END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END『 #เรากับเขา 』Act 26: เป็นเรากับเขา...ทุกช่วงเวลา P.11 [12/8/62]  (อ่าน 68537 ครั้ง)

ออฟไลน์ por_pla4u

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อะไรอ่ะนายชานนท์ มาแรงแซงโค้งกันเลยทีเดียว

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
หนึ่งพันครั้งแล้วหรอ

โคตรโรแมนติก,,,

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
ไหนใครคิดถึงขอให้ยกมือขึ้น

Act 18 : เรา...กับความชอบครั้งที่หนึ่งพัน...



                ตั้งแต่เด็ก แม่มักจะหาความชอบให้เราเสมอ อาจเป็นเพราะเราไม่กล้าแสดงออก อยู่คนเดียวเงียบๆ แม่จึงกังวลเป็นพิเศษ เราไม่เคยคิดว่าการไม่มีความสนใจในสิ่งใดๆ จะสร้างปัญหาให้กับเรา

 

               จนกระทั่งวันหนึ่ง…มันเกิดปัญหาขึ้นมา



                “ปั้นชอบอะไรล่ะลูก”



                เราสามคนพ่อแม่ลูกนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะอาหาร นี่ไม่ใช่การล้อมวงทานมื้อเย็นแต่อย่างใด เพราะบนโต๊ะมีแต่เอกสารเต็มไปหมด แต่มีอยู่หนึ่งแผ่นที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะ และดูเหมือนว่าจะเป็นเอกสารเจ้าปัญหาที่เร่งรัดการตัดสินใจของเราในเวลาอันสั้นนี้



               ‘เอกสารเลือกแผนการเรียน’



                “ชอบวิทย์ไหม” พ่อเอ่ยถาม



                เราส่ายหน้าพลางมองเกรดวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในระดับกลางๆ ของตนเอง



                “ชอบศิลปะไหมลูก” แม่เอ่ยถาม



                เราส่ายหน้าพลางมองเกรดศิลปะที่ต่ำลงกว่านั้น



                ...ความถนัดเป็นศูนย์...



                “ปั้นไม่มีความชอบ” เราสบตาแม่ด้วยอาการคิดไม่ตก



                “มีสิลูก” แม่รีบพูดก่อนจะย้ายมานั่งข้างๆ เรา แม่ลูบไหล่เราก่อนจะพร้อมกับพูดไปด้วย “คนเราน่ะจะต้องมีความชอบ ความสนใจอยู่อย่างหนึ่งนั่นแหละ”



                “ปั้นเคยชอบวิทย์แต่พอนานๆ เข้าปั้นก็ไม่ชอบมัน”



                แม่ยิ้มบาง ในขณะที่พ่อส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้เรา



                “ปั้นเคยชอบศิลปะ ปั้นมองแล้วรู้สึกดีแต่พอมองอีกครั้งปั้นก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น ปั้นคงไม่มีสิ่งที่ชอบ” เราเอ่ยพลางมองรายละเอียดของแต่ละแผนการเรียน และประโยคต่อมาของแม่ทำให้เราเงยหน้าขึ้นอย่างสนใจ



                “ปั้นก็เจอความชอบของตัวเองซักวันหนึ่งเองนั่นแหละลูก” มือของแม่ลูบหัวเราประกอบการพูด และเป็นเพราะเราไม่เข้าใจ แม่จึงอธิบายต่อมา



                “เป็นสิ่งที่ทำให้ปั้นต้องรู้สึกชอบถึงหนึ่งพันครั้ง”



                “...”



                “และครั้งที่หนึ่งพันหนึ่ง ความชอบนั้นจะเป็นตกหลุมรักมันอย่างสมบูรณ์เลยล่ะลูก”



                “...หรอครับ”



                เรามองแม่ที่สบตาพ่อแล้วยิ้มกว้างอย่างไม่เข้าใจนัก



                ...รู้สึกชอบถึงหนึ่งพันครั้งงั้นหรอ...

 







                “หยุดยิ้มได้ไหม” เรามองคนที่นั่งข้างๆ ตาขวาง แกล้งถลึงตาทำเป็นดุเพื่อปกปิดความอายที่แล่นริ้วทั่วใบหน้า



                “เอ้า คนยิ้มก็ผิด”



                “ใช่ ผิดมากด้วย”



                นายพาเรามาส่งที่บ้าน เพราะว่ายังไม่ได้ฉลองวันเกิดของเขา เราจึงชวนเขาเข้ามานั่งด้านใน นายถือถุงกระดาษที่เราให้ตามเข้ามาเหมือนเด็กๆ ก่อนจะเอ่ยปากชวนเรากินข้าวห่อไข่ที่เย็นชืด ตอนที่เขาตักข้าวขึ้นมากินด้วยตาแดงๆ นั่นทำให้เรารู้สึกสงสารจับใจ แม่ที่ขึ้นนอนไปแล้วได้ยินเสียงรถจึงเดินลงมา พอเห็นว่าเป็นวันเกิดนาย แม่ก็เข้ามากอดและอวยพรวันเกิดให้เขาก่อนจะขึ้นขอตัวไปนอน ช่วงเวลานั้นเราเห็นเขาน้ำตาซึมขณะที่กอดตอบแม่เราด้วย



                และตอนนี้เราทั้งสองคนนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นกลางบ้าน เราดูทีวี ส่วนเขาก็...



                “พี่ปั้น โรแมนติกนะเนี่ย” นายยกขวดโหลขึ้นมาด้วยมือขวา ท่าทางของเขากลบความปลื้มใจไม่มิด เราเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก



                “อะ...อะไรเล่า” ก็นั่นเป็นสิ่งที่คนไม่พูดไม่เก่งอย่างเราทำได้นี่นา



                “ทำไมถึงเป็นรูปดาวครับ” เขาถามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มขณะที่หยิบดาวออกมาจากขวดโหลสองสามดวง



                “เพราะเราพับดาวสวยที่สุด”



                “โห แค่เนี้ย ถ้าพี่ปั้นพับรูปกบสวยที่สุดคงมีแต่กบเต็มขวดโหลให้ผมใช่ไหมครับ” นายพูดขำๆ แต่แววตากลับไปเต็มไปด้วยความสุข



                “อื้ม”



                “ว่าแต่ในนี้มีดาวกี่ดวงครับ ถึง...หนึ่งพันไหมครับ”



                เราย่นจมูกไม่ได้ตอบอะไร รู้ว่านายแกล้งถามเพราะคำสารภาพของเราเมื่อค่ำ ดวงตาเขาเป็นประกายวิบวับอยู่ตลอดเวลา



                “ไม่ถึงหรอครับ เสียใจจัง” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่นายก็นั่งยิ้มมองดาวเล็กๆ บนฝ่ามือตัวเองไม่หยุด เราซึ่งเป็นคนให้ก็อดรู้สึกดีไม่ได้ จะว่าไปก็...



                “นาย”



                “ครับ” เขาละสายตาจากดาวที่อยู่ในมือก่อนเงยหน้ามาตามเสียงเรียก



                “จริงๆ ในนี้น่ะมีดา...”



                “ครับ?”



                จู่ๆ ก็เหมือนทั้งโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เราเม้มปากขณะที่มองเห็นหน้าตัวเองสะท้อนในแววตาของเขา ในนั้นเราเห็นตัวเองชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นโอบล้อมเราทั้งคู่ให้เคลื่อนตัวเข้าหากันอย่างช้าๆ จนทำให้เราลืมเรื่องที่จะพูดไปเสียสนิท



                เรารู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่พัดผ่านปลายจมูก สัมผัสนุ่นหยุ่นเฉียดผิวแก้มเราไปแผ่วเบา และก่อนที่อะไรๆ จะเข้าใกล้กันไปมากกว่านี้...



                ครืดดดด!



                เฮือก!



                เราตกใจเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้หน้าทีวีจนเผลอผลักอกเขาออกไปอย่างรวดเร็ว นายเองก็มีสีหน้าตกใจอยู่วูบหนึ่ง จากนั้นเราก็ได้ยินเสียงจิ๊เล็กๆ จากปากเขาก่อนที่เขาจะกดรับสาย



                อ่า...เราไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นสถานการณ์เมื่อกี้มันล่อแหลมเกินไป อยากจะยกมือกุมใจตัวเองให้หยุดส่งเสียงดังได้แล้วแต่ก็ทำได้เพียงก้มมองปลายเท้าตัวเองอยู่แบบนั้น ไม่ได้เห็นว่าคนที่โทรศัพท์อยู่นั้นมองเราไม่วางตา



                “ว่าไง”



                (อยู่ไหนวะ)



                สาบานว่าเราไม่ได้แอบฟังเลย ก็เสียงเอ็มเจดังลอดออกมาจากสายชัดเจนขนาดนั้น



                “บ้านพี่ปั้น”



                (เออ กูไปส่งมาแล้วนะเว้ย พี่ชาแม่งไม่พูดอะไรเลยว่ะ)



                “ขอบใจว่ะเอ็มเจ”



                (เดี๋ยวไอ้นาย..)



                “หือ”



                (กู...ถามจริงๆ เถอะ มึงกับพี่ชา...เกิดอะไรขึ้นวะ)



                เราชะงักเพราะได้ยินชื่ออีกคนออกมาจากปลายสาย เรื่องราวที่หายไปครู่หนึ่งกลับเข้ามาในสมอง นี่...เราลืมไปได้ยังไง ชานนท์ยังอยู่ที่นั่น พวกเราทิ้งอีกคนที่เสียใจไว้เบื้องหลัง



                “ไว้ค่อยคุย”



                เรามองปลายเท้าของตัวเอง และคิดเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในวันนี้



                “พี่ปั้น..”



                “หือ?”เราหันไปตามเสียงเรียกอย่างช้าๆ อีกคนมีสีหน้าเป็นกังวลส่งมาให้



                “ชานนท์เป็นยังไงบ้าง” เราเอ่ยถาม พอจะเข้าใจว่าทำไมนายถึงต้องทำแบบนั้น เราเข้าใจดี...การที่เราจะต้องประคับประคองความรู้สึกของอีกคนไม่ให้กระทบกับความสัมพันธ์ที่ผ่านมา เรื่องพวกนี้แทรกซึมอยู่ในตัวของคนทุกคนจนบางครั้งเราก็ลืมที่จะคิดถึงความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองไป



                “เพราะพี่ชานนท์เป็นเหมือนพี่ชายผมถึงทิ้งเขาไว้ไม่ได้ ขอโทษนะครับ”



                น่าแปลกที่หลังจากวางสาย บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไปซะอย่างนั้น คล้ายกับว่ามีเราทั้งคู่หลุดเข้าไปอยู่ในบอลลูนยักษ์ที่มีแต่ความอึมครึมชวนให้รู้สึกอึดอัด



                “นายจะขอโทษเราทำไม นายทำดีแล้ว ถ้าชานนท์ทำอะไรไม่คิดขึ้นมาคงไม่ดีแน่ๆ” ในฐานะคนที่เคยเป็นเพื่อนกัน ชานนท์ไม่เคยระเบิดอารมณ์ขนาดนี้มาก่อน ขนาดเราแค่ได้ฟังแล้วยังรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเลย



                “แต่ผมกลัวพี่ปั้นคิดมาก ผมถึงไม่ได้บอก” เราพิจารณาคนที่นั่งข้างๆ กัน นายยังเป็นคนดีเหมือนเดิม เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาคิดถึงคนอื่นมากขนาดไหน นายคงเสียใจไม่น้อยที่ความสัมพันธ์รุ่นพี่กับรุ่นน้องคงไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว



                “ไม่ต้องกลัวเราคิดมากหรอก นายน่ะคิดมากกว่าเราอีก”



                เพราะรู้จักกันมาพักใหญ่ๆ เราถึงรู้ว่านายคนที่สดใสน่ะไม่มีจริงหรอก และเราไม่รู้ว่าคำว่าคิดมากของเขากับคำว่าคิดมากของเรา แฝงความหมายอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า



                “พี่ปั้นก็คิดมากเหมือนกัน”



                “นายก็คิดมาก” ...มากกว่าเราไม่รู้กี่เท่า... เราเถียงกลับพร้อมด้วยใบหน้าบึ้งนิดๆ เขากลับมาเป็นนายจอมดื้ออีกแล้วหรอ



                “อืมมมม ผมคิดมากเรื่องอะไร ไหนพี่ปั้นลองบอกผมซิ”



                ดูเหมือนว่าบอลลูนยักษ์จะเริ่มปล่อยลมแห่งความอึมครึมออกแล้วล่ะมั้ง เพราะอยู่ดีๆ นายก็ยกยิ้มมุมปากก่อนจะมองเราด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ถูก นี่เขาเปลี่ยนอารมณ์เร็วจนเราตามไม่ทันเลย



                “นายคิดมากทุกเรื่องแหละ” เราตอบก่อนจะเบนสายตาไปมองโฆษณาในทีวี



                “ผิดครับ”



                “...”



                “จริงๆ แล้วผมคิดมากอยู่เรื่องเดียว” เราหันกลับมามองหน้าเขาแล้วก็พบว่านายยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะเคลื่อนตัวมาใกล้เราช้าๆ เราตกใจถอยจนแผ่นหลังไปชนกับแขนโซฟาอีกด้านหนึ่ง นายตามมาใช้แขนทั้งสองข้างของเขากักตัวเราไว้



                “อยากรู้ไหมครับว่าเรื่องอะไร”



                “ปะ...ปล่อยเรานะ” เราหลับตาปี๋ ทั้งๆ ที่เราใช้มือดันอกเขาไว้เต็มกำลังแต่นายก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย แถมใบหน้าที่ยอมรับว่าหล่อนั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้ง



                “เรื่องที่ว่าตอนนี้...พี่ปั้นเป็นแฟนผมรึยังครับ”



                กึก



                เราหยุดนิ่ง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ นายเลื่อนมือมาประคองแก้มเราไว้ทั้งสองข้าง ฝ่ามืออุ่นๆ กับรอยยิ้มจริงใจของเขาทำให้เราชะงักงัน



                “พี่ปั้นเป็นแฟนผมรึยังครับ” นายถามเราอีกครั้ง นิ้วโป้งข้างขวาของเขาไล้หางตาเราเบาๆ



                “ยะ...ยัง”



                ...ก็นายยังไม่ได้ขอเลยนี่...



                “อ้าว” นายทำหน้าผิดหวัง ไหล่กว้างแบบนักกีฬาลู่ลงเล็กน้อย ท่าทางเสียใจของเขาทำให้เราเผลอยกมือขวาจับมือเขาข้างหนึ่งของเขาที่กุมหน้าเราไว้อีกที เรากำลังจะพูดต่อแต่จู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นเสียงดังจนเราสะดุ้ง



                “วันเกิด!”



                “...”



                “เทวดาครับ” นายจ้องหน้าเรา ท่าทางเขามีความตื่นเต้นจนเรามองกลับไปอย่างไม่ไว้ใจ



                “อะ...ไร”



                …เทวดาที่ไหน มีเรากับนายสองคนเนี่ย…



                “เทวดามองใครครับ ผมกำลังจะขอพร ช่วยทำให้พรผมเป็นจริงด้วยเถอะครับ”



                ...นายอย่ามาเพี้ยนต้อนรับวันเกิดนะ...



                “รับปากสิครับ” นายเขย่ามือเราเป็นเชิงบังคับให้เราเข้าร่วมการแสดงฉากนี้ นี่ตกลงเรากำลังเล่นเป็นเทวดาหรอ เราหลุดขำแต่ก็อยากรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรต่อ



                “...”



                “คำขอของผมอาจจะยิ่งใหญ่หน่อย เทวดารับปากผมได้ไหมครับ แล้วผมจะไม่ขออะไรเลย”



                “บอกก่อนว่าซื้อบ้านซื้อรถเราไม่มีให้นะ” เราหน้าเหวอเมื่อได้ยินคำว่ายิ่งใหญ่แต่ก็ยอมเป็นเทวดาอย่างมึนๆ คนที่ขอพรอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะ



                “หึหึ อะแฮ่ม ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แต่คำขอนี้เทวดาให้ผมได้แน่นอน รับปากผมสิครับ นะครับ”



                “อ่า...ได้ เห็นแก่วันเกิดของนายเราจะให้”



                นายยิ้มกว้างก่อนจะเขย่ามือเรา “สัญญาแล้วนะครับ”



                “อื้อ...”



                “คำขอของผมคือขอให้ผม..”



                “...”



                “ให้ผมได้ดูแลพี่ปั้นในฐานะแฟน...ได้ไหมครับคุณเทวดา” นายลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เขากุมมือเราที่นั่งอยู่บนโซฟาคล้ายกับว่ากำลังอธิษฐานขอพรอยู่ในโบสถ์



                “ทะ...อะไรของนายเนี่ย”



                “คำตอบล่ะครับพี่ปั้น ผมอายนะ”



                “ขนาดเราไม่ได้เป็นคนพูดยังอายเลย”



                “คำตอบครับ อย่าเฉไฉ ผมมันเขี้ยว...ว่าไงครับ”



                นายมองเราถึงแม้ว่าจะดูมั่นใจแต่กลับมีความอ้อนวอนเล็กๆ อยู่ในดวงตา เราจึงส่งยิ้มไปให้ เป็นยิ้มที่มาจากความรู้สึกของเราทั้งหมด



                “เจ้าของวันเกิด...”



                “..”



                “คุณจะได้รับพรนั้นเดี๋ยวนี้”



                “!!...”



                หมับ!



                “เฮ้ยย อย่ามากอดเรา” แทบจะสะดุ้งกับแรงกอดของเขา เราดันหน้าอกเขาไว้ นายตอบกลับด้วยเสียงอู้อี้เพราะใบหน้าเขาแนบไหล่เราอยู่



                “ผมไม่ได้กอดเรา ผมกอดแฟนตัวเอง” เขาทำเสียงฮึ่มฮ่ำ แขนเขารัดเราแน่นแล้วโยกไปมา



                ...อ่อก หายใจไม่ออก...



                “นะ...นาย” เราใช้แรงทั้งหมดที่มนุษย์ข้าวปั้นอย่างเรามีผลักอกเขาออก เขาเงยหน้ามองเราด้วยความไม่เข้าใจ



                “มุกขอพรเทวดาอย่าไปเล่นที่ไหนอีกนะ”



                “...ทำไมครับ”



                “เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่านายเป็นเด็กติงต๊อง”



                “ยอมรับครับ เพราะคนมีความรักมักจะดูเด็กลงไปนิดนึง”



                ...นี่...นายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...



