักกว่าเดิมอีกแต่รู้สึกสะใจมาก คือมันใช่อะ สำกรับคนที่โดนทำขนาดนี้แล้วจะมาขอให้อภัยให้กันง่ายๆมันใช่หรือ มันก็ต้องมีบทเรียนกันบ้าง ถึงจะรักขนาดไหนก็ตาม ชอบนัทจริงๆ

ออฟไลน์ heaven13

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
«ตอบ #488 เมื่อ08-03-2015 17:24:56 »

ไม่อยากอ่านดราม่าแล้ววววว

รอตอนต่อไป ขอหวานๆนะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
«ตอบ #489 เมื่อ10-03-2015 19:57:49 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
« ตอบ #489 เมื่อ: 10-03-2015 19:57:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ disney

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
«ตอบ #490 เมื่อ11-03-2015 01:19:45 »

แมนดูน่าสงสารนะ แต่อีกใจก็สมน้ำหน้า เอ๊ะ ยังไง 555

แต่ยังไงก็อยากให้สมหวัง happy กันทั้งคู่แหละ

แมนอดทนง้อหน่อยละกัน

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
«ตอบ #491 เมื่อ11-03-2015 02:08:24 »

อยากจะบอกแมนว่า พอเดะวะ นัทไม่ต้องการจะตามทำไม ทำไปมีแต่นัทรำคาญ หึหึ ประชดนะ

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
«ตอบ #492 เมื่อ16-03-2015 20:15:00 »

มาต่อแล้วค่ะ  :katai4:
ว่าจะลงตั้งแต่เมื่อวาน แต่เน็ทไม่เป็นใจเลย
*******

อีกหลายวันหลังจากนั้น มกรก็ยังพยายามเทียวมาหาณัฐวีร์ที่บ้านอยู่ดี คราวนี้เขาได้พบหน้าฝ่ายนั้นบ้าง แต่กลายเป็นว่าเขาคืออากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน ไม่ว่าจะชวนคุย หรือพยายามทำอะไรให้ ณัฐวีร์จะเมินเฉยเสียทุกครั้ง

แต่มกรก็ยังไม่ละความพยายาม เขาเชื่อว่าสักวัน เขาจะทำให้ณัฐวีร์เชื่อใจได้
จากนั้นอีกกว่าสองอาทิตย์ที่บรรยากาศมืดมัวยังคงแผ่ปกคลุมไปทั่ว

กระทั่งครอบครัวนี้ย้ายไปอยู่ที่ทองหล่อแล้ว มกรก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชนะใจณัฐวีร์ได้ หนำซ้ำดูเหมือนจะหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะจากที่หลบหน้า มาสู่การเมินเฉย จนถึงขั้นถัดไปที่ณัฐวีร์ทำยิ่งกว่า

รถยนต์คันสวยแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าร้านตอนเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว มกรที่นั่งอยู่ด้านในชะเง้อออกไปดู แล้วจึงเห็นว่าคนที่ก้าวลงมาจากรถก่อนคือณัฐวีร์

"ใครมาส่ง"
คุณวีรชาติเองยังเอ่ยถาม รถคันนั้นไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาก่อนเลย ที่สำคัญณัฐวีร์ไม่เคยขึ้นรถใครกลับมาจากมหาวิทยาลัย เพราะตัวเองก็มีรถขับ แต่บางครั้งที่ไม่ได้ขับไป ณัฐวีร์ก็จะนั่งรถไฟฟ้าหรือรถสาธารณะกลับ ไม่เคยมีใครมาส่ง

มกรผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นคนขับรถก้าวลงมา ชายแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก ช่วยณัฐวีร์ถือของจากหลังรถเดินเข้ามาส่งถึงในบ้าน ร้อนถึงคุณวีรชาติต้องออกโรงเรียกมกรเอาไว้

"เดี๋ยวแมน.. รอก่อน"

ป๊าวีนั้นเดาใจลูกชายไม่ถูก อาจจะอยากแกล้งมกร หรืออาจจะแค่เพื่อนกันมาส่งที่บ้านธรรมดาก็เป็นไปได้ ดังนั้น จึงจำต้องสงวนท่าทีรอดูณัฐวีร์ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ

มกรมีท่าทางลังเล เขามองไปนอกร้านเห็นสองคนนั่นยืนคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานก็อยากจะออกไปยืนเป็นก้างขวางคออยู่เหมือนกัน แต่เพราะป๊าวีเรียกไว้ทำให้เขาต้องถอยตัวลงมานั่ง

มือใหญ่ของชายสูงวัยตบลงบนบ่าหนาเบาๆ "ใจเย็น นิ่งๆไว้เดี๋ยวดีเอง"
คุณวีรชาติก็ไม่รู้หรอกว่าจะดีหรือไม่ แต่จะอนุญาตให้มกรไปลุยก็ไม่ใช่เรื่อง

ยี่สิบนาทีผ่านไป การโบกไม้โบกมือลากันจึงทำให้เส้นความอดทนของมกรหมดลง อีกฝ่ายเดินไปขึ้นรถแล้ว ณัฐวีร์ก็ยังยืนอยู่นอกร้านเหมือนยืนส่งกันจนน่าจะรอให้ท้ายรถลับตาไป..เหมือนว่ายัง..อาลัยอาวรณ์..

เห็นแบบนั้นก็สุดจะทนแล้วจริงๆ มกรลุกขึ้นหันมาไหว้ลาวีรชาติและณฐกา "ผมกลับก่อนดีกว่าครับ.. น้องเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆจะได้พักผ่อน"
"อ้าว..ไม่รอ.." ยังไม่ทันที่วีรชาติจะเอ่ยจบประโยค มกรก็หันตัวเดินลิ่วๆออกไปที่ประตูแล้ว

จังหวะนั้น ณัฐวีร์ผลักประตูเข้าร้านมาพอดี สายตาของเด็กหนุ่มจึงมองสบกันกับมกรเข้า แต่แทนที่ณัฐวีร์จะเมินไปก่อน..กลับกลายเป็นมกรที่เมินหนี แล้วร่างสูงก็เบี่ยงตัวหลบเดินออกไปที่ลานจอดรถไม่หันกลับมาเลย

ณัฐวีร์มองตามแล้วก็หงุดหงิด ใครกันแน่ที่ต้องเป็นฝ่ายเมิน นี่เขายังไม่ได้ยกโทษให้เลยนะ!
เด็กหนุ่มเดินมานั่งลงที่โต๊ะ ใบหน้านั้นบูดสนิท เขายกน้ำที่คนงานในร้านเอามาให้ดื่มทำท่าจะดื่ม แต่ก็คาใจจนดื่มไม่ลง ต้องวางแล้วบ่น "เป็นอะไรของเขาอีก"

เสียงบดห้ามล้อดังเอี้ยดเหมือนคนขับรถจะใส่น้ำหนักเท้าเหยียบคันเร่งอย่างไม่คิดชีวิต ณัฐวีร์จึงรีบหันไปดูที่นอกถนน
รถคันนั้นเลี้ยวออกมาจากลานจอดรถตีโค้งปาดหน้าใครต่อใครแล้วไปเบรคจ่ออยู่ตรงถังขยะที่ตั้งล้ำจากขอบทางออกมาเล็กน้อย..

ถ้าไม่เบรคเสียก่อนมีหวังคงแหกโค้งเสยทั้งถังขยะและเสาไฟฟ้าแน่ๆ
ณัฐวีร์อุทานอย่างตกใจทำท่าจะวิ่งออกไปดู.. แต่แล้วรถคันนั้นก็ถอยหลังเล็กน้อยให้พ้นเหลี่ยมชน แล้วเร่งออกไปทันที
อาการยืนคว้างของณัฐวีร์ทำให้คุณวีรชาติกับคุณณฐกามองหน้ากัน
"นี่เขาเป็นบ้าอะไรของเขาอีกเนี่ย!" ณัฐวีร์บ่นแล้วก็ถอยตัวกลับมานั่งลงที่เก้าอี้



"ก็เรานั่นแหละ ต้นเหตุ" ณฐกาเอ่ยกับลูกชาย “นัทมีชีวิตของนัท แล้วแต่การตัดสินใจของลูก แม่ให้อิสระเสมอ แต่นัทควรจะต้องรู้นะว่านัทกำลังทำอะไร”

ณัฐวีร์ถึงกับเหวอ.. ทำไมเขาโดนดุล่ะ?
"เดี๋ยวนะฮะแม่ไก่ นัทไปทำอะไร นัทเดินเข้ามาเฉยๆ"

"แล้วพาใครมา?" แม่ไก่ของลูกแมนออกอาการแทนลูกเขยเสียแล้ว
"เพื่อนครับ.. วันนี้ต้องขนของจากสโมฯมาไว้ที่บ้านก่อน พรุ่งนี้ค่อยเอาไปทำกิจกรรมนอกสถานที่กัน"
"แล้วทำไมไม่ไว้ในรถเพื่อนคนนั้น" คราวนี้กลายเป็นวีรชาติถามขึ้นมาบ้าง

ณัฐวีร์ก็อ้ำอึ้ง.. บอกตามตรงคือเขาเสนอตัวเอง คะยั้นคะยอให้เพื่อนมาส่ง ส่วนหนึ่งก็เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองด้วย เขาแค่อยากเห็นว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรเวลาที่เขามีใครอีกคนคุยด้วย เหมือนที่เขาเคยรู้สึกหรือเปล่า.. ตอนที่ฝ่ายนั้นทิ้งไปคุยกับใครต่อใคร ไปทำตัวเหมือนไม่มีเขาไปด้วยกัน

