[8]
“ไอ้ไผ่มึงทำอาหารเป็นไหมวะ” ผมถามไอ้ไผ่ในช่วงที่มันกำลังจะเลิกงาน
“พอทำได้ ทำไมหรอ” มือของมันก็เก็บโต๊ะไปด้วย แต่ตาก็หันมามองผมเป็นระยะ โดยที่ไม่ได้ทิ้งงานที่ทำอยู่
“พรุ่งนี้วันหยุด ทำอะไรกินกันไหม” ผมเสนอความคิด เพราะพรุ่งนี้ทั้งผมและไอ้ไผ่ไม่มีเรียนด้วยกันทั้งคู่ แล้วแถมพี่ป่านก็ให้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ของไอ้ไผ่ด้วย
“นายอยากกินอะไรหละ ถ้าทำได้จะทำให้กิน” ไอ้ไผ่มันถามผม โดยที่ใบหน้าไม่ได้มีความรู้สึกไม่เห็นด้วยเลย
“ทำสุกี้กินกันไหม เดี๋ยวไปทำที่ห้องเรา” ผมรีบเสนอความคิดทันที เพราะดูแล้วมันน่าจะทำให้ไอ้ไผ่และผมใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานกว่าอาหารอย่างอื่น และนั่นจะทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มของมันนานขึ้นไปด้วย
“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปหานายที่ห้องแล้วกันนะ” ไอ้ไผ่ตอบกลับมา แล้วก็เร่งทำงานต่อ ผมเห็นมันยกโต๊ะที่อยู่ด้านนอกเข้าไปเก็บในร้านแล้วก็รู้สึกแปลก เพราะที่มันทำก็งานมันนี่นา ทำไมผมถึงอยากที่จะไปยกแทนมันก็ไม่รู้
“ตินไม่ต้องก็ได้” ไอ้ไผ่ร้องทักเมื่อเห็นผมยกโต๊ะตัวข้างๆเข้าไปไว้ในร้าน
“ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ นายจะได้รีบนอน แล้วไปทำสุกี้ให้เรากินแต่เช้าไง” ผมตอบมันก่อนจะเดินเลี่ยงไปยกโต๊ะกับเก้าอี้ที่เหลือ ซึ่งไอ้ไผ่ก็ช่วยยกจนเสร็จ
“นี่พรุ่งนี้ชวนเจมาด้วยสิ หลายคนสนุกดี” ไอ้ไผ่เสนอความคิด ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะอย่างน้อยไอ้เจมันก็เป็นเพื่อนสนิทผมนี่นา
“นั่นสิ เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วค่อยโทรบอกมัน ส่วนนายก็เข้าบ้านได้แล้ว” ผมจอดที่หน้าปากซอยเช่นเดิม ก่อนจะบอกให้ไอ้ไผ่รีบกลับไปนอน
“อื้ม...แล้วพรุ่งนี้เจอกัน.....อ้อ...เราชวนกุ้งไปด้วยได้ไหมติน” มันกำลังจะเปิดประตูรถ แต่ก็หันมาถามผมเสียก่อน
“ทำไมต้องชวนหละ” ผมทำหน้าไม่พอใจ เพราะทำไมต้องชวนมาด้วย หรือไอ้ไผ่มันจะชอบกุ้ง
“ถ้านายไม่ชอบก็ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปหาแล้วกันนะ” ไอ้ไผ่ทำหน้านิ่ง น้ำเสียงบ่งบอกว่ามันรู้สึกผิด ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมต้องรู้สึกผิดมากขนาดนั้นด้วย
“ถ้าจะชวนก็ชวนมาเถอะ คนเยอะๆสนุกไม่ใช่หรอ” ผมบอกมันเพราะไม่ชอบที่มันต้องรู้สึกผิดอะไรแบบนั้น ทั้งที่มันไม่มีอะไรใหญ่โตเลย ความรู้สึกเกรงใจที่มากเกินไปของไอ้ไผ่เป็นอีกอย่างที่ผมต้องทำให้มันลดลงมาบ้าง
“ได้หรอ” ไอ้ไผ่ถามผมด้วยท่าทางเกรงๆ
“ได้สิ เพื่อนกันทั้งนั้นนี่ ว่าแต่นายจะชวนยังไง พรุ่งนี้ก็ไม่ได้ไปที่ร้านนี่” ผมก้อดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้ไผ่จะชวนยังไง
“กุ้งให้เบอร์ไว้” มันหันไปค้นของของมัน ก่อนจะชูให้ผมเห็นกระดาษที่เขียนเบอร์โทรอยู่ในนั้น โห....นี่ถึงขนาดให้เบอร์กันเลยหรือนี่
“งั้นเอามานี่ เดี๋ยวเราโทรเอง” ผมคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้เสียเอง ก่อนจะผลักไหล่ไอ้ไผ่ให้ลงจากรถ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราโทรเองได้” ไอ้ไผ่ยังฝืน พร้อมกันหันมาบอกผม
“นายจะโทรยังไง มือถือก็ไม่มี ลงไปได้แล้ว เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ” ไอ้ไผ่ลงจากรถแบบงงๆ ผมก็แอบขำในใจคนเดียว....แค่นี้ไอ้ไผ่ก็ไม่มีเบอร์กุ้งแล้ว อิอิ
“นี่...พรุ่งนี้ไปเจอที่ห้องก่อนนะ เดี๋ยวออกไปซื้อของพร้อมกัน” ผมเปิดกระจก พร้อมกับตะโกนบอกไอ้ไผ่ ซึ่งมันก็หันมาพยักหน้าเข้าใจ....
“ไอ้ไผ่ เตรียมชุดมาด้วยนะ กูอยากดูหนังผี” ผมยังตะโกนต่อ
“เข้าใจแล้ว ไปได้หรือยัง” ไอ้ไผ่ตะโกนตอบมา พร้อมกับทำท่าขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ท่าทางของมันไม่ได้ทำให้ผมกลัวเลย แถมยังอดจะขำไม่ได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“พร้อมแล้วไปกันเลยนะ” กุ้งมาถึงหลังจากไอ้ไผ่เล็กน้อย และเมื่อมาถึงก็ชวนผมกับไผ่ไปซื้อของทันที
“ยังไม่ครบครับ ขาดอีกหนึ่ง” เสียงไอ้ไผ่ตอบกุ้ง
“เหลืออีกหนึ่ง......อย่าบอกนะว่า......” กุ้งทำท่าคิดเล้กน้อย ก่อนจะทำตาโตถามไผ่ ถ้าให้ผมเดากุ้งคงคิดถูกแล้วหละว่าขาดใคร
“มาแล้วคร้าบบบ คนหล่อที่ทุกคนรอคอย” ไอ้เจเดินมาพร้อมกับส่งเสียงกวนประสาทมาให้ทันที สมแล้วที่เป็นไอ้เจ
“หน้ายาวอย่างกับมะละกอยังจะบอกว่าตัวเองหล่ออีก” เสียงกุ้งแขวะไอ้เจ แต่ก็หันไปทำตาน่าสงสารให้ไผ่
“โห.....ผู้หญิงอะไรนอกจากจะ –ถึก- -บึกบึน- แล้วยังปากร้ายอีก” ไอ้เจดูท่าไม่ยอมเช่นกัน ว่ากุ้งกลับไป ทำให้สายตาน่าสงสารของกุ้งเมื่อครู่ กลายเป็นประกายไฟทันที
“ถึงจะถึก แต่ชั้นก็สวยหละน่า” กุ้งเท้าสะเอวเถียงไอ้เจ ซึ่งไอ้เจก็ไม่ได้เถียงอะไร มันก็แค่เดินรอบตัวกุ้ง ซ้ายที ขวาที แล้วมาหยุดยืนตรงหน้า
“เฮ้อ....สวยมาก” ไอ้เจมันถอนหายใจแรงๆทีหนึ่ง ก่อนจะทำหน้าตายชมกุ้ง ซึ่งทุกคนก็เข้าใจว่าไอ้เจกำลังประชดอยู่นั่นเอง แต่ก่อนที่จะมีการเถียงกันไปมากกว่านี้ ไอ้ไผ่ก็ต้องเป็นฝ่ายสงบศึกเสียก่อน