                “อีกอย่างพี่ปั้นไม่ต้องห่วง ผมไม่ไปเล่นที่ไหนหรอกมุกนี้ใช้กับแฟนคนเดียวครับ”



                ...ย้ำจริงๆ เลยแฟนเนี่ย...



                “ฮั่นแน่...เขินเลยอะดิ”



                เราปัดมือทีเขี่ยแก้มเราออก มองนายตาขวาง ทั้งๆ ที่ใจเต้นแทบจะระเบิด



                ...เราเขินที่นี่ไม่ได้เขินที่เลย นายบ้า...

 







                “เด็กสองคนนี้ยังไงนะ เตียงที่ห้องก็มีไม่นอนดีๆ”



                “นั่นสิ ดูหนังจนดึกสิท่า”



                “พ่อปลุกข้าวปั้นกับนายซิ นอนคอเอียงซบกันขนาดนั้นตะคริวกินรึยังก็ไม่รู้”



                “ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวไอ้ลูกหมามันงอแง”



                “ฮื่อออออ”



                “นั่นไง เสียงมาแล้ว”



                “พูดไม่ทันขาดคำ ลูกคนนี้”



                “แม่จัดการเองนะ พ่อไปรดน้ำต้นไม้ล่ะ”



                “พ่อ! ชิ่งเลยนะ”



                ...อือ เสียงดังไปหมด…



                ทำไมพ่อกับแม่ถึงมาอยู่ห้องเราแต่เช้าเลย ตอนนี้เวลานอนนะ... เราทนเสียงไม่ไหวเลยต้องยกคอขึ้นจากหมอนช้าๆ แอบตงิดในใจว่าทำไมไม่นุ่มเหมือนเดิม ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น



                จากนั้นเราก็พบความจริงอยู่สี่ข้อ



                ข้อหนึ่งคือความเจ็บปวดตรงคอแล่นริ้วเข้ามาถึงก้านสมอง เจ็บจนต้องร้องว่า...



                “เจ็บบบบบ”



                ข้อสอง แม่ยืนกอดอกหัวเราะโดยที่ไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ เลย



                “แม่ ช่วยปั้นด้วย ปั้นจะกลายเป็นข้าวปั้นเอียงๆ แล้ว”



                แถมแม่ยังปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยอีกด้วย



                “โนจ้ะลูก”



                …ใจร้าย...



                ข้อสามเราพบว่าเราไม่ได้นอนอยู่ในห้องตัวเอง



                “ช่วยไม่ได้อยากจะนอนด้านล่างเอง เอ้า ลุกมาได้แล้วฝากปลุกคนที่ลูกนอนทับไหล่เขาทั้งคืนด้วย”



                หือ?



                และ…

               ข้อสี่



                เรานอนซบไหล่นายทั้งคืน แล้วคนที่ถูกซบไหล่ก็พิงแก้มกับหัวเราอีกที



                พรึ่บ!



                และการที่เราเด้งตัวลุกขึ้นยืนเพราะสะดุ้งกับความจริงทั้งหลายแหล่นั้นทำให้หน้านายแทบจะทิ่มลงไปกับโซฟาทันที

และนั่นก็เป็นการปลุกอีกคนให้ตื่นอย่างสมบูรณ์แบบ



                “ข้าวปั้น! ลุกพรวดพราดไม่เรียบร้อยเลย โธ่...นายเจ็บไหมลูก”



                อ่า...

                ความจริงที่แถมมาอีกข้อก็คือเราไม่ใช่ลูกของแม่ เพราะแม่นวดต้นคอให้นายอย่างแผ่วเบา โดยมีลูกแท้ๆ ยืนมองตาปริบๆ



                “ฮื่ออออ มันเจ็บที่สุดเลย”

               


[ต่ออีกนิดค่ะ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-06-2018 22:26:40 โดย jaevin »

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
              “อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”

 

              “สา--ธุ”



                หลังจากที่เกิดเหตุการณ์หลงลืมลูกชายของแม่แล้ว แม่ก็ตัดบทเราด้วยการให้เรากับนายไปอาบน้ำแม้ว่าตอนนี้จะเช้ามาก(ที่สุด)ก็ตาม นายใส่เสื้อผ้าของพ่อแล้วเดินงงๆ มาที่ห้องครัวก่อนจะเดินออกไปหน้าบ้านพร้อมกับถาดอาหารตักบาตรและโถข้าวสวย ส่วนเรากับพ่อก็ตามไปสมทบทีหลัง พอเห็นพระท่านเดินมาจากปากซอยก็ถึงได้ร้องอ๋อ



                “สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะลูกนะ ขอให้มีแต่ความสุข” แม่โอบไหล่นายแล้วโยกซ้ายขวา นายรีบยกมือไหว้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ และเราก็อดที่จะยิ้มไม่ได้เลย



                “ขอบคุณครับคุณน้า คุณอา” เขาซ่อนนัยน์ตาแดงก่ำไว้ด้วยการก้มหน้าไหว้พ่อกับแม่หลายๆ ครั้งติดกัน



                “เรียกน้าว่าแม่เถอะจ้ะ เพื่อนปั้นก็เหมือนลูกแม่อีกคน เนอะพ่อเนอะ”



                เรากลัวเขาจะเห็นว่าเราแอบมองอยู่เลยหันมาเล่นกับพ่อ ซึ่ง...พ่อไม่เล่นด้วยเลยแถมยังหันหน้าไปพูดกับนายแทน



                “อืม จริงๆ แล้วน่ะนะ คนที่นายขอบคุณอาจจะไม่ใช่พ่อกับแม่แต่เป็น...”



                “โอ๊ย! มดกัด”



                “หือ ลูกหมาโดนมดกัดหรอ” พ่อหันมามองที่ข้อเท้าเราอย่างรวดเร็ว นายก็ทำท่าจะเดินเข้ามาด้วยแต่ติดตรงที่แม่ยังกอดไหล่นายไม่ปล่อย เราหลบตานายก่อนจะหันไปหาพ่อ



                “อื้อ พ่อดูให้ปั้นหน่อยตรงไหนก็ไม่รู้”



                “ไม่เห็นมีเลยปั้น” พ่อเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่เวลาเราอ้อนหน่อยก็จะเปลี่ยนเป็นอีกคนไปเลย ขอโทษนะครับพ่อที่หลอกใช้ในสถานการณ์แบบนี้



                “โอ๊ะ หายแล้วครับ”



                “อะแฮ่ม สองพ่อลูก โหวกเหวกแต่เช้ามดกัดร้องเหมือนโดนเชือด ปะๆ เก็บของไปทานข้าวเช้ากัน” แม่ส่ายหน้าเอือมๆ แล้วหันไปคว้าแขนลูกชายคนใหม่เข้าบ้านแทน เราที่วุ่นวายอยู่กับพ่อจึงไม่เห็นสายตาของนายที่มองมา



                แดดเช้ายังไม่ทันร้อนพ่อก็ขอตัว เพราะอิ่มกาแฟกับปาท่องโก๋ที่แม่ซื้อมาตอนไปตลาดเช้า ดังนั้นในครัวจึงเหลือแค่แม่ เรา แล้วก็นายที่ตั้งแต่ตื่นนอนมาเราทั้งคู่ยังไม่ได้คุยกับเต็มประโยค



                “ปั้นไปเด็ดใบมะกรูดที่หลังบ้านให้แม่ทีไป”



                “ครับ งั้นเอ่อ...เราไปหลังบ้านนะ” เรารีบพูดแล้วหลบตานาย หวังว่าจะต่อเวลาหายใจหายคอให้กับตัวเองได้อีกนิดหนึ่ง เราพยายามหลีกเลี่ยงความตื่นเต้นแปลกๆ เวลามองหน้านาย มันเป็นความตื่นเต้นที่มีมากกว่าเดิมหลายเท่าตั้งแต่เราเอ่อ...เปลี่ยนสถานะน่ะ



                “ผมไปช่วยพี่ปั้นนะครับคุณแม่”



                “จ้ะ ดีเหมือนกันปั้นเอื้อมไม่ถึงหรอก”



                ...อย่าตามเรามา... เราเบะปากจะร้องไห้ ฮือ...ก็ใจเรายังไม่พร้อมนี่นา เราเดินมาถึงริมรั้วซึ่งมีบันไดขนาดเล็กพิงอยู่



                “โกรธผมหรอครับ”



                ...เฮ้ย..อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น... เราหันขวับไปหาเขา แต่คนพูดกลับหยิบบันไดมากางออก ทำทุกอย่างราวกับเป็นการพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ต่างจากเราที่ทำตาโต



                “ทำไมมองอย่างนั้นครับ ก็พี่ปั้นน่ะ...”



                “เราทำไม”



                “ไม่เห็นพูดกับผมเลยซักคำ” นายพูดเสียงเบาเหมือนพึมพำกับตัวเอง เขาคงไม่รู้ตัวว่าหรอกใช้น้ำเสียงแบบไหน เพราะเอาแต่เก็บใบมะกรูดต้นสูงริมรั้วไปเรื่อยๆ เรายืนนิ่งก็เพราะน้ำเสียงน้อยใจของเขาพาลให้เรามือไม้อ่อนซะดื้อๆ



                “เปล่านะ เราไม่ได้...”



                “หรือว่าเรื่องเมื่อวานจะเป็นแค่ฝันกันแน่ครับ”



                “...จริงๆ เราก็แค่...”



                มาคิดๆ ดูแล้วยิ่งรู้จักนายก็ยิ่งเห็นนายในมุมอื่นมากยิ่งขึ้น เหมือนกันกับตัวเราที่เวลาอยู่กับเขาก็เป็นข้าวปั้นแบบที่คนอื่นไม่ค่อยได้เห็นนัก



                “ช่างเถอะครับ” นายเบนสายตามองพื้น จนทำให้เราคันยิบๆ ในใจด้วยความหงุดหงิด อย่ามาบอกปัดทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกค้างคาจะได้ไหม เราจับไหล่นายทำให้เขาเงยหน้ามาสบตาเรา



                “ก็เราเขินไงเข้าใจไหม! เราทำตัวไม่ถูกนี่...มีแฟนคนแรก แถมยังมานอนซบกันในบ้านตัวเองอีก” เราพึมพำกับตัวเองและแน่นอนว่านายคงได้ยินมันหมดแหงๆ



                “ไม่ต้องยิ้มเลย”



                “หึหึ” นายหลุดยิ้ม “รู้อยู่แล้วแหละว่าพี่ปั้นเขิน ทำไงได้เป็นแฟนกับเทพบุตรแห่งมธ.ทั้งทีต้องเขินเป็นธรรมดา”



                อะ...อะไรนะ...เราขอถอนคำพูด นายมีแค่มุมเดียวเท่านั้นแหละ มุมเจ้าเล่ห์ที่ไม่มีเปลี่ยนแปลงแถมยังหลงตัวเองไม่เปลี่ยนไปด้วย



                “หนอยนาย แกล้งเราหรอ” รู้อยู่แล้วยังจะทำตัวน้อยอกน้อยใจอีก โดนกำปั้นไป!



                “ฮะเฮ้ย...อย่าตีผม ผมเปล่าแกล้งนะครับ ก็พี่ปั้นน่ะ...ไม่คุยกับผมเลย แถมยังอ้อนคนอื่นต่อหน้าผมด้วย จะไม่ให้ผมน้อยใจได้ยังไงล่ะครับ”



                เราชะงักกำปั้นที่กำลังประทุษร้ายเขาอยู่เพราะคำว่าคนอื่น “เราอ้อนคนอื่นอะไร...เดี๋ยวนะ นายหมายถึง...จะบ้าหรอนั่นพ่อเรานะ คิดแบบนั้นได้ไง”



                นายหลังปีนขึ้นบันไดหนึ่งขั้นแล้วพูดขึ้น “ผมรู้ครับแต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้เลย ก็อยากให้พี่ปั้นอ้อนผมบ้างนี่นา” เขาพูดอ้อมแอ้มเหมือนกับเด็กมีความผิด



                ...นายเอ๊ย อยากแกล้งเราดีนัก...ต้องเจอแบบนี้



                “นาย เราน่ะอ้อนนายไม่ได้หรอก”



                “...”



                “พ่อเคยบอกว่าให้เราทำได้เฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น”



                “...”



                “เอ หรือว่านายอยากเป็นน้องชายเราล่ะ”



                จบประโยคนั้นทำเอานายแทบจะสะดุดบันไดที่กำลังปีนลงมาสองขั้น เราเลิกคิ้วทำหน้ากวนๆ ใส่เขาก่อนจะพูดต่อ



                “ว่าไงล่ะครับน้องนาย”



                เพียงชั่ววินาทีเราเห็นคิ้วขวานายกระตุกเล็กน้อย ใบมะกรูดที่นายกำอยู่ในมือหล่นลงมาข้างเท้าเราสองใบถ้วน เขาไม่ใส่ใจจะมองมันแถมยังพูดต่อพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าที่เรามองว่าเจ้าเล่ห์ชะมัด



                “อืมมม ถ้างั้น...ฝากบอกคุณพ่อได้ไหมครับว่าขอเพิ่มผมเป็นคนในครอบครัวอีกซักคน”



                “...”



                “ไม่ใช่ฐานะน้องชายแต่ในฐานะลูกเขยน่ะครับ”



                เขาวางมือไว้บนหัวเราก่อนจะออกแรงขยี้ไปมา



                “เพราะผมอยากให้พี่ปั้นอ้อนผมจะแย่แล้ว”



                เราเงยหน้าสบตาของนายช้าๆ ทวนประโยคข้างต้นในหัวสองครั้ง



                ก่อนจะหันหลังและ…



                ...ออกวิ่ง



                ตุบ ตุบ ตุบ ปัง!



                เราวิ่งเข้าบ้านโดยมีเสียงหัวเราะในลำคอของนายเป็นเอฟเฟค เราเดินผ่านห้องครัว ยกมือปิดแก้มตัวเองแล้วถลาไปนั่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น อกกระเพื่อมแรงเพราะควบคุมจังหวะหัวใจผ่านการสูดลมเข้าปอด ส่วนมือขวาก็เลื่อนลงมากำชายเสื้อตัวเองแน่น



                “ข้าวปั้น! ไปตั้งนานแล้วใบมะกรูดแม่ล่ะ!!” แม่ถือตะหลิวมายืนท้าวเอวอยู่ข้างโซฟาด้วยใบหน้าถมึงทึง เราสะดุ้งก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆ ให้แม่พลางชี้ไปทางหลังบ้าน เท่านั้นแหละ แม่ที่แสนดีก็กลายเป็นแสนใจร้ายอีกครั้ง



                ...เพราะนายนั่นแหละ ทำให้เราเขินจนลืมใบมะกรูดเลย!...





___________
คิดถึงทุกคนค่ะ เรากลับมาเเล้วววว
ขอบคุณทุกคนเหมือนเดิม ทุกคอมเมนต์เเละการรอคอยทำให้ฟื้นคืนชีพ
ปล.เป็นแฟนกันเเล้วจำเป็นต้องเต๊าะพี่ปั้นอีกไหม น้องนาย หุหุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2018 14:42:50 โดย jaevin »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เขินนนนจุงพี่ปั้นน่ารักๆๆๆขอบคุณนักเขียนนะคะ

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ขนาดเป็นแฟนกันแล้วนะ หัวใจพี่ปั้นทำงานหนักแน่ๆ  :hao7:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พี่ปั้นอยู่บ้านเหมือนเด็กตัวน้อยๆเลยยย ดีใจกับน้องนาย ได้มีครอบครัวกับเขาสักที  :hao5:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
เจินจนลืมของเลย,,,

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ por_pla4u

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ในที่สุดก็กลับมาแล้ว และเค้าก็เป็นแฟนกะนแล้วด้วย อิอิ ส่วนชา... คนแพ้ก็ต้องดูแลตัวเองนะจ้ะ

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Act 19 : เรา...กับเรื่องราวในคืนวันศุกร์




              เราคบกับนายได้มาซักพักแล้ว



                “แกคิดจะบอกฉันบ้างไหมฮะปั้น!?!”




                ถ้าถามว่าประโยคข้างต้น ทำไมถึงดีเลย์นักก็เพราะว่าเรากับนายไม่ได้บอกใคร แถมยังไม่มีใครถามอะไรนี่นาจนกระทั่งวันหนึ่งแกงค์นักบาสของศิลปากรนำทีมโดยเจ็ม มาเจอนายที่เดินจูงมือเราข้ามถนนอยู่




                จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะนะเพราะเราก้มลงไปมัดเชือกรองเท้าในตอนที่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวให้คนเดินข้ามพอดี นายที่ยืนรอเราพอเห็นว่าเลขนับถอยหลังใกล้จะหมดเวลา เขาจึงคว้ามือเราเพื่อเดินข้ามไปอีกฝั่งอย่างที่เราก็ไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนกัน ซึ่งอีกฝั่งนั้นน่ะมีเจ็ม กี้ ฟุน เหน็ง และใครต่อใครในทีมบาสที่ยืนตัวแข็งเหมือนได้จ้องตากับเมดูซ่ามาอย่างนั้นล่ะ




                ทันทีที่พวกเขาเลื่อนสายตามามองมือเรากับนาย...




                และวันนั้นก็คือวันที่โลกรู้...




                นายยืนกอดอกมองเพื่อนทีมบาสฝั่งนครปฐมที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หลังจากที่พวกเขารู้ว่าเรากับนายเป็นอะไรกันโดยไม่ต้องเอ่ยถาม เราก็ยืนงงๆ แต่พอเราหลุดหัวเราะเพราะขำกับท่าทางน้องๆ เท่านั้นแหละ นายก็ล็อคคอเราให้เดินไปอีกทางทันทีแถมยังเอามือใหญ่ๆ มาปิดปากเราอีก ทิ้งให้น้องทีมบาสส่งเสียงร้องไห้โฮตามหลัง




                วันจันทร์ต่อมา...เราโดนชมพู่กักขังโดยการบ่นเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มที่ห้องชมรมบาสฯ ของมหาลัย ชมพู่พูดจนเรามึนตึ๊บ ใจความสำคัญก็คือน้อยใจที่เราไม่บอกอะไรเลย




                “ใช่ว่าฉันจะไม่ระแคะระคาย นายมันแสดงออกขนาดนั้นก็เหลือแต่แกที่ตอบตกลงกับมันตอนไหนเท่านั้นแหละ แต่ฉัน! ฉันเป็นเพื่อนของแก ฉันอยากจะได้ยินจากปากของแกเอง ไม่ใช่ในกรุ๊ปไลน์ผู้พิทักษ์พี่ปั้นอย่างนี้! ทำไมฉันต้องรู้เรื่องทีหลังด้วย ฮือ ฉันเสียใจ”




                “จริงๆ แล้วชมพู่แค่เสียใจที่รู้ช้าสุดใช่ไหม” เราโพล่งขึ้น ลืมคิดไปว่าคนฟังอาจจะตีความได้อีกแบบนึง




                “ไอ้หมาปั้นแกว่าฉันเผือกหรอ! นี่แหนะ!”




