07
วิกฤติ
.
.
.
..ห้องฉุกเฉิน
..15.53
..อาร์
..ใกล้หมดกะ
..วันแรกของการกลับมาทำงานที่รักแบบไม่เหนื่อยเท่าไหร่
“คุณหมอค่ะ!!! นักท่องเที่ยวยี่สิบห้าคนกําลังจะเข้ามาค่ะ อุบัติเหตุรถควํ่า เป็นเด็กหกคน ที่เหลือเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็ผู้สูงอายุค่ะ”
“!!!!!!”
“เบื้องต้นแจ้งมาว่ามีผู้ป่วยอาการหนักสิบสองรายค่ะ”
“โอเค ทุกคนเตรียมความพร้อม” เสียงของหมอคนนึงพูดขึ้น ถึงเวลาของกะพวกเราใกล้จะหมดลง แต่ทุกคนก็ยังคงอยู่รอผู้ป่วยจํานวนมากที่กําลังจะมา ..ผมก็เหมือนกัน ความปลอดภัยของทุกชีวิตขึ้นอยู่กับเวลาที่ผู้ป่วยอยู่ในมือหมอ และยิ่งจํานวนของแพทย์เพียงพอต่อการดูแลรักษา อัตราการรอดของผู้ป่วยก็จะยิ่งมีเพิ่มขึ้น
“เตรียมเครื่องช็อตไฟฟ้า!!!” ผมออกคำสั่งขณะที่ตัวเองกำลังนั่งคร่อมร่างหมดสติอยู่บนเตียง สองมือกำลังวางทาบทับบนตำแหน่งของหัวใจ ออกแรงกดตามจังหวะอย่างถูกต้อง คาดหวังให้อวัยวะกลับมาทำงานได้เองตามปกติ แต่หัวใจกำลังทำงานผิด มันเต้นเร็วเกินไป กระแสไฟภายในหัวใจกําลังลัดวงจร เครื่องมือนี้เท่านั้นที่จะดับกระแสไฟภายในห้องทุกห้องของอวัยวะอันสำคัญต่อชีวิต เพื่อรีเซ็ตให้มันกลับสู่สภาวะเหมือนเมื่อครั้งที่มันยังเป็นปกติอยู่
“ร้อยยี่สิบจูล!” ผมถือแพดเดิลในมือทั้งสองกระชับ “เคลียร์!!” กระแสไฟฟ้าพุ่งเข้าช็อตร่างที่นอนหมดสติอยู่จนแขนขากระตุก ผมวางแพดเดิลลง และทำซีพีอาร์ต่อ แม้จะผ่านสถานการณ์รักษาผู้คนมาจำนวนไม่น้อย แต่ทุกครั้งที่ต้องสัมผัสภาวะ ‘เป็น-ตาย’ มันก็บีบหัวใจเหมือนเดิมทุกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าความตายคือสัจธรรม แต่ก็ยังหวังว่าคนไข้ทุกคนจะรอด แม้เหงื่อจะเปียกเต็มแผ่นหลัง หยดน้ำจะเกราะรอบกรอบหน้า แต่คนที่นอนอยู่ยังคงรอคอยการรักษา ไม่ว่าตอนนี้เขาจะยังอยู่สู้เพื่อมีชีวิตไปพร้อมกับผมหรือไม่ก็ตาม ..ผมยังคงทำหน้าที่ต่อไป
“ชีพจร 90 แล้วค่ะคุณหมอ!”
..เกือบปกติ แต่ยังหายใจหอบถี่ หัวใจยังเต้นเร็วเกินไป ผมรีบใส่หูฟังเช็คสิ่งผิดปกติที่ตัวเองคิด ..ไม่ผิดแน่!! ..Pneumothorax ภาวะปอดรั่ว!!!
“ส่งคนไข้ทำซีทีสแกนแล้วก็ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ส่งต่ออายุรกรรม!!!”
“ค่ะคุณหมอ!!!”
“คนไข้อย่าดิ้นนะคะ!!!”
“ก็มันเจ็บ!!!!”
“แต่ถ้ายังขยับตัวอยู่ เราก็ช่วยคุณไม่ได้นะ!!!”