“พอแล้วหละเราไปซื้อของมาทำอะไรทานกันดีกว่านะ ท่าทางจะหิวกันแล้วนี่” ไอ้ไผ่สะกิดบอกกุ้ง ส่วนผมก้ได้แต่ดึงไอ้เจให้ออกห่างจากกัน และทั้งผมกับไอ้ไผ่ก็สามารถลากทั้งคู่มาที่รถได้สำเร็จด้วยความยากเย็น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อมาถึงห้าง ผมกับไอ้ไผ่รับหน้าที่ในการเข็นรถเข็น ส่วนอีกสองคนต่างฝ่ายต่างจ้องหน้าเขม่นกันตลอด
“ผู้หญิงอะไรกินตับ” เสียงไอ้เจแขวะกุ้ง เมื่อเห็นกุ้งวางถาดตับหมูลงในรถเข็น
“ผู้ชายอะไรกินไอติม” ในมือของไอ้เจถือไอศกรีมกล่องหนึ่งอยู่
“รสสตอเบอร์รี่” กุ้งยื่นหน้าไปดู แล้วพูดอย่างหยามเล็กน้อยที่ไอ้เจถือไอศกรีมรสสตอเบอร์รี่มาวางในรถเข็น ไอ้เจเลยได้แต่ทำท่าไม่พอใจแล้วเดินเลี่ยงไปอีกด้านเพื่อดูของอย่างอื่น
“ไผ่ทานปลาหมึกไหม” กุ้งถามไอ้ไผ่ก่อนจะทำการเลือกปลาหมึกตรงหน้า
“ไอ้ไผ่แพ้อาหารทะเลไม่รู้หรือไง” ทั้งผมและกุ้งหยุดชะงักเมื่อได้ยินไอ้เจบอก ทำไมไอ้เจรู้แล้วผมไม่รู้หละ นี่ไอ้เจมันรู้เรื่องไอ้ไผ่มากกว่าผมอีกหรอ
“จริงหรอไผ่” กุ้งหันไปถามไอ้ไผ่
“ไม่จริงหรอก เจเค้าล้อเล่นนะ” พอผมหันไปมองที่ไอ้เจ มันก็กำลังหัวเราะเยาะอยู่
“อยากจะเอาใจดีนัก เลยแกล้งเฉย เฉยยยย” มันทำปากยื่นฃากเสียงยาว ก่อนจะเดินหนีไป ทิ้งให้กุ้งควันออกหูอยู่คนเดียว
“ไผ่อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ผมยืนเฝ้ารถเข็นกับไอ้ไผ่ เพราะสองคนนั้นต่างแยกกันไปหาของที่ตัวเองชอบ ผมเลยเลือกที่จะยืนอยู่กับที่ดีกว่าจะเข็นรถตามคนใดคนหนึ่ง
“ไม่หละ เท่าที่มีนี่ก็เยอะแล้ว” มันก้มลงมองของในรถเข็น แล้วหันมายิ้มกับผม
“นายไม่ได้แพ้อาหารทะเลจริงๆใช่ไหม” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะกลัวว่ามันจะเกรงใจจนไม่กล้าบอกความจริง
“เราไม่ได้แพ้จริงๆ อย่างเราถ้าเลือกกินก็อดตายสิ” มันตอบกลับมาด้วยตาใสซื่อ แต่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีในคำตอบนั้น เพราะมันทำให้ผมสงสารมันมากเหลือเกิน
“ถ้ามีอะไรหรือมีปัญหา นายต้องบอกเรานะ” ผมทำหน้าเครียดบอกไอ้ไผ่ เพราะถ้าผมจะยื่นมือเข้าช่วย มันคงไม่ยอมรับแน่ๆ
“ขอบใจนะติน นายเป็นคนที่เราไว้ใจที่สุด ถ้าเรามีอะไรจะบอกนายคนแรกนะ” คำพูดของไอ้ไผ่ทำให้ใจผมพองโต เพราะผมคือคนที่มันไว้ใจที่สุด มากว่ากุ้ง และมากกว่าไอ้เจอีกด้วย........
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รักกันนานๆนะครับ
น้องไผ่น้องติน สู้ๆ อิอิ