                “โอ๊ย เปล่าเลย เปล่านะ”




                หลังจากนั้นสมาชิกกรุ๊ปไลน์ผู้พิทักษ์เอ่อ...พิทักษ์เราก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขามีสีหน้าเศร้าแต่ก็พยายามฝืนยิ้ม เจ็มดันหลังน้องฟุนให้ก้าวมาข้างหน้า น้องฟุนทำตาโตก่อนจะกระแอมเล็กน้อย




                “ผม...ฟุน วิทย์กี ปีสาม ขอเป็นคนพูดแทนสมาชิกทั้ง127คนที่อยู่ในกรุ๊ป”




                ...เดี๋ยว...เดี๋ยวนะร้อยยี่สิบเท่าไหร่นะน้องฟุน...




                “พวกเรายินดีอย่างที่สุดที่พี่ปั้นมีคนที่มาดูแลพี่ปั้นอย่างเป็นทางการแล้ว อึก”




                ...อ่า...ยินดีด้วยสีหน้าแบบนี้เศร้าหมองมันคือยินดีแบบไหนกัน...




                “สมาชิกของกรุ๊ปเราเห็นพ่อง เอ๊ย เห็นพ้องต้องกันว่า พวกเราจะยังคงมีกรุ๊ปนี้ต่อไปแม้ว่าพวกเราจะได้มองพี่ปั้นห่างๆ อย่าห่วงๆ พวกเราจะไม่ไปกีดขวางใดๆ พวกเราจะเดินหน้าพิทักษ์พี่ปั้นเหมือนเดิมเพราะถ้าไอ้..อะแฮ่ม คนฝั่งมธ.ทำให้พี่ปั้นเสียใจแล้วล่ะก็...”




                ฟุนเงยหน้าขึ้น เขาเปลี่ยนสีหน้าเศร้าให้กลายเป็นมุ่งมั่นในทันใด และหลังจากนั้นอีกสี่ห้าคนที่เหลือก็พูดพร้อมกับเสียงดังลั่นห้อง




                “...พวกเราจะไปถล่มมัน!!!”




                เราสะดุ้งตกใจ ค่อยๆ ถอยหันไปยืนข้างชมพู่ที่มองไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเอือมๆ เรากระซิบแผ่วเบา




                “น้องๆ กินอะไรเข้าไปน่ะชมพู่”




                ชมพู่หรี่ตามอง ท่าทางจะเคืองอยู่ถึงได้ผลักหัวเราจนโยกไปด้านข้าง




                “ยาชูกำลังเพี้ยนล่ะมั้ง”




                ...หา?...

 










                (ถึงไหนแล้วครับ)




                “อยู่ลานจอดรถแล้ว อื้มๆ โอเค รู้แล้ววว”




                พอวางสายปุ๊บก็มีสายตาอาฆาตมาจ้างคนขับทันที




                “ทำไม มันขาดกันไม่ได้หรือไง ต้องโทรมาเช็คทุกสิบนาทีเนี่ย”




                “ไม่ถึงขนาดนั้นซักหน่อย”




                “เฮอะ!”




                “น่า อย่างอนเลยย เราขอโทษที่ไม่ได้บอกชมพู่นะ...” เราว่าพลางจับมือข้างซ้ายของชมพู่มากุมไว้ ตอนที่เธอกำลังปลดเข็มขัดนิรภัยออก




                “อย่างอนกันเลยนะ นะ...” ชมพู่เม้มปากก่อนจะสะบัดมือเราออก เธอหันหน้าไปมองนอกกระจก อาการแบบนี้ทำให้เราใจเรากระตุกวูบหรือว่าเพื่อนรักจะเกลียดเราแล้ว แต่ก่อนจะได้คิดอะไร ชมพู่ก็หันกลับมาพร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อ




                “ถ้าแกเป็นผู้ชายฉันจะลากเข้าโรงแรมแล้ว”




                “เฮ้ย!”




                “ทำไมแกจะด่าฉันว่าเป็นผู้หญิงไม่เรียบร้อยล่ะสิ” ชมพู่ปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะหยิบลิปกรอสมาเติมด้วยท่าทางไม่เร่งรีบ




                “ชมพู่ แต่เราก็เป็นผู้ชายอยู่นะ”




                “โอ๊ย ปั้น! เบื่อแกจริงๆ ไปๆ ลงจากรถได้แล้ว เดี๋ยวนายจะใช้ตุ๊กตาวูดูมาแช่งฉันโทษฐานที่พาแกมาช้า”




                ปัง




                ชมพู่พูดจบก็เดินเฉิดฉายลงไปยืนข้างรถทันที เราเกาหางคิ้วเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ




                “ก็เราเป็นผู้ชายจริงๆ นี่นา”




 







                “ไอ้นายพี่ปั้นมาแล้ว” พอก้าวเข้าร้านปุ๊บ เราก็รู้เลยว่านายกับเพื่อนเขานั่งตรงไหน ก็เอ็มเจน่ะสิ โหวกเหวกจนหลายคนหันมามอง




                “ทางนี้ครับพี่ปั้น” นายเอี้ยวตัวมาก่อนจะยกมือเรียกเรา ทันทีที่ไปถึงโต๊ะนายก็ดันตัวเราให้นั่งชิดกระจกทันที เอ็มเจกับแดมเอ่ยทักทายเราเป็นการใหญ่




                “พวกแกสนใจฉันบ้าง”




                “โทษครับพี่ชมพู่คนสวยยยย มาๆ นั่งครับ”




                “ร้อนหรอครับเหงื่อออกเยอะเลย” นายหยิบทิชชู่เช็ดเหงื่อตรงข้างขมับหลังจากส่งชาเขียวเย็นมาให้ดื่ม ก่อนหน้านี้เราก็ทำตัวเลิ่กลั่กเหมือนกันตอนที่นายทำอะไรแบบนี้ให้ แต่หลังจากนั้นมาก็เริ่มชินจนลืมไปว่าเราไม่ได้อยู่กันสองคนเช่นตอนนี้




                “เดี๋ยวนะ วันนี้เขานัดกันสองคนหรอวะ ไม่ใช่นัดกินข้าวกับเพื่อนแฟนงี้หรอ”




                “ก็ว่างั้น”




                “เออฉันคุยด้วยดิ เหงาปาก”




                เราหลุดขำก่อนจะเบี่ยงหน้าออกจากมือของนายเขาชะงักเล็กน้อยแล้วก็ค่อยๆ เลื่อนมือลง วันนี้เป็นวันที่เรากับนายนัดเพื่อนของอีกฝ่ายให้มากินข้าวกัน จริงๆ แล้วเพราะตัวตั้งตัวตีอย่างเอ็มเจบอกว่าอยากจะฉลองการคบกันของเรากับนาย เราว่าอันที่จริงเป็นเพราะเอ็มเจอยากจะกินชาบูที่มีโปรฯ ว่า ‘มา 5 จ่าย 3’ ต่างหากล่ะ




                “กินกันๆ” เราเอ่ยชวน ช่วงที่ผ่านมาเราสนิทกับเอ็มเจและแดมมากขึ้นด้วยเหมือนกัน




                “เฮ้ย พี่ปั้นจะกินกันตรงนี้เลยหรอ”




                เราทำท่าถอนหายใจจนไหล่ตก “นายดูเพื่อนนายดิ”




                “เดี๋ยวเหอะไอ้เอ็มเจ เอาของมาลงหม้อได้แล้ว” นายเตะขาเอ็มเจเบาๆ แต่ได้ยินเสียงโอ๊ยด้วย ก่อนที่จะเกิดศึกใหญ่โต แดมและชมพู่ก็ห้ามทัพโดยการหยิบอาหารบนสายพานเหมือนมีวิชานินจาอยู่ในตัว




                “โหหห” เราอ้าปากค้างเมื่อชมพู่กินทุกอย่างราวกับว่าเธอคือเครื่องจักร




                “ปั้นมัวแต่โห เดี๋ยวก็กินไม่ทันหรอก” ชมพู่บ่นแต่ก็ไม่หยุดตักปลาหมึกเนื้ออวบๆ เข้าปาก เราหันไปมองนายที่ขะมักเขม้นอยู่กับอาหารในหม้อแวบนึงก่อนจะตอบออกไปอย่างไม่คิดอะไร




                “ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวนายตักให้เราเอง”




                “อ่อก น้ำซุปหวานๆ มันติดคอครับเพื่อนแดม”




                “เดี๋ยวกูเอากุ้งไปช่วยดูดน้ำซุปนะเพื่อน”




                “กินน้ำดีกว่า ดับไฟร้อนในตาฉัน”




                “หึหึ”




                เราที่คีบสาหร่ายวากาเมะจากหม้อหันไปมองรอบด้านอย่างงงๆ “เราพูดอะไรผิดหรอนาย”




                “เปล่าครับ กินเยอะๆ นะครับพี่ปั้น”




                บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เอ็มเจกับแดมเล่าวีรกรรมของพวกเขากับนายเยอะเลย ในขณะเดียวกันชมพู่ก็เล่าเรื่องของเล่าให้นายฟังเหมือนกัน เราลอบยิ้มรู้สึกดีใจที่คนใกล้ตัวยินดีกับเราและนายไปด้วย นายคงจะคิดเหมือนกันเพราะเขาหันมาส่งยิ้มให้




                ...ดีจังนะ ที่มีพวกเขาเป็นเพื่อน...




                พวกเรากินไปคุยกันไปจนเวลาล่วงเลยมาเกือบสองทุ่ม ชมพู่และเอ็มเจก็เกิดไอเดียว่าเราควรจะไปฟังเพลงต่อที่ร้านแห่งหนึ่งในตลาดนัดไฟรัชดา แดมก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะปกติแล้ววันหยุดสุดสัปดาห์ทีไร เขาจะไม่ค่อยได้เห็นนายเท่าไหร่นัก ซึ่งสาเหตุนี้เช่นกันที่ทำให้ชมพู่กับเอ็มเจยิ่งเติมเชื้อไฟยุยงให้เราไปด้วยมากขึ้นไปอีก บอกว่าพวกเราขลุกอยู่ด้วยกันสองคน ไม่สนใจเพื่อนฝูง




                “ปั้นแกอย่าคิดมาก เร็วๆ เดี๋ยวเราจะไม่ว่างแล้วนะ” ชมพู่เปิดพัดลมเครื่องเล็กจ่อใส่หน้าพร้อมกับพูดไปด้วย แต่ประเด็นคือคำว่าไม่ว่างทำให้นายขมวดคิ้ว




                “วันนี้นายแต่งตัวหล่อมากเลย” เรามองการแต่งตัวของนายแล้วก็เอ่ยชมอย่างไม่มีเหตุผล นายส่ายหน้าก่อนจะใช้มือหนาๆ บีบต้นคอเราเบาๆ




                “อย่าเปลี่ยนเรื่องครับ ไม่ว่างนี่เพราะอะไรครับ”




                “พวกแกอย่าพึ่งคุยกัน เอาเป็นว่าเจอกันที่ตลาดนัดนะ ไปๆ เอ็มเจ แดมไปรถพี่ เดี๋ยวรถติด”




                “เจอกันเว้ย รีบมา ห้ามเบี้ยว” เอ็มเจกระโดดกอดคอนายทีหนึ่งแล้ววิ่งตามชมพู่ออกไป ส่วนแดมก็ยิ้มๆ แล้วก็โบกมือส่งกำลังใจมาให้




                …ทิ้งระเบิดแล้วก็ชิ่งเลยนะชมพู่ววว...




                ปัง!




                “เราทำพรีเซ้นต์กลุ่มน่ะ มีนัดทั้งเดือนเลย” เราพูดเสียงอ่อยเมื่อเห็นนายกอดอกพิงหลังกับประตูรถด้านขวา หลังจากที่เข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว




                “แล้วทำไมผมไม่รู้ครับในเมื่อเราคุยกันทุกวัน”




                ...เสียงดุจัง...




                “พี่ปั้น?” นายถามย้ำเมื่อเห็นว่าเราเงียบ เราเปล่าเงียบเลย ตกใจเสียงเฉยๆ




                “เอ่อ ก็... เราเรียนเยอะด้วย วิชาเอกก็มีแต่พรีเซ้นต์ วิชาโทก็มีแต่พรีเซ้นต์ สรุปแล้วมีพรีเซ้นต์งานกลุ่ม งานเดี่ยวดังนั้นเราเลยจะไม่กลับบ้าน”




                “ทั้งเดือน?”




                “ก็เกือบๆ น่ะ”




                “โอเคครับ” เขาจ้องหน้าเรานิ่งๆ จากนั้นก็ผละไปแล้วก็เริ่มออกรถ ถึงจะพูดงั้นก็เถอะแต่...บรรยากาศกลับเงียบสนิท




                “นายยยยย โกรธเราหรอ”




                “เราคุยกันทุกวันแต่พี่ปั้นไม่เห็นบอกอะไรผมเลย” นายพูดเสียงนิ่งเขาเอาแต่จ้องไปที่ถนนด้านหน้าจนผิดปกติ




                “เราต้องบอกด้วยหรอ” เราถามออกไปอย่างพาซื่อ “เมื่อก่อนเราก็ไม่กลับบ้านเป็นเดือนๆ แบบนี้แหละ”




                เราไม่คิดว่าจะเป็นอะไรเพราะปกติแล้ว มันก็เป็นแบบนี้มาตลอด




                “เมื่อก่อนพี่ปั้นยังไม่มีผมนี่ครับ”




                เราชะงัก ค่อยๆ คิดตามคำพูดของนายแล้วก็คลี่ยิ้ม




                “โอ๋ๆ ขอโทษนะ เราลืมไปว่ามีเด็กขี้เหงาอยู่ตรงนี้หนึ่งคน” เราเอื้อมมือไปลูบหลังเขาเบาๆ พร้อมกับยิ้ม




                “พี่ปั้น อย่ามาทำแบบนี้กับผมนะ คิดว่าผมจะใจอ่อนหายโกรธหรอ”




                “โธ่ น้องนายขี้เหงา”




                “หยุดทำเสียงแบบนี้เลยนะพี่ปั้น”




                เราหัวเราะ ก็ดูท่าทางเขาตอนนี้สิเหมือนเด็กเลย “น้องนายเป็นเด็กติดพี่ปั้นหรอครับ”




                “เหอะ ถึงไม่ใช่เด็กแต่ก็ติดพี่ปั้นได้เหมือนกันครับ ติดหนึบด้วย อยากลองไหมครับ”




                “แน่...หยอดให้เราเขินอะดิ ไม่ได้ผลหรอก” บอกเลยว่าเรามีภูมิต้านทานความเขินแล้วนะ




                “ไม่ได้ผลแล้วใครหน้าแดงเป็นกุ้งต้มแบบนี้ล่ะครับเนี่ย”




                ...อ่ามีภูมิต้านทานแบบไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะ...




                เรากับเขาคุยกันไปเรื่อย ทะเลาะกันบ้าง ไม่ก็ชวนดูคนเดินอยู่ข้างถนนบ้าง เพราะติดไฟแดงเกือบทุกสี่แยกที่ต้องขับผ่าน เวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้จึงนานกว่าปกติ เรานึกถึงการคบกันซักพักใหญ่ๆ ระหว่างเรากับนาย อืม...จะว่าไปมันก็เหมือนกับทุกวันๆ นั่นแหละนะ คงจะต่างกันที่เรากับเขาไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องแต่เป็นอีกสถานะหนึ่ง อ้อ แถมยังเป็นซักพักใหญ่ๆ ที่เราคุยกันบ่อยขึ้น และเอ่อ...ใกล้ชิดมากขึ้นด้วย




                เราคิดว่าอย่างนั้นนะ และการที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นเราก็เลยรู้ว่าเขาน่ะ...อ้าว ชมพู่ไลน์มานี่นา เสียงแจ้งเตือนดังลั่นห้องโดยสารของรถ




                Chompoo
                ถึงไหนแล้ว




                เราเงยหน้ามองข้างทางก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อพิมพ์ตอบชมพู่ ถึง....




                “คุยกับใครครับ”




                “คุยกับ...” ปากเราตอบแต่มือเราพิมพ์ดังนั้นสมองน้อยๆ ของเราก็เลยไม่ได้ตอบคำถามเขาให้ชัดเจน




                “พี่ปั้น อยู่ด้วยกันไม่ควรเล่นมือถือครับ”




                “คุยกับชมพู่ๆ” เราเก็บโทรศัพท์หลังจากพิมพ์จบ ชมพู่บอกว่าเกือบถึงแล้วเลยให้เอ็มเจไลน์มาบอกเราว่าจะไปนั่งร้านฝั่งไหน




                เขาพยักหน้ารับ บรรยากาศกดดันเริ่มหายไปนิดหน่อย




                นั่นไงล่ะ...เด็กขี้เหงา พ่วงมาด้วยอาการหวง โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันอันน้อยนิด นายจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ที่เกรี้ยวกราดตอนที่เราไม่สนใจ เราสนใจนะ...เขาคิดไปเองต่างหาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้แซวได้ไงว่าเขาเป็นน้องนาย




                “อย่าให้มีมาตรการขั้นเด็ดขาดนะพี่ปั้น”




                “รู้แล้วน่า ทีนายตอนคุยกับเพื่อนเราไม่เห็นใช้มาตรการอะไรเลย”




                “พี่ปั้นไม่ใช้แต่พี่ปั้นเดินหนีผมไปเลยครับ แถมยังงอนไม่คุยกับผมตั้งนาน”




                เราขมวดคิ้ว ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “เราทำแบบนั้นหรอ”




                ...ไม่เห็นรู้ตัวเลย...