เพราะเขายังไม่สามารถให้อภัยกับอดีตที่ผ่านมาได้ เขาจึงแก้คืนในส่วนที่เคยถูกกระทำ
อาการอ้ำอึ้งของณัฐวีร์ทำให้บิดาส่ายหน้า "อย่าเล่นกับความรู้สึกคนแบบนี้นะนัท"
ประโยคนั้นทำให้ณัฐวีร์อ้าปากจะปฏิเสธ แต่พอเห็นทั้งป๊าและแม่มองกลับมาอย่างไม่ชอบใจ ณัฐวีร์ก็ได้แต่อ้อมแอ้ม "นัทจะทำโทษเขาบ้าง เขาทำนัทไว้ตั้งเท่าไรเขายังไม่เคยสงสารนัทเลยนะป๊า"

"แล้วเราต้องทำอย่างเขาหรือ เขาทำไม่ดีเราก็รู้ว่าเขาทำไม่ดี แล้วเราก็ทำไม่ดีตามเขาหรือ" วีรชาติถามลูกชาย
"นัทโตแล้ว นัทต้องรู้แล้วว่าสิ่งไหนดีไม่ดี" ณฐกาซ้ำทันที

เมื่อก่อนถ้าป๊าดุแม่จะปลอบ หรือถ้าแม่ดุป๊าจะโอ๋ ..ตอนนี้ไม่มีแล้ว.. ทั้งป๊าทั้งแม่ เข้าข้างคนอื่นมากกว่าลูกไปแล้ว ณัฐวีร์ทำตาปริบๆ

"ถ้าโมโหเขามาก ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเห็นหน้าก็บอกเขาตรงๆ และไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก บอกไปเลยว่าเกลียด ไม่อยากเจอ อย่าให้ความหวัง ต่างคนต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง"
"ป๊า.." ณัฐวีร์เอ่ยเบาๆเมื่อเห็นว่าวีรชาติกำลังเอาจริง

"ป๊าไม่เคยสอนให้นัทเป็นคนแบบนี้"
"นัทขอโทษ" เด็กหนุ่มยกมือขึ้นไหว้บิดาและมารดา "คราวหลังจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว"

คุณวีรชาติพอเห็นลูกอ่อนลงก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะเบาๆ "จำไว้นะณัฐวีร์.. ถ้าไม่อยากให้ใครทำอะไรแย่ๆกับเรา เราก็อย่าไปทำแย่ๆกับเขา"

ลูกชายพยักหน้ารับ "ครับ.. นัทจะไม่ทำแบบนั้นอีก นัทจะพูดให้ชัดเจน ถ้าเขารับได้ ยอมทำตามที่นัทบอก นัทก็จะยอมเชื่อใจเขาอีกครั้ง"
ณัฐวีร์บอกแก่บิดาและมารดาด้วยใบหน้ามุ่งมั่น

-------
สี่วันแล้วที่มกรไม่มาที่บ้านทองหล่ออีกเลย
แต่ยังพอวางใจได้ว่าตอนแม่ไก่โทรไปหาคุณแม่มน ก็ได้รับข่าวว่าเขายังไปทำงานดี ไม่ได้ป่วยหรือไปเสยเสาไฟฟ้าที่ไหน
ณัฐวีร์นั่งมองมือถือแล้วเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ.. ไม่ใช่แค่ตัวที่หายไป การติดต่อสื่อสารต่างๆก็หายตามไปด้วย
ไม่มีไลน์ ไม่มีเมล ไม่มีการกดไลค์หรือคอมเม้นท์ใดๆที่เฟส..

ว่าแล้วณัฐวีร์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กอีกที.. ไม่มีการแจ้งเตือนใหม่ และเฟสของฝ่ายนั้นก็นิ่งมาได้สี่วันแล้วเช่นกัน ไม่มีการอัพรูป ไม่มีอัพสถานะ ไม่มีเช็กอิน เหมือนเป็นเฟสร้าง มีแต่คำบอกเล่าจากแม่มนว่า

"กลับดึก.. เห็นที่บริษัทบอกว่านั่งทำงานอยู่เกือบสามทุ่ม เมื่อวานก็เข้าไปเคลียร์งาน"
ณัฐวีร์วางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด.. เคลียร์งาน.. วันเสาร์เนี่ยนะ?

ปกติวันเสาร์จะเป็นวันที่มกรจะมาคลุกอยู่ที่บ้านเขาทั้งวัน ต่อให้เขาไม่อยู่ หรือเขาไม่ยอมพูดคุยด้วย ฝ่ายนั้นก็จะพยายามมาป้วนเปี้ยน วนเวียนให้เห็นในสายตา ให้ได้ยินเสียง หรือให้ได้กลิ่นโคโลญจน์กันบ้าง ไม่ต้องจุดธูปเรียก เดี๋ยวก็มา..

แต่นี่หายไปสี่วันแล้ว.. เกินกว่าสามวันอันตรายแล้ว ทำไมยังไม่เห็นตัวเห็นหัวกันเลย
การต้องมานั่งอยู่กับบ้านในบ่ายวันอาทิตย์นี่มันน่าเบื่อดีแท้ ณัฐวีร์สอดส่ายสายตามองไปรอบร้าน อีกห้าวันร้านจะเปิดตามฤกษ์ที่ป๊าวีไปหามาได้ วันนี้ป๊ากับเด็กที่ร้านอีกสองคนเลยออกไปตั้งแต่สายๆ เพื่อหาซื้อของเข้าร้าน ปล่อยให้เขาอยู่ดูแลแม่ไก่กับเด็กผู้หญิงที่ร้านอีกคน

ณัฐวีร์มองความเงียบเชียบ แล้วก็มาหยุดสายตาลงที่โทรศัพท์อีกครั้ง.. ไม่รู้จะทำอะไรก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูการแจ้งเตือน เข้าไปในหน้าเฟสของมกรอีกจนได้
---

"ไอ้..ควาย.."

คำด่าสุดจะหยาบคายดังมาทางโทรศัพท์ ทำเอามกรหัวเราะร่วนให้กับคนด่า
"มึงจะสรรหาคำด่าที่มันดูทันสมัยกว่านี้ไม่มีแล้วหรือไงวะ.. ด่ากูอยู่แต่คำเดิมๆเนี่ย"

"ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายมันสมองมึงไอ้แมน.. ไปบอกทำไมเล่าเรื่องแบบนี้ใครเขาให้ชี้แจงแถลงไข เก็บเงียบไว้ก็ไม่มีใครรู้ ที่สำคัญน้องก็ไม่รู้หรอกถ้ามึงไม่บอกว่าตั้งกล้องไว้น่ะ" แชร์สวดยับเลยทีเดียว

"ก็จริงใจ.. อยากให้นัทเห็นว่ากูบอกแล้วทุกเรื่อง"

"บางเรื่องมึงปิดไว้บ้างก็ได้.. ไอ้บลูซัฟฟาย"

“มึงคงไม่ได้ด่ากูเป็นอัญมณีมีค่าขนาดนั้นใช่ไหม” มกรหัวเราะแล้วขยับเปลี่ยนโทรศัพท์มาถืออีกมือ คุยกันมานานพอควรเขาก็เลยเมื่อยบ้าง คราวนี้เขาเอาข้อศอกท้าวไว้กับประตูรถช่วยค้ำให้คลายเมื่อยไปอีกแรง สายตาก็มองไปยังประตูร้านอาหารที่ยังปิดเงียบ เพราะกว่าจะถึงฤกษ์เปิดร้านก็คงจะอีกหลายวัน

"ไม่เอาอ่ะ อยากจะบอกให้ครบ ไม่อยากให้เขามารู้เอง.." มกรทอดเสียงอ่อนลง เรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ณัฐวีร์ได้ยินจากไอ้กรุง ไอ้เอ มันบั่นทอนความมั่นใจของเขาไปมากโข วันนั้นทุกอย่างเกือบจะดีอยู่แล้วถ้าไม่เจอไอ้พวกนั้น ไม่ถูกพูดในสิ่งที่บิดเบือนจากอดีต ถ้าเมื่อก่อนเขาจะไม่ประชดชีวิต ยอมรับความจริง พูดความจริง เรื่องราวก็คงไม่ย่ำแย่ลงอย่างนี้

ดังนั้น.. ถ้ามีอะไรที่เขายังไม่ได้บอก เขาก็จะบอกณัฐวีร์ให้หมด จะไม่ปิดบังเอาไว้อีก
แชร์เองก็นิ่งไปเช่นกัน.. เขาเองก็มีบางเรื่องที่ยังไม่ได้บอกเพื่อน

ตอนที่ตั้งกล้องไว้ เขาก็กดอัดคลิปตามปกติที่เคยทำกัน.. แต่ที่เขายังไม่ได้บอกเพื่อนก็คือ คลิปนั้นถูกทำลายไปตั้งแต่อุบัติเหตุที่เชียงใหม่เมื่อสองปีก่อนแล้ว

ซึ่งเขาก็ควรบอกเพื่อนให้รับรู้ไว้ว่ามันไม่มีอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว.. เพื่อนจะได้ไม่วิ่งโร่ไปแจ้งณัฐวีร์ว่าเคยอัดคลิปไว้ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องหนักกว่าเดิม

พูดตามตรง ต่อให้ใจแข็งหรือสารเลวแค่ไหน.. เห็นคนเจ็บนอนอยู่บนพื้นถนนต่อหน้าแล้วยังกล้าเก็บคลิปบนเตียงนั่นไว้ดูอีกก็ไม่ใช่คนแล้ว

