Chapter 11หลังจากวันนั้นที่เช้าสดใสของผมต้องแปรเปลี่ยนเป็น “สนามอารมณ์” ให้ป๊า แม่และเจ๊หลินบ่นด่าตามความเข้าใจผิดที่สร้างจาก “ไอ้เอี่ย” นั้น
อ๋อ...ผมรู้ชื่อมันแล้วครับ
แต่ไม่ได้เกิดจากการที่ผมเสน่หา นึกชื่อมันขึ้นมาได้เองนะ อย่าเข้าใจผมผิด ถึงแม้มันจะหน้าตาดีก็เหอะ! เพราะผมรู้มาจากป๊าที่เอ่ยถึงชื่อมันตอนบ่นผมนี้แหล่ะครับ
ไอ้นั้นมันชื่อ “ไอ้เอี่ยภูมิ”
แต่แล้วเรื่องราวของ “ไอ้เอี่ยภูมิ” ก็สลายไปตามกาลเวลา
เพราะผมก็ไม่ได้สนใจใส่ใจอะไรมันอยู่แล้ว และหลังจากเปิดเทอมมาได้หนึ่งสัปดาห์ กิจกรรมรับน้องต่างๆ และการเรียนก็เริ่มเข้มข้นขึ้นมาบ้างแล้ว
โดยเฉพาะไฮไลท์ของห้องเชียร์วันสุดท้าย ที่ผมได้มีพี่รหัสและได้รับของขวัญต้อนรับเข้าสายอย่างมากมายจากพี่ปี 2 ถึงปี 6 ซึ่งทำให้ “ไอ้เหมา” สนิทสนมกับพี่ปี 2 เพิ่มมากขึ้นไปโดยปริยาย
ซึ่งผมที่ภูมิใจนำเสนอพี่รหัสของผม นั่นคือ
“พี่นานา” !!!
คนอะไรไม่รู้ทั้งสวย น่ารัก ใจดี และชอบชวนผมไปเลี้ยงขนมที่ร้านน่ารักๆ รอบมหาวิทยาลัย เหมาะกับตำแหน่งดาวคณะของรุ่นพี่ปีสองจริงๆ เลย และนี้เป็นเรื่องราวที่ทำให้ไอ้ตาว ไอ้ข้าวและเพื่อนผู้ชายในรุ่นคนอื่นๆ อิจฉาผมเป็นแถว
แต่เรื่องราวที่เด็ดกว่านั้น คงหนีไม่พ้น การประกาศผลดาวและเดือนของรุ่นผมเอง 555
แค่นึกขึ้นมาก็กลั้นขำแทบไม่อยู่แล้วล่ะครับ
ด้วยความที่คณะของผมในแต่ละรุ่นมีประชากรน้อยกว่าคณะอื่น และคณะก็มีอยู่แค่สาขาเดียว เลยได้ตัวแทนจากการโหวตของเพื่อนๆ และรุ่นพี่ที่ดูแลกิจกรรม ซึ่งผลของการคัดเลือกดาวก็เป็นไปตามความคาดหมาย คือ
“มารี” ลูกครึ่งไทยเยอรมันได้ตำแหน่งนี้ไปครองอย่าง “ใสๆ”
แม้หน้าจะหน้าฝรั่ง แต่ทีเด็ดอยู่ที่การพูดภาษาไทยติดทองแดงที่ทำให้เธอมีเสน่ห์มากๆ เวลาพูด เพราะมารีเรียนและโตที่ไทย เรียนจบมัธยมจากจังหวัดภูเก็ต และความสามารถพิเศษคือ เล่นเปียโน ได้แบบเก่งเวอร์ๆ
แต่ส่วน “ไอ้ที่ขุ่นๆ” เนี่ยะ 555
ก็ผลการคัดเลือก “เดือนคณะ” นั้นแหล่ะ ไม่รู้มีการล็อคผลหรือนับคะแนนผิดหรือเปล่า เพราะไอ้คนที่ได้ตำแหน่งเดือนคณะ ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผมเลย เพราะเดือนทันตะปีนี้ คือ
“ไอ้ข้าว” นะซิ!!!