                “ทำหน้าตางงเป็นลูกหมา ก็พี่ปั้นแหละจะมีใคร”




                นายหัวเราะก่อนจะยื่นมือมาผลักหัวเรา เดี๋ยวผลักเดี๋ยวลูบอยู่นั่นหละ! อย่าให้เราไม่ต้องเอื้อมมือบ้างเถอะ หัวนายยุ่งแน่!




[มีต่อนะคะ]

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3




                เราใช้เวลาเดินทางสามล้านปีแสง ในที่สุดก็ถึงที่หมายเสียที กว่าจะวนหาที่จอดรถได้นายแทบจะขับกลับ ชมพู่โทรมาบอกชื่อร้านก่อนจะวางสายไปอย่างรวดเร็วเพราะเสียงเพลงที่ดังลอดเข้ามาทำให้พวกเราคุยกันไม่รู้เรื่อง นายพาเราลัดเลาะผ่านโซนเสื้อผ้าไปที่ร้านนั่งดื่มอีกฝั่ง(นายให้เหตุผลว่าถ้าพาเราไปทางโซนอาหารชมพู่จะไม่ได้เจอเราอีก) ร้านที่เพื่อนรักเรานั่งรออยู่นี้เป็นร้านนั่งดื่มสไตล์วินเทจมีสองชั้น ซึ่งตลอดทางเดินเข้าไปมีเพลงจังหวะแปลกดังมาตลอดเวลา แถมชาวต่างชาติก็เยอะมากอีกด้วย เราใจเต้นแปลกๆ ขณะดูสิ่งต่างๆ รอบตัว นี่เป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน เฮ้ย เราไม่ใช่เอลซ่าก็แค่มนุษย์ปั้นเด็กเนิร์ดที่ชอบเก็บตัวอยู่แถวฝั่งธนเท่านั้นเอง




                “ยิ้มอะไรพี่ปั้น”




                “เราไม่เคยมานั่งร้านแบบนี้เลยนะเนี่ย ทำไมที่นี่คึกคักดีจัง”




                “ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ” คนข้างๆ บ่นงึมงำในลำคอ เขากวาดตามองไปรอบๆ อย่างไม่ชอบใจนัก




                “อะไรนะ”




                “เปล่าครับ ไม่อยากขัดคนที่กำลังตื่นเต้น” นายพูดแล้วยื่นมือมาจับ แต่ตอนนั้นมีใครอีกคนเดินมาเบียดพอดีเราเลยกระตุกมือออกจากมือเขา วินาทีนั้นเราเห็นเขาทำหน้าหมองลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้คิดอะไร




                “ขอโทษๆ เราตกใจคนเมื่อกี้”




                “ไปครับ” นายว่าแบบนั้นแล้วก็เดินนำ เขาพาเราเข้ามาในร้านที่คนแน่นมาก เราเห็นเพื่อนๆ นั่งอยู่บนชั้นสองของร้าน ตัวร้านเปิดโล่งทำให้ไม่อึดอัด แต่ก็ยังร้อนอยู่ดี เรามัวแต่เดินดูการตกแต่งร้านจนเผลอชนคนอื่นบ้าง สุดท้ายนายก็เดินกลับมาแล้วดันตัวเราให้อยู่ด้านหน้าเขาแทน




                “นาย ขากลับเราไปเดินดูของไหม” เราเอี้ยวตัวไปคุยกับนายที่เดินตามหลังมา รู้สึกเห็นอะไรก็อยากเข้าไปดูด้วยเฉพาะของทำมือ เอ เมื่อกี้เราเห็นขวดแก้วทรงแปลกๆ สวยดีเหมือนกัน




                “แล้วแต่พี่ปั้นเลยครับ ถ้าไม่ง่วงก่อนนะ” นายก้มตัวมาคุยด้วยเพราะคนเบียดและเสียงเพลงที่ดังตลอดเวลา คุยกันไปคุยกันมา สุดท้ายนายก็โอบรอบคอเราแทนจนหลังเราแนบชิดกับอกเขา




                “โห เราไม่ง่วงหรอก นายเห็นเรานอนตอนสองทุ่มหรอ”




                “บางทีก็นอนตอนทุ่มนึง”




                “มั่วแล้ว แต่...ถ้าเราง่วงคราวหลังเรามาอีกได้ไหม”




                “ไม่ได้ครับ” นายรัดคอเราแน่นขึ้นก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องออกมาดีแล้วครับ คนมองพี่ปั้นเยอะ ผมหงุดหงิด”




                “หงุดหงิดอะไร...อ้าวนั่นไง ชมพู่”




                “โอ๊ยยย พ่อพระเอกกว่าจะมาถึง เอ็มเจจะดื่มเบียร์ทั้งถังแล้วนะยะ”




                “พี่พู่ผมจิบเบียร์ฟังดนตรีสดเองไม่ได้มาดื่มเป็นถัง พี่ปั้นนั่งครับนั่ง” เราพยักหน้ารับ แต่จะนั่งก็ไม่ได้เพราะติดแขนของอีกคนที่กำลังจะฆาตกรรมคอเราอยู่ แดมเห็นแบบนั้นก็ขำใหญ่




                “ไอ้นาย แขนมึงน่ะน้อยๆ หน่อยพี่ปั้นไม่ไปไหนหรอก แหนะ ไม่ต้องมองแรงใส่กู กูไม่ได้ชวนคนเดียวพี่ชมพู่กับไอ้เอ็มเจนู่นบังคับกู” เราหันไปมองนายหลังจากที่นายทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างชมพู่ แล้วปล่อยเราให้นั่งถัดจากเขาอีกที




                “เอ้า ไหงมาโทษกันงี้วะไอ้แดม พี่พู่ต่างหากอยากดริ๊ง แต่มึงอะอยากแดกกก”




                “พอๆ... เอาน่านาย แกดูหน้าปั้นสิ ดี๊ด๊าเชียว ถือว่าพาแฟนเด็กมาเปิดโลกของผู้ใหญ่”




                “อืมๆ” เราพยักหน้าขณะฟังบทสนทนาผ่านหู พร้อมกับเปิดเมนูบนโต๊ะ มีแต่เมนูน้ำ อาหารไม่มีบ้างหรอ




                “ดูดิ ยอมรับว่าเป็นแฟนเด็กด้วยอะ” เอ็มเจโพล่งขึ้นมา เราก็พยักหน้าไปด้วย ...เพลงสนุกดีนะ...




                “ฮ่าๆๆ ปั้นยังไม่รู้ตัวอีก”




                “พี่ปั้นเอ๊ยยย”




                จู่ๆ ก็มีมือของใครบางคนยื่นมาจับคางแล้วเขย่าไปมา




                “นาย! เราอ่านเมนูไม่รู้เรื่อง”




                “มันเขี้ยวโว้ย”

                               













                “ทำไมนายไปนานจัง”




                “ตามมันไปไหมล่ะ” ชมพู่ที่ยกมือถือมาถ่ายสตอรี่อินสตราแกรมของตัวเองหันมาตอบเรา เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะ ทันทีที่เห็นเราลุกแดมก็รีบยื้อแขนเรา




                “ไม่ได้ครับ ไอ้นายด่าตายเลย”




                “แต่นายไปนานแล้ว”




                “เอ้า ก็แกอยากกินมันฝรั่งเกลียวๆ อะไรนั่นไม่ใช่หรอนายถึงลุกไปเนี่ย”




                อ่า...เรื่องของเรื่องก็คือว่าร้านนี้ไม่ค่อยมีอาหารอะไรที่น่าทานซักเท่าไหร่ ประกอบกับเราอยากไปเดินเที่ยวเลยบอกว่านายว่าจะไปซื้อของกินเล่นซะหน่อย แต่นายหันขวับมาพร้อมกับสายตาคมกริบ เขาบอกว่าจะออกไปซื้อให้และไม่ให้เราเดินออกไปด้วยเพราะเดี๋ยวมัวแต่เดินมองของกินเพลิน เราถึงกับร้องอ๋อเพราะตอนแรกที่บอกว่าชมพู่จะไม่ได้เจอเราอีกเพราะแบบนี้นี่เอง นายอาจจะหลอกว่าเราว่าเป็นหมูแต่ไม่พูดตรงๆ ก็ได้ ส่วนเอ็มเจอยากกินอย่างอื่นด้วยก็เลยตามไปด้วย รีบจนทิ้งโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะกันทั้งสองคน




                คราวหลังจะแอบมาคนเดียว แต่ตอนนี้




                “เราอยากไปหานาย”




                “มันไม่หายไปไหนหรอกนั่งๆ แกลองกินนี่ซิ อร่อยนะ” ชมพู่ยัดแก้วน้ำที่มีน้ำสีชมพู่อยู่ด้านในใส่มือเรา มืออีกข้างก็ถ่ายคลิปไปด้วย




                “ชิมหน่อย น้ำหวาน”




                “ไม่...เอา ว่าแต่หวานจริงไหมอะ”




                “ไอ้หมาปั้น ฮ่าๆ ดูดิไอ้เจ็มเข้ามาด่าฉันใหญ่เลย มันบอกว่าห้ามให้แกกินเด็ดขาดไม่งั้นมันจะลาออกจากชมรม” เราขมวดคิ้วซักพักก็ร้องอ๋อ ชมพู่น่ะสิไลฟ์ลงอินสตราแกรมของตัวเอง คุยเล่นกันสองสามประโยคจู่ๆ ก็มีเด็กวัยรุ่นโต๊ะที่ติดกับเราตะโกนโหวกเหวก




                “เชี่ยอาร์มเมาก็กลับบ้านไป”




                “เฮ้ยไม่เมาๆ ชนหน่อยดิว้า”




                เรากับชมพู่เงยหน้าขึ้นไปมอง ก็คนที่เสียงดังนั้นนั่งอยู่ติดกับแดมเลย ท่าทางจะยังเป็นเด็กวัยรุ่นที่อายุน้อยกว่าพวกเรา เขาโงนเงนไร้สติแต่ก็ยังชูแก้วไว้เหนือหัว และ...ไม่กี่วิต่อจากนั้นก็ขาอ่อนชนแดมเข้าเต็มแรง และเสียงของพวกเราก็ประสานกันดังลั่น




                “เฮ้ยยยย!”




                ซ่า!




                “ไอ้เชี่ยยยย!”




                สิ้นประโยคนั้นพวกเพื่อนน้องคนนั้นก็รีบเข้ามาขอโทษทันที




                “พี่ๆ ผมขอโทษแทนเพื่อนด้วยมันเมา เชี่ยกันต์เอาตัวเพื่อนมึงกลับไป”




                “เออๆๆ แม่งเอ๊ยไอ้อาร์ม ลำบากชิบเป๋ง ขอโทษครับพี่”




                “แดกไม่เป็นก็ไม่ต้องมานั่งร้านดิวะ แม่งเอ๊ย” แดมสบถเมื่อมองเสื้อตัวเองที่เปื้อนแอลกอฮอล์จนกลิ่นหึ่งไปหมด เราตกใจอยู่แวบนึงก่อนจะรีบไปดูแดมทันที ส่วนชมพู่ก็ยกมือขอทิชชู่ที่ร้านเพิ่ม โชคดีที่ชมพู่ไม่องค์ลงคงเห็นว่าเป็นเด็กล่ะมั้ง




                “เพ่ หัดทำหน้าดีๆ เหมือนหน้าตาบ้างเด่ะ”




                “ไอ้เด็กนี่...” แดมกัดฟันแต่พยายามผ่อนลมหายใจ




                “ไอ้เชี่ยอาร์ม ขอโทษจริงๆ พี่ ไปกลับได้แล้ว”




                เหตุการณ์ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แวบนึงที่เราใจเต้นแรงเพราะกลัวว่าจะมีเรื่องกัน แต่เพราะแดมเป็นคนที่ใจเย็น(มากกว่าเอ็มเจ) เราจึงวางใจไปเปลาะนึง




                “เดี๋ยวผมไปล้างตัวแป๊บนะครับ พี่ชมพู่กับพี่ปั้นห้ามไปไหนนะครับ” แดมสั่งอย่างเร็วๆ แล้วก็วิ่งไปที่ห้องน้ำด้านล่าง




                “สั่งอย่างกับเป็นเด็กๆ เลย ชมพู่ไม่ต้องห่วงเราจะดูแลชมพู่เอง”




                “ปั้น” ชมพู่มองบน แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก




                “อะไรเล่า ก็ชมพู่เป็นผู้หญิงเดี๋ยวมีคนไม่ดีมาลวนลามทำยังไง ขนาดแดมยังเป็นห่วงเลย”




                “ขอบใจจ้ะเพื่อนรักกกกก ที่แดมมันสั่งน่ะเป็นเพราะแกมากกว่า เดี๋ยวนายกลับมาแล้วสุดที่รักเป็นอะไรไปมันจะยุ่ง เอ...จะว่าไปนายดูเป็นห่วงแกจริงๆ เลยนะ ฉันล่ะอยากรู้จังว่าผู้ชายฮ็อตๆ อย่างนายตอนอยู่กับแกเป็นยังไง”




                ที่ชมพู่บอกว่านายฮ็อตคงเป็นเพราะว่าตอนที่นายจะออกไปซื้อของกินให้เรา มีผู้หญิงโต๊ะที่ติดกับบันไดทางลงเข้ามาคุยกับนาย ตอนแรกเราก็ไม่เห็นหรอกแต่ชมพู่สะกิดให้หันไปดู บอกตรงๆ เราก็อยากรู้ว่าเขาจะทำยังไง แต่อีกใจก็รู้ว่านายเชื่อใจได้เสมอ




                “เมื่อกี้ฉันล่ะอึ้งไปเลย ถ้าฉันเป็นผู้หญิงเมื่อกี้นะฉันคงรีบกลับ อายเกิ้น อุตส่าห์ใจกล้าเข้ามาลูบไล้ เป็นไงล่ะเจอพ่อหนุ่มนักบาสมองนิ่งๆ ไปไม่เป็นเลย ฮ่าๆ เออ...แกยังไม่ตอบฉันนายตอนอยู่กับแกเป็นยังไง ไหนเล่าให้เพื่อนรักฟังสิ” ท้ายประโยคชมพู่เน้นคำแล้วส่งสายตาเชือดเฉือนมาให้ เราจึงจ้องไอเย็นจากถังน้ำแข็งแล้วก็นึกถึงนาย




                ...ตอนอยู่กับเราหรอ...




                “นายขี้หวง” จำได้ว่าอาทิตย์ก่อน เอ็มเจแวะมาส่งนายที่บ้านเรา ซึ่งก่อนหน้านั้นนายส่งข้อความขอให้เราทำข้าวห่อไข่ให้หน่อยเพราะเขาหิวมาก พอมาถึงนายก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่เอ็มเจตามเข้ามาด้วยเห็นข้าวห่อไข่วางอยู่บนโต๊ะ เขาเลยจับช้อนส้อมเตรียมจะจิ้ม นายออกจากห้องน้ำมาเท่านั้นแหละ เอ็มเจรีบชิ่งกลับแทบไม่ทัน




                “อันนั้นไม่ต้องอยู่กับแกสองคนมันก็เป็น หวงแกซะขนาดนี้”




                “เราหมายถึงนายหวงของมากเลยต่างหาก”




                “เหอะ หัวข้อไม่น่าสนใจ ไหนมีอีกไหม”




                “อืมม...นาย...ชอบแกล้ง”




                “ใครไม่แกล้งแกบ้างล่ะ”




                “หรอ...”




                “เอาที่พิเศษๆ หน่อยได้ไหม”




                ...คิดไม่ออกเลย...




                “อย่างเพื่อนฉันนะอยู่กับเพื่อนนางจิกกัดทุกคน แต่พออยู่กับแฟนโอ้โหอย่างกับเด็กสิบขวบ” ชมพู่บ่นๆ แล้วก็เล่าเรื่องเพื่อนตัวเองให้ฟัง ในตอนนั้นเราก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เราว่า...นายเป็นคนที่ชอบกอดแหละ ไม่ก็สัมผัสอะไรแบบนี้ เราว่าเขาไม่รู้ตัวหรอกนะ แต่หลังๆ มานี้เวลาอยู่ใกล้ๆ นายจะต้องเอามือมาลูบไหล่ ลูบคอ เผลอๆ ดึงผมบ้างก็มี หนักเข้าหน่อยก็ซบไหล่แล้วก็หลับไป เขาเคยมารับเราทั้งๆ ที่เหนื่อยมาก เจอหน้ากันปุ๊บเขาก็กอดทันที




                ...นายเหมือนเด็กที่ต้องการที่พักพิงมากเลย...




                อ่า อีกอย่างเขาชอบขอ…




                “พี่ปั้นผมขอความรักหน่อยครับ”




                “เฮ้ยๆ ทำไมหน้าแดง แกคิดอะไรป้ะเนี่ย”




                “เปล่านะ!” เรารีบปฏิเสธเมื่อชมพู่ก้มหน้ามาใกล้จนปลายจมูกเกือบชนแก้มเรา เราคว้าแก้วของใครก็ไม่รู้บนโต๊ะขึ้นมาดื่มเลี่ยงการสบตากับชมพู่




                อึกๆๆ




                “ปั้น แกดื่มกลบเกลื่อนว่ะ ตัวแค่เนี้ยมาหน้าดงหน้าแดง หรือว่าตอนอยู่กันสองต่อสองพวกแก...”




                อึกๆๆ




                “ฮ่าๆๆ ขำแกว่ะปั้น แล้วแต่จะกระดกแก้วอะไรนักหนา เฮ้ย!! นั่นของฉัน!”




                พอชมพู่เอ็ดขึ้นมาเราถึงก้มมองแก้วในมือ น้ำสีชมพูจางๆ เหลืออยู่ก้นแก้ว เรากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะเลียมุมปาก และรู้สึกว่า




                ...หวานดีแฮะ...