คนไข้ร่างใหญ่กำลังฝืนสู้กับแรงคนกว่าสามคนที่รุมกันจับเพื่อให้พยาบาลชำนาญการฉีดยา
“ผมจะรอหมอ!!! ผมจะให้หมอรักษาเท่านั้น!!! พวกคุณเป็นแค่พยาบาลจะมารักษาผมได้ยังไง!!! ถ้าผมตายไปใครจะรับผิดชอบ!!!!!!!!!”
“จะหมอหรือพยาบาล.. ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้สามารถดูแลผู้ป่วยได้ครับ และที่พยาบาลกำลังจะทำ ก็คือการดูแลเบื้องต้น เพื่อให้คุณทรมานน้อยลง” ผมพูดแทรกทันทีที่เดินมาถึงอีกเตียง คนไข้มีท่าทีอ่อนลง ถึงจะยังดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวด
“อาการ?” ผมถามพยาบาลที่ดูแลอยู่
“ปวดที่หัวเข่าขวารุนแรงค่ะ กระดูกดูผิดรูป ไม่มีเลือดออกค่ะ”
ผมจับเข้าที่เข่าเจ้าปัญหา คนไข้ร้องเสียงดังลั่นทันที “อืม กระดูกคงหักแทงกล้ามเนื้ออยู่ด้านใน คงต้องรีบผ่าตัด ทำซีทีสแกนก่อนด้วย”
“ค่ะคุณหมอ”
“หมอจะฉีดยาบรรเทาอาการปวดให้ อดทนหน่อยนะครับ ..ติดต่ออาจารย์หมอศิระดู ท่านน่าจะยังไม่กลับ แจ้งว่าเคสนี้เร่งด่วน เข้าใจที่ผมพูดนะ” ผมพูดกับพยาบาลทั้งที่สองมือกำลังทำหน้าที่ของมัน
“ค่ะคุณหมอ”
ความวุ่นวายยังคงดำเนินต่อไปภายในห้องฉุกเฉินจนผมลืมวันเวลา ..มารู้ตัวอีกทีก็เช้าของอีกวัน
.
..หน้าห้องฉุกเฉิน
..19.43 น.
..คิว
ผมถอนหายใจ.. ไม่ใช่เพราะว่ารอคุณอาร์ไม่ไหว แต่เพราะเป็นห่วงคุณอาร์ หลังจากที่เห็นคนประสบอุบัติเหตุถูกเข็น ถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉินหลายสิบคน ผมก็รู้เลยว่าคุณอาร์กำลังทำงานหนักแค่ไหน
“ทำไมคุณอาร์เลือกเรียน ER” ผมเคยถามด้วยความสงสัย ไหนว่าอยากเป็นศัลยแพทย์สมอง แล้วมาเรียนต่อทำไมเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ส่วนผมคนที่เคยเดินเข้าออกห้องนี้เป็นประจำ ก็เลยรู้ว่าทำงานส่วนนี้มันเหนื่อยมาก ไหนจะปริมาณคนไข้ที่เข้ามาถาโถม เคสเจ็บป่วยที่หลากหลาย แถมยังต้องรับมือกับญาติคนไข้ที่มักไม่เข้าใจการทำงาน พาลหัวร้อนใส่ทั้งหมอทั้งพยาบาล ..มันน่าทํางานตรงไหน? ยังดีที่คุณอาร์มีภารกิจหน่วยลับต้องรับผิดชอบ งานที่โรงพยาบาลจึงถูกมอบหมายให้เข้ามาในยามที่ว่างเว้นจากภารกิจเท่านั้น
“ก็วอร์ดนี้หมอน้อย ทั้งที่คนไข้เยอะ” คุณอาร์ตอบผม
“...”
“หมอฉุกเฉินต้องรู้รอบ ประเมินอาการได้แม่น เร็ว กล้าตัดสินใจ จะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงที และส่งต่อคนไข้ไปยังแผนกอื่นแบบไม่ผิดพลาด โดยรวมแล้ว..มันท้าทาย”
“!!!!!!”