"เออ เรื่องคลิปน่ะ..กูว่าจะบอกอยู่.. คือ.." แชร์ตัดสินใจจะพูดออกไป แต่แล้ว..
"นัท?.." มกรเรียกชื่อนั้นออกมาก่อนจะขยับตัวเพ่งมองไปยังหน้าร้าน

"เฮ้ย..อะไร?" แชร์เอ่ยถามเมื่อเพื่อนร้องอุทานอย่างตกใจออกมาอีกคำ
แต่มกรก็รีบตัดบททันที "เออๆ แค่นี้ก่อน เดี๋ยวกูไปดูทางนั้นก่อนแล้วจะโทรไป"

มกรกดตัดสายแล้วเหยียบคันเร่งพุ่งรถออกไปยังร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาเห็นณัฐวีร์กำลังยืนละล้าละลังอยู่ที่หน้าร้าน หมุนไปหมุนมาเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ที่สำคัญถ้ามองไม่ผิด ..เสื้อยืดที่ใส่อยู่กับบ้านตัวเก่งที่เห็นชอบใส่ประจำ..มีคราบเลือด..
มกรจอดรถแล้ววิ่งลงไปหาน้องทันที นั่น..เลือดจริงๆเสียด้วย

"นัท!"
เสียงเรียกทำให้ใบหน้าซีดขาวของณัฐวีร์หันมาหา เขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนเรียกเป็นใคร

"พี่.."
มือเล็กๆที่เปื้อนเลือดนั่นสั่นระริก ณัฐวีร์ยื่นส่งมาหาทำให้มกรก้าวไปคว้ารวบเอาไว้ทั้งสองมือ
"เกิดอะไรขึ้น?!"

มกรถามด้วยความเป็นกังวล แต่ยังไม่ทันที่น้องจะตอบ เสียงไซเรนของรถพยาบาลก็ดังใกล้เข้ามา ณัฐวีร์เหลียวไปมอง น้ำตาของเขาไหลออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เขาหันกลับมาลนลานดึงมือออกจากการเกาะกุมแล้วเปิดประตูกว้าง จนมกรมองเข้าไปเห็นร่างที่นั่งเอนอยู่บนเก้าอี้

"..แม่..แม่.."

ณัฐวีร์ร้องเรียกมารดาที่ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เด็กคนงานในร้านที่นั่งจับมือณฐกาเป็นเพื่อนกันก็หน้าซีดๆไม่แพ้กัน
ตอนนี้คนที่ดูจะนิ่งที่สุดกลับกลายเป็นมกร.. ชายหนุ่มวิ่งลงไปที่ถนนโบกเรียกรถพยาบาล เมื่อรถจอดเขาก็ตรงมาเปิดประตูร้านออกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ได้พาณฐกาออกมา

ตอนที่ยกเปลที่มีร่างของแม่ขึ้นรถพยาบาล ณัฐวีร์และมกรก็ปรี่ขึ้นรถตามไปเช่นกัน ตอนแรกเจ้าหน้าที่กันไว้ทั้งคู่ "คนไม่เกี่ยวข้องขึ้นไม่ได้นะครับ"

แต่คำพูดของณัฐวีร์ทำให้เจ้าหน้าที่ปล่อยพวกเขาทั้งคู่ขึ้นรถไปจนได้ "ผมเป็นลูก ส่วนนี่ลูกเขย"
แล้วณัฐวีร์ก็ลากแขนมกรขึ้นไปบนรถด้วยกันไม่ได้รอฟังคำอนุญาต และเพราะจะมัวชักช้าอยู่ไม่ได้ เจ้าหน้าที่จึงจำต้องปล่อยมกรขึ้นไป

พอรถเคลื่อนตัวออก เจ้าหน้าที่ก็เริ่มปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถด้วยต่างก็พยายามจับแขนและบีบมือแม่ไก่ให้กำลังใจ แต่ไม่รู้ว่าให้กำลังใจแม่ที่เคยคลอดลูกมาแล้ว หรือให้กำลังใจตัวเองที่เพิ่งเคยเห็นการคลอดลูกสดๆร้อนๆชนิดริงก์ไซส์
พยาบาลที่อยู่ด้านท้ายร้องบอกเป็นระยะ "คุณแม่ใจเย็นๆนะคะ หายใจเข้าลึกๆ น้องเริ่มโผล่หัวออกมาแล้ว"

คุณพยาบาลอธิบายพร้อมให้กำลังใจคุณแม่ แต่กลับทำให้ชายสองคนในรถมองหน้ากันด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ถึงมือหมอแล้วนะ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว”

มกรโอบไหล่น้องเข้ามากอดอย่างให้กำลังใจ อีกมือก็จับแขนณฐกาไว้ ส่วนณัฐวีร์ มือข้างหนึ่งก็จิกขามกร อีกข้างก็จับมือแม่
ใจนั้นสุดจะกังวล ยิ่งพยาบาลแจ้งว่าเปิดแล้วกี่เซน กี่เซน โทรหาคุณหมอประสานกับโรงพยาบาลตลอด ณัฐวีร์ยิ่งกังวล
แม่เพิ่งจะท้องได้ 7 เดือนกว่าๆเท่านั้น จู่ๆแม่ก็บอกว่าน้ำเดินแล้วให้เรียกรถพยาบาล วางสายจากการเรียกรถไปได้แป๊บเดียวเลือดก็
ไหลออกมาจนเขาทำอะไรไม่ถูก

"ใจเย็นๆนะ แม่ไก่ต้องไม่เป็นอะไร"

มกรกระซิบบอกพร้อมกับกระชับอ้อมแขนอย่างให้กำลังใจน้อง ณัฐวีร์เองก็พยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตามันไหลลงมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

ทั้งแตกตื่นตกใจ ทั้งอุ่นใจในเวลาเดียวกัน..

ตกใจเพราะไม่คิดว่าแม่จะคลอดก่อนกำหนด ไม่เคยมีสัญญาณมาก่อน หมอกับป๊าก็ไม่เคยบอก แต่ตอนนี้อุ่นใจ.. อุ่นใจที่มีใครคนหนึ่งอยู่ข้างๆกัน.. คอยแบ่งปันช่วงเวลาที่น่าระทึกนี้ด้วยกัน

เมื่อตอนที่เห็นว่ามกรเลี้ยวรถเข้ามา เมื่อตอนที่ร่างสูงพุ่งเข้ามาหาและจับมือกันไว้..
ณัฐวีร์รู้สึกถูกเติมเต็มหัวใจ..

หัวใจที่เหี่ยวเฉาและรอคอยมานาน..

วันอาทิตย์แบบนี้รถพยาบาลใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงโรงพยาบาล ความวุ่นวายโกลาหลเริ่มต้นขึ้นเมื่อรถฉุกเฉินเปิดประตู สองหนุ่มวิ่งตามเตียงพยาบาลไปจนถึงห้องเตรียมคลอด ทั้งแพทย์และพยาบาลมากมายยืนรออยู่ที่ห้องนั้นแล้ว
ทันทีที่ห้องคลอดปิดประตูลง ณัฐวีร์ก็เหมือนจะหมดแรงนั่งแปะลงตรงนั้นเอง
-----------------------

แฮ่ จบไปอีกตอนค่ะ
  :mew1:

มีข่าวมาประชาสัมพันธ์นิดหน่อย ณ งานสัปดาห์หนังสือ วันที่ 29 เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสาม มอสไปช่วยเบเกอรี่บุ๊คขายหนังสือนะคะ ใครแวะไปแถวนั้นวันนั้นทักทายกันได้ค่ะ

มาเม้าท์มอยกันเน้อ  :katai3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
«ตอบ #493 เมื่อ16-03-2015 21:32:57 »

โหย ตื่นเต้นมากเลยอะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
«ตอบ #494 เมื่อ16-03-2015 23:13:15 »

ง่าาาา ขอให้ปลอดภัยทั้งคู่นะ  :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
«ตอบ #495 เมื่อ17-03-2015 00:03:41 »

ผู้ปลุกปลอบชีวิตใหม่ของแม้นกำลังจะมาถึงแล้ว

จะโกรธก็โกรธไปแต่ก็อย่าลืมใจตัวเองด้วย
พ่อวีร์นี่เลี้ยงลูกดีจริงๆ

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
«ตอบ #496 เมื่อ17-03-2015 01:32:16 »

รักพ่อของนัทมากขึ้นทุกวัน ^^

ออฟไลน์ wargroup

  • Twitter/IG : @inaSSusani
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 454
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-3
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
«ตอบ #497 เมื่อ22-03-2015 20:14:32 »

พึ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ สนุกมาก ชอบมาก ทางเขียนโดนใจ เก็บรายละเอียดเนียน ชวนติดตาม
เป็นพระเอกสายเลวเล้วเลว ที่น่าเอาใจช่วยมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลย
และเขียนได้เคลียร์ใจคนอ่านมากๆ จนเชียร์พระเอกอ่ะคิดดู ปรกติแช่งชักหักกระดูก
ลุ้นวันที่แม้นศรีและณัฐวีร์จะแฮปปี้กัน ชอบนายเอกแบบณัฐมากๆด้วย ฉลาด เอาตัวรอดได้ดี
นี่ไปกดไลค์เพจมาแล้ว รอจองหนังสือเลยค่ะ +1 ให้คนโพสท์ด้วยแจ้




ออฟไลน์ FahFon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
โพสนิยายยังไม่จบ คนแต่งเปิดจองก่อน ระวังโดนพี่โมฯดุนะคะ ^^

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
โพสนิยายยังไม่จบ คนแต่งเปิดจองก่อน ระวังโดนพี่โมฯดุนะคะ ^^

ลืมกฎข้อนี้ไปเลย ขอบคุณมากค่ะที่เตือน
ยังไงก็จะลงพี่แม้นจนจบค๊าบบบบ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 54-55 27.03.58 (P.17)
«ตอบ #500 เมื่อ27-03-2015 14:11:31 »

 มาแบ้วแจ้...
สั้นๆก่อนนา เดี๋ยวอีกตอนค่อยลงยาวๆ (ถ้าทันอ่ะนะ)
----.


