HEARTBREAKER
68
สนามบินสุวรรณภูมิในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ทั้งเหล่านักท่องเที่ยวขาออกและขาเข้าประเทศ ชายหนุ่มรูปร่างเพรียวบางในชุดสีดำทั้งเสื้อโค้ทตัวยาวและกางเกงหนังรัดรูปหยุดยืนอยู่กลางทางเพื่อดู Boarding Pass ในมือ ผิวขาวจัดของใบหน้าเรียวเล็กที่มีแว่นดำอันใหญ่ปิดบังรอบดวงตาอยู่ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาเหลี่ยวมองอย่างสนใจใคร่รู้ แต่ทว่าคนถูกมองกลับไม่สนใจสายตาผู้คนเหล่านั้น ขาเรียวยาวก้าวเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมกับมืออีกข้างที่ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
หากยังไม่ถึงที่หมายก็ต้องหยุดเสียก่อนเมื่อเบื้องหน้ามีผู้ชายสองคนยืนดักรออยู่ ชายหนุ่มไม่ได้เดินเข้าไปหา เขายืนนิ่งมองอยู่เช่นนั้น ปล่อยให้ผู้ชายสองคนรีบร้อนเดินเข้ามาหาเจ้าตัวแทน
“จะไปจริงๆเหรอครับ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เอ่ยถามขึ้น ทั้งแววตาที่ทอแววเป็นห่วง
คนถูกถามพยักหน้าแทนคำตอบ
“ตัดสินใจดีแล้วใช่มั้ย” ผู้ชายอีกคนที่อาวุโสกว่าถามขึ้นบ้าง
“ครับ…ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้”
ได้ยินคำตอบ คนถามก็ยิ้มเจื่อนก่อนยื่นมือออกไปตบบ่าเล็กเบาๆอย่างให้กำลังใจ
“ลุงเข้าใจ ถ้ามีปัญหาอะไร ติดต่อลุงได้เสมอ คิดซะว่าลุงเป็นญาติอีกคนนึง”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้
“บอกตามตรง ผมไม่อยากให้พี่ไปเลย ผมสัญญากับ…เพื่อนไว้ว่าจะดูแลพี่”
“พี่ดูแลตัวเองได้ ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“แล้วพี่จะไปนานแค่ไหน”
“ยังไม่รู้เลย”
บทสนทนาคล้ายจะสิ้นสุดลงด้วยความเงียบต่อจากนั้น
“ขอผมกอดพี่หน่อยได้มั้ยครับ”
ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยขอด้วยรอยยิ้ม รอจนกระทั่งอีกฝ่ายผายมือออกกว้างก็ขยับเข้าสวมกอดร่างบางไว้แน่น กระซิบบอกข้างหู
“เดินทางปลอดภัยนะครับ ได้โปรดดูแลตัวเองและกลับมาบ้านบ้าง นานแค่ไหนผมก็จะรอ”
คนฟังกระชับอ้อมกอดแม้สีหน้าและแววตาภายใต้แว่นดำยังคงเรียบเฉย
“อืม…พี่จะกลับมา”
คลายอ้อมกอดออกจากกัน ร่างบางหันไปมองผู้ชายอีกคน และได้รับอ้อมกอดอบอุ่นกลับมา
“ลุงขอโทษ”
คนฟังเผลอกัดฟันแน่นแต่ไม่เอ่ยคำใดออกมา
“ลุงขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ และมีความสุข เดินทางปลอดภัยนะ”
ผละจากอ้อมกอด ร่างบางยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอีกครั้งก่อนหันไปพยักหน้าให้เด็กหนุ่มร่างสูง
“โชคดีครับพี่”
“อืม…เราก็ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“ผมจะดูแลตัวเองและรอพี่กลับมาครับ”
เดินห่างทั้งสองคนมาไกลจนกระทั่งเข้าแถวรอเช็คเอกสารสำคัญในการเดินทางออกนอกประเทศ มือบางล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าเสื้อโค้ท แตะสัมผัสหน้าจอ มองรูปเด็กผู้ชายสองคนที่กำลังจับมือกันพร้อมส่งรอยยิ้มสดใสให้กล้องด้วยแววตาอ่อนโยนเจือด้วยความเศร้า ปลายนิ้วเรียวยาวลูบที่ใบหน้าเล็กของเด็กผู้ชายหน้าหวานด้านขวามือในรูปถ่าย ราวกับได้ยินเสียงแว่วหวานดังขึ้นมาเมื่อนึกถึงประโยคนึงในไดอารี่ที่พบอย่างบังเอิญและได้อ่านมันจนจบ
‘ผมขอโทษครับพี่ ได้โปรดยกโทษให้กับความโง่และความอ่อนแอของผมด้วย’
‘ได้โปรดใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พี่ชายของผมต้องมีความสุขตลอดไป’
‘รัก…จากน้องชายคนเดียวของพี่’
น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ เจ้าตัวไม่คิดจะเช็ดมันออก ปลายนิ้วเรียวสัมผัสหน้าจอโทรศัพท์แตะเข้าโปรแกรม Messages เลือกเบอร์ที่ต้องการ และเลือกรูปถ่ายข้อความในไดอารี่ที่ได้ถ่ายไว้ มองอยู่ครู่
นึงก่อนตัดสินใจส่งออกไปยังผู้รับ
“ความรู้สึกเหมือนอยู่อย่างตายทั้งเป็นมันเป็นยังไง พวกมึงจะได้รู้สักที”
รอยยิ้มเศร้าฉายชัดบนใบหน้าเมื่อคนที่เปรียบเสมือนพี่ชายต้องเดินทางไกล ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เมื่อคิดว่าชีวิตต่อจากนี้ต้องขาดเพื่อนและพี่ชายก็รู้สึกวูบโหวงไปทั้งใจ สัมผัสหนักๆที่บ่าทำให้ต้องหันไปมอง
“เครียดอะไรอยู่ ถอนหายใจแรงเชียว”
เจ้าตัวยิ้มเจื่อนก่อนตอบ
“เปล่าครับ ผมก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ว่าแต่ลุงหมอจะกลับหรือยังครับ”
“ว่าจะกลับแล้วล่ะ แล้วเฟียซล่ะ จะกลับเลยมั้ย”
“ครับ”
“ขับรถดีดี อย่าซิ่งให้มากนัก”
เจ้าตัวยิ้มจาง รับคำเสียงเบา
“มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาลุงได้นะ เฟียซก็เหมือนหลานลุงคนนึง”
ผู้อาวุโสกว่าบอกพลางตบบ่าเด็กหนุ่ม
“ขอบคุณครับ เอ่อ…แล้วตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้างครับ”
แม้ไม่อยากเอ่ยถามนัก แต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขาก็อดห่วงคนที่ยังอยู่ไม่ได้ เพราะขนาดตัวเขาเองยังแย่ กว่าจะผ่านมาได้ก็เกือบล้มป่วย เจ็บปวดทางร่างกายภายนอกยังไม่เท่าไหร่แต่เจ็บปวดในใจนี่สิ กว่าจะหายเป็นปกติ ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน นับประสาอะไรกับคนที่อยู่ใกล้ชิดเพื่อนสนิทของเขามาโดยตลอดจนกระทั่งเกิดเรื่อง
“ก็สาหัสทั้งคู่นั่นแหละ มันคงเป็นเวรกรรม อารมณ์แบบอยากตายแต่ก็ตายไม่ได้ ต้องฝืนอยู่ทั้งที่หัวใจเหมือนตายไปแล้ว อยู่อย่างตายทั้งเป็น”
ถ้อยคำที่บอกไปไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด เพราะอาการของหลานชายในตอนนี้มันสาหัสจริงๆ อาการหนักจนคนเป็นพ่อบังเกิดเกล้าแทบเสียสติตามลูกชาย แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะกลัวว่าลูกจะหายไปจากสายตา ส่วนอาการของเพื่อนหลานชายก็ไม่ต่างกัน เพราะตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องเจ้าตัวก็ยังไม่ได้ย่างก้าวออกจากเขตโรงพยาบาลเลย
“ขอให้พวกเขาอาการดีขึ้นเร็วๆนะครับ”
เฟียซยิ้มจืดจางก่อนขอตัวกลับ ทิ้งให้ผู้อาวุโสยืนถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าอยู่เพียงลำพัง เขาก็หวังให้คนทั้งคู่อาการดีขึ้นเร็วๆเช่นเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการของทั้งคู่มันสาหัสจนยากจะเยียวยา เพราะความเจ็บปวดทางใจซึ่งไม่ได้เกิดจากการเป็นโรคที่ต้องใช้ยาในการรักษา ไม่สามารถหายได้โดยง่าย มันต้องขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและกำลังใจของแต่ละคน ถ้าใจไม่อยากอยู่แล้ว ต่อให้ใช้ยาแพงแค่ไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนป่วยได้
