มาต่อแล้วค่ะ
ว่าจะลงตั้งแต่เมื่อวาน แต่เน็ทไม่เป็นใจเลย
*******
อีกหลายวันหลังจากนั้น มกรก็ยังพยายามเทียวมาหาณัฐวีร์ที่บ้านอยู่ดี คราวนี้เขาได้พบหน้าฝ่ายนั้นบ้าง แต่กลายเป็นว่าเขาคืออากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน ไม่ว่าจะชวนคุย หรือพยายามทำอะไรให้ ณัฐวีร์จะเมินเฉยเสียทุกครั้ง
แต่มกรก็ยังไม่ละความพยายาม เขาเชื่อว่าสักวัน เขาจะทำให้ณัฐวีร์เชื่อใจได้
จากนั้นอีกกว่าสองอาทิตย์ที่บรรยากาศมืดมัวยังคงแผ่ปกคลุมไปทั่ว
กระทั่งครอบครัวนี้ย้ายไปอยู่ที่ทองหล่อแล้ว มกรก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชนะใจณัฐวีร์ได้ หนำซ้ำดูเหมือนจะหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะจากที่หลบหน้า มาสู่การเมินเฉย จนถึงขั้นถัดไปที่ณัฐวีร์ทำยิ่งกว่า
รถยนต์คันสวยแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าร้านตอนเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว มกรที่นั่งอยู่ด้านในชะเง้อออกไปดู แล้วจึงเห็นว่าคนที่ก้าวลงมาจากรถก่อนคือณัฐวีร์
"ใครมาส่ง"
คุณวีรชาติเองยังเอ่ยถาม รถคันนั้นไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาก่อนเลย ที่สำคัญณัฐวีร์ไม่เคยขึ้นรถใครกลับมาจากมหาวิทยาลัย เพราะตัวเองก็มีรถขับ แต่บางครั้งที่ไม่ได้ขับไป ณัฐวีร์ก็จะนั่งรถไฟฟ้าหรือรถสาธารณะกลับ ไม่เคยมีใครมาส่ง
มกรผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นคนขับรถก้าวลงมา ชายแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก ช่วยณัฐวีร์ถือของจากหลังรถเดินเข้ามาส่งถึงในบ้าน ร้อนถึงคุณวีรชาติต้องออกโรงเรียกมกรเอาไว้
"เดี๋ยวแมน.. รอก่อน"
ป๊าวีนั้นเดาใจลูกชายไม่ถูก อาจจะอยากแกล้งมกร หรืออาจจะแค่เพื่อนกันมาส่งที่บ้านธรรมดาก็เป็นไปได้ ดังนั้น จึงจำต้องสงวนท่าทีรอดูณัฐวีร์ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ
มกรมีท่าทางลังเล เขามองไปนอกร้านเห็นสองคนนั่นยืนคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานก็อยากจะออกไปยืนเป็นก้างขวางคออยู่เหมือนกัน แต่เพราะป๊าวีเรียกไว้ทำให้เขาต้องถอยตัวลงมานั่ง
มือใหญ่ของชายสูงวัยตบลงบนบ่าหนาเบาๆ "ใจเย็น นิ่งๆไว้เดี๋ยวดีเอง"
คุณวีรชาติก็ไม่รู้หรอกว่าจะดีหรือไม่ แต่จะอนุญาตให้มกรไปลุยก็ไม่ใช่เรื่อง
ยี่สิบนาทีผ่านไป การโบกไม้โบกมือลากันจึงทำให้เส้นความอดทนของมกรหมดลง อีกฝ่ายเดินไปขึ้นรถแล้ว ณัฐวีร์ก็ยังยืนอยู่นอกร้านเหมือนยืนส่งกันจนน่าจะรอให้ท้ายรถลับตาไป..เหมือนว่ายัง..อาลัยอาวรณ์..