มกรส่งกระดาษเช็ดมือแบบเปียกมาให้ พร้อมกับน้ำดื่มและถุงขนม
ณัฐวีร์มองทุกอย่างที่ยื่นมาพลางคิดว่า..อีกฝ่ายคงไม่รู้วิธีที่จะดูแลใครสักคนจริงๆ ถึงได้ไม่ดูเวล่ำเวลา ไม่เข้าใจสถานการณ์แบบนี้ เด็กหนุ่มรับมาเพียงน้ำกับทิชชู่เปียก ส่วนขนม เขาแค่เหล่มองแล้วก็เมิน
พี่แมน.. ยังไม่พร้อมจะดูแลใครเลย..
"ขอบคุณครับ"
พอน้องบอกเช่นนั้นคนพี่จึงนั่งลงข้างๆ เทขนมออกจากถุงพลาสติก แล้วเปิดถุงอ้ารอให้น้องทิ้งขยะลงมา
ณัฐวีร์เช็ดไปก็มองการกระทำของอีกฝ่ายไป จะเรียกว่าไม่พร้อมดูแลใครก็ไม่ได้ อยากดูแลให้ดี แต่ก็แค่ยังไม่พร้อมสมบูรณ์ต่างหาก
เด็กหนุ่มหย่อนขยะลงถุง แล้วจึงหันไปรับขวดน้ำดื่มจากมกร
“โทรบอกป๊าแล้วยังครับ” มกรเอ่ยถามพลางใช้ทิชชู่เปียกเช็ดแขนน้อง
“โทรแล้วครับ เดี๋ยวป๊ามา”
ชายหนุ่มหยิบขวดแอลกอฮอล์มาเทใส่สำลีที่ซื้อมาจากร้านซุปเปอร์แล้วเริ่มลงมือเช็ดแขนเช็ดมือน้อง แต่ณัฐวีร์คงรู้สึกได้ถึงสายตาของเจ้าหน้าที่แถวนั้น เขาจึงคว้าเอามาเช็ดเอง
“ผมจัดการเองพี่..”
มกรทำตาละห้อย ตัวเขาเองไปล้างทำความสะอาดที่ห้องน้ำมาแล้ว แต่น้องไม่ยอมไป เขาจึงหาทางที่ดีที่สุดมาให้ ซึ่งดูเหมือนน้องก็ยังไม่ถูกใจอยู่ดี
นั่งมองน้องอยู่ครู่เดียว เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากหน้าห้องคลอด มกรเปิดประตูกระจกออกไปยืนข้างนอกเพื่อหยิบโทรศัพท์มาโทรหาคุณวีรชาติ การออกมาใช้เสียงนอกบริเวณ ก็เพื่อว่าจะได้ไม่รบกวนใคร
“ป๊าวี ผมเองครับ ..ครับ ตอนนี้อยู่กับนัท ป๊าอยู่ไหนแล้วครับ”
ปลายสายบอกสถานที่มา ซึ่งก็ไม่ห่างจากโรงพยาบาลเท่าไรแล้ว ชายหนุ่มจึงยิ้มแล้วตอบ “ตอนนี้ได้แต่รอครับ ไม่ต้องรีบก็ได้.. ครับขับรถปลอดภัยนะครับ ทางนี้เดี๋ยวผมดูแลน้องให้”
ขณะที่พูดแบบนั้น ชายหนุ่มก็หันไปมองด้านใน จึงได้เห็นว่าณัฐวีร์เองก็มองมาเช่นกัน เด็กหนุ่มเหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเบือนหน้าไปทางอื่น
มกรยิ้มอีกครั้ง “สวัสดีครับป๊า”
เขาวางสายแล้วลดโทรศัพท์ลง บอกตามตรงว่าตั้งแต่เกิดเรื่องฉุกเฉินกับแม่ไก่ เขารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างในตัวณัฐวีร์ที่เปลี่ยนไป อาจจะไม่ถึงกับแสดงออกนอกหน้าว่ายินดีที่ได้เจอเขาอีกครั้ง แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าณัฐวีร์ยินดีอยู่บ้างที่ได้เห็นว่าเขายังอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน
มกรยิ้มให้กับความคิดนั้น เขายืนกอดอกอิงกำแพงและมองดูณัฐวีร์ที่นั่งอยู่ด้านใน.. สังเกตดูว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรถ้าเขาไม่ได้เข้าไปหา จะหันมามองไหม จะพะวงถึงเขาไหม..
แล้วเพราะเขาเริ่มสังเกต ถึงได้เห็นว่าความสนใจของอีกฝ่าย ก็โอบล้อมอยู่รอบๆตัวเขานี่เอง
ณัฐวีร์มักหันกลับมามองแต่พอเห็นเขายืนมองอยู่ ฝ่ายนั้นก็จะทำเป็นเมินหลบตาไป เป็นอย่างนี้อยู่สองสามหนมกรก็หัวเราะเบาๆอย่างมีความสุข
คุณวีรชาติมาถึงในเวลาไม่นานจากนั้น และเมื่อบิดาเข้ามาบรรยากาศดีๆระหว่างคนสองคนก็ถึงเวลาต้องพักไว้ก่อน
ณัฐวีร์ตรงเข้าไปหาบิดาเมื่อทักทายพูดคุยกันทั้งคู่ก็นั่งรออยู่หน้าห้องคลอด มกรเองก็เดินกลับเข้ามาสมทบ ทำให้ผู้ชาย 3 คนนั่งรอชีวิตใหม่กันอย่างใจจดใจจ่อ
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องคลอดก็เปิดออกมา นายแพทย์หนุ่มเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มและข่าวดี
“น้องเป็นเด็กผู้ชายครับ.. คุณแม่ปลอดภัยดี แต่คลอดก่อนกำหนดแบบนี้หมอขอให้น้องอยู่ในตู้อบก่อนนะครับ ไม่ต้องคิดมากกันนะครับ น้องตัวเหลืองเท่านั้นเองไม่มีอะไรมาก เดี๋ยวยังไงเชิญคุณพ่อตามพยาบาลไปเซ็นเอกสารทางนี้นะครับ”
ทั้งหมดรับรู้ด้วยความโล่งใจ ต่างเดินตามบิดาเพื่อไปจัดการเอกสาร เมื่อจัดการเรื่องเกี่ยวกับเอกสารเรียบร้อยหมดแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันมาหยุดที่ห้องเด็กเพื่อยืนมองเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังนอนหายใจนิ่งๆอยู่ในตู้อบ
ความรู้สึกหลากหลายที่ประดังประเดเข้าใส่มกร เป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถอธิบายออกมาได้หมดภายในเวลาอันสั้น เพราะมันหลากหลายอารมณ์ปนเปกันเหลือเกิน ทั้งเต็มตื้นใจ ยินดี และ..หวาดกลัว
เต็มตื้นที่เขาได้เป็นประโยชน์แก่คนบ้านนี้
ยินดีที่ได้เห็นหนึ่งชีวิตใหม่..
..แต่เขากลับไม่เข้าใจความหวาดกลัวที่เกิดขึ้น หัวใจเขามันเต้นแปลกๆเวลาเห็นกราฟหัวใจที่วิ่งขึ้นลงนั่น กลัวว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นเพียงความฝัน เด็กน้อยที่เกิดมานี้อาจหยุดหายใจไปเมื่อไรก็ได้ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ติดเต็มตัวไปหมด อาจไม่สามารถช่วยยื้อชีวิตน้อยๆนี้ไว้ได้..
เขา..คงทนรับความสูญเสียเช่นนั้นไม่ไหวอีก
ชีวิตเล็กๆที่เพิ่งเกิดขึ้นมา เขาอยากให้เติบโตต่อไป อย่างปลอดภัย ..และงดงาม
ถ้าเกิด..เส้นนั้นไม่ขึ้นลง และมันกลายเป็นเส้นตรงไปต่อหน้าต่อตา..
มกรสบถให้กับความคิดนั้น ชายหนุ่มส่ายหน้าแต่ไม่อาจสลัดแรงกระตุ้นภายในที่ตีตื้นขึ้นมาจนแน่นอกได้ โพรงจมูกมันแสบร้อนจนรู้สึกว่าน้ำตาจะรื้นขอบตา ยิ่งเมื่อเด็กตัวเล็กๆคนนั้นขยับตัว มกรยิ่งสัมผัสได้ถึงชีวิตอีกชีวิตที่เพิ่งจะลืมตาดูโลก
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่น แล้วมกรก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้อีกต่อไป
"เอ้า ร้องไห้ทำไมกันพี่ชาย.."
เสียงนั้นทำให้มกรรีบยกนิ้วขึ้นแตะใบหน้าตัวเองแล้วเบือนไปมองบิดาของณัฐวีร์ ก่อนจะพบว่า..คนที่ถูกแซวไม่ใช่เขา..
วีรชาตืจับศีรษะลูกชายแล้วโยกไปมา "เป็นพี่ชายแล้ว ไม่ขี้แยสิ"
"ก็มันดีใจ ป๊าอย่าเสียงดังสิ" ณัฐวีร์เอ่ยเบาๆพร้อมกับปาดน้ำตาไปด้วย
คุณวีรชาติหัวเราะแล้วจึงหันมาหามกร "ว่าไงเรา.. นี่ก็ร้องไห้กับน้องเหมือนกันหรือไง.." เขาตบบ่าหนา "ไม่เอาๆ ไม่ต้องร้องนะพี่เขย"
มกรยิ้มกว้างรับคำนั้นทันที
วีรชาติมองใบหน้าของลูกชายคนใหม่ และมองเลยไปยังลูกชายคนเดิมของเขาพลางก็คิดถึงคำพระสอน “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป สุขก็ให้รู้ ทุกข์ก็ให้เห็น ไม่มีสุขถาวร ไม่มีทุกข์ตลอดไป ทุกอย่างมีเกิด และก็มีดับ คนสองคน โกรธกันเดี๋ยวก็ดีกัน ชีวิตคนเราก็มีเพียงเท่านี้”
คุณวีรชาติคิดอย่างปลงๆ ก่อนจะจับมือคนทั้งคู่ไว้ด้วยกันแล้วบอกว่า "ตอนนี้ป๊ามีเจ้าตัวเล็กต้องดูแล เราสองคนก็ดูแลกันเองนะ ป๊าว่าป๊าจะไม่ยุ่งล่ะนะ คุยกันเอง"
"ป๊า..!!" ณัฐวีร์เรียกบิดาด้วยใบหน้าแตกตื่น
"นัทก็อย่าดื้อ อย่าเจ้าคิดเจ้าแค้นนักเลย ปล่อยให้เรื่องเก่าๆมันเป็นแค่อดีตไปแล้วมาช่วยป๊าคิดดีกว่า ว่าเราจะเลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี่ยังไง จะดูแลพี่แมนเขายังไง"
วีรชาติเอ่ยพร้อมบีบมือลูกชาย เขานำมือของณัฐวีร์วางลงในอุ้งมือมกร ก่อนจะบอกว่า "ป๊าฝากเด็กดื้อไว้ด้วย แมนเคยทำผิด แมนรู้อยู่แก่ใจ จากนี้ก็เอาความผิดนั้นมาเป็นบทเรียน และอย่าทำซ้ำ ป๊าคงช่วยได้เท่านี้ ฝากณัฐวีร์ด้วย.. อ้าว เลยร้องไห้ใหญ่เลย.. ไม่เอาน่า"
วีรชาติเอ่ยเช่นนั้นแล้วตบเบาๆลงบนมือลูกชายทั้งคู่ เขายิ้มให้เด็กสองคนก่อนจะมองมือของมกร ที่จับมือณัฐวีร์ไว้ไม่ยอมปล่อย
"เอาล่ะ สองคน.. ป๊าว่ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่า ทางนี้ป๊าจะดูแลเอง กลับไปแล้วก็คุยกันเสียให้รู้เรื่อง.. มาอีกทีขอให้มีคำตอบมาให้ป๊า.. เรื่องแรก จะตั้งชื่อเล่นน้องชายเราว่ายังไงดี กับเรื่องที่สอง เราจะยังไงกันดี.. เราสองคนน่ะ มาเย็นๆเลยก็ได้ ป๊าอยู่ทางนี้เอง"
ณัฐวีร์พยักหน้ารับ เขาปรายตามองใบหน้ากับตาแดงๆของอีกคน พอทางฝั่งนั้นมองตอบกลับมา ณัฐวีร์ก็จ้องอยู่เช่นนั้นไม่หลบ
"ป๊า.. ชื่อเล่นของน้อง ..เป็นชื่อมะม่วงได้ไหมครับ?"
คนฟังสองคนต่างอารมณ์หลากความรู้สึกกันออกไป
คุณวีรชาตินั้นสงสัยใคร่อยากรู้ว่าทำไมลูกชายถึงอยากได้ชื่อนี้ หากแต่เมื่อเห็นผู้ชายอีกคนสะอื้นฮักขึ้นมา มือหนึ่งกุมมือน้องแน่น อีกมือยกปิดหน้าไม่กล้าสบตาน้อง คุณวีรชาติจึงเข้าใจ ชื่อนี้มีความสำคัญกับมกรแน่ๆ และเขาคิดว่าเมื่อถึงเวลา ลูกชายก็จะเล่าออกมาเอง
ส่วนอีกคน ความรู้สึกหลากหลายที่มกรมีแทบจะทำให้ชายหนุ่มหลุดเสียงสะอื้นออกมาดังๆ เขาอยากร้องไห้ให้เหมือนเด็ก ปลดปล่อยทุกอย่างออกมาให้หมด
ทุกอย่างที่เขาติดค้างคาอยู่ในใจ เขาอยากระบายออกมาเสีย
น้องยอมรับเขา
--- “นี่ลูกเขย..”
น้องยอมรับมะม่วง
--- “เป็นชื่อมะม่วงได้ไหมครับ..”
น้อง..ไม่ได้รังเกียจ
--- มือที่กุมกันไว้..ณัฐวีร์เองก็ไม่ได้ปล่อยอุ้งมือให้นิ่งเฉย น้องบีบมือตอบกลับมาเหมือนกัน
วีรชาติยิ้มบางๆ พยักหน้ายอมรับชื่อนั้นโดยไม่พูดอะไร เขายกมือตบไหล่ลูกสองคน แล้วเดินออกไปหาพยาบาลเพื่อขอเข้าไปดูมะม่วง..
ขั้นตอนที่จะเข้าไปก็มีความยุ่งยากและต้องเตรียมความพร้อมพอสมควร ทำให้เสียเวลาอยู่บ้าง ครั้นเมื่อเขาหันไปมองที่หน้าห้องเด็กอีกที ลูกชายสองคนก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
รถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าร้าน คนงานในบ้านที่เฝ้ารอการกลับมาของเจ้าบ้านรีบเดินมาเปิดประตูรับ
"แม่กับน้องไม่เป็นไร ทุกคนโอเค เดี๋ยวนัทไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนนะ เดี๋ยวเย็นจะกลับไปที่โรงพยาบาลใหม่"
ณัฐวีร์บอกเช่นนั้นแล้วเดินนำขึ้นมาชั้นบน มีมกรเดินตามขึ้นมาด้วย เมื่อถึงห้องนอน เด็กหนุ่มก็หันกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อย คล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เลือกที่จะเงียบและเดินนำเข้าห้องไป รอจนอีกฝ่ายเดินตามเข้าไปแล้วปิดประตูนั่นแหละ ณัฐวีร์จึงหันกลับมา
"วันนี้ขอบคุณมากนะครับ.." เขาเอ่ยแล้วยิ้มให้ ก่อนจะเริ่มจับชายเสื้อตัวเองดึงถอดออกทางศีรษะ
ผิวเนื้อขาวสะอ้านไม่ได้เปรอะเปื้อนใดๆ เพราะตอนอยู่โรงพยาบาลมีคนดูแลให้แล้ว ดังนั้นเมื่อณัฐวีร์ถอดเสื้อออกและหันหลังเดินไปที่เตียง คนมองจึงใจเต้นผิดจังหวะอย่างช่วยไม่ได้
"อย่างน้อยมะม่วง..เอ่อ..น้องปลอดภัยพี่ก็ดีใจแล้ว.."
"ครับ มะม่วงปลอดภัยก็ดีเกินพอแล้ว" ณัฐวีร์ยิ้ม "ว่าแต่..มานี่เถอะครับ"
เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย มกรที่กำลังใจเต้นจึงยิ่งใจเต้นหนักมาก
"คือ.." ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง จนเมื่อณัฐวีร์อ้าแขนออกทั้งสองข้าง เขาจึงได้เข้าใจ
เขาเดินไปที่เตียง เมื่อนั่งลงแล้วก็โอบเอาร่างเล็กกว่าเข้ามากอด ผิวเนื้อบนอกเนียนเขาเคยสัมผัสและยังจำได้ดี ตอนนี้มือที่ลูบไล้แผ่นหลังนุ่ม ก็กำลังรื้อฟื้นสัมผัสนั้นอีกครั้ง
"กอดปลอบผมที..ได้ไหมครับ" ณัฐวีร์กระซิบเบาๆก่อนจะจูบเข้าไปที่สันกราม
มกรนั้นตัวแข็งทื่อ ให้พูดตรงๆก็คือไม่เข้าใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อกลับมาบ้านจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้  เขาคิดว่าน้องจะกลับมาพัก เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำอาบท่าแล้วก็ค่อยออกไปโรงพยาบาลกันอีกรอบ ส่วนเขาอาบน้ำที่นี่ เสื้อยืดเก่าก็ยังพอมีเปลี่ยน
หรือว่า..ความกลัวที่ตึงเครียดมาตลอดชั่วโมง อาจทำให้ณัฐวีร์ต้องการใครสักคนมาปลอบใจ
มกรคิดเช่นนั้นเมื่อริมฝีปากเด็กหนุ่มไล่จูบจากสันกรามเรื่อยมาเกือบถึงขอบปาก เขาจึงไม่อยากจะคิดอะไรมาก หากน้องต้องการการปลอบใจ ต้องการความอบอุ่นจากเขา เขาก็พร้อมจะให้น้องเสมออยู่แล้ว
เขาอยู่ตรงนี้เพื่อณัฐวีร์..
มกรคิดเช่นนั้น แล้วใช้ริมฝีปากอุ่นร้อนเลื่อนสัมผัสคนตรงหน้า ได้ยินเสียงครางเครืออย่างพึงพอใจก็ยิ่งหัวใจพองโต มือเลื่อนไล้จากแผ่นหลังมาบดเบียดส่วนหน้า ยอดอกที่เคยเล็มเลียเมื่อสัมผัสด้วยปลายนิ้วบดขยี้ ร่างกายน้อยๆนั่นก็สั่นสะท้าน
มือขาวนิ้วเรียวสะอาดของณัฐวีร์เลื่อนปลดกระดุมเสื้อให้กับอีกฝ่าย จากหนึ่งเม็ด ไล่ลงไปเม็ดที่สอง เม็ดที่สาม จนหมด และสามารถเปิดออกได้ตลอด แผงอกที่มีกล้ามเนื้อสวยงามจึงเผยให้เห็นในสายตา
ณัฐวีร์เลื่อนมือขึ้นลูบไล้กล้ามเนื้อหน้าอกนั่น ก่อนจะเลยขึ้นไปที่ไหล่เพื่อปลดเอาเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออก ตอนที่ดึงเสื้อออกจากแขนที่แข็งเกร็งไปด้วยมัดกล้าม ณัฐวีร์ก็ยิ้มอีก
"เป็นอะไรครับ วันนี้ดูยิ้มบ่อยมาก ดีใจที่ได้น้องชายหรือไง"
ณัฐวีร์เงยหน้ามองคนถามแล้วก็ยิ้มกว้าง "เปล่า.. ผมดีใจที่ได้กอดพี่แมนแบบนี้.. รู้ไหม ผมสัญญากับป๊าไว้ว่าผมจะซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง  ตอนนี้ผมก็เลยดีใจที่ผมรู้สึกและทำตามที่ตัวเองต้องการได้ ผมซื่อตรงกับความคิดของตัวเองได้ ผมอยากให้พี่กอดผมนะ.. อยากนอนกอดกัน กอดแน่นๆ ให้พี่รู้ว่ามันนานมากแล้วที่เราไม่ได้กอดกันแบบนี้.."
มกรฟังที่น้องพูดแล้วก็ยิ่งอิ่มเอมในหัวใจ เขาได้รับการให้อภัย เขาได้รู้ว่าอีกฝ่ายยังต้องการอ้อมกอดนี้ ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้นที่หลงเพ้อไปเพียงฝ่ายเดียว
ร่างสองร่างเอนหลังลงไปบนที่นอน มือใหญ่ค่อยๆปลดเอากางเกงผ้าขาสั้นออกจากกายคนเบื้องล่าง  ณัฐวีร์เองก็เช่นกัน เขาปลดเข็มขัดหนังของอีกฝ่ายออกเพื่อจะเลื่อนมือปลดกางเกงยีนส์สีเข้มให้เลื่อนหลุดพ้นสะโพก กางเกงชั้นในสีขาวถูกดึงออกและค่อยๆเลื่อนลงจนเห็นสะโพกแน่น มือขาวเลื่อนมาบีบสะโพกนั้นเบาๆ ทำอย่างที่ต้องการจะทำ ทั้งที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน
มกรเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม เขาเป็นผู้ชาย และณัฐวีร์ก็เป็นผู้ชาย ความคึกคะนองของผู้ชายในเรื่องเพศนั้นทำไมมกรจะไม่รู้ เขาแค่รู้สึกแปลกใจเมื่อเด็กหนุ่มบดเบียดสะโพกตัวเองเป็นเชิงเรียกร้องมากกว่าทุกครั้ง
เหมือนว่า หากฟ้าจะถล่มทลายลงไปตรงหน้า ณัฐวีร์ก็จะไม่ยอมให้เขาปล่อยมือไปอีก
ไม่ใช่ว่ามกรจะต้องการปล่อยมือ เขาเองก็อยากจะยึดมือนั้นไว้ให้แน่นเช่นกัน
ต้องการความรักของกันและกันอย่างที่สุดแล้ว..
ท่วงทำนองเพลงรักค่อยๆทวีความรุนแรง เสียงหอบหายใจดังสะท้านไปทั่วทั้งห้องนอนนั้น
ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาที่ห้องใหม่ของณัฐวีร์ แต่มกรก็คุ้นเคยกับกลิ่น และเครื่องใช้ต่างๆเกินกว่าจะคิดว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศใหม่.. เขาจดจ่ออยู่กับร่างข้างใต้ ปรนเปรอให้มีความสุข และป้อนเอาความต้องการมากมายที่กักเก็บไว้ให้อีกฝ่ายได้รู้
จวบจนเสียงกระแทกกระทั้นเปลี่ยนจากจังหวะเนิบช้าเป็นเร็วแรงมากขึ้น.. เสียงกรีดร้องด้วยความสุขสมดังประสานกันไป อ้อมแขนที่ต่างกอดกันไว้ยิ่งสนิทแนบแน่น
ต่างถ่ายทอดความรักที่มีในใจให้กันและกัน
ต่างทุ่มเทแรงทั้งหมดที่มีแสดงให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า..ใจนี้..ไม่สามารถมีใครอื่นได้อีกแล้ว
ณัฐวีร์..ต้องการบอกให้รู้ว่า..ใจของเขาได้ให้แก่ผู้ชายที่เขากำลังกอดอยู่นี้ไปจนหมดใจแล้ว
มกร..ต้องการบอกให้รู้ว่า..ใจของเขาพร้อมวางไว้ในอุ้งมือของคนที่เขากำลังกอดอยู่นี้เช่นกัน
ร่างเปล่าเปลือยของคนสองคนที่นอนเคียงกัน ตระกองกอดร่างของกันและกันไว้แน่น
..เขาทั้งคู่ต่างข้ามผ่านเวลาแห่งความฝันอันสุขล้นมาแล้ว
ถึงเวลาก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงกันเสียที
ณัฐวีร์หลับตาผ่อนลมหายใจ ขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆลูบไล้ผิวเนื้อไหล่เนียนและพรูลมหายใจออกมาอย่างอิ่มเอม ความสุขจากการได้รักใครสักคนมันเป็นแบบนี้เอง มกรยิ้ม เขาเอนตัวไปจูบร่างในอ้อมแขนอย่างแสนรัก ช่วงเวลาดีๆที่เพิ่งผ่านไปทำให้ผิวเนื้อนั้นอุ่นร้อน แต่เขาก็ยังรู้สึกดีจนอยากจะกอดร่างนี้ให้ร้อนขึ้นมากๆ จนละลายหายเข้าไปในอกได้ยิ่งดี จะได้ไม่มีใครมาพรากไปจากเขาอีก
"นัท..." มกรเรียกเบาๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายก็นอนลืมตาเหมือนใช้ความคิดอยู่
"ครับ?"
"ขอบคุณที่ตั้งชื่อนั้นให้น้องนะ"
คนฟังพยักหน้าอยู่กับอกของเขา "ชื่อนี้ก็น่ารักดี... ห้ามเอามาตั้งหรือเปล่าครับ"
"ไม่ๆ ตั้งได้.." มกรบอกแล้วยิ่งยิ้มกว้าง "พี่ดีใจที่นัทตั้งชื่อนี้ให้น้อง"
"ครับ" ณัฐวีร์ตอบรับง่ายๆแล้วเงียบไปอีกหน
"พี่ดูแลเขาเอง จะดูแลอย่างดีเลย" มกรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ "ไว้เราไปซื้อของให้น้องกันนะ พี่เคยเห็นที่แผนกเด็กอ่อนมีเปลแบบไกวเองอัตโนมัติ อยากซื้อให้ ไว้ไปซื้อด้วยกันนะครับ"
ณัฐวีร์ไม่ได้ตอบคำ เขานิ่งเงียบไปได้แต่นอนกอดมกรอยู่นิ่งๆแบบนั้น แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ
มกรยังยิ้มและรู้สึกอิ่มใจจนกระทั่งเอ่ยประโยคที่จะทำให้โลกทั้งโลกเหมือนจะแหลกลงไปตรงหน้า
"แล้วก็ต้องขอบคุณด้วยที่ให้อภัยพี่..."
ณัฐวีร์หลับตาลง.. กระชับอ้อมแขนตัวเองเบาๆก่อนจะปล่อยออกแล้วดันตัวลุกขึ้นนั่ง
สายตามองแน่วนิ่ง.. หัวใจยิ่งต้องนิ่งมากกว่า
อย่าได้อ่อนแอ.. อย่าได้ยอมแพ้
อย่าได้แสร้งทำลืมอีก.. การหนีปัญหาเหมือนเมื่อสองปีก่อนเป็นความผิดพลาด มันไม่ใช่ทางออก แต่มันคือยิ่งเพิ่มพูนปัญหาให้มากขึ้น
ทุกอย่าง ทุกคนต้องเดินหน้าต่อไป...ต้องมีภาระหน้าที่ ต้องรู้รับผิดชอบ และต้องยอมรับความจริงกันเสียที
"ผมยังไม่ได้อภัยให้..."
ณัฐวีร์เป็นเด็กดื้อ..ป๊าวีแม่ไก่เคยเตือนมกรแล้ว
"...นัท"
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของมกรพลันค่อยแปรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ทันที "ทำไม?"
ณัฐวีร์ส่ายหน้า "เป็นอย่างที่ผมพูด.. ผิดก็คือผิดครับ"
"แต่นัทก็ยังยอมให้พี่กอด ..หรือจะเพราะต้องการ? ..เป็นความต้องการของผู้ชายอย่างนั้นหรือนัท"
คนฟังส่ายหน้า "ทุกครั้งที่ผมให้พี่กอด ผมทำเพราะผมเต็มใจ วันนี้ผมเต็มใจ และขอบคุณมาก แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน"
ฟังแล้วมกรก็ยังไม่เข้าใจ
"ผม..จะพูดครั้งนี้ครั้งสุดท้าย" ณัฐวีร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ถ้าพี่ต้องการไถ่โทษ พี่ต้องรับบทลงโทษ คนทำผิดยังต้องเข้าคุก พี่ก็ไม่ควรได้รับยกเว้น"
มกรหรี่ตาลงมองอย่างไม่อาจคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ เท่าที่ผ่านมาเขายังไถ่โทษไม่เพียงพอหรือ ต้องการอะไรอีก ต้องการให้เขาตายไปต่อหน้าเลยหรือเปล่า
ไม่ใช่หรอก..ณัฐวีร์แค่ต้องการเวลาเท่านั้น...
เวลาเพื่อเรียนรู้ที่จะรักและถูกรัก..
เวลาที่จะรอและเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายเติบโตเพียงพอแล้วจริงๆ
"พี่แมน... ผมเคยบอกแล้วว่าอย่ามาเจอกันอีก ผมหมายความตามนั้น"
มือที่กุมแขนณัฐวีร์ไว้กระตุกไปพร้อมกับจังหวะหัวใจ ..ต้องการแบบนั้นจริงๆหรือ?
ตอนแรกเขานึกว่าที่พูดตอนนั้นณัฐวีร์ล้อเล่น แต่เปล่าเลย เด็กหนุ่มเอาจริง ไม่อยากเจอหน้าเขาจริงๆ แววตานั้นมันแสดงออกมาชัดเจน
"แต่นัท..."
"ตามนั้นครับ" ณัฐวีร์ย้ำ "เราจะไม่เจอกันอีก.."
"นัท!"
เจ้าของชื่อค่อยๆเอื้อมปลดมืออีกฝ่าย "ผมไม่อยากจะย้ำซ้ำๆ แต่คงต้องบอกว่า พี่ยังไม่พร้อมจะดูแลใคร ผมเองก็ยังไม่ใช่คนที่พี่จะดูแลได้ ผมยังขาดความเชื่อใจในตัวพี่ เพราะพี่เองก็ยังไม่ได้พิสูจน์อะไรมากมายว่าพี่มั่นคงกับผมจริงๆ เราสองคนยังไม่พร้อมจะมีกันและกันครับ ดังนั้น ตอนนี้เราอย่าเจอกันดีกว่า"
ณัฐวีร์ลุกขึ้นจากเตียง เขาหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูก้าวเข้าไปในห้องน้ำ พอปิดประตูห้องน้ำได้ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถก็ค่อยๆเอ่อท้นและหล่นร่วง ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป น้ำตาก็ยิ่งไม่สามารถหยุดไหล
เสียงขยับเคลื่อนไหวภายนอกดังมาเป็นระยะ คล้ายว่าอีกคนจะลุกจากเตียง เดินมาที่ประตูห้องน้ำ ยืนลังเล เดินกลับไปนั่งที่เตียง ลุกจากเตียง เดินมาห้องน้ำ แล้วเดินกลับไปกลับมาเช่นนั้น คล้ายหนูติดจั่น คล้ายว่ายังไม่มีทางออก
จนเมื่อเวลาผ่านไป จากนาที เป็นชั่วโมง..
ไร้เสียงพูดคุยโต้เถียง ไม่มีเสียงเดิน ไม่มีเสียงใดๆ เหมือนว่าคนข้างนอกเองก็กำลังใช้ความคิดมากมาย..
จนกระทั่ง..
เสียงเปิดและปิดประตูห้องด้านนอกดังขึ้น
ณัฐวีร์จึงรีบเปิดประตูห้องน้ำออกมาอย่างรู้สึกใจหาย
ใช่...ใจหายไปกับชายคนนั้นเสียแล้ว
กระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนเตียง ที่ซึ่งเมื่อครู่คนสองคนยังกอดกันไว้
ดวงตาเด็กหนุ่มพร่ามัวขณะเดินไปหยิบมันขึ้นมาอ่าน น้ำตาหยดแหมะลงไปบนประโยคสองบรรทัดนั้น
พี่รักนัทและจะรอให้นัทเชื่อใจ
ระหว่างนั้น พี่เองก็จะทำตัวให้น่าเชื่อใจรอนัทเช่นกัน
........


แดเมจรุนแรงมาก
คนเขียนนี่จิตใจทำด้วยอะไรนะ
ทำให้สุขแล้วกระชากลงจากสวรรค์ทั้งเป็น
คึ คึ คึ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-03-2015 17:42:57 โดย pae666 »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้ออออ ใจแข็งจริงๆนัท.  สงสารพี่แมน :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ไม่จบไม่สิ้นกับปัญหา

ออฟไลน์ @rnon

  • ร่มเย็นเป็นสุข
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :a5:

ใจร้ายมากๆๆๆๆๆ







คนเขียน   


     :z6:

ขอทีเหอะ ชิส์ๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ มาโซซายตี้

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-2
ตามอ่านทันแล้ว
ยังคิดว่าเรื่องมันง่ายไปมั้ย
ดีกันเร็วจัง
แต่แล้วน้องนัท ก็ยังสวมบทราชินี ตวัดแส้ขวั่บๆ ต่อได้อีก

ยังไม่พอสินะ


ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
 ตัดตอนมาให้อ่านกันก่อนค่ะ
เพราะดูท่าทางจะไม่ได้อัพอีกนานเลย ฮึกๆ
---------


 
หิมะกำลังโปรยปรายใส่ผู้คนที่เดินอย่างเร่งรีบในเมืองโตเกียว ไม่ว่าที่ใดผู้คนต่างก้มหน้าก้มตารีบเดินเข้าหาที่กำบัง กายที่หนาวสั่นเพราะความเปียกชื้นจากละอองหิมะพลันเมื่อเข้าสู่บริเวณที่อบอุ่นร่างนั้นก็รู้สึกดีขึ้นตามลำดับ และสามารถก้าวต่อไปยังจุดหมายได้ทันที
จังหวะการเดินอย่างเร่งรีบบอกให้รู้ว่าเจ้าของฝีเท้ากำลังต้องไปพบใครบางคนตามที่นัดหมายไว้ และดูเหมือนมันก็ใกล้เวลานั้นแล้ว
ผู้คนที่คลาคล่ำแต่กลับไร้เสียงพูดคุย ภายใต้ชุดแต่งกายสีโมโนโทน พาให้ใจเหงาเปล่าดาย ประหนึ่งว่าบนโลกใบนี้อ้างว้าง ไร้ผู้คน
มกรคิดเช่นนั้น เพราะแม้จะมีผู้คนขวักไขว่ แต่ก็ไม่มีคนเพียงหนึ่งที่เขาต้องการ
ชายหนุ่มก้าวยาวๆเมื่อใกล้ถึงที่หมายเต็มที กระเป๋าเอกสารในมือมีพร้อมทั้งเอกสารสัญญา และรายงานให้แก่ผู้ถือหุ้น
สองปีแล้วที่มกรปลีกตัวหนีจากกรุงเทพมาอยู่ที่นี่ การทำธุรกิจค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทเขา โตเกียวเป็นเพียงหนึ่งสาขาที่เขาเลือกมาเรียนรู้งาน ซึ่งอีกเพียงสามอาทิตย์เขาจะได้กลับไปกรุงเทพ โดยมีแผนต่อไปที่สิงคโปร์
ตรงบริเวณจุดนัดพบ ชายและหญิงสูงวัยคู่หนึ่งยืนรอเขาอยู่ตรงนั้น
มกรยิ้มและเดินเข้าไปหาพร้อมกับยกมือไหว้
"แมน ไม่เจอกันเสียนานเลยลูก" คุณมนธิชารับไหว้แล้วตรงเข้าสวมกอดลูกชายอย่างคิดถึง
"สวัสดีครับ พ่อกับแม่มารอนานหรือยัง" ชายหนุ่มกอดตอบมารดา พลางเงยหน้ายิ้มให้บิดา
ตั้งแต่คุณตาท่านเสีย สองคนนี้ก็กลับมาอยู่บ้านเดียวกันอีกครั้ง และดูเหมือนจะรักใคร่กันหวานหยดจนมกรรู้สึกอิจฉา การมาเที่ยวครั้งนี้ก็เหมือนการมาฮันนีมูนกันไปในตัว
คุณลักษณ์เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เมื่อเดินทางมาท่องเที่ยวส่วนตัว ก็ยังมีผู้หวังดีติดต่อผ่านสถานทูตให้จัดรถและล่ามมาบริการ สิบห้าวันของการท่องเที่ยว จึงไม่ได้ลำบากในการเดินทางภายในญี่ปุ่นมากนัก กระทั่งเหลือเพียงสามวันสุดท้ายนี้ คุณลักษณ์จึงขออยู่กับครอบครัวเพียงลำพัง และปฏิเสธสิทธิพิเศษโดยสิ้นเชิง
อารมณ์หนุ่มอยากพาแฟนสาวเที่ยวเล่นด้วยกันลำพัง..ก็ยังมีอยู่ในใจคุณลักษณ์อยู่เสมอ..
คุณลักษณ์ยิ้มแล้วตบบ่าลูกชาย "ไม่นานๆ เพิ่งลงจากชินกังเซนเมื่อครู่เอง"
คนทั้งคู่ไม่ได้พบลูกชายมานานแล้วเพราะมกรไม่ได้กลับบ้านไปปีกว่านับตั้งแต่งานศพคุณตา
"เอกสารอยู่ในกระเป๋าแล้วครับ เดี๋ยวตอนเราทานอาหารกันผมจะเอาให้ดู คุณแม่จะเอากลับเองเลยหรือครับ"
"ไหนๆมาแล้วเดี๋ยวเอากลับไปให้คุณลุงประคองเลยก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยอยากคุยเรื่องงานน่ะ แม่อยากถามชีวิตความเป็นอยู่ของเราทางนี้มากกว่า ไม่ใช่ว่ามาก็อัพเดทแต่งานให้ฟังทุกที เราน่ะจะทำงานมากไปหรือเปล่า" คุณมนธิชาถามด้วยความเป็นห่วง ขณะเดินคล้องแขนลูกชายออกมาหน้าสถานีโตเกียวเพื่อเรียกแท็กซี่ไปร้านอาหารที่จองไว้
"ไม่มากหรอกครับแม่ ยังมีเวลาดูแลตัวเองอยู่" มกรบอกเช่นนั้นแล้วหัวเราะเบาๆเมื่อแม่บีบกล้ามแขนของเขา
"เชื่อแล้วๆ แม่ว่าเราตัวหนาขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ"
"ครับ ช่วงนี้ไปฟิตเนสทุกวัน"
"เจรจาเสร็จเรียบร้อยดีก็เลยสบายหน่อยนะ"
มกรหันไปพยักหน้ารับคำพูดบิดา "ครับ เตรียมแพ็กของกลับบ้านอย่างสบายใจได้เลย"
มื้ออาหารเย็นของครอบครัวผ่านไปด้วยการสอบถามเรื่องจิปาถะ จนเวลาล่วงเลยมาดึกพอควร มกรจึงไปส่งพวกเขาที่โรงแรม
คุณลักษณ์และภรรยาจะพักอยู่ที่นี่สามคืน ส่วนมกรปฏิเสธที่จะเข้าพักด้วย เพราะจากอพาร์ทเม้นท์ที่เช่าไว้เดินทางไปทำงานสบายกว่ามาก
กระเป๋าเดินทางของคนทั้งคู่ถูกส่งมาโดยบริการจัดส่งจนถึงโรงแรมแล้ว ทำให้การเดินทางจากโอซาก้ามาไม่ต้องห่วงเรื่องกระเป๋าอีก
เมื่อถึงโรงแรม คุณมนธิชาก็รั้งลูกชายไว้ให้อยู่คุยกันต่อที่ล็อบบี้
"ไม่เห็นแมนถามถึงน้องเลย..จะถอดใจแล้วหรือเปล่า"
แค่ขึ้นต้นด้วยประโยคนั้น มกรก็วางสีหน้าเรียบเฉย "แม่พูดอะไรน่ะครับ ผมไม่มีทางถอดใจแม่ก็รู้"