 










                แกร๊ง




                “เอ้าๆ จะหลับแล้วน่ะ”




                นายเหลือบมองคนที่ซบไหล่เขาตามที่เอ็มเจชี้ พี่ปั้นเผลอไปดื่มแอลกอฮอล์ไปแก้วใหญ่ถึงกลับมึนเลยทีเดียว เขากลับมาพร้อมกับไอ้มันฝรั่งทอดของพี่ปั้นพร้อมกับของกินที่พี่ชอบอยากกินอีกหลายอย่าง พอเห็นพี่ปั้นหน้าแดงก็เดาได้ไม่ยาก หันไปมองข้างๆ ก็เห็นพี่ชมพู่ยิ้มขอโทษส่งมาให้ที่ห้ามพี่ปั้นยกดื่มอีกหลายแก้วต่อจากนั้นไม่ได้ เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปแต่เห็นทีการอยากลองของพี่ปั้นครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้วล่ะ




                หงุดหงิดอีกแล้ว




                ไม่ใช่เพราะพี่ปั้นหรอก




                แต่ไอ้โต๊ะข้างๆ นี่จะเหลือบมองคนของเขาอีกนานไหมวะ




                ใจไม่สงบเลย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยกมือเสยผมของพี่ปั้นไปด้านหลังก่อนจะลูบเบาๆ




                “ไงชีวิตรักดีไหม” แดมถามยิ้มๆ แน่นอนว่าเอ็มเจก็ยิ้มล้อเลียนเขาด้วย ส่วนพี่ชมพู่พึ่งขอตัวกลับไปเมื่อกี้ เธอบอกว่านัดกับเพื่อนกลุ่มมัธยมต่อที่ร้านแถวสุขุมวิท




                “ดี” นายตอบสั้นๆ ตามอารมณ์ของตัวเองก่อนจะยกแก้วขึ้นมาดื่ม ...ดีดิ ยิ่งกว่าดี ถ้าไม่นับเรื่อง...ช่างเถอะ...




                “หึทำนิ่ง แต่ดีใจด้วยว่ะที่มึงได้เจอคนๆ นั้นซะที”




                อึก




                พี่ปั้นสะอึก เขาถึงรีบวางแก้วทันที ก่อนจะลูบหลังปลอบ




                “เจอใคร--” พี่ปั้นปรือตาขึ้นแล้วเงยหน้าถามเขา “เจอ อึก ใครหรอนาย”




                “ละเมอแหง แต่โคตรน่ารักเลยว่ะ” เอ็มเจส่ายหัวหน่อยๆ ระหว่างขณะมองพี่ปั้น พอมันเห็นเขาจ้องมันเท่านั้นแหละ เอ็มเจก็เลยรีบพูดต่อพร้อมกับโบกมือไปมา




                “แฟนเพื่อนน่ารักก็ชมหน่อยไม่ได้ไง๊”




                “ไม่ได้”




                “ไอ้นายขี้หวง”




                “เออ”




                ไอ้เอ็มเจชักจะเอาใหญ่ สนิทกับพี่ปั้นหน่อยชอบมาแหย่พี่ปั้น




                “อึก เจอใครนะ...”




                นายละสายตาจากเพื่อนมามองคนข้างตัว ก่อนจะระบายยิ้มเล็กน้อย ความหงุดหงิดที่ก่อตัวเงียบๆ หายไปหมดทันที่มองพี่ปั้น




                ...ก็เจอคนที่ทำให้ผมอยากตื่นขึ้นมาในทุกๆ วันยังไงล่ะครับ...




                “แน่ๆๆ ยิ้มเว้ยยิ้มมมม เชี่ยแดมดูเพื่อนมึงดิ โมเม้นนนน”




                “โลกมันสีชมพูจริงจริ๊งงง”




                “ไม่เสียแรงที่เราหลอกมันมาวันนี้ แถมยังได้นั่งดูคนน่ารักเมาด้วยว่ะ กูฟินสองต่อ”




                กึก!




                นายหุบยิ้ม เปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยเหมือนปิดสวิตซ์ เขากวาดสายตาไปรอบๆ โต๊ะก่อนจะเอ่ยนิ่งๆ




                “กูพาพี่ปั้นกลับล่ะ พวกมึงหาทางกลับเองแล้วกัน”




                “เดี๋ย...!!”




                พรึ่บ




                “ไอ้เชี่ยนายยยยยย พวกกูไม่ได้เอารถม๊า”




                ...แล้วทำไมกูต้องปล่อยให้คนน่ารักของกูนั่งนิ่งให้คนอื่นมองด้วยวะ...






---------------------
ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก ช่วงต่อเรื่องค่ะ
#เรากับเขา
เลิฟ(พี่ปั้น)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ GMT101

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
Act : 20 เรา...กับพัฒนาการฉบับข้าวปั้น



                “อือ ครับ...”



                (ตื่นรึยังเนี่ยปั้น เสียงแหบเชียว)



                “อื้อ แม่ครับตอนนี้กี่โมง”



                (สิบโมงเช้า)



                “แม่อ่า...”



                สิบโมงง ทำไมต้องรีบปลุกด้วยย เราบิดตัวไปมาบนที่นอนก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ไม่อยากรับรู้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นจนจะตรงหัวอยู่แล้ว



                (นาย ปั้นยังไม่ตื่นเลยลูก นี่เราเดินดูต้นไม้กันตั้งนาน ปั้นยังนอนกินบ้านกินเมืองอยู่เลย)



                ...เดี๋ยวนะ นาย?...



                “แม่อยู่กับนายอีกแล้วหรอ”



                (ใช่สิ จะโทรมาอวดซะหน่อย วันนี้เราสามคนมาจตุจักรกัน)



                “เราสามคน? หมายความว่าพ่อก็หักหลังปั้นด้วยหรอครับแม่”



                (ปั้นพูดเกินจริงไปหน่อยแล้วเราน่ะ)



                “แล้วปั้นล่ะ! ทำไมปั้นไม่ได้ไป ทำไมทิ้งปั้นกันหมด” เราเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง สะบัดผ้าห่มจนตกไปข้างเตียง เรื่องนี้เรายอมไม่ได้เด็ดขาด



                (โธ่ ลูกชายยย ปั้นไม่กลับบ้านเองนี่ นายคุยไหมลูก ปั้นโวยวายใหญ่ เดี๋ยวแม่ไปช่วยพ่อดูกล้วยไม้ตรงนู้นก่อน... ครับ)



                ดูเหมือนว่านายจะรับโทรศัพท์ต่อจากแม่ เพราะเสียงกร๊อกแกร๊กดังมาตามสาย เราขยี้ผมตัวเองจนฟูเป็นรังนก ขยับขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าบึ้งตึง



                (พี่ปั้น? ตื่นไปหาอะไรกินได้แล้วนะครับ สายแล้...)



                “ทำไมเราไม่ได้ไป ทำไมเราต้องอยู่ที่นี่”



                เราพูดตัดพ้อ แค่ได้ยินเสียงคึกคักจากอีกฝั่ง เราแทบอยากมีปีก จะได้บินกลับบ้าน



                (เอ้า ก็พี่ปั้นบอกเองว่าทำงาน)



                “นายก็บอกเราว่าทำงานเหมือนกัน ทำไมนายถึงไปกับพ่อแม่ได้”



                (งานของผมไม่เยอะเท่าของพี่ปั้นนี่นา อีกอย่างคุณพ่อกับคุณแม่พี่ปั้นอยากลงต้นไม้พอดี ผมแวะไปหาก็เลยมาด้วยกันครับ)



                “...”



                (น่า...พี่ปั้นกลับมาศุกร์หน้านี้แล้วไม่ใช่หรอครับ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ให้ผมไปหาไหมครับ)



                “ไม่ต้องหรอก”



                (อดทนอีกนิดนึงจะได้กลับบ้านแล้วครับ)



                “อื้ม”



                (พี่ปั้น...)



                “...” อยู่ที่นี่คนเดียวโคตรเหงาเลย ทำแต่งานๆๆ ถ้าไม่เจอชมพู่ก็เจอแต่เอกสารกองโตๆ เราไม่อยากทำแล้ว เรา...



                (คิดถึงนะครับ)



                เราชะงัก ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น เสียงทุ้มๆ ที่ส่งมาตามสายนั่น ...ข้าวปั้นโดนโจมตี



                “...”



                (พี่ปั้นคิดถึงผมบ้างไหมครับ)



                “...”



                (พี่ปั้นนน)



                “...อืม” เราตอบออกไปเบาๆ ได้ยินเขาหัวเราะในลำคอ ก่อนที่ปลายสายจะเอ่ยต่อมา



                (อืมอะไรครับ)



                “ก็คิดไง”



                (...ครับ?)



                นายแกล้งเย้า ท่าทางอารมณ์ดีต่างกับเราที่เขินจนแก้มร้อนจี๋ ไม่เข้าใจตัวเองว่าพูดกับเขาแค่นี้ทำไมถึงทำได้ยากนัก



                (ว่าไงนะครั...)



                เราสูดลมหายใจเข้า



                แกร๊ก



                “ก็คิด...ถึงไง”



                (อ้าว คิดถึงแม่หรอปั้น)



                เฮ้ย! แม่



               เกือบจะอุทานใส่แม่แต่ยั้งไว้ได้ทัน เราลอบถอนหายใจ นายนะนายจะไปก็ไม่บอกกันซักคำ



                ...เกือบไปแล้วเรา...
 


                “คระ...ครับ”



                (โถๆ ลูกน้อย /นายเอานี่ไปด้วยดีไหม/ เออปั้นแค่นี้ก่อนนะลูก พ่อเรียกนายไปยกต้นไม้แล้ว แม่จะไปช่วยด้วย)



                “โอเคครับ ซื้อต้นไม้ให้สนุกนะครับ”



                เราพูดประชด และแม่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว



                (แน่นอน เราสามคนสนุกอยู่แล้ว)



                ตรู๊ด!...



                ...แม่อะ!!!...



 





                “แกเขียนอินโทรบทวิเคราะห์วรรณกรรมเสร็จหรือยัง”



                “...”



                “ปั้น!”



                “หือ ว่าอะไรนะ”



                “ฉันถามว่าแกขึ้นอินโทรรึยัง”



                “ยังเลย”



                “นี่อย่าบอกว่าแกงอนที่พ่อแม่แกไปเที่ยวกับนายน่ะ แหนะ...เงียบแบบนี้ใช่เลย”



                “...ก็อยากไปด้วยนี่”



                “ฮ่าๆ หมาปั้นเอ๊ย ว่าแต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อแม่แกจะชอบนายขนาดนั้น”



                “อืม จนลืมเราแล้วเนี่ย วันเสาร์อาทิตย์ทีไรชอบโทรมาบอกเราว่าอยู่กับนาย แต่ก็ดีเหมือนกันนายจะได้ไม่เหงา”



                “ย้อนแย้งจริงๆ นะแกเนี่ย เอ้า มองกล้อง ยิ้มหน่อย”



                แชะ!



                “บอกอะไรก็ทำตามนะ ช่วงมึนๆ เนี่ย”



                เราเงยหน้ามองชมพู่ที่กดโทรศัพท์พร้อมกับส่ายหน้าเหมือนกับเอือมระอากับการที่เรายิ้มให้กล้อง



                ...เราผิดตรงไหน ก็ชมพู่บอกให้ยิ้มเราก็ยิ้มแล้วไง...



                “ทำอะไรอะ”



                “ส่งรูปแกลงกรุ๊ปผู้พิทักษ์”



                “เฮ้ยยยย อย่านะ เดี๋ยวนายก็โกรธเราอีก” เรารีบคว้าโทรศัพท์มาแต่ชมพู่กลับยืดแขนไปด้านหลังก่อนจะยกยิ้มแบบพี่กิ๊ก สุวัจนี



                “โอ๊ย มันไม่โกรธหรอก แกไม่รู้หรอ พวกมันร่วมมือกันแล้ว”



                “ร่วมมือกัน? หมายความว่าไง”



                “ไม่มีอะไรหรอก แค่เป็นสายรายงานให้นายเฉยๆ น่ะ”



                “ถ้างั้น แสดงว่าเราก็กำลังร่วมมือกับแดม กับเอ็มเจด้วยน่ะสิ”



                “ทำไมยะ”



                “ก็ตั้งแต่ที่เราไม่ได้กลับบ้าน แดมกับเอ็มเจส่งรูปนายมารายงานเราตลอดเลย” เราชูหน้าจอที่แสดงบทสนทนาล่าสุดของเรากับพวกเอ็มเจให้ชมพู่ดู



                ชมพู่ยื่นมือข้ามโต๊ะมาผลักหัวเราจนเซ ก่อนปิดจมูกตัวเอง “เหอะ เหม็นความรัก”



                ...อะไรเล่า เอ็มเจกับแดมส่งมาให้เองต่างหาก เราไม่ได้ขอเล้ย...



                เพื่อนรักเราพยักหน้าแบบขอไปที แล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ชมพู่สบตาเราแฝงความหมายที่เราต่างรู้ดีว่ามันคืออะไร



                “อื้ม”



                เราขยับนิ้วสองสามทีเป็นการเตรียมพร้อม ทำงานได้แล้วข้าวปั้น

 





                “โอยยย เมื่อยหลัง” ชมพู่ร้องโอดโอยหลังจากรัวแป้นพิมพ์อยู่นาน เราสองคนนั่งทำงานอยู่ใต้ตึกอาคารเรียนรวมของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่ที่มีนักศึกษามานั่งทำงานกันจนดึกดื่น ปกติแล้วเราจะชอบทำงานที่ตึกคณะมากกว่า เพราะคนไม่พลุกพล่านเท่าที่นี่ ต้องตามใจชมพู่เขาล่ะ เห็นบอกว่าเปลี่ยนที่นั่งทำงานเผื่อจะได้เจอเนื้อคู่จากคณะอื่นบ้าง



               เวลาเกือบห้าโมง วันอาทิตย์แบบนี้ คนเริ่มบางตาไปมาก ทีเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าทุกคนหิวยังไงล่ะ จึงต้องเพิ่มพลังให้กับการทำงานที่ยังอีกยาวไกล ช่วงใกล้เดธไลน์ทุกคนมักจะมีพลังวิเศษกัน



                “เสร็จแล้วหรอชมพู่” เราถามโดยที่ตายังมองจออยู่ เพื่อนรักเรายืดแขนคลายกล้ามเนื้อก่อนจะหันมาตอบ



                “เสร็จแล้ว พอ! ฉันไม่แก้แล้ว เพราะฉันหิวมาก แก ไปหาอะไรกินกันไหม”



                “ไม่เอาดีกว่าเรากำลังติดพัน”



                “เกลียดศัพท์แกมากเลยปั้น แต่!ฉันหิว แกเห็นใจผู้หญิงใกล้เป็นเมนส์หน่อยได้ไหม”



                “ประจำเดือนต่างหากล่ะชมพู่ He realized…”



                “เออออ นั่นแหละ ฉันจะกินหมูได้ทั้งตัวแล้วนะ”



                “แต่เราอยากทำให้เสร็จก่อน and what he needs...”



                “แต่ฉันไม่ไหวแล้ว”



                ชมพู่ยืนขึ้นเท้าเอวมองเราด้วยสายตาโมโห...เอ่อ โมโหหิว เราชะงักนิ้วที่กำลังพิมพ์อยู่แล้วหันไปตอบ



                “งั้นชมพู่ไปซื้อเลย เราจะรออยู่ที่นี่ ถ้าชมพู่มา love-hate relation…ship ถ้าใจดีซื้อของกินมาให้ด้วยนะ”



                “ย่ะ! ไปล่ะ หิวๆๆ ฉันเกลียดการวิเคราะห์นิยายที่สุด”



                เราส่ายหน้าเบาๆ กับเสียงบ่นของชมพู่ แล้วใครว่าเราชอบกันล่ะ ฮือ อยากร้องไห้ ให้เราเรียนโฟเนติกยังจะดีซะกว่า ช่วงนี้เป็นช่วงทรหดของปีสี่เลยก็ว่าได้ จะว่าไปตั้งแต่เรียนมาไม่มีตอนไหนที่ไม่ทรหดเลยนี่ คิดแล้วก็อยากจะเททุกอย่างทิ้งแล้วตะโกนว่า...



                ...ตุ๊ดตู่!...



                “โทษนะครั...”



                โป๊ก!



                “โอ๊ย”



                เหตุการณ์ข้างต้นเกิดขึ้นรวดเร็วมากเปรียบเทียบได้กับสองวินาทีครึ่งเท่านั้น ขณะที่เราพิมพ์งานอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งก้มหน้าเข้ามาใกล้โดยที่เราไม่ทันตั้งตัว เราที่กำลังมีสมาธิอยู่ก็สะดุ้งจนหน้าผากโขกกับคางของคนแปลกหน้านี้เต็มแรง



                “เฮ้ย เจ็บป้ะเนี่ย ขอโทษครับๆๆ”



                ...เจ็บบบ....



                เรายกมือกุมหน้าผากด้วยสีหน้าเจ็บปวด เขานั่งลงข้างเราพลางทำท่าเงอะงะก่อนจะโบกไม้โบกมือพูดขอโทษเราใหญ่ นี่มันช่วงเวลาประจวบเหมาะอะไรกัน เรานั่งอยู่เฉยๆ ยังเจ็บตัวได้ คนมาใหม่นั่นผงะไปที่เห็นท่าทางเราแบบนั้น



                “ผมขอโทษ แค่จะมาถามทางไม่คิดว่าจะทำให้ตกใจขนาดนั้น”



                หน้าผากเราร้อนฉ่าเป็นผลมาจากความเจ็บที่ยังเหลืออยู่ ใจเราร้องตะโกนว่าเจ็บนับครั้งไม่ถ้วนแต่ปากกลับร้องไม่ออก แล้วทำไมคนๆ นี้ถึงไม่มีเสียงร้องซักแอะ



                “ขอโทษจริงๆ ครับ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เขาก้มหน้ามาหาเราอีกแต่เพราะเรายังกุมหน้าผากจึงไม่เห็นหน้าเขาชัดเจน



                “ไม่ ไม่เป็นไร”



                “พี่?...หรือน้องวะ? เอ่อพี่ครับ...ผมจะถามว่าสนามบอลศิลปากรไปทางไหนน่ะครับ นัดเพื่อนไว้แต่ผมไม่เคยมา” เราค่อยๆ เลื่อนมือลงจนเห็นหน้าของคนที่นั่งข้างๆ เราพบว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาดีทีเดียว ผมที่ปรกหน้าผากยุ่งเหยิงดูเข้ากับลุคเขาอย่างน่าประหลาด เขาใส่เสื้อและกางเกงฟุตบอลสีน้ำเงินแบบเข้าชุด และดูเหมือนว่าเราจะรู้สึกคุ้นตาชอบกล



                อ่าไม่หรอกมั้ง...เราเบือนหน้าหนีก่อนจะจ้องจอโน้ตบุ๊กต่อ ...อึดอัดชะมัด รีบตอบคำถามเขาไปแล้วกัน...