และหลังจากเสียงประกาศตำแหน่งเดือนคณะในห้องเชียร์วันสุดท้ายจบลง หูของผมนี้ก็ชาและก้องไปด้วยเสียงประกาศชื่อของมัน เหมือนมีเสียง echo ลอยอยู่ในหู
“น้องข้าว ข้าว ข้าว ข้าว ...”
ผมล่ะงงจริงๆ แค่คิดว่า มีคนโหวตให้มันก็ขำแล้ว แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ผมแน่นอน
แต่นี้???
มีคนโหวตให้มันเยอะ...เยอะจนชนะ!! ได้เป็นเดือนของรุ่น ผมก็ช็อคเลยซิครับ
แล้ววันนั้นหลังจากเสียงประกาศ มันที่นั่งเก้าอี้อยู่ข้างๆ ผมก็เก๊กหล่อเดินขึ้นเวทีไปรับช่อดอกไม้และสายสะพาย พร้อมกล่าวคำขอบคุณเล็กๆ น้อบๆ ที่สมควรจะได้รับมอบ “การถีบก้นงามๆ” จากผมหนึ่งที ในฐานความผิดที่พูดจาโม้โอ้อวด หลงตัวเอง
"ผมต้องขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ และเอฟซีทุกคนที่โหวตให้ผมนะครับ ผมจะพยายามใช้หน้าตาอันหล่อเหล่าที่มี"
"ทำชื่อเสียงให้คณะ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับรุ่นน้องต่อไปครับ”
และค่ำคืนนั้น ก็จบลงด้วยคำกล่าวชวนอ้วกของมัน พร้อมทั้งเสียงกรี๊ด เสียงโห่ เสียงขำหัวเราะมากมาย
จนทุกวันนี้ “ไอ้ข้าว” กลายเป็นคนดังในคณะไปแล้ว เดินไปไหนด้วยกันสามคนกับผมและไอ้ตาว มันจะได้รับการทักทายจากรุ่นพี่ตลอดเลยทางเลย ไม่เว้นแม้แต่พี่ปี 5-6 ที่เข้าร่วมงาน ทั้งพูดหยอกล้อ หรือขอสมัครเป็นเอฟซีมันบ้างก็มี
แต่ถ้าเรื่องราวมันจะมีแค่นั้นผมก็คงหมั่นไส้มันเฉยๆ แต่เหตุจากไอ้ข้าวเป็นเดือนคณะ เพื่อนของมันอย่างผมและไอ้ตาวก็ต้องมีภาระเพิ่มมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว คือ หน้าที่ “ดูแลเดือนคณะ”
ให้ตายเถอะ บ้าเอ้ย! เพราะมีวันหนึ่งไอ้ข้าวถูกพี่ๆ ปีสองเรียกพบประชุมเรื่องการเตรียมตัวประกวดาวเดือนของมหาวิทยาลัย แล้วมันก็ลากพวกผมสองคนให้ไปเป็นเพื่อนมัน แต่ระหว่างประชุมคุยงาน ผมและไอ้ตาวที่กำลังนั่งเล่นเกมมือถือรอมันอยู่ ก็ถูกพี่ปีสองเรียกให้มาฟังการอธิบายที่ชวนให้ตกใจ ในภาระหน้าที่นี้
“คนดูแลเดือน คือ ประมาณเป็นพี่เลี้ยงให้เดือนอ่ะน้อง แบบวันประกวดและวันซ้อม หยิบจับของดูแลอาหารการกิน และอาจจะต้องช่วยเดือนในการแสดงความสามารถพิเศษ"
"แต่ก็จะมีพวกพี่ปีสองเป็นคนประสานหลักๆ อยู่แล้ว แต่พี่แค่อยากให้เพื่อนของข้าวมาดูแลจะสะดวกและสนิทใจกว่าไง”
พอผมกับไอ้ตาวได้ฟังคำอธิบายจากปากพี่ๆ เขาแล้ว แทบจะลากไอ้ตัวดีมารุมกระทืบ เพราะหน้าที่ที่ได้รับผมกับไอ้ตาวไม่เคยมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนเลย ลำพังถ้าให้ไปนั่งเป็นเพื่อนมันตอนซ้อมหรือดูแลให้มันมีชีวิตรอดถึงวันประกวดก็พอจะทำได้อยู่
ทางด้านไอ้ข้าวเอง มันก็มาอ้อนวอนให้ไปเป็นเพื่อนมัน ตอนซ้อมหรือทำกิจกรรมกับทางมหาวิทยาลัยให้หน่อย ซึ่งผมและไอ้ตาวก็คงจะปฏิเสธอะไรไม่ได้ เพราะเพื่อนทั้งคน!