“อีกอย่างนึง กูมีงานหลักเป็นหน่วยลับ ไม่ว่างมาดูแลผู้ป่วยแบบเต็มเวลาหรอก”
“..เพราะมึงคนเดียวเลย!!! มึงพาทุกคนมาตาย!!!!” เสียงของหญิงคนนึงกําลังตะโกนด่าชายวัยกลางคนคนนึงดังลั่นอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ..ญาติๆ ของผู้ประสบอุบัติเหตุ
“พอเหอะเจ๊! อย่าไปโทษมัน”
“กูบอกแล้วใช่ไหม! มึงดู ไม่ใช่แค่ผัวกูลูกกู เมียมึงลูกมึงก็เจ็บ ถ้าพวกข้างในเป็นอะไรไป กูจะโทษมึง!! กูจะโทษมึง!!!!” คนที่ถูกเรียกว่าเจ๊ตะโกนกรีดร้องลั่นผสมปนเปกับการร้องไห้จนร่างแทบทรุดกองกับพื้น
“...” ชายคนที่ถูกต่อว่าไม่โต้ตอบอะไรสักคํา เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นนาน ผมเองก็มองเขาอยู่นานเช่นกัน ดูจากผ้าพันแผลที่พันอยู่ที่หัวและแขนบอกว่าเขาเองก็เจ็บเช่นกันแค่โชคดีกว่า.. เขาออกเดินอย่างไร้สติไปที่บันไดหนีไฟ.. คงอยากหาที่สงบๆ ให้ตัวเอง
.
.
..ห้องฉุกเฉิน
..23.58 น.
..อาร์
..ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีภายในห้องนี้ตลอดหลายชั่วโมง มีความสูญเสียเกิดขึ้น.. แต่อีกหลายคนก็ปลอดภัย แม้จะต้องรอติดตามผลในอีกหลายคนก็ตาม..
ผมหยิบมือถือขึ้นดูเมื่อมันสั่นเป็นระยะๆ ..หมอชิน
“สวัสดีครับคุณหมอ”
[ไหวไหมอาร์]
“..ออครับ”
[พี่จะชวนอาร์ขึ้นมาดูเคสที่พี่ว่าน่ะ]
“คุณหมอไม่ได้กลับบ้านเหรอครับ”
[กลับมาห่างเหินอีกแล้ว ..พี่นอนที่นี่น่ะ ..เพราะรออาร์]
“ออ ขอโทษครับ งั้นผมจะรีบขึ้นไปหาครับ”
[พี่รอนะ]
เฮ้อ.. อยากกลับไปนอนจะแย่ เดี๋ยวก็ต้องกลับมาเข้าราวด์วอร์ดตอนเช้าอีก แต่เมื่อรับปากแล้วก็ควรไปดู ไม่รู้ไอ้คิวยังรออยู่ไหม แต่ช่างมันก่อน..
.
..โรงอาหารในโรงพยาบาล
..00.05 น.
..คิว
..คุณหมออาร์น่าจะใกล้จบเวรหลังจากที่ควบกะยาวกว่าสิบหกชั่วโมง ผมหาซื้ออาหารว่างรองท้องง่ายๆ ในร้านสะดวกซื้อเผื่อคุณอาร์เขาต้องการ ..เสียงโหวกเหวกดังถูกส่งต่อไปตามผู้คนจํานวนน้อยที่ยังเหลืออยู่ในเวลานี้
“มีคนจะกระโดดตึก!!”
“ห่ะ! จริงเหรอ ตึกไหน? ผู้ชายผู้หญิง”
“ไม่รู้ ไปดูกันเถอะ”
“แล้วนี่มีใครโทรตามตํารวจรึยัง!!”
“ไม่รู้ รีบไปกันเผื่อจะช่วยอะไรได้!!!”