                "อ่าที่ถามน่ะ...สนามฟุตบอลก็เดินตรงไปตามถนน เลี้ยวซ้ายที่โรงอาหารก็จะเห็นแล้วล่ะ” เขามองตามที่เราชี้แล้วก็ร้องอ๋อ หลังจากนั้นก็เกิดความเงียบทั่วบริเวณรอบตัวเรา



                “ขอบคุณมากครับ”



                เราส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้วหันมามองจอต่อ หางตาเห็นว่าเขาลุกขึ้น



                “เราเคยเจอกันมาก่อนปะครับ หน้าคุ้นๆ”



                เราขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง ยังไม่ไปอีกหรอเนี่ย



                “ไม่มั้งครับ”



                “สงสัยจำคนผิดครับ ยังไงขอบคุณมากพี่”



                 ...เฮ้อ ไปซะที ว่าแต่เจ็บจังคางเขาเป็นเหล็กหรือไงนะ...



                เรารวบรวมสมาธิรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์ต่อ แต่สิบนาทีหลังจากนั้นผู้ชายคนเดิมก็เดินกลับมา เขาวางขวดน้ำเย็นไว้บนโต๊ะดังกึก เราจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่เข้าใจ



                “แทนคำขอโทษที่ทำให้เจ็บครับ ไม่รู้ว่าพี่ชื่ออะไร แต่ผมชื่อ...อาร์มนะ เรียนอยู่มธ. ปีหนึ่งครับ”



                เขายิ้มพลางเกาท้ายทอยสองสามทีแล้วเดินจากไป ทิ้งเราให้งงกับน้ำเปล่าหนึ่งขวด และประโยคแนะนำตัวสั้นๆ



                แปลก...คนอะไรชื่ออาร์มนะ...

               







                เรื่องนี้ถึงหูชมพู่ในอีกยี่สิบนาทีต่อมา เธอกลับมาพร้อมกับอาหารมื้อเย็น ของทอด น้ำปั่น เค้ก ทุกอย่างอยู่เต็มสองมือของชมพู่ ยังไม่พอคนที่ถือถุงของกินเดินตามมาคือเจ็มและกี้ในชุดนักกีฬาบาสเก็ตบอลเต็มยศ



                พอเราเล่าจบทุกคนก็ร้องว่า...



                “ฮะ!!!”



                “ไม่เห็นต้องตะโกนใส่กันเลยนี่สามคนนี้”



                “เดี๋ยวๆ ปั้น ฉันไม่อยู่แค่แป๊บเดียว มีคนเอาน้ำขวดนี้มาให้แกหรอ แถมยังเจอกันเมื่อกี้อีก”



                “มีอุบัติเหตุนิดหน่อย ชมพู่ดูดิ หน้าผากเราแดงไหม”



                ชมพู่ลูบผมที่ปรกหน้าผากเราสองสามที “โธ่ เจ็บตัวเลยเพื่อนฉัน”



                เพื่อนสนิทเรามีท่าทีอ่อนลงแต่อีกสองคนนั้น...ไม่เลย



                “มันทำอะไรพี่ปั้นปะครับ” เจ็มตาโตเขาแทบจะลุกขึ้นเข้ามาเขย่าตัวเรา



                “แค่มาถามทางไปสนามฟุตบอลน่ะ เห็นบอกว่าเป็นเด็กมอ...เอ่อ มธ.”



                “เด็กมธ.?”



                “เห็นบอกว่างั้น”



                “เด็กมธ.มาทำอะไรที่นี่ครับ ถ้าเป็นไอ้นายว่าไปอย่าง”



                “สงสัยมาหาเพื่อนล่ะมั้ง” เราพูดพร้อมกับเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่ใส่ใจ แถมยังไม่ได้ยินประโยคหลังที่กี้เอาแต่บ่นงึมงำ



   จู่ๆ เจ็มทำท่าเหมือนนึกอะไรออกก่อนจะเอ่ยปากถามเราต่อ “ไอ้คนนั้นหน้าตี๋ๆ หน่อยใช่ไหมครับ ใส่เสื้อบอลทีมเลสเตอร์ซิตี้ สีน้ำเงินๆ ปะครับ”



                “ใช่ๆ เจ็มรู้ได้ไงน่ะ”



                “เดินผ่านกันเมื่อกี้ครับ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าคุ้นหน้าก็ไม่รู้”



                “จะว่าไปเขาบอกว่าเราหน้าคุ้นๆ ด้วยเหมือนกัน”



                เจ็มกับกี้สบตากันเงียบๆ



                “แต่ช่างเถอะ คงจำผิดแหละมั้ง”



               เราเอ่ยไปอย่างไม่ใส่ใจเพราะสายตาเรามองไปที่ของกินบนโต๊ะอย่างเปิดเผย ก็อาหารที่ชมพู่จ้วงกินอยู่ตอนนี้มันน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ เรากับชมพู่แย่งกันทานอาหารเพื่อบำรุงสมองที่ชำรุดเพราะงานที่คั่งค้าง โดยมีเจ็มและกี้เป็นเสมือนทาสที่ปรนนิบัติพัดวีผู้จัดการทีมบาสของตัวเอง



              เราทำงานต่อจนถึงสองทุ่ม ขากลับนี่แทบจะเดินหลับตาเข้าหอ พอถึงห้อง นอนพักไม่นานนายก็โทรมา เราผลัดกันเล่าเรื่องประจำวันให้อีกฝ่ายฟังรวมถึงเรื่องคนแปลกหน้าในวันนี้ด้วย นายเงียบไปแต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร ไม่ทันได้ฟังเรื่องของนายเราก็เผลอนอนหลับไปก่อน



             และเราไม่รู้เลยว่า หลังจากนั้นอีกสามวันเราจะได้เจอคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามาซักพักใหญ่ ต้องบอกว่าคนๆ นี้มาพร้อมกับพายุ



             เอ่อ...พายุจริงๆ นะ

 





             ซ่าๆๆ



             “ขับรถดีๆ นะชมพู่ ฝนตกขนาดนี้ระวังด้วย”



             “แกก็รีบๆ เข้าห้องตัวเปียกหมดแล้ว นี่ถ้าไม่บังเอิญเจอแกพอดีแกก็คงจะวิ่งฝ่าฝนไปจนถึงหอสินะ”



             “...”



             “ไม่ต้องทำท่าหูตก รีบๆ ไปเลยเดี๋ยวไม่สบายซะก่อน”



             เราพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขอบคุณชมพู่ เรารีบวิ่งลงจากรถชมพู่ สองมือกอดกระเป๋าไว้แนบอก แล้วเดินเร็วๆ ผ่านประตูหอพักที่เปิดค้างไว้อยู่แล้ว ช่วงฝนตกแบบนี้คุณป้าเฝ้าตึกไม่ค่อยซีเรียสเรื่องคนเข้าออกมากนัก



             “ทางเดินเปียกหมดเลย”



             เราบ่นพร้อมกับก้มมองพื้นกระเบื้องหอพักชั้นสี่ ค่อยๆ เกาะกำแพงเดินไปทีละก้าว ไม่ได้หรอก พื้นลื่นขนาดนี้ ถ้ารีบเดินมีหวังก้นจ้ำเบ้าให้คนอื่นหัวเราะเยอะแน่ๆ พอถึงหน้าห้องเราก็ก้มหน้าหากุญแจอีก คราวนี้แทบจะมุดหน้าลงไปในกระเป๋าเลย



             ...อยู่ไหนนะ...



             ทำไมเวลาเรารีบมันถึงไม่ได้ดั่งใจนัก เราควานหากุญแจจนกระเป๋าที่จับอยู่ร่วงลงไปกองกับพื้นสร้างความหงุดหงิดให้เราขึ้นไปอีก ก็หนาวจะตายอยู่แล้วนี่



             แกร๊ง!



เอ้า ยังจะหล่นอีก ในขณะที่เราก้มตัวไปเก็บกุญแจอยู่นั้นก็มีเสียงคุ้นๆ ดังมากจากด้านหลังพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ตรงเข้ามา



            “ช่วยหาไหมครับ”



            “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ”



            เอ๊ะเสียงนี้...



            ขวับ!



           “นะ...นาย!?!”



             เจ้าของเสียงทุ้มเดินยิ้มเข้ามาหา เขายกมือมาวางบนหัวเราเบาๆ



             “ว่าไงครับคุณลูกหมาตกน้ำ”







 

             “มาได้ไง”               



             เราเหลือบตามองคนที่นั่งกำลังเช็ดผมให้เราด้วยท่าทางขะมักเขม้น เป็นนายนั่นเองที่มาพร้อมกับพายุฝน



             “เห็นประตูหอเปิดอยู่เลยเดินเข้ามาเลยครับ”



“นาย”



“ผมขับรถมาครับ”



             “ฝนตกหนักด้วยเนี่ยนะ”



             “มาตกหนักตอนผ่านมหิดลมานี่แหละครับ”



             “ทำไมไม่บอกเราก่อน”



             “มันกะทันหันครับ”



             “แต่พรุ่งนี้นายมีเรียนไม่ใช่หรอ”



             “อาจารย์ยกเลิกครับ ไม่มีเรียนจนถึงวันศุกร์เลย”



             “แล้ว...”



             “แล้วก็เลยมาหาพี่ปั้น ขอมาอยู่ด้วยสองวัน รอรับพี่ปั้นกลับบ้านครับ”



             เราขมวดคิ้ว ท่าทางสงสัยไม่เลิก “นายไม่ซ้อมบาสหรอ”



             “พี่ปั้น” เขาดุอย่างไม่จริงจังนักแต่ก็ไม่หยุดขยับผ้าขนหนูผืนเล็กบนหัวเรา ผ้าขนหนูที่เขาเอามาจากราวแขวนเสื้อหน้าห้องน้ำด้วยตัวเอง เราไม่แปลกใจในเรื่องนั้นเลยเพราะเวลาที่นายแวะส่งเขามักจะตามขึ้นมาส่งเราถึงห้องเสมอๆ



             “ดุเราทำไม ก็เราอยากรู้นี่ มาไม่บอกแบบนี้เราตกใจเลยมีคำถามเยอะหน่อย”



             “ไม่หน่อยแล้วครับ ผมตอบจนคอแห้งแล้วเนี่ย” นายพูดขำๆ ก่อนจะใช้มือขยี้ผมเราแรงๆ เราโยกตัวหนีแล้วขยับตัวนั่งหันหน้าเข้าหาเขาที่นั่งอยู่กลางเตียง นายเลิกคิ้วรอฟังเราพูดต่อ



             “แล้วนายกินข้าวรึยัง”



             “ยังครับ”



             “ไปองค์พระฯ ไหมจะได้ไหว้พระด้วย เอ๊ะ...แต่ฝนตกนี่” รู้สึกว่าไหล่ตก หูตก ฟ้าฝนเนี่ยทำให้หลายอย่างหยุดชะงักกันไปหมด เป็นเราเองที่ตื่นเต้นเพราะนายไม่เคยมาค้างที่นี่แถมเรายังไม่เคยพาเขาไปทานอะไรอร่อยๆ ที่นครปฐมเลย



             “กินอะไรก็ได้ครับ”



             “ได้ไง เด็กท่าพระมานครปฐมทั้งที นายอยากกินอะไร ที่นี่ มีชาบู หมูกระทะ ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู บะหมี่เกี๊ยว ผัดไท ราดหน้า แต่ต้องรอฝนหยุดตกซักแป๊บ คิดมาก่อนว่าอยากกินอะไร...”



             หมับ!



             นายหยุดคำพูดของเราด้วยการวาดแขนมากอดเอวแน่น แถมยังออกแรงดึงตัวเราเข้าไปชิดอกเขาอีก แต่คำพูดต่อมาของเขาทำให้เราแทบสำลักน้ำลาย



             “อยากกินข้าวปั้น”



             “เฮ้ย” เราดิ้นจะผลักตัวนายออก แต่เขาหัวเราะหึหึก่อนจะแนบแก้มลงบนไหล่เรา สัมผัสอุ่นๆ จากอีกคนทำให้ลดความเย็นของอากาศหนาวไปได้เยอะทีเดียว



             “ล้อเล่นครับ อยากกอดจะแย่แล้ว”



             อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ส่งมาจากนายนั้นทำให้เราชะงัก ก่อนจะวาดแขนกอดตอบนาย และตบหลังเขาเบาๆ เป็นเชิงปลอบ



              “...นาย?”



              “คิดถึงพี่ปั้น ผมคงเป็นเด็กขี้เหงาอย่างที่พี่ปั้นว่า...”



              “...”



              “แต่คิดถึงจริงๆ นะครับ ที่ไปบ้านพี่ปั้นบ่อยๆ ก็เพราะคิดถึงพี่ปั้น”



              “โอ๋ๆๆ ไม่ต้องร้องนะน้องนาย” เราพูดติดตลก แต่ความรู้สึกบางอย่างตีขึ้นมาจนแทบล้นอก



              จุ๊บ



              นายเอียงหน้า กดริมฝีปากร้อนตรงต้นคอจนเราสะดุ้ง บรรยากาศอุ่นๆ ลอยหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน



              เฮ้ยๆ



              “หยุดเลยๆๆ” เราดันตัวเขาออก นายผละออกมาทำหน้าตางงๆ แต่เรารู้ว่าแกล้งทั้งนั้น



              “ขอความรักไงครับ ไม่สงสารผมหรอ”



             “อย่ามาเนียน”



             “เนียนไม่ได้ งั้นขอตรงๆ เลยล่ะกันครับ ขอความรักให้ผมหน่อยพี่ปั้นนน ขอตรงปากนะครับ”



             “ไม่ ปล่อยเลยๆ เราจะไปทำมาม่าให้นายก็แล้วกัน” เราจิ้มหน้าผากนายแรงๆ หนึ่งทีก่อนจะลุกขึ้น แต่มนุษย์นายกลับคว้าเอวเราอย่างรวดเร็วจนทำให้เราเสียหลักไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงโดยที่เขานอนขำอยู่ข้างๆ กัน



             “ไม่ต้องรีบครับ ผมยังไม่หิว ตอนนี้ต้องการแค่ความรักของพี่ปั้นอย่างเดียว ผมอิ่มทิพย์ได้”



             “ขี้โม้”



             เราหันไปย่นจมูกใส่เขาทีนึง แต่ถึงจะว่าแบบนั้นแต่แรงดึงดูดเจ้าปัญหาก็ผลักเราให้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ในขณะเดียวกันนายก็ขยับตัวขึ้นมาคล่อมตัวเรา เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันบนเตียงทำให้รู้สึกแปลกๆ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเราเป็นไปอย่างไม่รีบร้อน และเป็นธรรมชาติเหมือนกับเราทั้งคู่เริ่มคุ้นเคยกับความใกล้ชิดแบบนี้ มือของเขาเลื่อนมากุมซีกหน้าด้านซ้ายของเราเอาไว้เบาๆ ไม่รู้ว่าแผ่นหลังจมลงไปกับเตียงตอนไหน รู้ตัวอีกที แสงไฟนีออนเหนือหัวถูกบดบังด้วยใบหน้าของเขาไปแล้ว



             และจากนั้นเราก็ค่อยๆ หลับตาลง



             ในตอนที่ด้านนอกมีเสียงฝนตกดังขึ้นเรื่อยๆ เรากลับได้ยินเสียงหัวใจเต้นตุบตับและเสียงที่เกิดจากริมฝีปากของเราทั้งคู่ดังสะท้อนอยู่ในห้องเล็กๆ นี้



             นายปรับเปลี่ยนองศาใบหน้าไปมา ปลายจมูกเฉียดผ่านกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองมือกำชายเสื้อของนายไว้แน่น หน้าอกเรากระเพื่อมแรงขึ้นเพราะหอบหายใจแรง แถมยังรู้สึกว่าเลือดยังสูบฉีดหนักจนคิดว่าต้องตายแน่ๆ แต่พอเราจะผละออกนายก็ตามมาจูบซ้ำๆ เขาไม่ปล่อยให้ผีเสื้อที่บินว่อนอยู่ในท้องได้หยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว



             “นะ..นาย ”



             ...ชักจะนานไปแล้วนะ...



             นายรู้ว่าควรหยุด เขายิ้มชิดริมฝีปากก่อนจะเลื่อนไปกดจูบค้างไว้ตรงหน้าผากบริเวณ ซึ่งเป็นที่ที่ชนกับคนแปลกหน้าเมื่อสองวันก่อน ...เขาใช้นิ้วโป้งไล้เบาๆ ตรงหน้าผาก เราเริ่มกลับมาเป็นข้าวปั้นคนเดิมที่เงอะงะและไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน แรงดึงดูดเมื่อกี้หายไปแต่กลับมีความเขินอายเข้ามาแทนที่ และนายคงจะรู้เช่นกันว่าเราเขินจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาเลย



             ...ให้ตายเถอะ กับเรื่องนี้ไม่เคยชินเลยซักที...



            “ผมรัก” เขาพูดเสียงเบา แต่เราก็ได้ยินอยู่ดี



             “ว่าอะไรนะ”



             “ชื่นใจที่สุด” นายรู้ว่าเรารู้ เขายิ้มก่อนล้มตัวมากอดรัดเราเหมือนงูเหลือม เรารู้นะว่าเขาทำเพราะกลบเกลื่อนความเขินของตัวเอง นายโยกตัวเราไปมาเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งพลางกดหัวเราให้ซบไปกับบ่าเขา



             “นายชื่นใจแต่เราจะตายแล้วเนี่ย”



              ถึงจะร้องขอความเห็นใจแค่ไหน นายก็ไม่เห็นจะคลายกอดซักที แต่ก็ดีเหมือนกันเราจะไปซ่อนแก้มแดงๆ นี่ไม่ให้เขาเห็นซักพัก



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3

               

               เพราะฝนเริ่มซาหลังจากนั้นอีกสองชั่วโมง เราจึงพาเขามาหาอะไรทานที่ไม่ใช่อะไรก็ได้อย่างที่นายต้องการ พื้นชื้นแฉะจนทำให้เราแทบลื่นอยู่หลายครั้ง นายที่เดินตามมาด้านหลังถึงจะคอยคว้าไหล่ไว้ แต่ก็ส่งเสียงหัวเราะมาไม่หยุด



               “หยุดหัวเราะ”



               มานั่งรอข้าวเขาก็ยังไม่หยุดอีก ...ไม่เห็นรึไงว่าคนมองหมดแล้ว โดยเฉพาะ...ผู้หญิงโต๊ะข้างๆ ที่มองนายแล้วก็ยิ้มอยู่แบบนั้น...