แต่ไอ้เรื่องการแสดงอะไรนั้น ผมกับไอ้ตาวคงต้องไปอธิบายให้พี่ๆ เขาเข้าใจอีกทีหนึ่ง ว่าพวกผมไม่มีสมรรถภาพ หรือความสามารถใดๆ เลยที่จะไปช่วยไอ้ข้าวเรียกคะแนนจากกรรมการได้ แต่ถ้าให้ช่วยยกของแบกหามนี้
“ผมเต็มที่! ว่ามาเลย” 555
//////////////
แม้จะเพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่กี่สัปดาห์ แต่การเรียนและกิจกรรมต่างๆ ในรั้วมหาลัยกลับทำให้ผมรู้สึกสนุกและเกิดสีสันต่างๆ ในชีวิต (ถ้าไม่นับการที่จะต้องไปดูแลไอ้ข้าว) การเรียนการทำงาน การจัดการบริหารเรื่องต่างๆ ที่เข้ามา รวมทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตของผม
ตอนนี้พวกผมกำลังจะเลิกเรียนคาบบ่าย ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายของวันศุกร์แล้ว
“เห้ย ไอ้ตาว ไอ้ข้าว เลิกเรียนพวกมึงจะไปสนามบินเลยใช่ป่ะ”
“ใช่ว่ะ กูกับไอ้ข้าวจะนั่งแท็กซี่ไปสนามบินเลย ไฟลท์เวลาใกล้ๆ กัน อีกอย่างพวกกูก็กลัวตกเครื่อง”
“อ๋อ เดินทางปลอดภัยนะเว้ย อย่าลืมของฝากด้วย 555”
แล้วพวกผมก็เก็บข้าวของเดินออกมาจากห้องเรียนเลทเชอร์มายังบริเวณหน้ามหาลัย แล้วก็ส่งไอ้ข้าวและไอ้ตาวขึ้นแท็กซี่ไปสนามบิน ก็เพราะช่วงสุดสัปดาห์นี้ เสาร์-จันทร์ เป็นวันหยุดชดเชยทางราชการพอดี พวกมันเลยถือโอกาสกลับบ้าน
แต่สำหรับผม เมื่อบ้านอยู่ที่นี้ก็เลยไม่ได้ไปไหน แผนจะไปเที่ยวก็ไม่มี อย่างมากที่สุดคงนัดพวกไอ้ไทม์และเพื่อนสมัยมัธยมไปนั่งกินบุปเฟต์สักวัน ถือเป็นการคืนสู่เหย้า
และต้องทำหน้าที่ลูกกตัญญูให้เต็มที่อีกครั้ง ด้วยการช่วยแม่ขายโจ๊ก
แต่วันศุกร์ที่แสนสุขของผมวันนี้
ผมมีนัดกับพี่นานาอีกแล้ว แต่จะมีพี่แปลนสายรหัสปี 3 อีกคนด้วย เพราะพี่แปลนนัดเลี้ยงสายที่ร้านขนมและเครื่องดื่มแห่งหนึ่งใกล้ๆ มหาลัย ซึ่งเป็นร้านที่พี่นานายังไม่เคยพาผมไป 555
เป็นน้องรหัสสายนี้มันจะเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักหน่อยๆ ก็เพราะเหตุนี้แหล่ะครับ แต่คนอย่างไอ้เหมาก็เต็มใจ
หลังจากการเลี้ยงสายรหัสโดยพี่แปลนเสร็จแล้ว ผมก็ร่ำลาพี่นานาและพี่แปลนเพื่อที่จะกลับบ้าน แต่โชคชะตา ความบังเอิญ หรือพรหมลิขิตอย่างไรก็ไม่ทราบ