..ผมเองก็รีบเดินตามออกไปทันทีตามสไตล์นักมุงที่อยู่ในสายเลือด
..ชายคนนึงกําลังยืนอยู่บนความสูงของตึกสิบสามชั้น ด้วยเพราะเป็นเวลานี้ คนถึงไม่มายืนลุ้นระทึกกันมากอย่างที่ควรจะเป็น หลายคนหยิบมือถือขึ้นมาเปิดโหมดกล้องจะถ่ายรูปถ่ายวิดีโอ ไม่ก็คงจะไลฟ์สด แต่ต่อให้เป็นยี่ห้อหรือรุ่นที่ดีที่สุดก็คงซูมได้ในระยะที่ไม่มองเห็นอะไร คนบนนั้นคงมีไซส์ไม่ต่างจากมดที่เห็นตามพื้นดิน ซํ้าคงเห็นเป็นแค่เงาดําๆ เพราะไม่มีแสงใดสาดส่อง ..ไร้ประโยชน์ ผมเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่กำลังแหงนหน้ามองคนที่อยู่บนนั้น ..ไร้ซึ่งอุปกรณ์ใดๆ ในมือ แต่ภาพที่ฉายอยู่ในตาของผมกลับคมชัดด้วยกําลังขยายที่ระยะห้าสิบเมตร นวัตกรรมอัจฉริยะที่ทําให้คอนเแทคเลนส์แผ่นบางในตามีความสามารถไม่ต่างจากกล้องส่องทางไกล การทำงานของมันจะถูกสั่งการด้วยสมองส่วนกลางเช่นเดียวกับการทำงานของดวงตา เพียงแค่มองไปยังเป้าหมายที่ต้องการ ระบบการซูมและโฟกัสก็จะทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังเป็นกล้องอินฟาเรดและกล้องตรวจจับความร้อนในตัว การมองในที่มืดจึงไม่ใช่ปัญหาสําหรับผม..
..ผู้ชายคนนั้น ที่โดนโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่พาคนมาตาย
“...” ผมโทรศัพท์หาปลายสายทันที
[เออ เข้าใจแล้ว นี่มันกี่โมงกี่ยามวะ!] ปลายสายตอบเสียงเกียจคร้าน
“คนมันอยากจะตาย เลือกเวลาได้เหรอวะ!! เร็วเลย กูจะถ่วงเวลาไว้”
[เออครับ]
ไอ้ชวด.. เพื่อนที่เคยอยู่ร่วมกองทหารเกณฑ์เดียวกัน หลังจากมันออกจากกรมก็สนใจงานจิตอาสา เลยมีจ็อบเสริมคือหน่วยกู้ภัย
ผมรีบวิ่งเข้าตัวตึกเพื่อกดลิฟท์ขึ้นสู่ชั้นบนสุดเท่าที่มันจะพาผมขึ้นไปใกล้ชายคนนั้น ..ธุระไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ทําอะไรเลยก็คงไม่ใช่ผม
.
..ชั้น 11
..วอร์ดศัลยกรรมสมอง
..อาร์
“ขอโทษนะครับที่ทําให้รอ”
“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ อาร์คงอยากกลับไปพักแล้ว แต่พี่ขอเวลาอาร์ไม่นานหรอก”
“ครับ”
“คนไข้อยู่ห้องนี้”
หมอชินเปิดประตูหมายเลข 1153 หลบทางให้ผมเดินนําเข้าไป ห้องพิเศษพื้นที่กว้างขวาง มีสัดส่วนของพื้นที่ผู้ป่วย และพื้นที่ของญาติอย่างชัดเจน ผมเดินเข้าไปใกล้เตียงที่มีเครื่องมือคุ้นตาอยู่รายล้อมรอบบุคคลที่ผมมีเจตนามาหา ..ร่างที่กําลังนอนหลับใหลกําลังหายใจในจังหวะสม่ำเสมอสังเกตได้จากมอนิเตอร์ที่ยังคงวัดสัญญาณชีพจรได้อย่างต่อเนื่องเป็นปกติ
“พี่มาเช็คเขารอบนึงแล้วก่อนที่จะโทรตามอาร์ หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา แล้วก็คงเพลียเพราะการเดินทาง”
“...” ผมยืนชิดขอบเตียงของ ‘เขา’
ผมจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยและความไม่เข้าใจ
..ใบหน้าที่คุ้นเคยถูกวางอยู่บนหมอนที่รองรับ
..ใบหน้าของคิว!!!!
.