"จ้า.. ก็เห็นไม่ได้ถามอะไรเลย"
"ถ้าแม่จะกรุณาเล่าก็ขอบคุณครับ"
สองปีมานี้แม่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้เขายังสามารถได้รับข่าวคราวจากครอบครัวนั้นอยู่บ้าง การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่พลิกผันไม่ทำให้มกรรู้สึกวูบโหวงเท่าครั้งก่อน คราวนั้นเขาไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ไร้จุดหมายเพราะยังมองไม่เห็นอนาคต.. แต่คราวนี้ต่างกัน.. เขารู้ว่ามีหวัง และมีสักวันที่หวังจะเป็นจริง แค่รู้จักที่จะรอ และเตรียมรับ.. เมื่อหวังนั้นมาถึง เขาก็แค่ดูแลให้ดีที่สุด
เขารู้ว่าณัฐวีร์ยังรอ และเขาเองก็รออีกฝ่ายอยู่เช่นกัน
ต่างรอให้พร้อมด้วยกันทั้งคู่ รอให้เชื่อใจ และทำตัวให้อีกฝ่ายเชื่อใจ..
หลังจากวันที่เขาเดินออกมา ป๊าวีโทรมาหาในวันรุ่งขึ้น ตอนนั้นเขาอยู่ในที่ประชุม จึงขออนุญาตโทรกลับไปอีกครั้ง ..แน่นอน เขารู้หน้าที่ตัวเอง เขารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วน.. สิ่งใดคือรอได้
ดังนั้น เมื่อเขาโทรกลับไปจึงได้รับรู้ว่าป๊าวีมาอยู่ที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว บทสนทนาก็คือเรื่องที่ป๊ารู้สึกขอบคุณที่ช่วยให้มะม่วงเกิดมาได้อย่างปลอดภัย อัพเดทอาการแม่ไก่โดยไม่พูดอะไรถึงณัฐวีร์เลย แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าป๊าวีรู้เรื่องแล้ว เพราะประโยคสุดท้ายก่อนวางสายไปป๊าวีบอกว่า
"ให้ใจเย็นๆ ยังไงก็ลูกป๊าทั้งสามคน ยังไงป๊าจะดูแลทางนี้ให้ดี ส่วนทางแมนมีอะไรก็โทรมาคุยกับป๊าได้"
มกรวางสายนั้นไปด้วยความเบาใจ จนตอนนี้เขาก็ยังรอ รอให้ป๊าเรียกตัวกลับไปเป็นลูกที่อยู่ติดบ้านเสียที
ชายหนุ่มก้าวลงจากรถแท็กซี่หลังจากจ่ายชำระค่าโดยสารแล้ว ค่าครองชีพในเมืองที่ติดอันดับอัตราค่าครองชีพสูงเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาของมกร บ้านเขามีเพียงพอ
แม้ตอนนี้ความรักความเข้าใจของคนในบ้านจะมีทิศทางดีขึ้น แต่โตเกียวก็สร้างความว้าเหว่ให้ใจของเขาได้เสมอ
เขามักเลือกที่จะทำงานอยู่จนดึก เพื่อให้ตัวเองไม่ว่างและฟุ้งซ่าน แต่เมื่อโปรเจ็คจบลงเมื่อสองเดือนก่อน เขาก็ผ่อนแรงกับงานลง แค่เฝ้าติดตามผลของงานและรายงานกลับบริษัทแม่ที่กรุงเทพเท่านั้น เขาหันมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น ออกกำลังกายเยอะขึ้น แต่ปฏิเสธการดื่มหลังเลิกงานเหมือนเคย
ชีวิตเรียบง่าย มีแต่งาน ครอบครัว และตัวเอง
แต่กลับทำให้เขารู้สึกสงบสุขกว่าชีวิตวุ่นวายตอนวัยรุ่นมาก
มกรยิ้มเมื่อกำลังจะปิดกระเป๋าเงินเพื่อเก็บมัน แล้วพบว่ารูปของใครบางคนที่อุ้มมะม่วงอยู่กำลังส่งยิ้มมาให้ ในรูปมะม่วงเพิ่งมีอายุแค่ 8 เดือนเท่านั้นกำลังจ้ำม่ำน่าฟัดได้ที่ คนอุ้มก็ยิ้มกว้างเป็นการยิ้มทั้งปากและตา รอยยิ้มที่เขาชอบและอยากได้เห็นจริงๆมากที่สุด
รูปนี้คือรูปแรกหลังจากห่างหายกันไปไม่ได้เห็นหน้าตากันเลย ตอนที่ได้รับเขาถือโอกาสโทรไปขอบคุณป๊า.. ในสายได้ยินเสียงอ้อแอ้และเสียงพูดของคนที่เฝ้าคิดถึงรอดมาตามสายด้วย
ตอนนั้นมกรรู้สึกได้ถึงความสุขที่อบอวลอยู่โดยรอบ แค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว ยิ่งเมื่อได้รู้ว่ารูปนี้..ได้รับอนุญาตให้ส่งมา.. เขาก็ยิ่งอุ่นซ่านในอกมากขึ้น
ต่อจากนั้น มีรูปส่งมาอีกหลายรูป เขาเก็บไว้เป็นอัลบั้ม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปของมะม่วงมากกว่ารูปของณัฐวีร์
ดังนั้น เขาจึงเลือกรูปนี้มาใส่พกไว้ติดตัว เวลาเหนื่อยๆกับงานพอเปิดดูแล้วก็มีพลังทำงานขึ้นอีกโขเลย
มกรปิดกระเป๋าเงินเก็บลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินผ่านเข้าประตูแมนชั่นหรูย่านชินางาว่า ที่นี่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าฝั่งเหนือแค่ 5 นาที ถือว่าสะดวกสบายมาก และยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี มีพาสเวิร์ดเข้าตัวอาคาร และยังมี...
มกรชะงักกึก ขาที่กำลังก้าวเดินหยุดลง ดวงตานั้นเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อในสายตา
นี่..เป็นไปไม่ได้..
คนที่กำลังยืนยิ้มให้เขานั้น.. ไม่น่าจะใช่
ถ้าขยี้ตาแล้วภาพหายไปก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เสียงทักทายและฝีเท้าที่กำลังก้าวตรงมา... ไม่น่าจะใช่
"สวัสดี..แมน.. ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม"
มกรมองตอบแล้วพยักหน้ารับอย่างพยายามรวบรวมสติตัวเอง
"ก็ดี.. มายังไงเนี่ย..เกด.."

-----



อวู้... ตัวปัญหามาอีกหนึ่งตัว

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เกือบ เกือบแล้ว เกือบหุบยิ้มไม่ทันนึกว่านัทจะโผล่มา *จะหายไปนานเลยหรือ คิดถึงเรื่องนี้แย่อะ อยากอ่านอีกเยอะๆเลย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อ้าวว. นังเกดมาเพื่ออออ.

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด