ตอนที่ 8 : พนัน
[มุมของปกติ]
คุณ...เคยรู้สึกสนใจใครสักคนหนึ่งที่คุณไม่รู้จักไหมครับ สนใจแบบว่า...ทำไมเราถึงเจอคนๆ นี้บ่อยจัง ไม่ว่าคุณจะไปทำอะไรที่ไหน ไปกินข้าว ไปเดินห้าง ไปกับเพื่อน หรือแม้กระทั่งไปเล่นกีฬา คุณก็ยังเจอคนๆ นี้อยู่ได้ เจอซ้ำแล้วซ้ำอีก เห็นคนๆ นี้เข้ามาอยู่ในสายตาตลอด แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าแค่ความสนใจที่ว่า ไอ้คนๆ นี้มันหน้าตาน่ารักดี เวลามันยิ้มแล้วดูน่ามองชะมัด คือมองได้ตลอดนะครับ ถึงจะไม่ได้คิดอะไรแต่ก็รู้สึกอยากมอง ทั้งๆ ที่ก็เป็น ‘ผู้ชาย’ เหมือนกัน ยิ่งบังเอิญเจอกันหลายครั้ง ก็ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มคนๆ นี้บ่อยยิ่งขึ้น และกลายเป็นความสนใจขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว
เกือบๆ สามปีที่แล้ว...
ผมไปดูเพื่อนผมแข่งกีฬาแบดมินตันที่สนามแบดแห่งหนึ่ง เป็นการแข่งขันที่ไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ก็มีคนสมัครเข้าร่วมรายการนี้ค่อนข้างเยอะ ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มตีแบดเองครับ ยังตีไม่เก่งอะไรเลย แค่เห็นเพื่อนตีก็อยากตีบ้าง พอเพื่อนมันลงแข่งผมก็เลยมาดู แต่ก็เพิ่งมารู้ว่าการแข่งนั้นใช้เวลาค่อนข้างนาน(มาก) ตั้งแต่แมทช์ที่ 1 ... 2 กว่าจะเริ่มกว่าจะจบทีละแมทช์ ผมเดินไปหาอะไรกินก็แล้ว สัปหงกก็แล้ว สไลด์โทรศัพท์จนแบดหมดไปครึ่งหนึ่งก็แล้ว ก็ยังไม่ถึงเวลาลงแข่งแมทช์ที่ 3 สักที (การแข่งขันรอบแรกจะมีทั้งหมด 3 แมทช์) ผมเลยเดินออกมาสูดหายใจใต้โรงยิมเพื่อรอเวลา ค่อยรู้สึกโล่งหน่อยครับ เพราะในโรงยิมนี่โคตรจะร้อน รู้งี้นอนตากแอร์อยู่บ้านดีกว่า
ระหว่างนั้นผมเห็นคนๆ หนึ่งเดินคุยโทรศัพท์ลงมาจากบนโรงยิม เป็นผู้ชายรูปร่างไม่สูงไม่เตี้ย ดูตัวเล็กกว่าผมหน่อย ผิวออกแทนนิดๆ ตากลมๆ ตอนคุยโทรศัพท์ไอ้หมอนี่คุยไปก็ยิ้มไป เวลายิ้มนี่จะเห็นลักยิ้มบุ๋มเข้าไปที่ข้างแก้ม ดูน่ารักดีแฮะ ขนาดเป็นผู้ชายด้วยกันยังต้องชมเลย เรานั่งอยู่ไม่ไกลกัน เพราะที่นั่งใต้โรงยิมนี้ถูกจัดไว้ให้อยู่โซนเดียว นอกนั้นจะเป็นที่จอดรถ ทำให้ผมได้ยินภาษาเหนือที่เป็นบทสนทนากับคนในโทรศัพท์ ฟังแทบไม่ออกเลยครับ ผมได้แต่มองจากด้านหลัง เสื้อแบดที่มันใส่อยู่เป็นสีดำ ผมยังจำได้เลยว่าด้านหลังเสื้อสกรีนเป็นชื่อตัวสีชมพูว่า PHUPINK หะ!! คนอะไรวะชื่อพูพิ้ง นี่เอาน่ารักหรือเอาฮากันแน่ แต่ถ้าจะเอาน่ารัก ผมว่า...ก็น่ารักอยู่นะครับ
หลังจากนั้น ผมก็กลับขึ้นไปดูเพื่อนผมแข่งในแมทช์ที่ 3 ปรากฏว่าคู่แข่งของเพื่อนผมคือคนที่ผมได้เจอข้างล่างเมื่อกี้นี่เอง แถมมันกับพาร์ทเนอร์ยังเป็นที่สนใจของคนที่มาร่วมการแข่งขันในวันนี้ซะด้วย เพราะหน้าตาดูโดดเด่นกว่านักกีฬาคนอื่นๆ ที่มาแข่งวันนี้แทบจะทุกคน ไอ้คนตัวสูงนั่นก็อย่างกับดารา สาวๆ นี่ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้กันเป็นแถว ส่วนไอ้คนผิวแทนตัวเล็กกว่านี่ก็ทำให้ผู้ชายหลายๆ คนมายืนล้อมมองกันอยู่ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว...