..ชั้น 13
..ดาดฟ้าตึก
..คิว
..ลมเหนือตึกพัดแรง ความหนาวเข้าโอบกอดรอบตัว ผมมองเห็นเป้าหมายที่กำลังนั่งมองเหม่อออกไปไกลบนขอบปูนยกสูงเมตรครึ่งที่ก่อทำเป็นกำแพงของตัวตึก รปภ. ของโรงพยาบาลสามคนกำลังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ห่างๆ พลางมองหน้าปรึกษากันว่าควรจะทำเช่นไรกับสถานการณ์นี้
“คุณๆ จะทำอะไร!! อย่าเดินเข้าไป” รปภ. คนนึงพูดห้ามผม ..แต่ผมไม่คิดจะสนใจ ในหัวกำลังคิดว่าหลักสูตรการเจรจาต่อรองที่ผ่านการฝึกฝนมาคงได้ใช้สักที..
ผมเดินก้าวเท้ามั่นคงตรงเข้าหาคนที่ร่างกายใกล้ตายเต็มที ขณะที่จิตใจของเขาตอนนี้คงตายไปแล้ว เพราะถูกมอบความผิดให้เป็นตราบาปภายในใจ ..ถูกประหารทางจิตวิญญาณ
ผมปีนขึ้นนั่งข้างๆ บนขอบปูน ชายที่นั่งอยู่ก่อนไม่ได้หันมาสนใจผมสักนิด ..แค่รอเวลาเท่านั้นที่เขาจะทิ้งร่างนี้ลงปะทะพื้นแข็งเบื้องล่าง
“อยู่ต่อไม่ไหวแล้วเหรอพ่อหนุ่ม” ผมยังคงคีปคาแลคเตอร์ความเป็นลุงตามหน้าปลอมที่สวมอยู่
“...”
“ตอนปู่กับย่าของลุงตายไปนะ คนในหมู่บ้านโทษลุงทุกคนว่าเป็นเพราะลุงเกเร ปู่กับย่าเลยตรอมใจตาย”
“...”
“ลุงตอนนั้นน่ะยังหนุ่มมาก หัวรั้น เกเรตามประสา พอได้ยินแบบนั้น ลุงก็คิดตามนั้นจริงๆ ว่าที่ปู่กับย่าตายเป็นเพราะลุง ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าทั้งสองคนตายเพราะอุบัติเหตุ ซึ่งมันเป็นเรื่องสุดวิสัย ใครก็ห้ามให้มันไม่เกิดไม่ได้”
“...”
“จําได้ว่าตอนนั้น ..ลุงก็อยากจากโลกนี้ตามปู่กับย่าไป อยากหายไปจากคําครหานินทา อยากพิสูจน์ให้เห็นว่าลุงน่ะรักปู่กับย่ามากแค่ไหน คล้ายๆ กับบอกพวกเขาว่าลุงจะรับผิดชอบในความตายของปู่กับย่าให้ดู”
“...”
“พ่อหนุ่มล่ะ คิดว่าเป็นความผิดของลุงไหมที่ทั้งปู่กับย่าต้องมาตาย แล้วลุงสมควรตายไหม”
“...” ชายคนนั้นหันมามองผม
.
..ชั้น 11
..วอร์ดศัลยกรรม
..อาร์ / หมอชิน / บุรุษปริศนาที่ยังนอนหลับ
..นี่มันเรื่องบ้าอะไร!
..คนๆ นี้เป็นใคร? ทำไมหน้าเหมือนคิวอย่างกับเป็นฝาแฝด
..ฝาแฝด?!?!
“คุณหมอครับ แล้วญาติของคนไข้?”
“อืม เห็นว่าจะต้องกลับไปเคลียร์ธุระสำคัญก่อน แล้วค่อยกลับมาติดตามอาการน่ะ”
“ทำไมเขาต้องมารักษาตัวต่อที่นี่ครับ ทำไมไม่รักษาทีเดียวที่โรงพยาบาลเดิมเลย”
“อืม.. เรื่องนี้พี่เองก็ไม่รู้นะ อาจจะเป็นเพราะเรื่องงาน เห็นว่าครอบครัวจะต้องย้ายมาตั้งรกรากที่นี่ ก็เลยทำเรื่องย้ายการรักษามา”
“...”
ผมมองป้ายชื่อที่ปลายเตียง
..‘Mr. Brighton Osborne’
..นายไบรตัน ออสบอร์
“เขามาจากประเทศอะไรครับ”
“ฟินแลนด์”
“คุณหมอจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะขอร่วมดูแลเคสนี้ด้วย”
“ไม่ว่าอะไรเลย พี่ดีใจมากด้วยซ้ำ ที่จะได้ทำงานกับอาร์”
“...” ผมยังมองไปที่ร่างที่หลับสนิท
“ออ แต่อาร์ไม่ต้องห่วงนะ งานทหารของอาร์ต้องมาก่อน”
“ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
ผมเดินออกจากห้องผู้ป่วยพิเศษ มีเรื่องใหม่ให้คิด.. ไบรตัน ออสบอร์คือใคร มีความสัมพันธ์ยังไงกับคิว? ..หรือจะเป็นพี่น้องของคิว? ผมรู้เรื่องที่คิวไม่มีญาติที่ไหนแล้วหลังจากที่เสียปู่กับย่าไป แต่แล้วนายคนนี้ก็ปรากฎตัวด้วยหน้าตาที่เหมือนกันกับคิว.. เป็นเรื่องดีถ้าคิวจะได้รู้ว่ายังคงมีครอบครัวเหลืออยู่บนโลกใบนี้
“นี่รู้ยัง!!! มีคนจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายอยู่บนดาดฟ้าเราเนี่ย!!!!”
“ห่ะ!!! แล้วนี่มีใครขึ้นไปช่วยรึยัง”
“ได้ยินว่ามีลุงคนนึงขึ้นไปนั่งเกลี้ยกล่อมอยู่ นานแล้วด้วย!!”
“แล้วยังไงต่อ”
“ก็ยังนั่งกันอยู่อย่างนั้น”
“คงไม่ใช่ว่าจะพากันตายทั้งคู่ใช่ไหม”
“แกจะบ้ารึไง!!! ลุงน่ะเห็นว่าปวดท้องมาโรงพยาบาลแต่เช้า คนเราถ้าจะตายคงไม่มารักษาตัวเองหรอก”
“งั้นเหรอ ก็ดีแล้ว แล้วหน่วยกู้ภัยมารึยัง”
“ไม่รู้เลย..”
ผมตั้งใจฟังเนื้อหาบทสนทนาระหว่างพยาบาล ..ลุงที่มารักษาเพราะปวดท้องตั้งแต่เช้า
..หรือว่าจะเป็นไอ้คิว!!!!!!
ผมรีบออกตัววิ่งไปที่บันไดหนีไฟ แต่ก็โดนคว้าแขนไว้จนเกือบเสียการทรงตัว
“เกิดอะไรขึ้นอาร์!! รีบไปไหน มีเคสด่วนเหรอ”
“เอ่อ ไม่ใช่ครับคุณหมอ!!” ..เป็นหมอชินที่ดึงตัวผมไว้ “..เห็นว่ามีคนจะกระโดดตึกบนดาดฟ้า ผมเลยจะขึ้นไปดู เผื่อจะช่วยอะไรได้!!”
“แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของเรานะ”
“คนที่กําลังจะฆ่าตัวตาย เพราะจิตใจเขากําลังป่วยครับ ผมจะขึ้นไปดูเขาในฐานะคนไข้ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนที่สุด ปล่อยผมเถอะครับคุณหมอ!!”
หมอชินถอนหายใจ คงเพราะยอมรับในเหตุผลที่ได้ฟัง “งั้นพี่ไปด้วย หลายหัวดีกว่าหัวเดียว”
“...” ผมพยักหน้า และวิ่งไปที่ประตูหนีไฟทางขึ้นสู่ดาดฟ้าทันที
.
..คิว / ชายผู้ใกล้ตาย
“พ่อหนุ่มล่ะ คิดว่าเป็นความผิดของลุงไหมที่ทั้งปู่กับย่าต้องมาตาย แล้วลุงสมควรตายไหม”
ชายคนนั้นหันมามองผม
“สมควรตาย..”
“!?!?!”
“ใช่ สมควรตาย..”
“งั้นเหรอ ไม่เคยมีใครเคยบอกลุงอย่างนั้นเลย แต่พ่อหนุ่มบอกลุงอย่างนั้น มันก็คงถึงเวลาของลุงจริงๆ” ผมลุกขึ้นยืนยืดเต็มตัวบนพื้นปูนเปล่าที่นั่งอยู่เมื่อครู่ รอบตัวของผมตอนนี้มีเพียงสายลมและมวลอากาศที่กอดร่างผมไว้อย่างไร้เยื่อใย พวกมันพัดผ่าน โอบรัด และจากไป.. ไม่มีสิ่งใดมากีดขวางอิสระของร่างกายผมได้อีกแล้ว ถ้าผมจะทิ้งตัวดิ่งลงไป ..ชายคนข้างๆ เงยหน้ามองผม
“...”
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม ที่ช่วยตัดสินลุง ที่ผ่านมาลุงคงเข้าใจไปเองว่าลุงควรอยู่ต่อเพื่อพิสูจน์ให้คนพวกนั้นเห็นว่าลุงรักปู่กับย่ามากจริงๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ลุงคงหลอกตัวเองมานาน ปู่กับย่าคงรอลุงอยู่ ..งั้นลุงไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน”
“...”
“พาผมไปด้วย เพราะผมไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบลุง” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนอยู่ข้างๆ
“..ต่อให้มีคนรออยู่อย่างนั้นเหรอ”
“แต่ผมไม่เหลือใครแล้ว..”
“งั้นเราไปกันเถอะ” ผมโอบไหล่ชายคนนั้น เราสูดหายใจลึก และก้าวเท้าเลยออกไป ..ยังพื้นที่ว่างเปล่า ..ร่างของเราทั้งคู่ร่วงดิ่ง
..อาร์
ผมเปิดประตูดาดฟ้าออก เห็นเพียงหลังของคิวกับใครอีกคนกําลังยืนอยู่บนขอบปูนนั่นอย่างหมิ่นเหม่ และเสี้ยววินาทีนั้นคนทั้งคู่ก็พากันกระโจนหายไปในความมืด!!!!
“คิววววววววว!!!!!”
ผมตะโกนสุดเสียงพร้อมกับวิ่งไปคว้าแขนคนที่สําคัญกับชีวิตของตัวเอง ..คว้าได้เพียงอากาศ ผมโน้มตัวลงแนบชิดขอบกําแพงปูนและมองลงไปยังด้านล่าง
คิวกับใครอีกคนนอนอยู่บนเบาะลมขนาดใหญ่ที่มีไฟสปอตไลท์สาดส่องจนสว่างทั่วบริเวณ ..ผมรีบวิ่งไปที่ประตูดาดฟ้า คิดแค่ว่าต้องพาตัวเองลงไปหาคิวให้เร็วที่สุด ไม่ว่ามันจะเจ็บมากหรือไม่เจ็บอะไรเลยก็ตาม..
..คิว
..มีคนมากมายรีบเข้ามาพยุงร่างของทั้งผมกับชายคนคิดสั้นให้ลุกออกจากเบาะลม หนึ่งในนั้นก็คือไอ้ชวด
“ดีนะที่กูมาทัน ไอ้เหี้ยคิว!! แทนที่มึงจะกล่อมให้เขาไม่โดด เสือกชวนเขาโดด นี่มึงบ้าหรือคิดไม่ได้วะ!!!!”
“ก็มึงอุตส่าห์ขนมา กูก็อยากให้ของมันได้ใช้” ผมกระซิบกับมันเบาๆ เพราะตัวเองยังปลอมตัวเป็น ‘ลุง’ อยู่ ส่วนไอ้ชวดที่คุ้นเคยกับการปลอมตัวเป็น ‘ลุง’ ของผมอยู่แล้วเลยจําผมได้ทันที ส่วนเหตุผลที่ต้องปลอมตัว ผมเคยอธิบายมันว่า ผมเป็นนักสืบรับจ้าง สืบพวกเรื่องผัวน้อยเมียน้อยเลยต้องอําพรางตัว ซึ่งไอ้ชวดคนซื่อก็เชื่อ..
