CHAPTER
-22-
ทวงคืน
หนุ่มหล่อมาดเข้มสวมชุดสูทตามฉบับสากลท่าทางดูภูมิฐาน สาวเท้าก้าวเข้ามาในบริษัทพร้อมกับผู้ช่วยทั้งสองด้วยความมั่นอกมั่นใจ พนักงานสาวเกือบทั้งบริษัทที่เห็นต่างก็กรี๊ดกร๊าดมองตาเป็นมัน ทุกคนพอจะมองออกว่าเขาคนนี้คือท่านประธานคนใหม่ของบริษัท เพราะข่าวนี้เป็นที่ซุบซิบของพนักงานทุกคนก่อนหน้าเพียงไม่กี่วัน
“สวัสดีค่ะท่านประธาน ดิฉันจัดห้องทำงานไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ” เลขาคนเก่าของทรงพลที่ตอนนี้เปลี่ยนฝั่งมาสวามิภักดิ์ต่อประธานบริษัทคนใหม่เอ่ยอย่างเอาใจ
“ขอบใจนะ” เขาเอ่ยแค่นั้นแล้วเปิดประตูเข้าไป
เคลวินกวาดสายตามองรอบๆห้องด้วยความคิดถึง ในที่สุดเขาก็ได้เข้ามาที่นี่อีกครั้ง หลังจากใช้เวลาอยู่หลายปีซื้อใจผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ แล้วยื่นข้อเสนอที่คุ้มค่าทยอยซื้อหุ้นมาจนมีสัดส่วนมากที่สุดในบริษัท ทำให้สามารถโค่นทรงพลที่นั่งแท่นประธานอยู่หลายปีลงได้สำเร็จ ตอนนี้บริษัทที่พ่อเขาเคยสร้างมาได้อยู่ในกำมือเขาเรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็เพียงบ้านหลังนั้นที่อีกไม่นานเขาก็จะเข้าไปทวงสิทธิ์คืนมา
“คุณพ่อครับผมกลับมาทวงทุกอย่างคืนให้แล้วนะครับ” เขามองผ่านกระจกออกไปดูทิวทัศน์ของตึกสูงระฟ้าเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา ช่วงวัยเด็กเขาเคยร้องไห้งอแงตามพ่อมานั่งเล่นซุกซนอยู่ในห้องนี้ ตอนนั้นรอบๆยังเป็นป่าไม้ไม่ได้มีตึกรามบ้านช่องมากมายขนาดนี้
“ท่านประธานครับตอนนี้ผู้ถือหุ้นและผู้จัดการทุกคนรอในห้องประชุมแล้วครับ”
เคลวินหันกลับมาแล้วเอ่ยกับลูกน้อง
“เดี๋ยวผมตามไป”
“ครับ”
เขาอยากรู้จังว่าทรงพลจะทำหน้ายังไงเมื่อรู้ว่าประธานคนใหม่ที่มานั่งเก้าอี้แทนคือเขา มันคงจะเป็นอะไรที่สะใจไม่น้อย
ห้องประชุม
เคลวินเดินเข้าไปก็เห็นทุกคนนั่งรออยู่จนเต็มห้องแล้ว เขาปรายตามองหาคนที่อยากเจอที่สุดในตอนนี้ ก่อนจะเจอว่านั่งอยู่ไม่ไกลจากหัวโต๊ะ แวบแรกที่สายตาทั้งสองประสานกันเคลวินรับรู้ได้ถึงแรงอาฆาต หากไม่มีคนอื่นๆนั่งร่วมห้องอยู่ด้วยเขาคิดว่าทรงพลคงกระโจนเข้ามาชกหน้าเขาแล้วแน่นอน
เมื่อเห็นหน้าของประธานบริษัทคนใหม่ทรงพลแทบช็อค ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานสักแค่ไหนเขายังคงจำแววตาคู่นั้นได้ดี มุมปากที่ยกยิ้มขึ้นมาเหมือนจะเยาะเย้ยทำให้ทรงพลมองด้วยสายตาแข็งกร้าว มือที่วางอยู่หน้าขากำจนสั่นระรัว จนลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆคอยกุมเอาไว้เพื่อเตือนสติให้เย็นลง
“สวัสดีครับทุกคน ผม เคลวิน เมอร์เรย์ ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการในฐานะประธานคนใหม่ของบริษัท ผมสัญญาว่าจะบริหารงานด้วยความโปร่งใส และทำทุกอย่างเพื่อให้ผลประกอบการที่ขาดทุนมาตลอดมีกำไรขึ้นมาได้ ขอให้ทุกคนเชื่อใจผมเราจะเดินหน้าไปพร้อมกัน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” พูดจบก็มีเสียงปรบมือดังระงมไปทั่วทั้งห้อง เคลวินโค้งคำนับให้กับทุกคนแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ “ตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้จักผมแล้ว ต่อไปผมอยากรู้จักกับทุกคน โปรดแนะนำชื่อและตำแหน่งให้ผมรู้จักด้วยครับเริ่มจากฝั่งนี้” เขาผายมือไปฝั่งตรงข้ามกับทรงพล
ทุกคนยืนขึ้นแนะนำตัวเรียงกันไปจนถึงนดลที่นั่งอยู่ข้างผู้เป็นพ่อ เขาทำท่าอิดออดแต่ก็ยอมลุกขึ้นแนะนำตัวแต่โดยดี
“ผมนดล ตั้งสกุล ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการครับ” เขาเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนักก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้เหมือนเดิม
สีหน้าเซ็งๆของนดลทำให้เคลวินถึงกับแสยะยิ้มออกมา เขายังคงนิ่งไม่ได้เอ่ยอะไรถามอะไร นดลไม่ใช่เป้าหมายหลักแต่คนที่นั่งข้างๆต่างหากที่เขาอยากจะเล่นงานตอนนี้
“คุณทำไมไม่แนะนำตัวล่ะครับ” เคลวินเอ่ยถามเมื่อทรงพลไม่ยอมลุกขึ้นแนะนำตัวสักที
“คุณพ่อครับทำๆไปก่อน” นดลกระซิบข้างหูผู้เป็นพ่อ
“ผมทรงพล ตั้งสกุลครับ” เขาแนะนำตัวขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้
“โปรดยืนขึ้นด้วยครับ อย่าทำตัวแปลกแยกกว่าคนอื่น” เสียงเข้มออกคำสั่ง
เมื่อได้ยินคำสั่งทำให้ทรงพลยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก ความโกรธแค้นมันทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นเท่าตัวจนแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน ผิดจากเคลวินที่นั่งทำหน้านิ่งๆไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร
“ผมทรงผล ตั้งสกุล..ครับ” ทรงพลยอมลุกขึ้นยืนพร้อมกับถอนหายใจเสียงดัง
“โปรดแจ้งตำแหน่งด้วยครับ” เคลวินยังคงแกล้งไม่เลิก เขารู้ดีว่าตอนนี้ทรงพลไม่มีตำแหน่งใดๆในบริษัทแล้ว เพราะเป็นแค่หนึ่งในผู้ถือหุ้นเท่านั้น
“ไม่มีตำแหน่ง” ทรงพลแสดงสีหน้าเกรี๊ยวกราด
“โอ๊ะโอ ผมลืมไปเลยว่าเพิ่งแย่งตำแหน่งคุณมา เอาอย่างนี้ในฐานะที่คุณบริหารงานที่นี่มานาน ผมจะแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ให้รับรองเป็นงานสบายแน่นอน เมื่อเช้าตอนเข้ามาผมเห็นยามหน้าบริษัทมีแค่คนเดียว ผมเห็นลุงแกดูเหงาๆ เดี๋ยวยังไงเลิกประชุมแล้วคุณไปรับชุดที่ฝ่ายบุคคลด้วยนะ ไปเป็นยามที่หน้าบริษัทเป็นเพื่อนลุงคนนั้นท่าจะดี”
“มันจะมากไปแล้วนะ!” ในที่สุดทรงพลก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เขาทุบโต๊ะเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืนท้าทาย
“พ่อครับใจเย็นๆ” นดลพยายามเตือนสติผู้เป็นพ่อ
“มันหยามเกียรติพ่อขนาดนี้ พ่อทนไม่ไหวแล้ว!” เขาเอ่ยกับลูกชาย
“ใจเย็นๆสิครับคุณทรงพล ผมไม่ได้บังคับคุณซะหน่อยถ้าคุณไม่ชอบตำแหน่งนี้มีตำแหน่งอื่นๆ เยอะแยะเลย ไม่ว่าจะเป็นคนสวนหรือว่าพ่อบ้านเลือกได้ตามสบายเลย” เคลวินเอ่ยอย่างใจเย็น
“กูไม่ทำอะไรทั้งนั้นไอ้สารเลว มึงมาแย่งตำแหน่งกูแล้วยังมาทำอย่างนี้อีก คนอย่างมึงไม่ได้ตายดีแน่” ทรงพลชี้หน้าตวาดลั่นใส่
“พวกคุณให้คนอย่างนี้มานั่งเก้าอี้เป็นประธานนานขนาดนี้ได้ยังไง วุฒิภาวะต่ำอารมณ์ร้อนอย่างนี้ มิน่าล่ะผลกำไรของบริษัทถึงได้ติดลบมาหลายปี เอาเป็นว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณทรงพลไม่มีอำนาจหน้าที่หรือตำแหน่งใดๆในบริษัทนี้ รวมถึงคุณนดลด้วยอีกคนผมขอปลดคุณจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป” เคลวินเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง สีหน้าท่าทางเริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนในห้องประชุมนั่งนิ่งไม่ได้โต้ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“กูไม่จบแค่นี้แน่จำไว้” ทรงพลชี้หน้าก่อนจะเดินออกไปจากห้องด้วยความโมโห ส่วนดลก็มองหน้าเคลวินอย่างเดือดดาลไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อ
“มึงคิดว่าทำอย่างนี้แล้วพวกกูจะยอมจนมุม มึงคิดผิด” นดลรีบเดินตามหลังผู้เป็นพ่อออกไป
“วันนี้ปิดประชุมแค่นี้ก่อนครับ ถ้ายังไงผมจะเชิญทุกคนมาประชุมใหม่อีกครั้งครับ” เขาเอ่ยแล้วทุกคนก็ทยอยเดินออกจากห้องไป
เคลวินนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ด้วยความสะใจ นี่มันแค่เริ่มต้นมันยังมีอะไรอีกเยอะที่พวกนั้นจะต้องเจอ เขายิ้มออกมาด้วยความเจ้าเล่ห์
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
หลังจากทรงพลและนดลกลับมาถึงบ้าน
“โถ่โว้ย!” ทรงพลเริ่มระบายอารมณ์เสียงดังเมื่อมาถึงบ้าน
“คุณพ่อใจเย็นๆครับ”
“พ่อใจเย็นไม่ได้แล้วมันหยามเราขนาดนี้พ่อยอมไม่ได้” ไม่มีท่าทีว่าอารมณ์เกรี้ยวกราดของทรงพลจะลดน้อยลงเลย
“เกิดอะไรขึ้นคุณ” แก้วกานดาเดินออกมาจากครัวพร้อมนภัทรและเด็กชายอุ่นรัก
“ก็ประธานบริษัทคนใหม่มันคือไอ้วิน มันไล่ผมกับนดลออกมาจากบริษัทอย่างกับหมา”
“คุณพระ!” แก้วกานดาเอามือทาบอกด้วยความตกใจ ไม่ต่างจากนภัทรที่แทบจะล้มทั้งยืน เขาสังหรณ์ใจตั้งแต่ที่เคลวินส่งข้อความมาเมื่อคืนนี้แล้ว ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ เขาคิดผิดที่นึกว่าเคลวินจะรักษาสัญญา
“แล้วทีนี้คุณพ่อจะทำยังไงครับ” นภัทรถามผู้เป็นพ่อ
“ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว พ่อกับนดลไม่มีสิทธิ์มีเสียงในบริษัทอีกแล้ว” ทรงพลเอ่ยอย่างหมดหวัง
“ไม่เป็นไรนะครับคุณพ่ออย่างน้อยเราก็ยังมีหุ้นอยู่ ไม่ต้องทำงานเราก็ยังมีเงินใช้ช่วงนี้คุณพ่อก็ถือซะว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัวนะครับ” นภัทรพยายามพูดให้ผู้เป็นพ่อสบายใจ
“คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะลูก พ่อขอตัวขึ้นข้างบนก่อนละกัน” ทรงพลเดินคอตกขึ้นข้างบนอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ลูกชายทั้งสองคนมองตามหลังผู้เป็นพ่อด้วยความสงสารก่อนจะหันมามองหน้ากัน
“เป็นไงล่ะยังรักมันลงอยู่ไหม?” นดลเอ่ยกับน้องชาย
“ทำไมพี่ดลพูดอย่างนั้นล่ะครับ ทุกวันนี้ผมก็เลือกครอบครัวไม่ได้เลือกเค้าพี่จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา”
“เพราะถูกบังคับไงล่ะ ถ้าเลือกได้ภัทรคงจะไปอยู่กับมันแล้ว พี่จะไม่มีทางให้มันได้เห็นหน้าลูกแน่นอน” นดลเอ่ย
“พี่ดลหมายความว่ายังไง” นภัทรเริ่มไม่ไว้ใจพี่ชาย
“ก็หมายความอย่างที่พูดต่อไปนี้ภัทรกับลูกห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด”
“พี่ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ” นภัทรตวาดลั่นใส่พี่ชาย
“นั่นสิทำไมดลทำอย่างนี้ล่ะลูก” แก้วกานดาก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดของลลูกชายคนโต
“มันทำกับเราได้ผมก็จะทำกับมัน ทำตามที่ผมพูดแล้วทุกอย่างจะดีเอง” นดลเดินขึ้นข้างบนไป
นภัทรมองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยความผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่พี่ชายทำ ลำพังเขาเองถ้าไม่ให้ออกจากบ้านคงไม่เป็นไร แต่ลูกชายไม่ควรมาโดนขังไว้อย่างนี้เด็กควรจะได้ไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง
“รอพี่เค้าใจเย็นกว่านี้ก่อนนะลูก ค่อยคุยกันอีกครั้ง” แก้วกานดาปลอบใจลูกชาย
“คุงแม่ฮับทำไมคุงลุงต้องห้ามเราออกไปข้างนอกด้วยล่ะฮับ” เด็กชายมองหน้าผู้เป็นแม่ตาแป๋ว
“ไม่มีอะไรลูก น้องอุ่นไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวแม่จะไปคุยกับคุณลุงเอง เดี๋ยวเราก็ได้ไปเที่ยวกันเหมือนเดิม แต่ตอนนี้น้องอุ่นเล่นอยู่ในบ้านก่อนนะครับ” นภัทรนั่งลงพูดกับลูกชาย
“ฮับคุงแม่น้องอุ่นเป็นเด็กดี น้องอุ่นจะเชื่อฟังคุงแม่ฮับ”
“ดีมากลูก”
เขากอดลูกชายเอาไว้แน่น ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งลูกชายที่น่ารักคนนี้มาให้ เขาไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนมาพรากลูกไปจากอกได้แน่นอน
มื้อเย็นของวันนั้นบนโต๊ะอาหาร บรรยากาศไม่ได้ครึกครื้นเหมือนวันก่อนๆเลยแม้แต่น้อย ทุกคนปิดปากเงียบไม่เอ่ยหยอกล้อเล่นกันเหมือนแต่ก่อน มีเพียงเจ้าตัวเล็กที่นั่งทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยไม่ได้สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
“คุณทำไมไม่ทานล่ะคะ” แก้วกานดานั่งทนดูไม่ได้เมื่อเห็นสามีนั่งเขี่ยข้าวในจานอย่างเหม่อลอย
“ผมไม่ค่อยหิว”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ขึ้นไปพักผ่อนล่ะคะ”
“เราเคยนั่งทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกวัน ถึงผมจะทานไม่ลงแต่ก็อยากให้มันเป็นเหมือนเดิม” เขาเอ่ยกับภรรยาด้วยสีหน้าไมค่อยดีนัก
“ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยค่ะ ทุกอย่างมันต้องมีทางออกเพียงแต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้” แก้วกานดาเอ่ย
“ถ้ามันจำเป็นผมก็ต้องทำ ผมคิดหาทางออกไว้แล้วล่ะ” แววตาที่เศร้าสร้อยกลับกายเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมาในทันที จนแก้วกานดารู้สึกตกใจกลัวกับท่าทีของผู้เป็นสามี
นภัทรกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยเมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อพูดเป็นนัยอย่างนั้น
ในระหว่างนั้นยามหน้าประตูก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ท่านครับมีคนพยายามจะเข้ามาผมห้ามแล้วแต่พวกมันมากันหลายคนผมสู้ไม่ไหว”
“ใครกันที่มันกล้าทำอย่างนี้!” ทรงพลลุกขึ้นทันทีที่ได้ยิน
“สวัสดีครับทุกคน ขอโทษด้วยที่มาขัดจังหวะการทานอาหารมื้อเย็น”เคลวินเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ
“มึงกล้าเข้ามาถึงที่นี่เลยเหรอวะ!” ทรงพลรีบเดินเข้าไปหาแต่นดลรีบจับแขนเอาไว้ได้ทัน
“ก็ที่นี่มันบ้านของพ่อกูทำไมกูจะเข้ามาไม่ได้ล่ะ” ท่าทีของเคลวินเริ่มแข็งกร้าวขึ้น เขาปรายตามองนภัทรด้วยความอาฆาตแค้น ทั้งสองมองตากันอย่างไม่ลดละ นภัทรรู้สึกผิดหวังที่เคลวินไม่ยอมรักษาสัญญา เขายังยืนกรานที่จะเลือกครอบครัวเป็นอันดับแรก
“นี่มันบ้านกูมึงไม่มีสิทธิ์ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!” ทรงพลตะโกนลั่นพร้อมกับชี้หน้า
“เอานี่ไปอ่านซะมึงจะได้รู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นของใคร วันนี้กูมาทวงสิทธิ์ทุกอย่างที่เป็นของพ่อแม่กู พวกมึงเสวยสุขกันมามากพอแล้ว” ทุกอย่างที่นี่ยังคงเป็นชื่อพ่อของเขา เคลวินให้ทนายจัดการเรื่องสิทธิ์การครอบครองให้เรียบร้อยแล้ว
“มึงได้นั่งเป็นประธานบริษัทแล้วยังไม่พอใจอีกเหรอวะ” นดลทนไม่ไหวจึงตะโกนว่า
“มันเป็นสิทธิ์ของกูตั้งแต่ต้นแล้ว พวกมึงต่างหากที่ยังไม่พออีกเหรอวะ พ่อมึงฆ่าพ่อกับแม่กูนี่ถือว่ามันยังน้อยไปกับสิ่งที่พวกมึงได้รับ” เคลวินเอ่ยประโยคนี้ออกมาทำให้ทุกคนต่างก็ทำหน้าไม่ถูก มันคือเรื่องจริงที่ทุกคนต้องยอมรับ แต่มีหรือที่ทรงพลจะยอม
“มึงทำอะไรกูไม่ได้หรอกเรื่องมันผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว ตำรวจเอาผิดอะไรกูไม่ได้หรอกโว้ย!” ทรงพลแสยะยิ้มอย่างผู้มีชัย แต่เคลวินกลับยืนนิ่งไม่ได้รู้สึกอะไร
“มึงก็คอยดูแล้วกัน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เอาของขึ้นไปเก็บที่ห้องใหญ่ข้างบน” เขาสั่งลูกน้อง
“หยุดเดี๋ยวนี้ไม่งั้นกูแจ้งตำรวจแน่” นดลเอ่ยออกมา
“ไม่ต้องกลัวที่นี่บ้านกูเอาขึ้นไปเลย ส่วนของมันที่อยู่ในห้องเอาออกมากองไว้ข้างล่างให้หมด” เขาสั่งลูกน้องก็ยอมทำตามในทันที ครั้งนี้เคลวินพาลูกน้องมาด้วยสิบกว่าคน ถ้าไม่ทำอย่างนี้คนอย่างทรงพลไม่ยอมจำนนแน่นอน
“พอได้แล้วพี่วิน!” นภัทรทนไม่ได้จึงตะโกนขึ้นมา
“กูนึกว่ามึงจะเป็นใบ้ซะอีก” เคลวินแสยะยิ้มใส่ ก่อนจะสะดุดตากับเด็กชายที่ยืนหลบอยู่หลังนภัทร สายตาคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยความหวาดกลัว มันทำให้ความรู้สึกผิดเกิดขึ้นในใจแต่ถึงยังไงเขาก็ต้องทำมันต่อไป
“ผมขอร้องล่ะหยุดเถอะ แค่นี้คุณพ่อก็เสียใจมากพอแล้ว” ยิ่งพูดน้ำตายิ่งไหลลงมา นภัทรจ้องหน้าชายหนุ่มผ่านม่านน้ำตา
“กูเห็นแก่มึงละกันเอาเป็นว่ากูจะไม่ยึดห้องพ่อของมึงแล้ว” เขาเอ่ยกับร่างบางแล้วตะโกนสั่งลูกน้องที่กำลังขนของขึ้นไป “พวกมึงหยุดก่อนเอาของทั้งหมดไปไว้ที่ห้องของนภัทร”
“อย่าทำอย่างนั้นเลยนะวินป้าขอร้องล่ะ เห็นแก่ตาอุ่นเถอะนะ” แก้วกานดาเอ่ยขอร้องเอาไว้ เพราะกลัวว่าเคลวินจะไปทำร้ายลูกชายต่อหน้าหลาน หล่อนกลัวว่าเด็กจะมีปัญหา อุ่นรักถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีไม่ควรมาเจอเรื่องอย่างนี้
“คุณไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น เอาเป็นว่าถ้าหากทุกคนอยากอยู่บ้านหลังนี้ต่อ ต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉันแต่เพียงผู้เดียว” เคลวินมองไปที่สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังลูกชายแล้วเอ่ยขึ้นมา “เธอ!” เขาชี้หน้า
“นะ...หนูเหรอคะ” เธอพูดตะกุกตะกักด้วยความกลัว
“ใช่..เธอพาพวกนี้ขึ้นไปที่ห้องของนภัทรเอาของไปเก็บเดี๋ยวนี้”
เธอมองหน้านภัทรก่อนที่เจ้าของห้องจะพยักหน้าให้เชิงอนุญาต
“ดะ...ได้ค่ะ”
“น้องอุ่นครับขึ้นไปข้างบนกับพี่แก้วก่อนนะ เดี๋ยวแม่ตามไป” นภัทรเอ่ยกับลูกชาย
“ฮับคุงแม่” เด็กชายพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่แก้วจะอุ้มพาขึ้นไปข้างบน
เคลวินมองตามลูกชายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู นี่สินะลูกชายที่เขาเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นหน้ามาตลอดหลายปี จากนี้ไปลูกต้องอยู่กับเขาเท่านั้นไม่มีใครจะมาพรากไปได้อีกแล้ว
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*