ผมแทบไม่รู้ตัวเลยครับว่าระหว่างแข่ง ผมแทบไม่ได้หันไปเชียร์เพื่อนผมเลยด้วยซ้ำ เพราะสายตาผมมองไปที่เจ้าของดวงตากลมๆ กับรอยยิ้มสวยๆ นี่อยู่เกือบจะตลอด มันไม่ได้เล่นแบดมินตันเก่งอะไรมากมายเลยด้วย (แต่คิดว่าน่าจะเก่งกว่าผมในตอนนั้น) แถมยังแพ้เพื่อนผมอีกต่างหาก แต่ก็เป็นการพ่ายแพ้ที่ดูไม่ได้น่าเสียใจอะไร แต้มค่อนข้างสูสี ขนาดว่ามันแพ้มันก็ยังยิ้มแล้วยิ้มอีก
‘มาดูกูแข่ง ก็เชียร์กูบ้างครับเพื่อน สายตานี่มองแต่ฝั่งตรงข้ามกูตลอดเลยนะ’ เพื่อนผมทักขึ้นมาหลังจากที่มันเพิ่มเก็บชัยชนะในแมทช์เมื่อสักครู่นี้มาหมาดๆ
‘หมายถึงไรของมึงวะ’
‘เอ้า ยังไม่รู้ตัวอีกนะมึง กูเห็นมึงเอาแต่มองไอ้คนตัวเล็กฝั่งตรงข้ามกูไม่วางสายตาเลย นี่ขนาดพวกกูแข่งอยู่แท้’ เพื่อนอีกคนที่ลงแข่งด้วยกันเริ่มช่วยกันขยี้ผมซะแล้ว
‘มองเหี้ยไร ป่าว กูก็ดูแข่งแบด ก็ต้องมองไปทั้งสนามป่าววะ’
‘เหรอออ มองไปทั้งสนาม หรือมองแต่ฝั่งตรงข้ามกันแน่วะ เอาดีๆ’
‘เออๆ ช่างแม่ง พวกมึงชนะแล้วจะไปสนใจอะไรกันวะ คิดอะไรไปเรื่อย กูจะไปมองผู้ชายทำห่าไร’
‘เออๆ ไม่มองก็ไม่มอง กูเชื่อๆ’ เพื่อนผมสองคนมันหันไปหัวเราะกันเหมือนกับไม่เชื่อผมจริงๆ อย่างที่มันพูด แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็ผมไม่ได้มองจริงๆ นี่หว่า
หลังจากนั้น เพื่อนผมก็มีแมทช์ที่ต้องแข่งต่ออีก เพราะรอบแรกมันทำคะแนนได้ดี ผ่านเข้ามาสู่รอบที่ 2 ซึ่งแมทช์นี้ ถ้าแพ้คือกลับบ้านเลย ถ้าชนะก็เข้าไปสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ผมอาสาเดินไปซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่มาให้พวกมันทั้งสองคนก่อนจะเริ่มแข่ง พอผมเดินไปถึงร้านขายน้ำ ผมก็ได้เห็นไอ้สองคนที่เพิ่งจะแข่งกับเพื่อนผมไปแมทช์ที่แล้วมันยืนคุยกันอยู่ตรงข้างร้านน้ำพอดี
‘ลุงครับ สปอนเซอร์สองขวด แล้วก็ชาเขียนเย็นแก้วนึงครับ’ ผมสั่งน้ำไปแบบไม่ได้สนใจอะไรสองคนนั้น
‘ไม่ต้องคิดมากหรอกมึง เราทำเต็มที่แล้ว ไว้แข่งครั้งหน้าค่อยเอาใหม่ก็ได้’ ไอ้คนตัวสูงกว่าทำท่าเหมือนกำลังปลอบใจเจ้าของดวงตากลมๆ ที่เมื่อกี้นี้ผมยังเห็นมันยิ้มๆ อยู่เลย แต่ตอนนี้ดูมันเหมือนจะแดงๆ นิดๆ ซะแล้ว
‘กูแม่งไม่น่าพลาดเองหลายแต้มเลย ถ้าเล่นได้ดีกว่านี้ก็คงไม่แพ้ว่ะ เห้อออ...’ ประโยคที่ออกมาจากปากไอ้คนตัวเล็ก ทำให้ผมพอรับรู้อารมณ์ผิดหวังได้ชัดเจน ผมเลยแอบหันไปมองนิดๆ อยากรู้ว่ามันเป็นอะไรหรือเปล่า
‘เอาน่า ช่างแม่ง กูก็เล่นเสียไม่แพ้มึง แต่เราก็ไม่ได้เล่นแย่ แค่ฝ่ายตรงข้ามพลาดน้อยกว่าเรา เอาน่าไอ้ภู ปกติมึงไม่เคยมานั่งนอยด์แบบนี้นี่หว่า ไม่ได้แพ้ครั้งแรกซะหน่อยนะเว้ย 555’ อ่อ ชื่อภูนี่เอง ถึงว่าสกรีนชื่อด้านหลังเสื้อว่าพูพิ้ง นี่มันเสียใจที่มันแพ้ถึงขนาดเพื่อนต้องมายืนปลอบใจกันยืดยาวขนาดนี้เลยหรือไงวะ
‘กูรู้เว้ย ว่าครั้งหน้าก็ยังมี แต่ก่อนแข่งกูเพิ่งจะบอกแม่กูไปเองว่าจะเอาถ้วยไปฝากให้ได้เป็นของขวัญวันเกิด นี่เป็นปีแรกเลยนะที่กูไม่ได้กลับไปฉลองวันเกิดแม่กู เพราะกูเลือกที่จะแข่งแบด แล้วแม่งไม่ได้อะไรกลับไปให้แม่กูดีใจเลยสักอย่าง กูก็เลยเสียดายที่แม่งตีเสียหลายแต้มจนต้องแพ้นี่ไง’
‘เอาน่ามึง กีฬาก็คือกีฬาป่าววะ มีแพ้มีชนะ กูรู้ว่ามึงรักแบดมินตัน แต่มึงต้องแยกแยะหน่อย เราไม่ใช่นักกีฬามืออาชีพ เราเล่นเพราะเราสนุก แม่มึงต้องเข้าใจมึงอยู่แล้ว ตีไปหัวเราะไปเหมาะกับมึงมากกว่าตีแล้วมานั่งนอยด์แบบนี้นะเว้ย’