ผมหันไปมองชายที่เพิ่งผ่านพ้นนาทีเป็นนาทีตายมา เขากําลังยืนขาสั่นและทรงตัวไม่ได้แม้อยู่ในการพยุงของหน่วยกู้ภัยร่างกายแข็งแรงถึงสองคน
“เป็นไงบ้างพ่อหนุ่ม ..การได้ลองตาย”
“...”
“มันน่ากลัวใช่ไหม?”
“..มันน่ากลัวมาก”
“แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ถ้าเราตายไปโดยที่ทิ้งคนที่เรารัก และคนที่รักเราไว้ข้างหลัง”
“...”
“เรามีหน้าที่ต้องดูแลคนที่รอเราอยู่สิ”
“...” นํ้าตาของเขาไหลพรั่งพรู สองขาอ่อนทรุดลงกับพื้น
“ไอ้โง่!!” เสียงตวาดแสบหูดังในความเงียบของเวลาราวตีหนึ่งครึ่ง หญิงที่เคยยืนต่อว่าชายคนนี้หน้าห้องฉุกเฉิน “มึงจะหนีความผิดรึไง!! กูบอกให้มึงไปตายรึไง!!! ถ้ามึงตายกูจะตอบทุกคนว่าไงห่ะ!!” เธอก้มลงกระชากคนเสื้อของชายคนนั้นแรงจนร่างของชายผู้อ่อนแอโยกไปมา “ถ้ามึงตายเพราะคําพูดกู..” เสียงของเธอหายไปในความสะอื้นที่ตีบอยู่ในลําคอ ความเงียบกําลังช่วยเติมคําในช่องว่างความรู้สึกนั้น
“..ลูกของมึงฟื้นแล้ว เอาแต่ร้องหาพ่อหาแม่ มึงรีบไปดูเลย!!” ชายคนนั้นได้สติทันที เขารีบปาดนํ้าตาและลุกขึ้นออกวิ่ง ..หญิงคนนั้นก็เช่นกัน
เฮ้อ.. ผมถอนหายใจโล่ง
จู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ว่ามีคนมายืนอยู่ด้านหลังของผม สังเกตได้จากเงาที่เพิ่มขึ้นข้างๆ ตัว มีแสงไฟที่ส่องมาจากด้านหลังสะกิดบอกผม ผมหันหลังไปมอง..
..คุณอาร์
ตาของคุณอาร์กําลังแดงกํ่า มันแดงลามไปทั่วใบหน้าขาวนวล ..คงเพราะความเหนื่อยล้า และการอดนอน ..คุณอาร์ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับฟาดฝ่ามือนุ่มเข้าที่หน้าของผมเต็มแรง! หน้าของผมสะบัดหันตามแรงทันที ผมอึ้ง และมึน รีบหันมองคุณอาร์พร้อมกับทําหน้าไม่เข้าใจ ..ผมทําอะไรผิด!!
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณหมอ” คุณอาร์พูดกับหมอชินแล้วรีบเดินจากไป ผมตั้งสติได้รีบเดินตามไป ..คงไม่เหมาะ ผมเลือกเดินไปลานจอดรถแทน รู้ดีว่าคุณเขาจอดรถไว้ที่ไหน ..ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าคุณอาร์ตบผมทําไม
.
.
.
ขอสวัสดีผู้อ่านอย่างเป็นทางการ ขอบคุณมากๆ เลยที่เข้ามาอ่านกันจนถึงตอนนี้ กับนิยายเรื่องสองของเรา ..กราบใจมากเลย สําหรับคิวอาร์ก็ใกล้จบเต็มที ถ้างั้นขอฝากเรื่องแรกด้วยน้า YR Mine นายผู้ปกครอง
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70487.0 ซึ่งเป็นนิยายวายแรกวายของชีวิต อาจจะต่างแนว แต่ก็ขอฝากพี่ปรินซ์น้องธามไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วย และอยู่เชียร์คิวอาร์ไปด้วยกันน้า ^_^