เพราะขณะนี้เหลือเพียงพี่นานาที่กำลังรอรถมารับ และผมที่ยืนรอเป็นเพื่อนพี่นานาอีกที ในฐานะรุ่นน้องที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งก็เป็นห่วงสวัสดิภาพของพี่รหัสที่สวยน่ารักเป็นธรรมดา
และถ้าส่งพี่นานาขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ก็คงจะเดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายอย่างปกติที่เคยทำ
ระหว่างที่รอรถมารับ ผมกับพี่นานาก็คุยแลกเปลี่ยนชีวิตการเรียน และพูดคุยไร้สาระกันไปพลาง สักพักก็มีไลน์เข้ามือถือพี่นานา
“น้องชายพี่ไลน์มาบอกว่าติดไฟแดงตรงแยกด้านหน้าอยู่ ใกล้จะถึงแล้ว”
“จริงๆ พี่ว่าให้น้องชายพี่ขับรถไปส่งเหมาที่บ้านก็ได้นะ เพราะไอ้ภูมิน้องชายพี่ มันก็ว่างอยู่แล้วแหล่ะ”
ห่ะ!!! “ภูมิ”
น้องชายที่จะมารับพี่นานา เอ่อ...คงแค่คนชื่อซ้ำกันล่ะมั้ง ใครๆ ในโลกนี้ก็ชื่อภูมิกันได้ทั้งนั้น
แต่แล้วฝันในทุ่งลาเวนเดอร์ของไอ้เหมาก็สลายไปในพริบตา เพราะรถเก๋งคันสวยสีดำกำลังตีไฟเลี้ยวเข้ามาจอดริมฟุตบาท ซึ่งไม่รู้ว่าทำไม
“ผมสามารถจดจำลักษณะรถ และป้ายทะเบียนของมันได้ขึ้นใจ”
แม้ว่าใครๆ ในโลกนี้จะสามารถชื่อ “ภูมิ” ได้ทั้งนั้น แต่ไอ้คนที่ขับรถคันนี้ ก็ไม่ใช่ภูมิไหนทั้งนั้นที่กำลังโผล่ใบหน้าและยกยิ้มมุมปากผ่านกระจกรถข้างคนขับที่ถูกเลื่อนต่ำลง พร้อมเอ่ยเรียกพี่นานา
“ไอ้เชี่ยภูมิ” นั่นเอง
คุณเชื่อไหมครับว่าสุดท้ายแล้ว
ตอนนี้ผมนั่งอยู่เบาะหน้าคนขับของรถไอ้เอี่ยภูมิ “เป็นครั้งที่ 2” แล้ว และเป็นทั้งสองครั้งที่ผมไม่เต็มใจและไม่อยากจะมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของมันเลย แต่ครั้งนี้ต้องยอม เพราะลูกตื้อและติดเกรงใจพี่นานา
และ ไอ้เอี่ยภูมิ ยังกล่าวเสริมพี่นานาไปอีกด้วยว่า
“เห้ยนาย! ไม่ต้องเกรงใจเราหรอก รุ่นน้องพี่นานาก็เป็นเหมือนเพื่อนของเราคนหนึ่ง เรียนมอเดียวกันด้วย เราเต็มใจ!”
พร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจของมัน ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ได้ ติดเกรงใจพี่นานา และก็โดนคาดโทษจากป๊า แม่ และเจ๊หลินอยู่
ฮือๆ ช่วงนี้ชีวิตของไอ้เหมาโดนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรกป่ะว่ะ สงสัยจะต้องเพิ่มตารางนัดเพื่อน นอกจากไปกินชาบูบุฟเฟตืแล้ว คงต้องนัดพวกผมพาผมไปทำบุญปล่อยนก ปล่อยปลาด้วย
ไอ้ไทม์! ช่วยกูด้วย T-T