‘ไอ้ห่าปัง กูไม่ใช่คนบ้า จะได้ตีไปหัวเราะไป มึงนี่นะ’ ดูเหมือนว่าไอ้คนชื่อพูพิ้งจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว สังเกตจากลักยิ้มที่เริ่มผุดขึ้นมาบนสองข้างแก้ม
‘เออ ต้องแบบนี้ดิวะมึง เลิกคิดเยอะ ป่ะ หาไรกินกัน เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง เรื่องแบดแพ้ แต่เรื่องกินไม่แพ้เว้ย’
พูดจบทั้งสองคนมันก็เดินไปทางลานจอดรถ ผมยืนฟังมันคุยกันจนจบ ไม่รู้จะไปอยากรู้อะไรกับเค้าด้วย แต่เท่าที่ผมได้ยิน (เผือก) เมื่อกี้ ไอ้พูพิ้งอะไรนี่น่าจะชอบตีแบดมากเลย ถึงดูเซ็งขนาดนั้น ผมคิดถึงเรื่องเมื่อกี้อยู่ตลอดทางที่ผมเดินกลับมาหาเพื่อนผม จริงๆ ก็ไม่ได้สนใจนะครับ แค่มันยังติดอยู่ในหัวเฉยๆ
การแข่งขันวันนี้ สรุปว่าเพื่อนผมได้ที่ 4 ไปแพ้เอาแมทช์ชิงที่ 3 แต่มันสองคนก็ดูดีใจมากเลยนะครับ จากที่ไม่เคยได้รางวัลอะไรมาก่อน และก็แข่งกันมาหลายรายการ นี่เพิ่งเป็นรายการแรกที่มันได้เหรียญรางวัลกลับบ้าน (การแข่งแบดจะมีรางวัลให้สำหรับที่ 1 – 4) ผมเห็นมันตั้งใจและพยายามกันมาก นัดซ้อมกันตลอดทุกอาทิตย์ ตอนแข่งนี่ผมส่งเสียงเชียร์มันแบบไม่สนใจใคร อยากให้เพื่อนเราชนะนี่ครับ เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มรู้สึกสนุกกับกีฬานี้แบบจริงๆ จังๆ ผมเริ่มอยากตีแบดให้เก่งขึ้นบ้าง จากแค่คนที่มาตีแบดเล่นๆ ตามประสาเพื่อนชวน ไม่มีอะไรจะทำก็เลยมา กีฬาอื่นก็ไม่ค่อยได้เล่น แต่ตอนนี้ ผมเริ่มอยากเข้าใจความรู้สึกของคนที่รักในบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาบ้าง อยากลองมีโมเมนต์ที่ได้ยืนรับเหรียญ หรือได้กระโดดตบสูงๆ อย่างที่เห็นคนอื่นเค้าทำได้บ้างแล้วล่ะครับ
วันต่อมา ระหว่างที่ผมนั่งทานข้าวเช้ากับป๊าม๊า อยู่ๆ ป๊าก็บอกว่าอยากจะให้ผมไปช่วยดูร้านวันเสาร์ อาทิตย์ เห็นว่าผมว่าง ไม่มีเรียน เลยอยากจะให้ลองศึกษากิจการค้าส่งของที่บ้านไปในตัวด้วย แต่ด้วยความที่ผมขี้เกียจ ไม่อยากจะต้องทำอะไรในวันหยุด ผมเลยบอกป๊าไปว่าผมไปสมัครเรียนตีแบดไว้ กว่าป๊าจะยอมเชื่อว่าทำไมผมถึงต้องเรียนตีแบด ก็ต้องชักแม่น้ำเกือบจะสิบสาย และเพื่อความสมจริง ผมก็ต้องให้ป๊าจ่ายค่าเรียนให้ด้วยครับ (เนียนโคตร)
หลังจากนั้นผมก็เริ่มเรียนตีแบดมาตลอด ชวนเพื่อนผมที่มันเพิ่งไปแข่งได้ที่ 4 มาเรียนกับผมด้วย แรกๆ ก็ไม่ได้อยากเรียนเท่าไร เพราะคิดว่าทำเพื่อให้ไม่ต้องไปช่วยงานป๊า ก็เลยมีโดดบ้าง อู้บ้าง เพราะเวลาเรียนมันจะเหนื่อยมาก เรียกได้ว่า โคตรรรรรเหนื่อยเลยจะดีกว่าครับ แต่พอเรียนไปเรื่อยๆ ได้เห็นพัฒนาการของตัวเอง ได้รับคำชมจากเพื่อนๆ ที่ตีแบดด้วยกัน ก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกสนุกและหลงรักในกีฬาแบดมินตันมากขึ้น จากนั้นผมก็เรียนมาเรื่อยๆ เรียนจนฝีมือตีแบดผมพัฒนามาไกลพอสมควร(วัดจากเวลาที่ผมไปตีแบดตามสนามต่างๆ แล้วมีผลงานดีตลอด ไปแข่งก็ได้ถ้วยรางวัลติดมือมาบ้าง) และจากวันนั้น ผมก็ยังตีแบดมาจนถึงทุกวันนี้ครับ ถ้าจะให้บอกว่าตั้งแต่ที่ผมไปดูเพื่อนแข่งแบดวันนั้น แล้วก็...ที่ได้ยินไอ้พูพิ้งนั่นมันคุยกับเพื่อน คือส่วนหนึ่งในแรงบันดาลใจของผม ก็ไม่ผิดหรอกครับ
หนึ่งปีหลังจากนั้น...
หลังจากที่เรียนแบดมาได้เกือบปี ผมก็ได้ไปสมัครเข้าแข่งขันแบดมินตันรายการหนึ่ง และด้วยความบังเอิญ ก็ทำให้ผมได้มีโอกาสเจอกับเจ้าของลักยิ้มคนเดิมที่เคยเจอกันเมื่อปีก่อนอีกครั้ง มาคราวนี้มันดูตัวโตขึ้นนิดๆ แบบไม่ได้หมายความว่าสูงขึ้นนะครับ แต่ร่างกายมันดูมีกล้ามเนื้อมากขึ้น จากเท่าที่จำได้ว่ามันเคยดูตัวผอมๆ กว่านี้ สงสัยกีฬาอาจจะช่วยพัฒนาร่างกายเราไปด้วยในตัว ดูอย่างผมดิครับ กล้ามแขนก็เริ่มมาแบบไม่ต้องยกเวทเลย การเจอกันครั้งนี้ ผมกับมันก็ยังไม่ได้รู้จักกันหรอกครับ เราเดินสวนกันหลายรอบ เพราะมาแข่งแบดครั้งนึงต้องใช้เวลาทั้งวัน ผมเลือกที่จะนั่งอยู่ไม่ไกลจากมัน ทำให้ผมได้เห็นมันเดินไปเดินมา เห็นทั้งหน้ายิ้มหน้าบึ้งของมัน เดี๋ยวก็หลับเดี๋ยวก็ตื่นขึ้นมากิน เราลงแข่งคนละระดับมือกัน (รู้สึกว่าตอนนั้นผมจะลงแข่งระดับที่หนักกว่าไอ้พูพิ้งแล้วครับ) เลยไม่ได้เจอกันในสนาม มองๆ มันไปก็เพลินดีนะครับ มันเป็นผู้ชายที่เห็นแล้วรู้สึกว่าน่ารัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชอบหรืออะไรหรอก
การแข่งขันครั้งนี้ ผมลงแข่งคู่กับเพื่อนผมอีกคนหนึ่งที่เรียนแบดมาด้วยกัน ระหว่างรอแข่งนัดสุดท้าย เพื่อนผมมันก็พูดขึ้น
‘ไอ้ปก มึงจำไอ้คนนั้นได้ป่าววะ ที่หน้าตามันน่ารักๆ อ่ะ’
‘ใครวะ ที่ว่าหน้าตาน่ารักของมึงอ่ะ’
‘ก็ไอ้คนที่มึงชอบมอง มองจนลืมเชียร์เพื่อนอ่ะ’
‘มึงพูดไรวะ กูไม่ได้มองใครทั้งนั้นอ่ะ’ จริงๆ ผมรู้ครับว่าเพื่อนผมมันหมายถึงไอ้พูพิ้ง แต่ผมว่าผมแกล้งตีมึนดีกว่า เพราะถ้ายอมรับมันจะหาว่าผมไปสนใจผู้ชายซะเปล่าๆ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย
‘เออๆ ไม่มองก็ไม่มอง เมื่อกี้กูเห็นมันแข่งอยู่ตรงคอร์ท 7 ดูเป็นรองเยอะเชียว ฝั่งตรงข้ามแม่งตบเอาๆ เห็นหน้าตาน่ารักๆ ของมันเวลาทำหน้าหงอยแล้ว กูนี่ยังอยากจะเดินเข้าไปปลอบมันเลย ผู้ชายห่าไรวะ เห็นแล้วรู้สึกตื่นเต้นอย่างกับเจอสาวๆ’
‘จะแพ้อีกหรือเปล่าวะเนี่ย...’ ผมเอ่ยปากออกมาเบาๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ
‘หะ...มึงว่าไงนะไอ้ปก’
‘ป่าวๆ กูหิวน้ำ เดี๋ยวเดินไปซื้อน้ำก่อนนะ’ พูดจบผมก็เดินออกมาทันที จริงๆ ไม่ได้อยากกินน้ำ แต่อยากจะแว้บไปสังเกตการณ์สักหน่อย ว่าไอ้พูพิ้งมันเป็นไงบ้าง
ผมเดินมาถึงสนามที่ 7 เป็นจังหวะที่เกมจบลงพอดี
‘ไม่เป็นไรเว้ย อย่างน้อยก็เสมอ ได้มาแต้มนึง โอเคแล้ว’ ไอ้คนตัวสูงกว่าเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้เจ้าของลักยิ้มนั้นพูดขึ้น
‘เออ เต็มที่แล้ว ฝ่ายตรงข้ามแม่งโคตรหนัก รวมคะแนนแล้วเราน่าจะเข้ารอบถัดไปแหละ’ พูดจบทั้งสองคนก็แปะมือกันเสียงดัง ผมได้เห็นรอยยิ้มของไอ้พูพิ้งอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เห็นมาตั้งเกือบปี รอยยิ้มของมันผมคิดว่าน่าจะทำให้คนที่ได้เห็นทุกคน อยากจะเข้าไปขยี้หัวมันให้หมายหมั่นเขี้ยวเสียจริงๆ (รวมทั้งตัวผมเองด้วยหรือเปล่าวะ)
ผมเดินกลับไปยังที่นั่ง ด้วยความรู้สึกดีใจนิดๆ สาเหตุน่าจะมาจากที่ได้รู้ว่าไอ้พูพิ้งไม่ได้แพ้ ผมจะไปเอาใจช่วยมันทำไมก็ไม่รู้นะครับ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเอง
‘กินน้ำอิ่มเลยไหมครับไอ้ปก’ เสียงเพื่อนผมทักขึ้นมา
‘เออะ...เออ ทำไมวะ’
‘เจ้าของร้านน้ำที่นี่เค้าใจดีเนอะ ไม่ต้องจ่ายตังค์ก็ได้กินน้ำฟรี กินมากี่ขวดวะ’ ไอ้เพื่อนผมมันเริ่มพูดไปหัวเราะไป ‘เห็นกระเป๋าตังค์มึงวางแหมะอยู่ข้างกระเป๋าแบดมึงอ่ะ ไม่รู้ว่าไปซื้อน้ำจริงๆ หรือแอบไปดูใครมาหรือเปล่าวะ ฮ่าๆๆๆๆ’ รอบนี้มันสองคนหัวเราะร่วนเลยครับ ผมแม่งพลาดจริงๆ บอกจะไปซื้อน้ำแล้วไม่เนียน ดันลืมหยิบกระเป๋าตังค์ไปซะได้
‘ไปดูใครที่ไหนวะ ก็ไปกินน้ำฟรีตรงที่เค้าเตรียมไว้ให้ข้างสนามไง พวกมึงนี่ก็แซวกูจังเว้ย’ ผมทำท่าเซ็ง เนียนไปก่อนครับ แต่มันสองคนก็ยังหัวเราะกันไม่หยุด จะมาจับคู่ผมอะไรกับไอ้พูพิ้งนั่นกันนักหนาวะเนี่ย!!
ร้าน KFC ประมาณ 3 เดือนก่อน
ระหว่างที่ผมกำลังทานมื้อกลางวันอยู่ ผมก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงแก้วน้ำหล่นแตกดังลั่นร้าน ตามมาด้วยมือของใครสักคน ที่กระชากพนักเก้าอี้ผมจนแทบจะหงายหลัง ผมหันไปมองเจ้าของมือเรียวๆ กลายเป็นไอ้พูพิ้งเจ้าของลักยิ้มไปซะได้ มันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงวะเนี่ย แถมรอบตัวมันยังมีไก่ทอดตกกระจายไปทั่ว หน้ามันดูเหวอนิดๆ มันขอโทษผมแล้วก็รีบเดินออกไปจากร้านอย่างไว หลายๆ คนในร้านมองตาม รวมทั้งผมด้วย ผมหันกลับไปอีกฝั่ง เห็นผู้ชายล่ำๆ คนนึงกำลังเรียกพนักงานมาเก็บกวาดชิ้นไก่ทอด ไม่รู้ว่าใช่คนที่มีปัญหาอะไรกับไอ้พูพิ้งหรือเปล่า ผมก็ไม่ทันได้เห็น เหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นแค่แป้บเดียว แต่ก็ถือเป็นอีกครั้งที่ผมได้เจอกับมัน ตามันยังกลมๆ หน้ามันยังเนียนใสเหมือนที่ผมเคยเห็น ผมจำไม่ได้แล้วว่าไม่ได้เจอมันมานานแค่ไหน แต่ที่สำคัญ มันยังดูน่ารักเหมือนเดิมเลยแฮะ
หลังจากนั้นไม่นาน ที่สนามแบดมินตันแห่งหนึ่ง
วันนั้นผมแวะมาตีแบดที่สนามหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก แต่เป็นสนามที่ผมไม่ค่อยได้มา เพราะมันไกลจากบ้านพวกเพื่อนผม พวกมันตีกันอีกที่หนึ่ง ผมก็เลยต้องตามพวกมันไปด้วย ผมไม่ค่อยชอบไปตีแบดคนเดียวเท่าไร เพราะมีหลายครั้งที่มักจะโดนพี่ๆ ที่สนามแซวกันอยู่เรื่อย ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกัน บางคนมีถึงเนื้อถึงตัวด้วยนะครับ เข้ามาทำท่าควงแขนบ้าง มานั่งเบียดบ้าง ผมรู้ว่าพี่ๆ เค้าก็คงแกล้งเล่น แต่บางทีผมก็ทำหน้าไม่ค่อยจะถูก ไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่ได้ชอบนี่ครับ แต่ถ้าไปกับเพื่อน ไอ้พวกนี้มันก็จะคอยกันท่าให้ พวกมันชอบด่าผมว่าให้ไปลดความหล่อลงบ้าง พี่ๆ ที่ก๊วนเค้ามองผมจนไม่เป็นอันตีแบดกันอยู่แล้ว (ไอ้พวกนี้ก็โอเวอร์ซะเหลือเกิน)