อาการของคนตรอมใจเพราะความรัก…มันไม่มียารักษาหรอก
**************************************************
“แซท ทานผลไม้มั้ยลูก”
น้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มหวานเอ่ยถามลูกชายพลางยกจานผลไม้ไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง เจ้าของชื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ร่างกายผ่ายผอมในชุดผู้ป่วยของทางโรงพยาบาลได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง นัยน์ตาที่ไร้แววของคนมีชีวิตเหม่อลอยมองออกไปนอกนอกต่างอย่างไร้จุดหมาย
“แซท”
คนเป็นแม่เรียกลูกอีกครั้งพลางขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง จับมือลูกชายบีบเบาๆ ฝืนยิ้มให้กำลังใจตัวเองแม้ลึกๆจะยังสะเทือนใจกับอาการของลูกอยู่
‘จะต้องเจ็บปวดทรมานอยู่ในสภาพนี้ไปถึงเมื่อไหร่’
หัวอกคนเป็นแม่ก็เจ็บแทบขาดใจที่เห็นลูกเป็นแบบนี้
ความรักก็เหมือนดาบสองคมที่มีทั้งดีและร้าย หากรู้จักรักให้ดี รักให้ถูกทาง ก็คงไม่มีจุดจบแบบนี้
“มือถือ…เอามือถือมา”
เสียงแผ่วเอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามอง พาให้คนฟังรีบลุกขึ้นตามหาเครื่องมือสื่อสารส่งให้ ด้วยไม่อยากให้ลูกชายอาละวาดจนวุ่นวายไปทั้งโรงพยาบาลอีก
“ดูรูปน้องไปด้วย ทานผลไม้ไปด้วยนะลูก เดี๋ยวแม่ป้อน”
แม้ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากลูกชาย แต่คนเป็นแม่ก็จัดการปลอกเปลือกผลไม้ไว้รอ เป็นกิจวัตรประจำวันของลูกไปแล้วที่ต้องขอมือถือเพื่อจะดูรูปของคนรักที่เจ้าตัวถ่ายไว้เต็มโทรศัพท์ เพียงแค่ได้ดูก็คล้ายจะบรรเทาความคิดถึงไปได้บ้าง หากแต่ทุกครั้งที่ดู ลูกชายเธอก็ต้องเสียน้ำตาทุกครั้งไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าให้ลูกอาละวาด ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แผดร้องเสียงดัง สร้างความเดือดร้อนให้คนทั้งโรงพยาบาลแตกตื่นเหมื่อนที่ผ่านมา
“ต้าร์…ต้าร์!”
เสียงร้องดังทำให้คนที่ตั้งใจบรรจงกับการปลอกผลไม้สะดุ้งจนมีดหลุดมือ หันไปมองลูกชายก็เห็นว่าร่างผอมบนเตียงกำลังจ้องมองโทรศัพท์ในมือตัวสั่น น้ำตาไหลพรากอย่างคนขาดสติ เธอรีบลุกจากเก้าอี้ ขยับเข้าใกล้ตัวลูก หวังจะโอบกอดปลอบโยนให้ใจเย็นลง ทว่าพอเข้าใกล้ ลูกกลับตะเกียดตะกายจะลงจากเตียง
“ขอโทษ…กูผิดเอง กูขอโทษต้าร์ กลับมา…ได้โปรดกลับมา อย่าทิ้งกูไป!”
คนป่วยหล่นลงจากเตียงจนล้มกลิ้ง ทั้งที่ในมือยังกำโทรศัพท์ไว้แน่น นัยน์ตาแดงก่ำกับร่างกายที่สั่นไหวรุนแรงบอกถึงภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกติและไม่อาจควบคุมได้
“แซท…เป็นอะไรลูก แซท…”
พยายามจับตัวลูกชายไว้ทั้งสองมือ แต่ก็สู้แรงลูกไม่ได้ น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลอาบแก้มอย่างสงสารลูกชายจับใจกับสภาพที่เห็น
“ช่วยด้วย! อังเดร เข้ามาช่วยลูกฉันที”
ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากคนข้างนอกห้องอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้นครับมาดาม บอส!”
อังเดรร้องเสียงหลงเมื่อเข้ามาเห็นสภาพของเจ้านายที่กำลังคลานอย่างเชื่องช้าอยู่กับพื้น รีบเข้าจับตัวคนป่วยประคองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เสียงร้องไห้ราวจะขาดใจพาให้คนมองสะเทือนใจตามจนไม่สามารถทนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตานั้นได้
“ต้าร์…ต้าร์”
หน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังแสดงรูปถ่ายถูกหยดน้ำตาไหลเปื้อนเต็มหน้าจอ เจ้าของโทรศัพท์ไม่คิดจะ
เช็ดมันออก นัยน์ตาพร่ามัวยังคงจ้องที่ข้อความในรูปถ่าย เพียงแค่คิดถึงเจ้าของลายมือ หัวใจก็เจ็บแปล็บ
ขึ้นมา มันเจ็บจนร่างกายสั่นสะท้าน เจ็บจนต้องตะโกนออกมาทั้งน้ำตา
“ทำไมไม่เป็นกู! ทำไม!”
คนป่วยตะโกนทั้งเสียงแหบแห้ง สองมือตะบมลงบนบ่ากว้างของบอดี้การ์ด จับขย้ำเสื้อไว้แน่นก่อนออกแรงเขย่าอย่างบ้าคลั่ง
“ฆ่ากูเลยสิ ฆ่ากู ฆ่ากูที”
น้ำเสียงอ่อนระโหยบอกกับคนตรงหน้า แรงเขย่าหยุดลงพร้อมกับที่ตัวคนป่วยทรุดนั่งคุกเข่ากับพื้น โทรศัพท์หลุดจากมือตกกระแทกพื้นตามมา อังเดรปล่อยให้เจ้านายหนุ่มนั่งอยู่แบบนั้น ด้วยคิดว่าเจ้าตัวคงหยุดอาละวาดแล้ว หากเพียงพริบตาเดียวคนป่วยกลับทำในสิ่งที่คนมองคาดไม่ถึง ร่างกายผ่ายผอมทำร้ายตัวเองด้วยการโขกศีรษะกับผนังห้องอย่างแรง พาให้คนที่กำลังยืนมองเจ้านายด้วยความสงสารรีบรุดเข้าจับตัวไว้
“แซท สงบสักทีเถอะลูก พอได้แล้ว” คนเป็นแม่เอ่ยขอร้องทั้งน้ำตา
“ปล่อยกู!”
“อย่าทำแบบนี้เลยครับบอส หยุดทำร้ายตัวเองสักที”
อังเดรเอ่ยบอกเจ้านายพลางจับลากขึ้นเตียง กดร่างให้นอนนิ่งๆ
“ปล่อยกู! ปล่อย!”
ประตูห้องพักพิเศษถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับหมอและพยาบาลที่รีบเดินเข้ามาดูอาการคนป่วย
อังเดรถอยห่างออกมาให้พวกเขาได้ทำหน้าที่ ยืนมองเจ้านายหนุ่มถูกจับแขนขาตรึงไว้กับเตียง หลังจากนั้นแพทย์ก็ฉีดยาสลบให้เหมือนเคย พอคนป่วยเริ่มสงบลง มารดาก็เดินเข้าไปใกล้เตียงลูบหัวลูกอย่างปลอบประโลม
“ข...ขอร้อง ฆ่าผมที”
น้ำเสียงแหบพร่ากับอาการยกมือจะยื่นออกมาจับแขนแม่ไว้แต่ก็สลบไปเสียก่อนทำให้คนเป็นแม่ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ร่างบอบบางจวนจะเซล้มอย่างคนหมดแรง อังเดรรีบเข้ามาประคองภรรยา
ของนายเหนือหัวไว้พาไปนั่งที่โซฟา พยาบาลเดินตามมาตรวจดูอาการ
“นอนพักหน่อยมั้ยคะ ห้องพิเศษข้างๆยังว่างอยู่” พยาบาลถามอย่างเป็นห่วงอาการ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณมาก”
เมื่อนายหญิงปฏิเสธ อังเดรก็พยักหน้าให้พยาบาลอย่างเข้าใจกัน พอหมอกับพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว อังเดรก็ประคองร่างบอบบางลุกขึ้นพาเดินไปที่ข้างเตียงก่อนถอยห่างออกมา ให้แม่ได้ดูแลลูกชาย โทรศัพท์ตกอยู่ที่พื้นยังอยู่ในสภาพเดิม อังเดรเก็บขึ้นมาตั้งใจจะวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แต่ข้อความในรูปที่กำลังแสดงอยู่บนหน้าจอทำให้ต้องชะงักมือไว้
เขารู้สาเหตุที่ทำให้เจ้านายคลั่งขึ้นมาอีกครั้งแล้ว หวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปไม่นาน ตั้งแต่วันที่สูญเสียคนรักไป เจ้านายของเขาก็แทบเสียสติ อาการคลุ้มคลั่งและอาละวาดหนักจนปั่นป่วนไปทั้งโรงพยาบาล ใครก็เข้าหน้าไม่ติดแม้กระทั่งมารดาผู้ให้กำเนิด ถ้าไม่ได้เข็มยาสลบที่ฉีดให้ทุกวัน เจ้านายเขาคงบ้าไปจริงๆ อังเดรตัดสินใจส่งโทรศัพท์ให้นายหญิง
“ฉันทนเห็นลูกเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วอังเดร” น้ำเสียงอ่อนแรงปนสะอื้นเอ่ยขึ้น
“ให้ผมแจ้งข่าวดอนมั้ยครับ”
“ช่วยบอกแทนฉันที ฉันอยากพาลูกกลับบ้าน”
**************************************************
แสงของโคมไฟส่องสว่างให้เห็นเงาของคนๆหนึ่งซึ่งกำลังนั่งขดตัวอยู่มุมห้อง ร่างกายผ่ายผอมอยู่ในชุดนอนลายทางสีอ่อน ใบหน้าที่ซูบตอบอิงแอบอยู่กับผนังห้องเหยียบเย็น นัยน์ตาหมองเศร้าหลุบต่ำมองแหวนทองคำขาวที่สวมอยู่ในนิ้วมือ ปลายนิ้วอีกข้างลูบคลึงมันไปมา ริมฝีปากแห้งแตกคลี่ออกเป็นรอยยิ้มบางก่อนหยดน้ำตาจะค่อยๆไหลออกมา อากัปกิริยาเหม่อลอยตามมาหลังจากนั้น เปลือกตาค่อยๆปิดลง เสียงหายใจเป็นจังหวะเข้าออกอย่างช้าๆ บ่งบอกถึงสภาพร่างกายของชายหนุ่มที่ไม่สู้ดีนัก
ก็อกๆๆ
เสียงเคาะประตูไม่ได้ทำให้คนในห้องรู้สึกตัว จนกระทั่งร่างสูงใหญ่เดินมานั่งลงตรงหน้าพร้อมวางมือบนศีรษะที่ปราศจากเส้นผม
“ควิน ได้เวลากินยาแล้วลูก” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกลูกชาย
เจ้าของชื่อค่อยๆลืมตา เงยหน้าหันมามองคนเรียกทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตา แม้จะสะเทือนใจกับสภาพของลูกชายมากเพียงใด คนเป็นพ่อก็ยังคงส่งยิ้มอบอุ่นให้ลูกก่อนช่วยพยุงให้ลุกขึ้น เสียงโซ่ลากไปตามพื้นดังขึ้นเมื่อขายาวค่อยๆก้าวเดินมาถึงเตียง
“พ่อขอโทษ”
น้ำตาซึมเมื่อก้มลงมองข้อเท้าลูกที่มีโซ่ล่ามไว้ราวกับเป็นนักโทษทั้งที่อยู่ในห้องภายในบ้านของตัวเอง แม้จะทำราวกับลูกเป็นสัตว์เลี้ยง แต่เหตุผลที่แท้จริง คนเป็นพ่อแค่ต้องการรักษาชีวิตของลูกชายไว้
“ไม่เป็นไร”
น้ำเสียงอ่อนแรงตอบกลับ ก่อนค่อยๆนั่งลงบนเตียง รู้แก่ใจดีว่าที่ตัวเองถูกขังอยู่ในห้องทั้งยังถูกล่ามโซ่ไว้แบบนี้เพราะสาเหตุใด
“พ่อเหลือควินคนเดียว ควินเข้าใจใช่มั้ย”
คนฟังพยักหน้ารับทั้งน้ำตา เข้าใจความหมายที่พ่อต้องการสื่อ
“ทานยาเถอะ จะได้พักผ่อน”
ส่งยาพร้อมแก้วน้ำให้ นั่งมองจนลูกทานยาเสร็จก็จัดการเก็บแก้วน้ำวางไว้ตามเดิม
“มือถือของลูก” บอกพลางส่งของสำคัญให้อย่างที่ทำมาทุกวันตั้งแต่พาลูกกลับมารักษาตัวที่บ้าน
ควินรับมากำไว้แน่น นัยน์ตาแดงก่ำที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตามองพ่อบังเกิดเกล้าที่กำลังนั่งลงแทบเท้าเขา ค่อยๆจัดการปลดโซ่ให้อย่างระวังเพื่อที่เขาจะได้นอนหลับอย่างสบายตัว พอไม่มีโซ่ล่าม คนป่วยก็ขยับตัวเอนหลังพิงหัวเตียง คนเป็นพ่อจึงจับผ้าห่มคลุมตัวให้ลูกชาย แล้วถอยไปนั่งมองอยู่ปลายเตียง นั่งเฝ้าจนกว่าลูกจะหลับสนิทไปเพราะฤทธิ์ยา นี่คือหน้าที่ที่คนเป็นพ่อต้องทำหลังจากวันที่เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นวันนั้น
นั่งมองลูกชายจ้องหน้าจอโทรศัพท์ มองหยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของลูก ฟังเสียงร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานของลูกด้วยหัวใจที่เจ็บปวดไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าจะได้ทำหน้าที่ของพ่อในตอนที่ลูกมีสภาพเช่นนี้
“ต้าร์”
เสียงครางชื่อจากลูกทำให้คนที่นิ่งไปความคิดตัวเองหลุดออกจากภวังค์
“ควิน เป็นอะไร เจ็บตรงไหน” ถามเสียงตื่นเมื่อเห็นว่าลูกเริ่มร้องไห้หนักจนสั่นไปทั้งตัว
“ต้าร์...จะไปหาต้าร์”
“ไม่ได้!” เผลอตะคอกใส่เพราะความกลัวว่าจะเสียลูกไป
“ปล่อยผมไป ขอร้อง…ผมขอร้อง”
“ควิน…”
คนเป็นพ่อส่ายหน้าเมื่อลูกเริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการทุบอกซ้ำๆ มืออีกข้างที่ยังถือโทรศัพท์ไว้แน่นก็ทุบที่หัวของตัวเองอย่างไม่กลัวว่าจะบาดเจ็บ เห็นภาพตรงหน้าแล้วคนเป็นพ่อก็ได้แต่กัดฟัน ตัดสินใจหยิบโซ่บนพื้นขึ้นมาล็อคไว้กับข้อเท้าของลูกตามเดิม
“ปล่อย!” ควินตะคอกใส่พ่อทั้งน้ำตา
แม้จะเจ็บปวดที่ถูกลูกตะคอกใส่ แต่คนเป็นพ่อก็ไม่คิดเอ่ยคำใดออกมาอีกนอกจากยึดโทรศัพท์ในมือลูกกลับมา
“เอาคืนมา! ต้าร์อยู่ในนั้น! เอามือถือผมมา!”
ควินร้องสั่งเสียงดังลั่นห้อง หอบหายใจแรงอย่างเหนื่อยล้า พยายามขยับตัวเข้าใกล้พ่อเพื่อจะแย่งเอาโทรศัพท์คืนมาแต่ก็ต้องทรุดเพราะยาเริ่มออกฤทธิ์ทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัว แต่ถึงยังนั้นเสียงแหบพร่าก็ยังลอดออกจากปาก
“ผมจะไปอยู่กับต้าร์ ปล่อยให้ผมไปอยู่กับคนที่ผมรัก ได้โปรด…”
หยดน้ำตาไหลผ่านสันจมูกโด่งเมื่อเปลือกตาของคนสิ้นฤทธิ์ปิดลง ร่างสูงหลับไปในท่าตะแคงตัวใบหน้าซีกนึงจมไปกับฝูกนุ่ม
“ทรมานแค่ไหนก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะควินเป็นลูกพ่อ”
มองลูกทั้งน้ำตาซึมก่อนเดินเข้าไปใกล้ วางโทรศัพท์ของลูกไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง จับพลิกตัวให้ลูกนอนหงาย คลี่ผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้ ประโยคที่ลูกตะคอกใส่ยังดังก้องอยู่ในหัวจนต้องหันไปมองโทรศัพท์เจ้าปัญหา หยิบมันขึ้นมาเปิดดูด้วยความเจ็บใจอยู่ลึกๆที่แม้แต่ลูกยังรักและอยากไปอยู่กับคนที่ตายไปแล้วมากกว่าคนเป็นพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ คิ้มเข้มขมวดมุ่นเมื่อสายตาปะทะกับรูปถ่ายข้อความที่แสดงอยู่ในหน้าจอ ไล่สายตาอ่านมันจนจบ แทบไม่รู้ตัวว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ส่งสัญญาณสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงจึงหยิบมันออกมา พอเห็นชื่อคนโทรเข้าก็รีบรับสายทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยคำ
“พี่ครับ ช่วยผมด้วย ช่วยหลานชายพี่ด้วย”
**************************************************
v
v
v