เห็นแบบนั้นก็สุดจะทนแล้วจริงๆ มกรลุกขึ้นหันมาไหว้ลาวีรชาติและณฐกา "ผมกลับก่อนดีกว่าครับ.. น้องเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆจะได้พักผ่อน"
"อ้าว..ไม่รอ.." ยังไม่ทันที่วีรชาติจะเอ่ยจบประโยค มกรก็หันตัวเดินลิ่วๆออกไปที่ประตูแล้ว
จังหวะนั้น ณัฐวีร์ผลักประตูเข้าร้านมาพอดี สายตาของเด็กหนุ่มจึงมองสบกันกับมกรเข้า แต่แทนที่ณัฐวีร์จะเมินไปก่อน..กลับกลายเป็นมกรที่เมินหนี แล้วร่างสูงก็เบี่ยงตัวหลบเดินออกไปที่ลานจอดรถไม่หันกลับมาเลย
ณัฐวีร์มองตามแล้วก็หงุดหงิด ใครกันแน่ที่ต้องเป็นฝ่ายเมิน นี่เขายังไม่ได้ยกโทษให้เลยนะ!
เด็กหนุ่มเดินมานั่งลงที่โต๊ะ ใบหน้านั้นบูดสนิท เขายกน้ำที่คนงานในร้านเอามาให้ดื่มทำท่าจะดื่ม แต่ก็คาใจจนดื่มไม่ลง ต้องวางแล้วบ่น "เป็นอะไรของเขาอีก"
เสียงบดห้ามล้อดังเอี้ยดเหมือนคนขับรถจะใส่น้ำหนักเท้าเหยียบคันเร่งอย่างไม่คิดชีวิต ณัฐวีร์จึงรีบหันไปดูที่นอกถนน
รถคันนั้นเลี้ยวออกมาจากลานจอดรถตีโค้งปาดหน้าใครต่อใครแล้วไปเบรคจ่ออยู่ตรงถังขยะที่ตั้งล้ำจากขอบทางออกมาเล็กน้อย..
ถ้าไม่เบรคเสียก่อนมีหวังคงแหกโค้งเสยทั้งถังขยะและเสาไฟฟ้าแน่ๆ
ณัฐวีร์อุทานอย่างตกใจทำท่าจะวิ่งออกไปดู.. แต่แล้วรถคันนั้นก็ถอยหลังเล็กน้อยให้พ้นเหลี่ยมชน แล้วเร่งออกไปทันที
อาการยืนคว้างของณัฐวีร์ทำให้คุณวีรชาติกับคุณณฐกามองหน้ากัน
"นี่เขาเป็นบ้าอะไรของเขาอีกเนี่ย!" ณัฐวีร์บ่นแล้วก็ถอยตัวกลับมานั่งลงที่เก้าอี้
"ก็เรานั่นแหละ ต้นเหตุ" ณฐกาเอ่ยกับลูกชาย “นัทมีชีวิตของนัท แล้วแต่การตัดสินใจของลูก แม่ให้อิสระเสมอ แต่นัทควรจะต้องรู้นะว่านัทกำลังทำอะไร”
ณัฐวีร์ถึงกับเหวอ.. ทำไมเขาโดนดุล่ะ?
"เดี๋ยวนะฮะแม่ไก่ นัทไปทำอะไร นัทเดินเข้ามาเฉยๆ"
"แล้วพาใครมา?" แม่ไก่ของลูกแมนออกอาการแทนลูกเขยเสียแล้ว
"เพื่อนครับ.. วันนี้ต้องขนของจากสโมฯมาไว้ที่บ้านก่อน พรุ่งนี้ค่อยเอาไปทำกิจกรรมนอกสถานที่กัน"
"แล้วทำไมไม่ไว้ในรถเพื่อนคนนั้น" คราวนี้กลายเป็นวีรชาติถามขึ้นมาบ้าง
ณัฐวีร์ก็อ้ำอึ้ง.. บอกตามตรงคือเขาเสนอตัวเอง คะยั้นคะยอให้เพื่อนมาส่ง ส่วนหนึ่งก็เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองด้วย เขาแค่อยากเห็นว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรเวลาที่เขามีใครอีกคนคุยด้วย เหมือนที่เขาเคยรู้สึกหรือเปล่า.. ตอนที่ฝ่ายนั้นทิ้งไปคุยกับใครต่อใคร ไปทำตัวเหมือนไม่มีเขาไปด้วยกัน
เพราะเขายังไม่สามารถให้อภัยกับอดีตที่ผ่านมาได้ เขาจึงแก้คืนในส่วนที่เคยถูกกระทำ
อาการอ้ำอึ้งของณัฐวีร์ทำให้บิดาส่ายหน้า "อย่าเล่นกับความรู้สึกคนแบบนี้นะนัท"
ประโยคนั้นทำให้ณัฐวีร์อ้าปากจะปฏิเสธ แต่พอเห็นทั้งป๊าและแม่มองกลับมาอย่างไม่ชอบใจ ณัฐวีร์ก็ได้แต่อ้อมแอ้ม "นัทจะทำโทษเขาบ้าง เขาทำนัทไว้ตั้งเท่าไรเขายังไม่เคยสงสารนัทเลยนะป๊า"
"แล้วเราต้องทำอย่างเขาหรือ เขาทำไม่ดีเราก็รู้ว่าเขาทำไม่ดี แล้วเราก็ทำไม่ดีตามเขาหรือ" วีรชาติถามลูกชาย
"นัทโตแล้ว นัทต้องรู้แล้วว่าสิ่งไหนดีไม่ดี" ณฐกาซ้ำทันที
เมื่อก่อนถ้าป๊าดุแม่จะปลอบ หรือถ้าแม่ดุป๊าจะโอ๋ ..ตอนนี้ไม่มีแล้ว.. ทั้งป๊าทั้งแม่ เข้าข้างคนอื่นมากกว่าลูกไปแล้ว ณัฐวีร์ทำตาปริบๆ
"ถ้าโมโหเขามาก ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเห็นหน้าก็บอกเขาตรงๆ และไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก บอกไปเลยว่าเกลียด ไม่อยากเจอ อย่าให้ความหวัง ต่างคนต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง"
"ป๊า.." ณัฐวีร์เอ่ยเบาๆเมื่อเห็นว่าวีรชาติกำลังเอาจริง
"ป๊าไม่เคยสอนให้นัทเป็นคนแบบนี้"
"นัทขอโทษ" เด็กหนุ่มยกมือขึ้นไหว้บิดาและมารดา "คราวหลังจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว"
คุณวีรชาติพอเห็นลูกอ่อนลงก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะเบาๆ "จำไว้นะณัฐวีร์.. ถ้าไม่อยากให้ใครทำอะไรแย่ๆกับเรา เราก็อย่าไปทำแย่ๆกับเขา"
ลูกชายพยักหน้ารับ "ครับ.. นัทจะไม่ทำแบบนั้นอีก นัทจะพูดให้ชัดเจน ถ้าเขารับได้ ยอมทำตามที่นัทบอก นัทก็จะยอมเชื่อใจเขาอีกครั้ง"
ณัฐวีร์บอกแก่บิดาและมารดาด้วยใบหน้ามุ่งมั่น
-------
สี่วันแล้วที่มกรไม่มาที่บ้านทองหล่ออีกเลย
แต่ยังพอวางใจได้ว่าตอนแม่ไก่โทรไปหาคุณแม่มน ก็ได้รับข่าวว่าเขายังไปทำงานดี ไม่ได้ป่วยหรือไปเสยเสาไฟฟ้าที่ไหน
ณัฐวีร์นั่งมองมือถือแล้วเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ.. ไม่ใช่แค่ตัวที่หายไป การติดต่อสื่อสารต่างๆก็หายตามไปด้วย
ไม่มีไลน์ ไม่มีเมล ไม่มีการกดไลค์หรือคอมเม้นท์ใดๆที่เฟส..
ว่าแล้วณัฐวีร์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กอีกที.. ไม่มีการแจ้งเตือนใหม่ และเฟสของฝ่ายนั้นก็นิ่งมาได้สี่วันแล้วเช่นกัน ไม่มีการอัพรูป ไม่มีอัพสถานะ ไม่มีเช็กอิน เหมือนเป็นเฟสร้าง มีแต่คำบอกเล่าจากแม่มนว่า
"กลับดึก.. เห็นที่บริษัทบอกว่านั่งทำงานอยู่เกือบสามทุ่ม เมื่อวานก็เข้าไปเคลียร์งาน"
ณัฐวีร์วางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด.. เคลียร์งาน.. วันเสาร์เนี่ยนะ?
ปกติวันเสาร์จะเป็นวันที่มกรจะมาคลุกอยู่ที่บ้านเขาทั้งวัน ต่อให้เขาไม่อยู่ หรือเขาไม่ยอมพูดคุยด้วย ฝ่ายนั้นก็จะพยายามมาป้วนเปี้ยน วนเวียนให้เห็นในสายตา ให้ได้ยินเสียง หรือให้ได้กลิ่นโคโลญจน์กันบ้าง ไม่ต้องจุดธูปเรียก เดี๋ยวก็มา..
แต่นี่หายไปสี่วันแล้ว.. เกินกว่าสามวันอันตรายแล้ว ทำไมยังไม่เห็นตัวเห็นหัวกันเลย
การต้องมานั่งอยู่กับบ้านในบ่ายวันอาทิตย์นี่มันน่าเบื่อดีแท้ ณัฐวีร์สอดส่ายสายตามองไปรอบร้าน อีกห้าวันร้านจะเปิดตามฤกษ์ที่ป๊าวีไปหามาได้ วันนี้ป๊ากับเด็กที่ร้านอีกสองคนเลยออกไปตั้งแต่สายๆ เพื่อหาซื้อของเข้าร้าน ปล่อยให้เขาอยู่ดูแลแม่ไก่กับเด็กผู้หญิงที่ร้านอีกคน
ณัฐวีร์มองความเงียบเชียบ แล้วก็มาหยุดสายตาลงที่โทรศัพท์อีกครั้ง.. ไม่รู้จะทำอะไรก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูการแจ้งเตือน เข้าไปในหน้าเฟสของมกรอีกจนได้
---
"ไอ้..ควาย.."
คำด่าสุดจะหยาบคายดังมาทางโทรศัพท์ ทำเอามกรหัวเราะร่วนให้กับคนด่า
"มึงจะสรรหาคำด่าที่มันดูทันสมัยกว่านี้ไม่มีแล้วหรือไงวะ.. ด่ากูอยู่แต่คำเดิมๆเนี่ย"
"ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายมันสมองมึงไอ้แมน.. ไปบอกทำไมเล่าเรื่องแบบนี้ใครเขาให้ชี้แจงแถลงไข เก็บเงียบไว้ก็ไม่มีใครรู้ ที่สำคัญน้องก็ไม่รู้หรอกถ้ามึงไม่บอกว่าตั้งกล้องไว้น่ะ" แชร์สวดยับเลยทีเดียว
"ก็จริงใจ.. อยากให้นัทเห็นว่ากูบอกแล้วทุกเรื่อง"
"บางเรื่องมึงปิดไว้บ้างก็ได้.. ไอ้บลูซัฟฟาย"
“มึงคงไม่ได้ด่ากูเป็นอัญมณีมีค่าขนาดนั้นใช่ไหม” มกรหัวเราะแล้วขยับเปลี่ยนโทรศัพท์มาถืออีกมือ คุยกันมานานพอควรเขาก็เลยเมื่อยบ้าง คราวนี้เขาเอาข้อศอกท้าวไว้กับประตูรถช่วยค้ำให้คลายเมื่อยไปอีกแรง สายตาก็มองไปยังประตูร้านอาหารที่ยังปิดเงียบ เพราะกว่าจะถึงฤกษ์เปิดร้านก็คงจะอีกหลายวัน
"ไม่เอาอ่ะ อยากจะบอกให้ครบ ไม่อยากให้เขามารู้เอง.." มกรทอดเสียงอ่อนลง เรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ณัฐวีร์ได้ยินจากไอ้กรุง ไอ้เอ มันบั่นทอนความมั่นใจของเขาไปมากโข วันนั้นทุกอย่างเกือบจะดีอยู่แล้วถ้าไม่เจอไอ้พวกนั้น ไม่ถูกพูดในสิ่งที่บิดเบือนจากอดีต ถ้าเมื่อก่อนเขาจะไม่ประชดชีวิต ยอมรับความจริง พูดความจริง เรื่องราวก็คงไม่ย่ำแย่ลงอย่างนี้
ดังนั้น.. ถ้ามีอะไรที่เขายังไม่ได้บอก เขาก็จะบอกณัฐวีร์ให้หมด จะไม่ปิดบังเอาไว้อีก
แชร์เองก็นิ่งไปเช่นกัน.. เขาเองก็มีบางเรื่องที่ยังไม่ได้บอกเพื่อน
ตอนที่ตั้งกล้องไว้ เขาก็กดอัดคลิปตามปกติที่เคยทำกัน.. แต่ที่เขายังไม่ได้บอกเพื่อนก็คือ คลิปนั้นถูกทำลายไปตั้งแต่อุบัติเหตุที่เชียงใหม่เมื่อสองปีก่อนแล้ว
ซึ่งเขาก็ควรบอกเพื่อนให้รับรู้ไว้ว่ามันไม่มีอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว.. เพื่อนจะได้ไม่วิ่งโร่ไปแจ้งณัฐวีร์ว่าเคยอัดคลิปไว้ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องหนักกว่าเดิม
พูดตามตรง ต่อให้ใจแข็งหรือสารเลวแค่ไหน.. เห็นคนเจ็บนอนอยู่บนพื้นถนนต่อหน้าแล้วยังกล้าเก็บคลิปบนเตียงนั่นไว้ดูอีกก็ไม่ใช่คนแล้ว
"เออ เรื่องคลิปน่ะ..กูว่าจะบอกอยู่.. คือ.." แชร์ตัดสินใจจะพูดออกไป แต่แล้ว..
"นัท?.." มกรเรียกชื่อนั้นออกมาก่อนจะขยับตัวเพ่งมองไปยังหน้าร้าน
"เฮ้ย..อะไร?" แชร์เอ่ยถามเมื่อเพื่อนร้องอุทานอย่างตกใจออกมาอีกคำ
แต่มกรก็รีบตัดบททันที "เออๆ แค่นี้ก่อน เดี๋ยวกูไปดูทางนั้นก่อนแล้วจะโทรไป"
มกรกดตัดสายแล้วเหยียบคันเร่งพุ่งรถออกไปยังร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาเห็นณัฐวีร์กำลังยืนละล้าละลังอยู่ที่หน้าร้าน หมุนไปหมุนมาเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ที่สำคัญถ้ามองไม่ผิด ..เสื้อยืดที่ใส่อยู่กับบ้านตัวเก่งที่เห็นชอบใส่ประจำ..มีคราบเลือด..
มกรจอดรถแล้ววิ่งลงไปหาน้องทันที นั่น..เลือดจริงๆเสียด้วย
"นัท!"
เสียงเรียกทำให้ใบหน้าซีดขาวของณัฐวีร์หันมาหา เขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนเรียกเป็นใคร
"พี่.."
มือเล็กๆที่เปื้อนเลือดนั่นสั่นระริก ณัฐวีร์ยื่นส่งมาหาทำให้มกรก้าวไปคว้ารวบเอาไว้ทั้งสองมือ
"เกิดอะไรขึ้น?!"
มกรถามด้วยความเป็นกังวล แต่ยังไม่ทันที่น้องจะตอบ เสียงไซเรนของรถพยาบาลก็ดังใกล้เข้ามา ณัฐวีร์เหลียวไปมอง น้ำตาของเขาไหลออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เขาหันกลับมาลนลานดึงมือออกจากการเกาะกุมแล้วเปิดประตูกว้าง จนมกรมองเข้าไปเห็นร่างที่นั่งเอนอยู่บนเก้าอี้
"..แม่..แม่.."
ณัฐวีร์ร้องเรียกมารดาที่ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เด็กคนงานในร้านที่นั่งจับมือณฐกาเป็นเพื่อนกันก็หน้าซีดๆไม่แพ้กัน
ตอนนี้คนที่ดูจะนิ่งที่สุดกลับกลายเป็นมกร.. ชายหนุ่มวิ่งลงไปที่ถนนโบกเรียกรถพยาบาล เมื่อรถจอดเขาก็ตรงมาเปิดประตูร้านออกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ได้พาณฐกาออกมา
ตอนที่ยกเปลที่มีร่างของแม่ขึ้นรถพยาบาล ณัฐวีร์และมกรก็ปรี่ขึ้นรถตามไปเช่นกัน ตอนแรกเจ้าหน้าที่กันไว้ทั้งคู่ "คนไม่เกี่ยวข้องขึ้นไม่ได้นะครับ"
แต่คำพูดของณัฐวีร์ทำให้เจ้าหน้าที่ปล่อยพวกเขาทั้งคู่ขึ้นรถไปจนได้ "ผมเป็นลูก ส่วนนี่ลูกเขย"
แล้วณัฐวีร์ก็ลากแขนมกรขึ้นไปบนรถด้วยกันไม่ได้รอฟังคำอนุญาต และเพราะจะมัวชักช้าอยู่ไม่ได้ เจ้าหน้าที่จึงจำต้องปล่อยมกรขึ้นไป
พอรถเคลื่อนตัวออก เจ้าหน้าที่ก็เริ่มปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถด้วยต่างก็พยายามจับแขนและบีบมือแม่ไก่ให้กำลังใจ แต่ไม่รู้ว่าให้กำลังใจแม่ที่เคยคลอดลูกมาแล้ว หรือให้กำลังใจตัวเองที่เพิ่งเคยเห็นการคลอดลูกสดๆร้อนๆชนิดริงก์ไซส์
พยาบาลที่อยู่ด้านท้ายร้องบอกเป็นระยะ "คุณแม่ใจเย็นๆนะคะ หายใจเข้าลึกๆ น้องเริ่มโผล่หัวออกมาแล้ว"
คุณพยาบาลอธิบายพร้อมให้กำลังใจคุณแม่ แต่กลับทำให้ชายสองคนในรถมองหน้ากันด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ถึงมือหมอแล้วนะ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว”
มกรโอบไหล่น้องเข้ามากอดอย่างให้กำลังใจ อีกมือก็จับแขนณฐกาไว้ ส่วนณัฐวีร์ มือข้างหนึ่งก็จิกขามกร อีกข้างก็จับมือแม่
ใจนั้นสุดจะกังวล ยิ่งพยาบาลแจ้งว่าเปิดแล้วกี่เซน กี่เซน โทรหาคุณหมอประสานกับโรงพยาบาลตลอด ณัฐวีร์ยิ่งกังวล
แม่เพิ่งจะท้องได้ 7 เดือนกว่าๆเท่านั้น จู่ๆแม่ก็บอกว่าน้ำเดินแล้วให้เรียกรถพยาบาล วางสายจากการเรียกรถไปได้แป๊บเดียวเลือดก็
ไหลออกมาจนเขาทำอะไรไม่ถูก
"ใจเย็นๆนะ แม่ไก่ต้องไม่เป็นอะไร"
มกรกระซิบบอกพร้อมกับกระชับอ้อมแขนอย่างให้กำลังใจน้อง ณัฐวีร์เองก็พยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตามันไหลลงมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
ทั้งแตกตื่นตกใจ ทั้งอุ่นใจในเวลาเดียวกัน..
ตกใจเพราะไม่คิดว่าแม่จะคลอดก่อนกำหนด ไม่เคยมีสัญญาณมาก่อน หมอกับป๊าก็ไม่เคยบอก แต่ตอนนี้อุ่นใจ.. อุ่นใจที่มีใครคนหนึ่งอยู่ข้างๆกัน.. คอยแบ่งปันช่วงเวลาที่น่าระทึกนี้ด้วยกัน
เมื่อตอนที่เห็นว่ามกรเลี้ยวรถเข้ามา เมื่อตอนที่ร่างสูงพุ่งเข้ามาหาและจับมือกันไว้..
ณัฐวีร์รู้สึกถูกเติมเต็มหัวใจ..
หัวใจที่เหี่ยวเฉาและรอคอยมานาน..
วันอาทิตย์แบบนี้รถพยาบาลใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงโรงพยาบาล ความวุ่นวายโกลาหลเริ่มต้นขึ้นเมื่อรถฉุกเฉินเปิดประตู สองหนุ่มวิ่งตามเตียงพยาบาลไปจนถึงห้องเตรียมคลอด ทั้งแพทย์และพยาบาลมากมายยืนรออยู่ที่ห้องนั้นแล้ว
ทันทีที่ห้องคลอดปิดประตูลง ณัฐวีร์ก็เหมือนจะหมดแรงนั่งแปะลงตรงนั้นเอง
-----------------------
แฮ่ จบไปอีกตอนค่ะ
มีข่าวมาประชาสัมพันธ์นิดหน่อย ณ งานสัปดาห์หนังสือ วันที่ 29 เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสาม มอสไปช่วยเบเกอรี่บุ๊คขายหนังสือนะคะ ใครแวะไปแถวนั้นวันนั้นทักทายกันได้ค่ะ
มาเม้าท์มอยกันเน้อ