แต่ที่ยอมมาคนเดียววันนี้ ก็เพราะเพื่อนผมมันติดธุระ มันเลยขอยกเลิกนัด ส่วนอีกคนก็ยกเลิกตาม แต่อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรจะทำ ก็เลยคิดว่าจะมาเล่นสักสองสามเกมค่อยกลับไปนอน หลังจากที่ตีเกมแรกเสร็จ ผมก็เดินมาซื้อน้ำ จากนั้นก็กำลังเดินกลับไปเพื่อนรอลงเกมถัดไป ใครคนหนึ่งก็เดินมาชนไหล่ผมเข้าอย่างจัง ไม่ได้แรงมาก แต่ก็ทำให้ผมต้องชะงัก ยังไม่ทันจะหันไปมองเต็มๆ ก็จำได้ทันทีว่านี่มันไอ้พูพิ้งนี่หว่า มันหันมามองผมพร้อมกับเหงื่อที่ท่วมไปทั้งตัว ส่วนผมหันไปมองมันแค่ปลายๆ ตาเท่านั้น ไม่เคยรู้ว่ามันก็ตีแบดที่นี่ด้วย ตอนนั้นผมอึ้งนิดๆ ที่ได้เจอมัน แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร ยังไม่ทันได้ยินด้วยซ้ำว่ามันพูดอะไรหรือเปล่า ผมก็เดินออกมาเลย ทำไมผมต้องไม่กล้ามองหน้ามันผมก็ไม่แน่ใจ ระหว่างเดินกลับมาผมก็เหลือบไปเห็นพาร์ทเนอร์ที่เคยแข่งแบดคู่กับไอ้พูพิ้งนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ ฝั่งนั้นเป็นก๊วนตีแบดที่ผมไม่เคยมาเล่นด้วยเลย ถ้าให้เดาก็คิดว่าสองคนนี้น่าจะตีแบดประจำกับที่นี่ ส่วนผมมาเล่นกับอีกก๊วนหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนาม นี่ก็ถือเป็นความบังเอิญอีกครั้งที่ทำให้ผมได้เจอกับมันอีกครั้ง (ขนาดเห็นแว้บๆ ก็ยังคิดว่า เจ้าของลักยิ้มนี่มันยังน่ารักเหมือนเดิม)
เมื่องานแข่งกีฬาบริษัทที่เพิ่งผ่านมา
ปีนี้ผมได้ร่วมแข่งกีฬาประจำปีของบริษัท หลังที่ผมเข้ามาทำงานได้ประมาณ 10 เดือน ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักกีฬาแบดมินตันคู่มือ 1 ของชมรม บริษัทผมเป็นบริษัทในเครือของบริษัทแม่อีกที ผมสมัครเข้ามาทำงานที่พร้อมกับเพื่อนตีแบดของผม แต่มันได้งานในบริษัทในเครืออีกที่หนึ่ง ทำให้ผมต้องเป็นทีมฝั่งตรงข้ามกับมัน (กีฬาจะแบ่งออกเป็น 4 สี แข่งแบบพบกันหมด) ได้ข่าวมาว่า มันก็ถูกวางให้เป็นคู่มือ 1 ของสีเช่นกัน (ผมอยู่สีชมพู มันอยู่สีเขียว) ชมรมแบดของบริษัทผมค่อนข้างซ้อมหนักเลยครับ มีการซื้อตัวนักกีฬาระดับจังหวัดมาร่วมแข่งด้วย ตอนนี้ฝีมือผมก็ถือว่าเล่นได้สบายไม่แพ้ใครง่ายๆ แล้วล่ะครับ อาจจะยังด้อยกว่าเพื่อนผมนิดหน่อย เพราะมันเริ่มตีมาก่อนผม แถมเรายังเรียนแบดมาด้วยกันเป็นเวลา 2 ปีเห็นจะได้ ถ้าได้เจอกันต้องมันแน่นอนครับ
พอวันแข่งกีฬามาถึง ผมนัดกับเพื่อนเพื่อไปถึงสนามกีฬาตอนเช้าหน่อย จะได้ไปซ้อมล่วงหน้ากันก่อน เพราะถ้าคนเยอะแล้วเราจะไม่ได้วอร์มกันอีกเลย ประมาณเจ็ดโมงครึ่งตอนผมไปถึง คนก็ยังมากันน้อย เพราะการแข่งขันจะเริ่มตอน 9 โมง ผมเริ่มซ้อมกับเพื่อนจนได้แรงเลยหยุดพัก อีกไม่นานก็จะเริ่มแข่งขันแล้ว ตอนนี้ทั้งตัวมีแต่เหงื่อ เลยแยกตัวกันไปอาบน้ำก่อนสักรอบหนึ่ง หลังจากทำธุระเสร็จก็เดินมาที่หน้ากระจกเพื่อเช็คสภาพร่างกายสักหน่อย ผมเลือกใส่เสื้อสีชมพูประจำสีที่ชมรมแจกให้ไว้เลย จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ระหว่างที่ผมยังยืนอยู่หน้ากระจกนั้น สายตาผมก็ดันเหลือบไปเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ แต่ดันกลายเป็นคนที่ผมคุ้นตาไปซะได้ มันคือ...ไอ้พูพิ้ง !!