                “โอเคครับบบ หน้าบึ้งจัง ผมหยุดหัวเราะแล้วไง”



                ไม่รู้ตัวเองเป็นอะไรมันน่าหงุดหงิดใจชะมัด



                “ยิ้มให้ผมหน่อยครับ” นายยื่นมือมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ก่อนจะยืดแก้มเราออก



                เราจับมือเขาออกพลางเหลือบมองไปรอบๆ



                “พอแล้ว คนมอง”



             “ไม่ใจดีกับผมเลย” เขาทำหน้าหงอย เด็กเจ้าเล่ห์คนนี้ไว้ใจไม่ได้หรอก



             “ใครจะไปอารมณ์ดีเหมือนนายล่ะ”



                “ก็ต้องอารมณ์ดีซิครับ ผมไม่ได้เจอพี่ปั้นมากี่วัน กี่อาทิตย์แล้ว หรือว่าพี่ปั้นไม่ดีใจถึงทำหน้าบึ้งใส่ผมแบบนี้”



                “เปล่าทำซะหน่อย เราแค่ ช่างเถอะ...กินข้าวกัน”



                เราสองคนกินข้าวเงียบๆ ตอนนี้เกือบสามทุ่มแล้วนักศึกษายังคงคึกคัก คงเป็นเพราะฝนที่ตกตอนเย็นทำให้ต้องออกมาซื้อของกินกันช่วงนี้



                “พี่ปั้นออกมามืดๆ ค่ำๆ แบบนี้ทุกวันหรอครับ” นายเริ่มต้นบทสนทนา เขากำลังทำให้ความเงียบค่อยๆ หายไป เขายิ้มเล็กน้อยตอนที่ฟังเราพูด



                “ก็มีบ้างแหละ แต่ที่นี่คนเยอะนะ ขนาดสี่ห้าทุ่มเรายังลงมาซื้อของกินเลย”



                ...ว่าแต่ทำไมยิ่งพูดนายถึงหุบยิ้มล่ะ...



                “ลงมาสี่ห้าทุ่ม?”



                “เอ่อ...ใช่ก็มีบ้าง”



                “คนเดียว?”



                “ก็คนเดียวน่ะสิ”



                “ให้ตายเถอะพี่ปั้น ทำไมผมไม่เกิดเร็วกว่านี้อีกซักนิดนะ” เขาถอนหายใจ คิ้วได้รูปขมวดกันเป็นปม



                “ทำไมล่ะ”



                “ถ้าผมเกิดเร็วกว่าเดิมคงจะดีกว่านี้นะ ผมจะเรียนที่นี่ ผมจะเช่าห้องอยู่ข้างๆ พี่ปั้น ผมจะลงมาซื้อของกินเป็นเพื่อน ผมจะไปรับพี่ปั้นตอนฝนตก จะได้ไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวแบบนี้ จะได้เจอพี่ปั้นเร็วๆ ด้วย” เรานิ่งไปก่อนจะมองหน้าคนที่กำลังบ่นให้ข้าวกะเพราะหมูสับฟัง เรายกยิ้มเป็นยิ้มที่มาจากความดีใจข้างใน ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเรา คนใช้ชีวิตเงียบเหงามาตลอดหลายปีจะมีคนที่อยากเกิดมา...เพื่อเจอเรา



                “แบบนี้แหละดีแล้ว”



                “...ครับ?”



                “แบบนี้แหละดีแล้วจริงๆ นะ”



                “พี่ปั้น...” นายเงยหน้าขึ้นสบตากับเราที่ยิ้มอยู่เงียบๆ

               





                “โห นายเตรียมพร้อมขนาดนี้เลยหรอ แล้วถ้าเราไม่ให้นอนล่ะ”



                กลับเข้ามาที่ห้อง ก็พึ่งสังเกตว่านายเตรียมตัวที่มาจะนอนที่นี่อย่างจริงจัง...หมายถึงเสื้อผ้านะ อย่าคิดเป็นอย่างอื่น นายที่เดินออกมาจากห้องน้ำพอเห็นเราชี้ที่กระเป๋าเขาเลยเข้าใจ



                “ถ้าพี่ปั้นไม่ให้นอนผมก็ไปขอนอนกับคนอื่นก็ได้ครับ”



                “ขอนอนกับใครล่ะ”



                “อืมมม...กับใครดีนะ”



                เขาพูดยิ้มๆ เหมือนหยอกเล่น แต่เราเม้มปากฉับ อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกไม่ชอบใจพุ่งขึ้นมาจนจุกหน้าอก และดูเหมือนนายจะสังเกตเห็นมัน



                “พี่ปั้น...”



                ภาพผู้หญิงที่ร้านอาหารเมื่อกี้ผุดขึ้นมาในความคิด ...ไม่ชอบเลยจริงๆ...



                พอคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นายมักจะอยู่ใกล้ๆ เราเสมอ จนเราลืมนึกไปว่าแล้วตอนที่นายไม่อยู่ใกล้เราล่ะ เพราะเป็นนาย...คนที่ใครๆ ต่างก็แอบมอง เราพยายามทำเป็นมองไม่เห็น เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเราออกไปด้านนอก สายตาของคนอื่นมักจะหยุดอยู่ที่นายเสมอ



                “ถ้างั้นนายก็ไปนอนกับใครก็ได้งั้นสิ”



                ถึงจะไม่ชอบใจแต่เพราะคำพูดของนายเราจึงเอ่ยประชดออกไป นายชะงัก ในห้องสี่เหลี่ยมนี่มีแต่เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ เท่านั้น



                เงียบสนิท



             เรานั่งก้มหน้ามองเท้าซีดๆ ของตัวเองอยู่ปลายเตียง ในใจมันรู้สึกแย่หลังพูดประโยคนั้นออกไปเพียงหนึ่งวินาที เราเป็นอะไรกันนะ ความรู้สึกอึดอัดในอกนี่มันอะไรกัน นายยืนมองเราอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เดินเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเรา ฝ่ามือเย็นเฉียบลูบแก้มเราช้าๆ



                “พี่ปั้นอย่าดูถูกความรักของผมนักเลย”



                อาจเพราะน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเจ็บปวด ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองแย่ยิ่งกว่าเดิม



                “เรา...ไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ” เกือบจะร้องไห้แล้ว แต่นายรั้งคอเราลงมาซบที่ลาดไหล่เขา พลางกระซิบบอกว่าไม่เป็นไร



                “พี่ปั้นน่ะ คิดอะไรต้องบอกผมบ้างนะรู้ไหม”



                “...”



                “เราตกลงคบกันแล้ว มีอะไรไม่ชอบใจก็บอกกันสิครับ”



                “...”



                “ไหนพี่ปั้นบอกผมสิครับ ว่าที่เม้งใส่ผมเนี่ยเป็นเพราะอะไรหื้ม?” เรากัดริมฝีปาก ก่อนจะผละตัวออกจากวงแขนของนาย เราค่อยๆ เลื่อนตัวมานั่งพื้น เรายกมือกอดเข่าตัวเองและพิงหลังกับปลายเตียง นายขยับตามมานั่งข้างๆ แล้วเขานิ่งคล้ายกับรอเราพูด เขาเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ...ฟังความรู้สึกที่พรั่งพรูออกไปนี้



                “เรา...ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เราไม่ชอบใจเลยที่นายพูดแบบนั้นเลย เหมือนกับว่าจะไปหาคนอื่นง่ายๆ แต่แล้วเรากลับบอกให้นายไปง่ายๆ เหมือนกัน เรานี่แย่จังนะ” เพราะหาเหตุผลไม่ได้ เราเลยพูดออกไปอย่างน้อยก้อนหินที่ถ่วงความรู้สึกอยู่ตรงนี้คงจะมีน้ำหนักเบาลงบ้าง



                “ผมพูดเล่นครับ ขอโทษที่ทำให้คิดมากนะครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่พูดอะไรให้พี่ปั้นคิดมากอีกแล้ว”



                “ไม่หรอก อาจจะเป็นเพราะเรา...กลัวล่ะมั้ง” เราเอนหัวซบกับไหล่เขา อุณหภูมิผิวกายเย็นกว่าปกติ เขาเงียบฟังพลางกดจูบกลางกระหม่อม



                “...”



                “มีแต่คนมองนาย เราเลยกลัวว่าวันนึงคนที่นายเลือกอาจจะไม่ใช่เราก็ได้...พอคิดแบบนั้นแล้วก็...”



                แววตานายฉายแววแปลกใจวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะจุดยิ้มที่มุมปาก ทั้งหมดนั่นเราไม่ได้เห็นมันเลยแม้แต่น้อย “พี่ปั้นรู้ไหมครับ”



                “...หืม?”



             “เพราะเหตุผลเดียวกับพี่ปั้น ผมถึงทนรอวันศุกร์ไม่ไหวและพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้”



                เราหันหน้ามองนายอย่างไม่เข้าใจนัก



                “ก็เพราะมีแต่คนชอบพี่ปั้น มีแต่คนมองพี่ปั้นของผม ผมถึงกลัวว่าคนอื่นจะมาแย่งพี่ปั้นไปจากผม ผมโคตรงี่เง่าเลยใช่ไหมครับ”



                ...เราเนี่ยนะ... “จืดชืดอย่างเรามีแต่นายแหละที่หลงผิด”



                “พี่ปั้นก็รู้ว่ามันไม่จริง ไม่งั้นไอ้เด็กมธ.คนนั้นจะไปหาพี่ปั้นได้ไงครับ” ท้ายประโยคนายพูดเสียงแข็งจนเราตกใจ



                “...นั่นน่ะ เรื่องบังเอิญ” เขาคงรู้เรื่องจากชมพู่แล้วแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่มีท่าทางโกรธขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ



                “สำหรับผมนั่นคือการจงใจครับ ไม่ทราบว่าพี่ปั้นไปทำตัวน่ารักหรือทำอะไรตรงไหนที่ทำให้ไอ้คนที่มันเรียนท่าพระนั่นมันทำเนียนมาถามทางได้”



                “อ้าวเขาเรียนฝั่งเดียวกับนายด้วยหรอ”



                “พี่ปั้น!”



                ...เดี๋ยวนะ ทำไมสถานการณ์มันชักเปลี่ยน นายเม้งใส่เราแทนแล้วเนี่ย...



                แล้วตกลงเราดีกันแล้วใช่ไหม



                ไม่ต้องคิดหาคำตอบให้มากมาย เพราะต่อจากนั้น เราก็โดนนายบ่นยาวเหยียด เขาบ่นทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเราแถมยังบ่นรัวๆ จนแทบฟังไม่ทัน เขาบอกเราว่าไม่รู้จักระวังตัว มีคนมาเนียนจีบก็มึนใส่ จะบอกว่าตอนนั้นเจ็บหน้าผากอยู่ต่างหากถึงเถียงไม่ทัน ยิ่งนายบ่นเขายิ่งเพิ่มเลเวลบรรยากาศติดลบเข้าไปอีก เขาบ่นไปถึงชมพู่ บ่นพวกผู้พิทักษ์ที่ละเลยหน้าที่ บ่นๆๆๆ



                จากนั้นก็นอนหันหลังให้เรา จนเราได้แต่มองเขางงๆ จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกก็เลยล้มตัวลงนอนข้างๆ เขา พอเราเริ่มเคลิ้มหลับก็รู้สึกถึงวงแขนที่รวบเอวเราเข้าไปใกล้ แถมยังซุกหน้าที่คอเรานอนหลับปุ๋ย ทิ้งให้เรานอนตัวเกร็งเป็นท่อนไม้อยู่แบบนั้น



                “งอนครับแต่อยากนอนกอด”



                ถึงจะใจเต้นแรงจนนอนไม่หลับแต่จะยอมให้วันนึงแล้วกัน



                ...กอดแล้วหายงอนด้วยนะ...







=========
มาช้าอีกเเล้วค่ะ
ขอโทษมากๆ เลย พี่ปั้นเป็นนิยายรายเดือนไปซะเเล้ว
ขอบคุณทุกคนเหมือนเดิมค่ะ 
ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะคะ
คิดถึงม้วกเลยยย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
คิดถึงพี่ปั้นมากกกกกกกกกกก ความรักกำลังสุกงอม อิอิ :mew1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พี่ปั้นนน่ารักจนหนุ่มมธมาติดกับอีกคนแล้วเหรอคะ คนอย่างพี่ปั้นไม่ควรต้องให้เขามาเจอเรื่องดราม่าอะไรทั้งสิ้น ขอให้น่ารักไปวันๆก็พอนะคะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เสน่ห์เรี่ยราดจริงๆ

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
น้องนายกลายเป็นตาแก่ขี้บ่นไปแล้ว 5555

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ jaevin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-3
วันนี้ฝนตก

Act 21 : เขา...กับเรื่องที่ไม่ได้พูดแต่รู้สึก     



                “อารมณ์ดีจังนะข้าวปั้น”



                “แน่นอนครับ งานส่งหมดแล้ว แถมยังได้กลับมานอนบ้านด้วย” เพราะอาทิตย์นี้เรามีเรียนที่นครปฐมแค่วันเดียวดังนั้นข้าวปั้นของแม่ก็จะได้กลับมานอนที่บ้านทุกวันเลย ดีใจที่สุด



                “แน่ใจหรอ ไม่ใช่ว่า...” แม่หรี่ตาแกล้งพูดเสียงสูง ทำเอาพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้ไม้หัวเราะไปด้วย



                “อะไรกันครับ ปั้นก็อารมณ์ดีเพราะจะได้อยู่บ้านต่างหาก คิดถึงกับข้าวแม่ที่สุดเลยด้วย”



                “ปากหวานจริงๆ  เอ้อแล้วปั้นอยู่นู่นกินอะไรล่ะนาย”



                หือ?



                ...นั่นคือประโยคที่ถามนายหรือถามเรากันแน่…



                “พี่ปั้นกินขนมเป็นหลักครับ ตอนอ่านหนังสือดึกๆ ชอบแกะขนมมากินตลอดเลย แถมในห้องมีแต่พวกขนมกับมาม่า”



                “ปั้น! แม่บอกแล้วใช่ไหมอย่ากินมาม่า”



                “ก็พ่อเอาใส่กระเป๋าไว้ให้ตั้งแต่เปิดเทอม ปั้นต้องเอามากินหน่อยเดี๋ยวมันเสีย” เหมือนโดนดุจนตัวเล็กลง เราอ้อมแอ้มตอบท่ามกลางเสียงหัวเราะของนายและ...พ่อ



                “พ่ออออ ทำไมรุมปั้นงี้ล่ะ”



                “ตลกปั้นไง”



                ...คำตอบคงมีแค่นั้นเองสินะ...



                “อะ เอาล่ะ ในเมื่อลูกชายของแม่เริ่มจะขาดสารอาหาร เย็นนี้เราจะทานอาหารนอกบ้านกัน”



                เราทำตาโตก่อนจะหันหน้าไปสบตานายด้วยความตกใจ รู้สึกหัวใจพองโตเหมือนบอลลูนยักษ์ กินเนสบุ๊กส์จะต้องจารึก



                ...แม่บอกว่าจะทานอาหารนอกบ้าน!!...

               







                อ่า...



                ก็อาหารนอกบ้านจริงๆ นั่นแหละ



                “พี่ปั้น ยกจานในครัวออกมาด้วยนะครับ”



                ...เฮ้ๆ นี่บ้านเรานะ... มนุษย์นายสั่งเราได้งั้นหรอ



                “นาย เดี๋ยวเอ็มเจกับแดมจะมาถึงกี่โมงนะลูก” ไม่ต้องแปลกใจ นอกจากนายแล้วแม่ก็ยังรู้จักแดมกับเอ็มเจอีกด้วย มีคนแวะมาหาตอนลูกไม่อยู่เนี่ยแม่เราชอบนักล่ะ



                “อีกครึ่งชั่วโมงครับ”



                “ดีเลยๆ บอกให้เอ็มเจแวะซื้อกุ้งที่ตลาดซอย 71 ให้แม่หน่อยนะ”



                “ซื้อเบียร์ให้พ่อด้วย”



                “เอ่อ ทุกคนครับนี่วันเกิดอยากจะกินแต่เอาปั้นมาอ้างใช่ไหมครับ”



                “พึ่งรู้หรอปั้น”



แม่หัวเราะ ก่อนจะยกถาดใส่บาร์บีคิวจากมือนายไปวางไว้โต๊ะหน้าบ้าน แปลกแต่จริง ก่อนหน้านี้เราบอกแม่ว่าอยากกินนู่นนี่แม่ไม่เห็นสนใจเลย พอนายเล่าว่าเขาไปทานอาหารเย็นกับคุณลุงแล้วรสชาติไม่ถูกปาก แม่ก็อาสาจะทำอาหารให้นายกินเองทันที



                ...อย่างนี้น่ะหมายความว่ายังไงครับ...



                “พี่ปั้น พี่ชมพู่จะมาด้วยนะครับ” นายเอ่ยขึ้นระหว่างเดินเข้ามาหาเราแล้วคว้าตะกร้าใส่จานชามไปถือไว้เอง เมื่อวานหลังจากนายมาส่งเราที่บ้านตามปกติ แต่เพราะคุณลุงเขาโทรมา นายจึงขอตัวกลับก่อน แล้วนายก็โผล่มาตั้งแต่เช้าของอีกวัน นั่งคุยเล่นกับแม่จนถึงตอนนี้ และไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าเราถึงรู้สึกว่านายมีเรื่องอะไรในใจ



                “หือ ชมพู่หรอ? ได้ไง ชมพู่ไม่เห็นบอกเราเลย”



                “เมื่อกี้พี่พู่โทรหาพี่ปั้นแล้วไม่รับสาย เลยโทรเข้าเครื่องผมครับ พอบอกว่าที่บ้านกำลังเตรียมอาหารอยู่เลยจะมาหา วันนี้พี่พู่มานอนบ้านที่กรุงเทพพอดีครับ”



                “โห เราถามคำเดียวเอง ตอบซะยาว” เราทำหน้ามุ่ยจนเขาหลุดหัวเราะ



                “เดี๋ยวพี่ปั้นก็ถามเยอะกว่านี้ครับถ้าผมตอบนิดเดียว”



                …โอเค เห็นนายยิ้มแล้วก็สบายใจ...