นี่มันมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย แต่ก็เดาไม่น่ายาก ถ้ามันใส่ชุดกีฬาแล้วมาอยู่ในวันแข่งกีฬาบริษัทประจำปีแบบนี้ มันต้องทำงานที่บริษัทเดียวกับผมแน่นอน แต่น่าจะอยู่บริษัทในเครือที่อื่น หรือไม่ก็สำนักงานใหญ่ เพราะผมไม่เคยเจอมันเลย ตอนนี้ผมอึ้งนิดๆ ครับ แต่ผมเก็บอาการไว้ทัน เลยรีบหลบสายตาจากมัน ระหว่างนั้น ผมกลับรู้สึกได้ว่า เจ้าของสายตาด้านข้างนี้มองมาทางผมแทน ผมยืนนิ่งๆ ปล่อยให้น้ำจากก๊อกไหลผ่านมือ แล้วค่อยๆ มองมันผ่านกระจก
‘หน้ากูมีอะไรติดหรือไง’ ผมระงับความอึ้งของตัวเอง แล้วถามมันก่อน เพราะผมเห็นตากลมๆ ของมันจ้องค้างอยู่ที่หน้าผมอยู่สักแป้บหนึ่งแล้ว ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี เลยใช้คำพูดแบบปกติที่ผมพูดกับเพื่อนของผม ซึ่งมันก็ดูไม่ค่อยสุภาพนัก
‘…’
อ้าว มันไม่ตอบด้วยแฮะ แถมสายตามันยังคงมองมาที่หน้าผมไม่เลิก
‘เห้ย ได้ยินป้ะเนี่ย’ ผมย้ำถามมันอีกครั้ง ไอ้พูพิ้งมันเป็นอะไรวะครับ
‘หะ ห๊ะ ว่าไง’ สงสัยสติมันจะเริ่มกลับมาละครับ ถึงตอบคำถามผมได้ แต่จะว่าคำตอบก็คงไม่ใช่ มันเป็นคำที่ถามผมกลับต่างหาก ไอ้น่ารักนี่กวนผมซะแล้ว
‘ก็เห็นยืนจ้องหน้ากูอยู่ มีอะไรหรือเปล่า หน้ากูมีอะไรติดอยู่หรือไง’ ผมทำตาหรี่ๆ รอคำตอบจากมัน เห็นมันอึ้งๆ ผมก็เลยอยากจะแกล้งมัน เวลามองหน้ามันตรงๆ นี่ถึงได้เห็นว่า หน้ามันโคตรเนียนเลยครับ ตากลมๆ ของมันนี่ทำให้มันดูน่ารักกว่าเพศชายคนอื่นๆ ที่ผมเคยเจอ (จริงๆ ผมก็ไม่ควรคิดว่าผู้ชายน่ารัก ถูกต้องไหมครับ)
‘ปะ เปล่า ไม่มีไร โทษที’ ไอ้พูพิ้งตอบผมแบบตะกุกตะกัก แล้วก็ก้มหน้าก้มตาล้างมือ ผมยังคงมองหน้ามันอยู่อย่างนั้น แต่ก็แค่สามวินาทีเห็นจะได้ ก่อนที่ผมจะเดินออกมา ผมรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ นะครับที่ได้เจอหน้ามัน แต่จะตื่นเต้นทำไมเนี่ย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ
การแข่งแบดมินตันวันนี้ ผมเอาชนะคู่แข่งที่ผ่านมาได้ไม่ยาก จนกระทั่งแมทช์สุดท้าย ที่เป็นรอบชิงชนะเลิศ ผมต้องมาแข่งกับเพื่อนของผมเองที่อยู่ทีมสีเขียว และที่สำคัญ ทีมผมก็คาดหวังกับคู่ของผมมากๆ เพราะสีชมพูเป็นแชมป์เก่าถึง 3 สมัย แล้วข่าวที่ว่านักกีฬาทีมสีเขียวมาแรงมากปีนี้ ก็เป็นที่โจษจันในชมรมผมเป็นอย่างมาก (ซึ่งนั่นก็คือเพื่อนผมเองครับ) แน่นอนว่าใครจะไปอยากเสียแชมป์ ไอ้ตัวผมนี่จะแพ้หรือชนะก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วครับ แค่อยากเล่นให้สนุกเท่านั้น
ระหว่างที่ผมกับพาร์ทเนอร์กำลังเตรียมตัวลงแข่ง ผมก็เห็นเพื่อนของผมมันเดินมาส่งซิกเรียกผมให้ออกไปคุยด้วย
‘เชี่ย ต้องมาแข่งกันเองซะงั้น 555’ เพื่อนผมทักขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
‘เออดิวะ สีกูแม่งก็โคตรกดดันกูเลยเนี่ย สงสัยกลัวเสียแชมป์’
‘แชมป์ไม่แชมป์ จริงๆ กูไม่ได้สนว่ะ กูก็อยากสนุกเหมือนมึง เอางี้ มาพนันกันดีมั้ย’ เพื่อนผมเริ่มหาอะไรพิเรนมาเล่นละครับ
‘พนันอะไรวะ’
‘ก็ไม่มีอะไร พนันกันสนุกๆ จะได้เล่นกันเต็มที่ กล้าป่าววววว...’ เพื่อนผมทำท่าล้อเลียน สงสัยมันรู้มั้งครับว่าผมไม่ชอบยอมแพ้ เลยกะว่าจะบิ๊วผมให้ยอมเล่นสนุกกับมัน แล้วก็ได้ผลซะด้วยครับ
‘พนันอะไร ไหนมึงลองว่ามา’
‘ใครชนะ สามารถสั่งให้คนแพ้ทำอะไรก็ได้อย่างหนึ่ง’ โอ้โห เหมือนจะดูง่ายๆ แต่เอาจริงๆ ไอ้เพื่อนผมคนนี้มันกวนตีนใช่ย่อยนะครับ ถ้ามันสั่งให้ผมไปยืนแก้ผ้าหน้าสนามแบดจะทำไง แต่เอาจริงๆ ผมก็คิดว่ามันคงไม่เลวขนาดนั้นหรอกครับ ‘แต่ต้องบอกมาก่อนแข่งเลยนะเว้ย ว่าอยากให้ทำอะไร คิดตอนนี้เลย’
‘เชี่ย มึงจะรีบไปไหนวะ กูจะไปคิดอะไรออกตอนนี้ แม่งจะแข่งอยู่แล้ว’
‘อ้าว ยิ่งรู้ก่อนว่าถูกท้าว่าอะไรก็ยิ่งกดดัน สนุกดีออก เวลาแข่งจะได้ทำเต็มที่ อารมณ์เหมือนหนีตาย ฮ่าๆ’
‘เชี่ยละ มึงจะสั่งให้กูไปตายหรือไง’
‘ไอ้ห่า มึงก็บ้า นี่กูเพื่อนมึงนะเว้ย เร็วๆ บอกมา ถ้ากูแพ้มึงจะให้กูทำอะไร’ ตอนนี้อีกไม่กี่นาทีจะลงแข่งอยู่แล้วครับ ผมเลยนึกไม่ออกว่าจะหาอะไรกวนๆ ให้มันทำดี ถ้ามันแพ้ผมในรอบชิง
‘งั้น กูจะขอให้มึงไปสารภาพรักกับน้องนาเดีย ที่เรียนแบดกับเรา เห็นมึงบอกชอบเค้ามาเกือบปีละ ป๊อดอยู่ได้’
‘เชี่ยยยย สารภาพรักเลยเหรอวะ’
‘เออ มึงอยากตั้งชวนกูพนันเองนี่หว่า พูดแล้วห้ามคืนคำนะเว้ย’
‘เออ กูไม่คืนคำก็ได้ ถ้ากูแพ้กูจะยอมไปสารภาพกับน้องนาเดียก็ได้ แต่ถ้ามึงแพ้ สิ่งที่กูจะให้มึงทำก็คือ........มึงต้องไปจีบไอ้ผู้ชายน่ารักที่มึงชอบมองคนนั้น 7 วัน !!’
…
…
…
…
…
…
เดี๋ยวนะครับ เพื่อนผมมันพูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ ให้ผมไปจีบผู้ชายเนี่ยนะ
‘เดี่ยวๆ มึงจะให้กูไปจีบผู้ชายเนี่ยนะ’
‘ทำไมวะ ผู้ชายน่ารักขนาดนั้น แล้วที่สำคัญ กูเห็นมึงไปด้อมๆ มองๆ เค้ามาตั้งแต่ปีสองปีที่แล้ว หรือมึงป๊อดวะ’
‘เชี่ย จีบผู้ชายเนี่ย มึงไม่ป๊อดเหรอ’
‘งั้นมึงก็ชนะดิ มึงจะได้ไม่ต้องทำ เพราะกูก็ไม่อยากแพ้มึงหรอก มึงคิดว่ากูจะเอาความกล้าที่ไหนไปสารภาพกับน้องนาเดียวะ’
สรุปว่า ตกลงพนันกันเอง แต่ก็หวั่นๆ กันเอง งั้นล้มเลิกดีไหมครับ แล้วไอ้ที่ให้ผมไปจีบผู้ชายเนี่ย มันไม่ยิ่งกว่าอีกเหรอ ถึงผมจะคิดว่า ที่เพื่อนผมบอกว่าผมเคยไปด้อมๆ มองๆ ไอ้พูพิ้งเนี่ย มันก็ไม่ได้ผิด แต่ผมก็ไม่ได้คิดถึงขั้นจะไปจีบมันสักหน่อย ยังไม่ทันที่จะตกลงกันเสร็จ กรรมการก็เป่านกหวีดเรียกลงสนาม นัดชิงชนะเลิศกำลังจะเริ่มต้นแล้วครับ
‘ตามนั้นนะเว้ยไอ้ปก เล่นกันให้เต็มที่ แล้วใครแพ้ห้ามเบี้ยวนะเว้ย กูไปล๊ะ’ พูดจบเพื่อนผมมันก็หันหลังเดินกลับไปทันที แถมก่อนก่อนไปมีทำเสียงกวนทีนผมซะด้วย ดูเหมือนผมจะไม่มีทางเลือกสำหรับการพนันในครั้งนี้ ตอนแรกที่ว่าจะเล่นกันขำๆ ตอนนี้เหมือนผมจะเริ่มขำไม่ค่อยออกซะแล้วครับ
...ถ้าผมแพ้ ผมต้องไปจีบไอ้พูพิ้งนั่นจริงๆ เหรอเนี่ย...
*************************************************
ต้องขออภัยที่เว้นนานไปหน่อยนะครับสำหรับตอนนี้ เนื่องจากผู้เขียนติดภารกิจหลายอย่าง ยังไงเดินทางมาถึงตอนที่ 8 แล้ว น่าจะได้รู้จักกับปกติมากยิ่งขึ้น ชอบหรือไม่ยังไง แนะนำติชมกันได้เลยนะคร้าบบบ