 







                เรื่องมันไปยังไงมายังไงถึงมีคนเต็มบ้านเราไปหมด เราเดินถือบาร์บีคิวสองไม้ที่ปิ้งเองไปที่โต๊ะยาวหน้าบ้านอย่างงงๆ ไม่มีใครสนใจเราเลย ขนาดนายก็ยังคุยกับพ่อเราไม่หยุด เรานั่งลงเงียบๆ ข้างชมพู่ กระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น



                “อ้าวเจ้าของบ้านมานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เอ็มเจแกล้งทำหน้าเหรอหรา หมั่นไส้ชะมัด กินกุ้งของเราจนแทบจะหมดชาม พอเราเบะปากเป็นคำตอบก็มีเสียงหัวเราะครืนดังรอบโต๊ะ



                “ปั้น แกถือบาร์บีคิวมามือเปล่าไม่ร้อนหรอ” ชมพู่เอ่ยทักแค่นั้นก่อนจะหันไปชมแม่ว่าทำน้ำจิ้มซีฟู้ดอร่อยมาก เอาเถอะ...เราน้อยใจให้เนื้อบนไม้บาร์บีคิวก็ได้



                พรึ่บ!



                “ทำไมไม่ใส่จานมาครับ เดี๋ยวนิ้วก็พองหรอก” นายย้ายตัวเองมานั่งข้างเรา หันไปมองที่นั่งของเขาก็เห็นว่าแดมไปนั่งแทนที่แถมยังชนแก้วกับพ่อเราด้วย



                “นายอย่าสนใจเราเลย” เราว่าก่อนจะกัดเนื้อชุ่มซอสบาร์บีคิว “เรามันก็ข้าวปั้นคนนึงที่ไม่มีใครสนใ...”



                ...อร่อย!...



                “ตาว้าวเลยพี่ปั้น” เอ็มเจเอ่ยแซว พอแม่มาถามว่าตาว้าวเป็นยังไง ชมพู่กับเอ็มเจเลยแย่งกันพูด เรียกง่ายๆ ว่านินทาเราระยะเผาขน



                “นายชิมบาร์บีคิวรึยังอร่อยใช้ได้เลยล่ะ” เราเคี้ยวเนื้อตุ้ยๆ อื้อหือ รู้สึกถึงความหอมหวานอยู่ในปาก จนเราลืมเรื่องน้อยใจไปจนหมด นายที่นั่งข้างๆ ถึงกับหลุดขำ



                “หึหึ โตจนป่านนี้แล้วยังกินเลอะอยู่อีกนะครับ” นายเอียงหน้ามอง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูสดใสขึ้นเยอะ



                “เดี๋ยวเราค่อยเช็ด” เราพูดพร้อมกับกัดพริกหยวกเข้าเต็มคำ



                “มาครับ ผมเช็ดให้” เขาพูดเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน พอเหลือบเห็นนายทำท่าจะยื่นมือมาเราก็เบี่ยงหน้าหนี พ่อกับแม่นั่งอยู่หัวโต๊ะนี่เอง เขาก็รู้ยังจะแกล้งอยู่ได้



                “อื้อ อย่า” เราขมวดคิ้วส่ายหน้าปฏิเสธแต่นายยังดื้อที่ยื่นมือมาอีก ทำไมวันนี้นายถึงไม่ฟังเราเลยนะ



                “พี่ปั้นก็กินไปสิครับ ผมเช็ดให้เอง”



                “นายอย่าเล่น”



                “ซอสราดมันเผ็ด ปากพี่ปั้นแดงหมดแล้ว มาครับ”



                “มีเด็กๆ มากันเต็มบ้านขนาดนี้ดีจังเลยนะเนอะพ่อ คราวหน้าต้องให้ปั้นพาเพื่อนมาบ่อยๆ แล้ว ใช่ไหมปั้น?”



                ขณะที่นายไล้นิ้วตรงขอบปากเรา จู่ๆ แม่ก็หันหน้ามาหาทางนี้พอดี และนั่นทำให้เราสะดุ้งสุดตัวจนปัดมือนาย เผลอเอ็ดเขาด้วยความตกใจ



                “นาย!/เพี้ยะ!/”



                “....!!!"



            “...ขอโทษครับ”



                เสียงเฮฮาเมื่อครู่เงียบสนิท นายเก็บแววตาตกใจของตัวเองไว้มิดชิด ก่อนเอ่ยขอโทษเบาๆ ตัวเราเองก็หลบสายตาของพ่อแม่ที่มองมา



                ไม่สิเป็นสายตาของทุกคนต่างหาก

             

              “เอ่อ ปั้นแกจะเสียงดังทำไม ฉันตกใจหมด แหมข้าวปั้นก็อย่างเนี้ยแหละค่ะ ตอนอยู่ม.ก็ชอบเสียงดังใส่หนูบ่อยๆ แหะๆ แม่คะ แม่มีสูตรทำน้ำจิ้มไหมคะ อร่อยมากเลย” ชมพู่เป็นคนแรกที่ทำลายความอึดอัดนี้ เธอชวนแม่คุยต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนแดมกับเอ็มเจก็ทำเป็นยกแก้วเบียร์ชนกับพ่อ ชวนคุยเรื่องฟุตบอลโลกที่ผ่านไป



                คล้ายๆ กับว่าทุกคนพยายามไม่ให้ความสนใจกับเราทั้งคู่มากนัก



                “นะ...นายเราไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษนะ” หลังมือของนายแดงขึ้นเล็กน้อย แม้ตอนนี้จะเริ่มมืดแล้วแต่เราก็ยังเห็นชัดเจน                 เราใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆ ที่รอยนั่นใต้โต๊ะ



                “เจ็บไหม” เราถามอย่างรู้สึกผิด



              คนข้างๆ เงียบอยู่นานจนเราเงยหน้าขึ้นไปทวนคำถามอีกครั้ง นั่นทำให้เราเห็นแววตาหม่นแสงของเขาที่มาพร้อมกับคำตอบ



               “เจ็บครับ”



                ช่างเป็นคำตอบแผ่วเบาแต่หนักอึ้งในหัวใจเหลือเกิน

 







                  บรรยากาศต่อจากนั้นมันแย่ไปหมด



                เราหันไปมองเสี้ยวหน้านายอย่างรู้สึกผิด



                “ปั้นแกเข้าไปเอาน้ำจิ้มเพิ่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”



                หลังจากพ่อและแม่เข้าบ้านไปเอนหลัง ชมพู่ก็เอ่ยขึ้น เราที่มองนายอย่างเป็นกังวลก็หันหน้ามาหาคนชวนด้วยความสงสัย ก็เรา...ยังไม่ได้คุยกับนายเลยนี่ ชมพู่ไม่ให้เราปฏิเสธเธอคว้ามือเราเข้ามาในบ้าน ปล่อยให้นายนั่งอยู่กับเอ็มเจและแดมที่พยายามชวนนายชนแก้ว



                “พวกแกโอเค...รึเปล่า” ชมพู่เปิดประเด็นทันที เราชะงักเพราะคำถามนั่น



                “...” เรื่องที่เกิดขึ้นกลางโต๊ะอาหารทำให้นายเงียบไปอย่างที่เราไม่เคยรู้สึกมาก่อน



                “มีอะไรอยากจะระบายไหม”



                พอมีคนถามความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

     

                 “ชมพู่ เรา เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ เรา...” เราละล่ำละลักบอก พยายามทบทวนการกระทำของตัวเองว่าทำพลาดไปตรงไหน หรือทำอะไรโดยที่ไม่รู้ตัวรึเปล่า และยิ่งคิดก็ยิ่งได้คำตอบ หัวใจบีบรัดจากสิ่งที่มองไม่เห็น ยิ่งคิดก็เห็นจุดเล็กๆ ที่ตัวเองมองข้ามไป



                เราก้มหน้าต่ำ ที่มากกว่าความรู้สึกนั้นก็คือทุกครั้งนายมักจะเข้าใจและเปิดอกคุยกับเราเสมอ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นายหลีกเลี่ยงจะคุยกับเราและนั่นทำให้เราปวดหัวใจมากกว่าเดิม



                “เอาล่ะๆ ไม่ต้องร้องๆ ถึงจะคบกันแล้วก็ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันอีกมาก พวกแกไปคุยกันให้เข้าใจซะ ยิ่งเป็นคนสำคัญน่ะก็ต้องยิ่งใส่ใจกันให้มากนะ”



             ชมพู่ปล่อยให้เราตกตะกอนความคิดของตัวเองอยู่ไม่นานเธอก็เอ่ยทำลายความเงียบ



             “...”



                “ปั้น...”



                “หืม”



                “การที่มีใครอีกคนมาอยู่ในชีวิตน่ะ มันไม่ง่ายเลยนะ...”



                “...”



                “แล้วการที่จะรักษากันและกันไว้ได้...มันยากยิ่งกว่า”



                “...”



                “แกรู้ใช่ไหม”

 







               เหมือนระหว่างเรามีกำแพงบางๆ ที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ

             

               เราตัดสินใจว่าจะคุยกับนาย แต่ดูเหมือนว่ายังไม่มีโอกาสนั้น



                เรารอ...



                รอจนน้ำแข็งในแก้วละลายแล้ว นายก็ยังไม่หันมามองเรา



                นายนั่งดื่มเบียร์ไม่สนใจใคร เขาจมอยู่ในภวังค์ของตนเองอยู่นาน เพราะบรรยากาศที่แปลกไป  ทั้งชมพู่ เอ็มเจ และแดมจึงพยายามหาเรื่องต่างๆ มาพูดคุยกัน แต่ทุกอย่างมันกร่อยสนิทบวกกับเริ่มดึกแล้ว ไม่นานเพื่อนๆ น้องๆ ก็ขอตัวกลับ โดยที่เรายืนยันว่าจะเก็บของเองได้ไม่ต้องเป็นห่วง ชมพู่ยิ้มให้กำลังใจเราก่อนกลับ ส่วนเอ็มเจมากระซิบบอกว่าจะพานายกลับไปด้วยเพราะดูท่านายคงจะเมาแล้ว คนที่ถูกเอ่ยถึงขมวดคิ้วฉับ เราหันไปมองเขาเล็กน้อยก่อนจะปฏิเสธเอ็มเจไป



                เสียงแก้วกระทบกันดังกร๊องแกร๊งภายในห้องครัว เราล้างแล้วส่งให้นายที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำทุกอย่างเหมือนปกติทั้งๆ ที่รับรู้อยู่ในใจว่ามีอะไรแปลกไป เขาปิดปากเงียบ แต่ก็ยังไม่ไปไหนคอยช่วยเราเก็บของ ห้ามเรายกอะไรหนักๆ ด้วยสายตาดุๆ ...อย่างน้อยท่าทางนั้นก็ทำให้ใจชื้นได้บ้าง



                เก็บของล้างจานชามเรียบร้อยแล้วเราก็เข้ามานั่งพักที่ห้องนั่งเล่น เราส่งผ้าชุบน้ำเย็นๆ ให้คนที่ตามมานั่งข้างๆ นายรับมาเช็ดหน้า ตรงแก้มเขายังมีริ้วแดงบางๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ระหว่างเรามีความเงียบเป็นเพื่อนอยู่นานจนกระทั่งนายขยับตัว เราทำท่าเริ่มต้นพูดอะไรบางอย่างแต่เป็นนายที่เอ่ยขึ้นมาก่อนคล้ายกับว่าเขาไม่พร้อมจะเป็นผู้ฟังเหมือนที่ผ่านมา



                “เราขอโทษนะ...”



                “พี่ปั้นครับ...” นายในตอนนี้ดูอ่อนไหวจนเรานึกกลัว



                “...”



                “พี่ปั้น...ไม่มั่นใจในตัวผมหรอครับ”



                เราหันไปมองคนพูดด้วยความตกใจ สีหน้าและแววตาเราส่งออกไปแบบไหนกันนะคนมองถึงได้ยิ้มเศร้าแบบนั้น เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เราพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ในหัวขาวโพลนพร้อมกับความรู้สึกชาที่อก



                “นาย...” กว่าจะเอ่ยมาได้แต่ละคำมันยากเย็นจนเราอยากจะตีตัวเอง ทุกสิ่งทุกเหตุการณ์ตีรวนเข้ามาในสมองจนเราตะหนักได้ว่าสีหน้าของนายเมื่อครู่ทำให้เราเหมือนแผ่นซีดีที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน



              และอาการนั้นเองยิ่งทำให้อีกฝ่ายคิดไปไกล



                “ไม่เป็นไรครับพี่ปั้น...”



                “ระ...เรา...ขอโทษเราที่ทำให้นายคิดแบบนั้น...”



                 “อ่าผมเมาแล้ว พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พี่ปั้นลืมมันไปเถอะครับ” เขาไม่รอให้เราตอบจนจบประโยค แต่กลับตัดบท นายหัวเราะออกมาแผ่วเบาก่อนจะล้มตัวลงนอนบนตักเรา ราวกับว่าเมื่อกี้เป็นบทสนทนาทั่วๆ ไป เขายกหลังมือมาปิดตาบังแสงไฟเหนือหัวและนั่นทำให้เรารู้ว่าเขากำลังกลัว..เหมือนที่เราเป็นอยู่



                “ง่วงจังครับ” เสียงสั่นๆ นั่นทำให้เราเม้มปากแน่น นายคงไม่อยากฟังอะไรตอนนี้ “นอนพักซักแป๊บผมก็ดีขึ้นแล้วครับ”

               

                    “โอเค นายนอนพักก่อน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกันนะ” เราส่งยิ้มให้นายแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นก็ตาม มือขวาลูบผมเขาช้าๆ ขอให้คืนนี้เยียวยาเราทั้งคู่แล้วพรุ่งนี้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม นายคว้ามือข้างนั้นของเราก่อนจะกุมไว้หลวมๆ เขาแนบแก้มกับฝ่ามือของเรา สิ่งที่เราไม่อยากเห็นที่สุดคือสีหน้าเศร้าจากนาย โดยเฉพาะสาเหตุนั้นมันมาจากตัวเราเองแล้วล่ะก็ เราแทบจะทนดูไม่ไหว ทำไมเราถึงแย่แบบนี้นะ

 

               ...อยากร้องไห้ชะมัด...



                คืนนั้นเรารู้สึกกำลังล่องลอยอยู่อากาศก่อนที่หลังจะสัมผัสกับความนุ่ม เราขยับตัวเข้าหาสัมผัสอุ่นๆ แล้วกอดเอาไว้ รู้สึกถึงความอุ่นวาบที่หน้าผาก ก่อนที่จะผล็อยหลับไปเราได้ยินเสียงกระซิบจากที่ไกลดังแว่วมา



                “ผมรักพี่ปั้นนะครับ แล้วพี่ปั้น...รักผมบ้างไหม

 






                นายไม่มีวันพรุ่งนี้ให้เราได้คุยกันอย่างจริงจัง เพราะหลังจากสายเข้าตอนเช้านายก็ต้องรีบกลับ ท่าทางเร่งรีบทำเอาเราไม่กล้าที่จะเอ่ยรั้งเขาไว้เลย



                “พี่ปั้นครับ ผมมีธุระต้องกลับก่อนนะครับ”



                เขาเอ่ยขึ้นตอนที่เราเดินมาส่งที่หน้าบ้าน นายกลับมาเป็นคนเดิม บรรยายกาศหม่นๆ หายไปจนหมดสิ้น เหมือนกับว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน



                เราตัดสินใจเอ่ยปาก



                “นาย...เรื่องเมื่อคืนน่ะเรา...”



                “พี่ปั้นไม่ต้องคิดมากนะครับ ผมเมาพูดอะไรไปเรื่อยแหละ” ยิ่งนายพูดเราค่อยๆ ก้มมองพื้น สุดท้ายแล้วเราก็แค่คนขี้ขลาดเหมือนที่ชานนท์เคยบอก นายหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะลูบหัวเราช้าๆ เป็นเชิงปลอบ แล้วคนที่ปลอบเราอยู่ตอนนี้ล่ะ...เคยคิดถึงตัวเองบ้างไหม



                เขาก้มมองโทรศัพท์ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมาบอก “เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วผมจะรีบมาหานะครับ”



                เป็นเราเองที่ไม่รู้จะไปต่อยังไง กลัวว่าเอ่ยอะไรออกไปแล้วจะมีแต่ไปกวนตะกอนความรู้สึกของเขาขึ้นมาอีก “ธุระ มีเรื่องอะไรรึเปล่า เราช่วยนายบ้าง...ได้ไหม”



                “เรื่องลุงน่ะครับไม่มีอะไรหรอก พี่ปั้นน...อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิครับ ผมไม่เป็นอะไรซักหน่อย เอาล่ะตอนนี้ผมต้องไปแล้วครับ ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวผมก็ไปสายพอดี” นายยิ้มแย้มตรงกันข้ามกับแววที่แทบจะเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่ของเขา



                ...อย่าไปเลย...



                เขายิ้มขำก่อนจะหมุนตัวกลับ นาทีนั้นเรายื่นมือไปคว้าชายเสื้อเขาไว้แน่นอย่างที่ตัวเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน เป็นปฏิกิริยาอัติโนมัติ



                เพราะแค่คิดว่า...ถ้าเราไม่คว้าไว้นายจะหายไปรึเปล่านะ

             

                “พี่ปั้น?”



                มือที่กำเสื้อเขาไว้สั่นเล็กน้อย นายมองอย่างแปลกใจ แววตาสีดำสนิทของเขามีความสับสนและประหม่าอยู่ในนั้น



                “นายยัง....ยังอยากได้คำตอบที่นายถามเมื่อคืนอยู่รึเปล่า”



                “ผม...”



                Rrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrr



                นายชะงักก่อนจะก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาปล่อยให้ปลายสายวางไปเองก่อนจะลากสายตากลับมามองเราอีกครั้ง



                “แล้ว...คำตอบนั้นทำให้เรายังเหมือนเดิมไหมครับ”



                น้ำเสียงและสายตาที่ส่งมานั้นทำให้เราเข้าใจว่าที่เขาพยายามทำเป็นลืมเรื่องเมื่อวานนั้นเพราะอะไร



                “อื้ม” เราสบตาเขา “แน่นอน”

 
.
.
มีต่ออีกนิดนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด