EP.4
โจรมันชั่ว
"มึงน่าจะโกนหนวดบ้างนะ”
ผมพูดขึ้นหลังจากตื่นขึ้นมาในหลายชั่วโมงให้หลัง พบว่าตัวเองนอนเปลือยอยู่บนพื้น มีผ้าห่มคลุมลวกๆ เหมือนนายแบบภาพฮาล์ฟนู้ด ส่วนโจรอู๋นั่งลับมีดสั้นอยู่ข้างประตู
“ทำไมต้องโกน” มันพูดโดยไม่ละสายตาจากมีดในมือ
“ก็เวลาหอมแก้ม มันคัน จั๊กจี้”
“หึ...ไม่ต้องห่วงหรอก อีกไม่นานเอ็งก็จะไม่โดนหนวดข้าบาดหน้าแล้ว”
“เพราะมึงจะโกนใช่ไหม”
“เปล่า เพราะข้าจะเอาเอ็งไปขายเร็วๆ นี้ไง” มันวางมีดลงแล้วหันมาหาผม “ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำ ข้าจะได้ถ่ายรูปเอ็งสวยๆ ส่งให้ลูกค้า”
โจรปลดโซ่ที่เท้าของผมออกทั้งสองข้าง แค่นั้นก็ทำให้ผมใจชื้นบ้าง แต่ไม่ปลดโซ่ที่มือ (โซ่เป็นแบบพันล่ามเฉยๆ ไม่มีกุญแจไข ผูกติดอีกด้านกับตะปูข้างฝาผนัง) มันถือโซ่สองเส้นที่ผูกแขนของผมแล้วดึงให้เดินตามอย่างกับจูงหมา
“เดินเร็วๆ สิวะ!” มันหันมาสั่ง กระตุกโซ่จนผมเกือบล้มหน้าทิ่มพื้น
แม่ง...ตัวเองขายาวอย่างกับเสาไฟฟ้าก็ต้องเดินเร็วกว่าผมอยู่แล้วป่ะวะ ยังจะมาด่ากันอีก!
“ข้าบอกให้เดินเร็วๆ!” มันกระตุกโซ่อย่างแรงอีกครั้ง
“โอ๊ย! ไหนบอกจะไม่ทำให้กูเจ็บไง!”
“เคยได้ยินคำว่า
ไม่มีสัจจะในหมู่โจร รึเปล่า?”
“ไอ้...” อยากจะด่า แต่นึกคำที่เหี้ยกว่าคำว่าเหี้ยไม่ออก
“ที่ไม่ทำให้เจ็บ ข้าหมายถึงตอนที่เอากัน นอกนั้นไม่เกี่ยวโว้ย”
ไอ้โจรลากผมไปอย่างโหดร้ายอย่างกับผมเป็นนางเอกละครจำเลยรัก
ไม่น่าเผลอคิดเล้ยว่ามันเป็นคนดี!!! ยังไงซะโจรก็ยังเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ! ดีนะที่ไม่เผลอใจอ่อนหวั่นไหว ไอ้อารมณ์อยากจะกอดมันก่อนหน้านี้ก็แค่ดีใจที่มีใครสักคนปลอบใจในยามเศร้าเท่านั้น ผมจะระวังไม่ให้รู้สึกแบบนั้นอีก
ห้องน้ำอยู่ด้านในสุดฝั่งซ้ายของชั้นสาม สภาพทรุดโทรมเกินจะบรรยาย ผนังมีแต่หยากไย่ พื้นก็มีแต่ขี้จิ้งจกตกเต็ม ไอ้โจรถีบผมให้เข้าไปข้างในแล้วออกคำสั่งประหนึ่งหัวหน้าค่ายลูกเสือ
“ให้เวลาห้านาที”
“บ้าเหรอ ห้านาทีแค่ขี้ก็ไม่ทันแล้ว!” ผมเหวี่ยงใส่อย่างสุดทน
“งั้นก็สิบนาที เร็วหน่อยเดี๋ยวไม่ทันกินข้าวเย็น”
“โดนล่ามโซ่อย่างนี้แล้วจะให้อาบได้ไง”
“ไม่ได้ก็ต้องได้” มันสั่งเสียงเหี้ยม “หรือจะให้อาบให้?”
“ไม่ต้อง!!!”
ผมปฏิเสธทันทีอย่างไม่ต้องคิดก่อนจะใช้เท้าถีบปิดประตู ไอ้โจรอู๋นั่งรอข้างนอกโดยถือปลายโซ่เอาไว้ มองสภาพห้องน้ำแล้วก็ต้องถอนหายใจเพราะมันไม่มีอะไรเลยนอกจากโถส้วม กะละมัง ถังน้ำ แปรงสีฟัน กับสบู่หนึ่งก้อน ทำให้ผมนึกถึงสมัยเรียนร.ด. ตอนมอปลายที่ไปเข้าค่ายในป่า ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย ถ่ายกลางป่า คราวนั้นว่าลำบากเหี้ยๆ แล้ว เจอรังโจรที่นี่เข้าไป ค่ายแม่งกลายเป็นหรูเลยอ่ะจริงๆ
ยืนไว้อาลัยให้ความตกต่ำของชีวิตเสร็จก็นั่งคุกเข่า เอามือสองข้างตักน้ำจากถังราดหัวราดตัวอย่างทุลักทุเล นับเป็นการอาบน้ำที่ลำบากที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้ และผมแน่ใจอย่างยิ่งว่าแม้แต่นักโทษในเรือนจำก็คงสุขสบายกว่าตัวเองเวลานี้ซะอีก
เอ๊ะ โซ่โดนสบู่แล้วลื่นกว่าเดิมแฮะ... ครั้งหนึ่งผมเคยแหวนคับนิ้วดึงไม่ออก เลยเอาสบู่ฟอกแล้วดึงมันก็หลุด ไม่แน่ว่าถ้าทำแบบนั้นกับโซ่เวรตะไลที่ผูกข้อมือนี้ก็อาจหลุดเหมือนกัน ต้องลองดู
“ทำไรวะ” ไอ้โจรถามเมื่อโซ่สั่นผิดปกติ
“ขัดขี้ไคล” ผมตอบ
ทันใดนั้นโซ่ก็หลุดจริงๆ พระเจ้าช่วย! หลุดทั้งสองข้างเลย! หึๆๆ คราวนี้แหละกูจะหนีให้ได้ ลาก่อนไอ้โจรชั่ว เตรียมตัวโดนเตะเข้าตะรางเถอะมึ้ง!
ผมเอาสายโซ่คล้องลูกบิดประตูไว้แล้วมองรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ เจอหนึ่งทางคือเพดานที่ผุกร่อน ไม่แน่ว่าข้างบนนั้นอาจจะเชื่อมกับบันไดหนีไฟข้างตึก คิดได้อย่างนั้นผมก็เปิดน้ำใส่กะละมังเสียงดังๆ ไม่ให้โจรรู้ แล้วเอาถังน้ำวางบนชักโครก ก่อนจะขึ้นเหยียบแล้วไต่ผนังแสนโสโครกขึ้นไปสู่ข้างบน
ฝ้าเพดานทำจากแผ่นยิปซัมซึ่งผ่านมาสิบแปดฝนสิบแปดหนาวร้าวหัวใจสิ้นดี (พี่เสกก็มา) ชำรุดจนเปิดออกได้อย่างง่ายดายเพียงแค่แงะเบาๆ ผมจับไม้คานไว้แล้วดันตัวเองขึ้นมาด้านในช่องโหว่เพดานได้สำเร็จ ข้างในนี้ฝุ่นเยอะมากจนเกือบจาม แต่กลั้นไว้สุดฤทธิ์ทำเอาน้ำตาคลอ มองไปเห็นแสงสว่างอยู่ห่างไปราวสิบเมตร ต้องเป็นทางหนีไฟแน่ๆ
ผมเกาะผนังเดินไปถึงแสงสว่างนั้น และก็เป็นอย่างที่คิด...มันคือบันไดหนีไฟจริงๆ คราวนี้ไม่มีพลาด ผมจะไม่ยอมให้ใครหาว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด!!!
ในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย สองมือเอื้อมจับราวไว้มั่น จากนั้นค่อยๆ ปีนลงไปเบื้องล่างอย่างระมัดระวัง รู้สึกหนาวยามลมพัดเพราะไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แต่ช่างแม่งเถอะ ค่อยไปหาเอาข้างหน้าก็ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือหนีให้รอดก่อน
ปีนลงมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงชั้นหนึ่ง ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็รู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ หัวใจฮึกเหิมเมื่อรู้มาได้ครึ่งทางแล้ว ผมใช้แสงจันทร์ที่เล็ดลอดเข้ามาตามรอยแตกของผนังเป็นเครื่องส่องทางระหว่างหาทางออก
ในเมื่อตอนนี้มีแต่ตัวเปล่าไร้กุญแจ ก็คงต้องหาทางอื่นที่ไม่ใช่ประตู...
โชคดีที่หน้าต่างทุกบานเป็นไม้ และโชคดียิ่งกว่านั้นที่ส่วนใหญ่โดนปลวกแทะจนผุกร่อน ผมสุ่มเลือกเอาบานหนึ่งแล้วรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักมันให้เปิดออก จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ ปะทะใบหน้ากับพระจันทร์เต็มดวงเด่นเป็นเหมือนเครื่องหมายแห่งชัยชนะ
ผมเกาะขอบหน้าต่าง ดันตัวเองขึ้น ใช้เท้าข้างหนึ่งยันผนัง อีกข้างก้าวขึ้นมาเหยียบข้างบนก่อน แต่ขณะที่กำลังจะยกขาอีกข้างขึ้นมาก็มีมือเย็นๆ จับข้อเท้าไว้ ผมตกใจจนเกือบพลัดตกหน้าต่าง ค่อยๆ หันไปมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ
สิ่งที่เห็นทำให้สติหลุดในทันใด...
มันคือใบหน้าขาวโพลนของผู้ชายคนหนึ่ง ดวงตาเหลือกโตที่จ้องมองมาซีดจนไม่รู้ว่าเป็นสีฟ้าหรือขาวกันแน่ ริมฝีปากไร้ซึ่งเลือดฝาด มีหนวดหนึ่งหย่อมใต้จมูกเหมือนฮิตเลอร์
เห็นแค่หัว... ตัวไม่มี
“จะ... ไป... ไหน... เหรอ...”
ผีพูดเสียงยานคางและดึงขาของผมลงจากหน้าต่าง ส่งผลให้ผมเสียการทรงตัวร่วงลงมาข้างล่างหัวฟาดพื้น แล้วทุกอย่างก็มืดมิด เช่นเดียวกับความหวังในการหลบหนีของผมที่ดับลง
อีกด้านหนึ่ง
เวลานี้เที่ยงคืนหนึ่งนาที แต่ยังไม่มีวี่แววว่าแสงเทียนจะกลับมา เฟลมจึงไปที่โรงพักอีกครั้งเพื่อแจ้งความ คราวนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เห็นหน้ามึนๆ ของหมวดคนนั้นอีก เฟลมรู้สึกเหมือนเขาไม่เต็มใจรับใช้ประชาชนเอาซะเลย พาลให้นายแบบหนุ่มไม่ถูกชะตาไปด้วย
“คุณตำรวจครับ ผมมาแจ้งความคนหาย”
สุดหล่อเข้าไปที่โต๊ะแจ้งความ เจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่หมุนโต๊ะหันหน้ามาดู ปรากฏแก่สายตาเฟลมว่าเป็นหมวดรักษ์คนเดิม กำลังอ่านนิยาย
‘อย่าเรียกฉันว่านังแพศยา’ ปกสีชมพูจี๊ดจ๊าดชวนแสบตาตัดกับรูปดอกไม้สีทองแวววาวบนหัวของนางเอก
“คุณอีกแล้ว” หมวดเลิกคิ้ว
“ใช่ ผมอีกแล้ว” เฟลมนิ่วหน้า รู้สึกผิดหวังและรำคาญตงิดๆ “เลยยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว รับแจ้งได้รึยัง”
“อืม เขายังไม่กลับมาสินะ โอเค” หมวดเซ็นเอกสารในแฟ้มด้วยลายมือไก่เขี่ยเหมือนไม่ใส่ใจ ทำเอาเฟลมฉุนเล็กน้อย
บริการชุ่ยแบบนี้ ลาออกไปขายปุ๋ยแทนก็ได้นะ!“พวกคุณจะเริ่มตามหาเมื่อไหร่” ถามอย่างร้อนใจ
“เราต้องตั้งทีมสืบสวนขึ้นมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีตำรวจคนไหนว่างเลยนอกจากผมกับจ่าตะวัน แต่จ่าตะวันยังไม่หายป่วย อย่างเร็วสุดอาจจะเป็นมะรืนนี้ หรือพรุ่งนี้ของมะรืนนี้”
“อะไรนะ!!!” เฟลมทุบโต๊ะ ตะโกนเสียงดัง “เร็วกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอ คุณรู้ไหมว่าผมทุกข์ใจแค่ไหน! ผมหวังว่าพวกคุณจะเป็นที่พึ่งให้ผมได้ แต่นี่อะไร ทั้งเย็นชาและช้ามาก!!!”
“อย่ามาโวยวาย” หมวดรักษ์กระแทกสันหนังสือใส่โต๊ะดังปึง ดวงตามึนๆ เปลี่ยนเป็นขึงขังน่าเกรงขาม “ผมเข้าใจว่าคนที่มาแจ้งความเขาทุกข์ร้อนกันทุกคน แต่คุณต้องเข้าใจระบบของเรา ไม่ใช่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ งานของเราต้องใช้ความรอบคอบสูง และผมไม่สามารถทำตัวคนเดียวได้ เราต้องทำทุกอย่างไปตามกระบวนการ ขอให้เข้าใจด้วย”
เฟลมกลืนน้ำลายอย่างฝืดๆ
“กรอกข้อมูลให้ครบ”
หมวดยื่นเอกสารร้องทุกข์ให้ อดีตนายแบบกรอกจนครบแล้วส่งคืน หมวดรักษ์มองนาฬิกาแล้วลุกจากเก้าอี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ตำรวจอีกคนเข้ามานั่งแทนที่
“หมดเวรผมพอดี ต้องไปแล้ว เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่เราจะติดต่อกลับไปหาคุณ สวัสดี”
“อ้าว เฮ้!”
หมวดรักษ์เอาหนังสือหย่อนลงกระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เฟลมมองตามด้วยความรู้สึกแย่สุดบรรยาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินคอตกออกจากโรงพัก แล้วนั่งลงที่ม้านั่งข้างถนนอย่างหมดอาลัยตายอยาก สองมือกุมขมับ ก้มหน้าเครียด
วันนี้ทั้งวันเขาไม่ได้ทำเพียงแค่อยู่นิ่งๆ รอแสงเทียนกลับมาที่ห้อง แต่ทำหลายอย่างทั้งขอดูกล้องวงจรปิดทุกตัวของอพาร์ทเม้นต์และบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งเดินตามหาทุกที่ที่คิดว่าแสงเทียนจะไป โทรหาทุกคนในบัญชีรายชื่อมือถือของแฟน (ยกเว้นพ่อกับแม่แสงเทียน กลัวพวกท่านจะหัวใจวายก่อน) แต่ก็ต้องผิดหวัง ไม่มีใครรู้ข่าวของแฟนเขาเลยสักคน แสงเทียนหายไปเฉยๆ เหมือนน้ำระเหยตอนโดนแดด เผลอแป๊บเดียวก็เหลือแต่อากาศ ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้สักอย่าง
เฟลมเหนื่อยแทบขาดใจ สภาวะตอนนี้ยิ่งกว่ามืดแปดด้าน คิดว่าอาจเป็นเวรกรรมคืนสนอง เบื้องบนคงลงโทษที่เขานอกใจ เพราะถ้าแสงเทียนเป็นอันตรายใดๆ ขึ้นมา ตราบาปนี้จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
ครู่ถัดมาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น เฟลมสะดุ้งเฮือกรีบรับสายโดยไม่แม้แต่จะมองชื่อด้วยซ้ำ
“ฮัลโหล เทียน!”
[อะไรกันเฟลม นี่พี่เอง คืนนี้นายว่าง...]
“ไอ้เหี้ย!!! อย่าโทรมาอีกนะโว้ย!!!”
ทันทีที่อีกฝ่ายตอบกลับมา ชายหนุ่มก็ขว้างมือถือราคาแพงที่ปลายสายเป็นคนซื้อให้ลงกับพื้นอย่างแรงจนแตกกระจาย ชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องกระเด็นไปคนละทิศทาง
“เหี้ย... แม่งเหี้ย!”
เฟลมเหยียบซ้ำจนหน้าจอแหลกละเอียดคาเท้า
...ไม่ต่างกับหัวใจของเขาในตอนนี้เลย
เสืออู๋ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นมาจากชั้นล่างสุด เสียงนั้นคุ้นๆ เหมือนเสียงของคนที่ตนเพิ่งจับมา แต่จะเป็นไปได้ไงในเมื่อคนๆ นั้นกำลังอาบน้ำอยู่... หรือว่ามันหนีอีกแล้ว?
คิดได้อย่างนั้นก็ถีบประตูเปิดออก พลันก็ใจหายเมื่อไม่เห็นคนอยู่ข้างใน ปลายสายโซ่ที่เคยล่ามเหยื่อคล้องไว้กลอนประตู ถังน้ำวางอยู่บนชักโครก ฝ้าเพดานเปิดอ้า ผนังมีรอยมือรอยเท้าบ่งบอกการปีนป่าย เมื่อนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าโดนหลอกเข้าเต็มเปา
โจรหนุ่มรีบวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขายาวๆ ของเขาจะทำได้ จากนั้นมุ่งหน้าไปที่ประตูด้านหลังเพราะคิดว่าแสงเทียนคงหนีไปทางนั้น แต่ยังไม่ถึงประตู สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างขาวบอบบางนอนแผ่หลาไม่ได้สติอยู่บนพื้น แบบเดียวกับที่เขาเห็นครั้งแรกในอพาร์ทเม้นต์
ทว่าหนุ่มน้อยไม่ได้อยู่ลำพัง มีตัวอะไรบางอย่างนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย
“เฮ้ย ผี!!!” โจรหนุ่มสะดุ้งเมื่อใบหน้าขาวเผือดหันมามอง
“อ้าว... เฮีย” หน้าขาวทักด้วยเสียงยานคางเหมือนเพิ่งตื่นนอน เพิ่มความหลอนเป็นสองระดับ “ผมเอง ไม่ใช่ผี”
“ไอ้เล็ก!!! โธ่!!! ไม่ใช่ผีก็เหมือนผีนะมึง กูตกใจหมด!”
โจรอู๋สบถลั่น เอามือทาบอกอย่างโล่งใจเมื่อรู้ว่าคนๆ นั้นคือลูกน้องโจรอีกคน แต่เป็นคนที่เขาเกือบลืมไปแล้วเพราะมันเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด แถมยังชอบใส่เสื้อผ้าสีดำจนเห็นแต่หน้าขาวลอยเหมือนผี
พอหายตกใจก็นึกขึ้นได้
“เฮ้ย! มึงอย่ามอง อย่าแตะต้องเขา ถอยออกมาห่างๆ เดี๋ยวนี้!”
โจรสั่งเสียงดังพร้อมกับชี้นิ้วใส่ลูกน้อง โจรเล็กทำหน้างง เขาเลยผลักออกไปแล้วเอาตัวเองบังร่างเปลือยของแสงเทียนไว้ มือใหญ่หยิบผ้าขี้ริ้วแถวนั้นมาพันร่างกายท่อนล่างของหนุ่มน้อยก่อนจะอุ้มขึ้นจากพื้น
“เขาเป็นใครเหรอเฮีย” ลูกน้องถาม ทั้งที่รู้คำตอบจากรอยสักติดหน้าอกนั้นแล้ว แต่แค่อยากแน่ใจ
“ข้าจับมาจะเอาไปขาย” ลูกพี่บอก
“อ๋อ มิน่าล่ะถึงหนี” ลูกน้องพยักหน้า “เขากล้าบ้าบิ่นมากเลยเนอะ ปีนบันไดหนีไฟลงมาจากชั้นสามแน่ะ ถ้าผมไม่ออกมาเจอ ป่านนี้คงหนีไปได้แล้ว”
“...ไอ้ตัวแสบ” โจรอู๋แยกเขี้ยวใส่คนตัวเล็กในอ้อมแขน “ขนาดล่ามโซ่ไว้ยังจะหนีได้ เดี๋ยวคงต้องเอามัดติดเสาตอกตะปูซะแล้ว”
“เฮีย...” ลูกน้องตาโตหรี่ตาลงอย่างเพลียจิต “โซ่ที่ล่ามร่างกายจะหนาแค่ไหน ถ้าคนอยากจะหนีมันก็หนีได้ แต่โซ่ที่ล่ามหัวใจ แม้จะมองไม่เห็น แต่มันจะผูกไว้จนหนีไม่พ้น เชื่อผมสิ”
“...”
ลูกน้องกับลูกพี่มองตากัน ฝ่ายหนึ่งมีดวงตากลมใหญ่ใสแจ๋วเหมือนลูกแก้ววิเศษที่มองคนอื่นออกตั้งแต่แวบแรกและสามารถจับผิดได้อย่างง่ายดาย ผิดกับอีกฝ่ายที่แม้จะมีดวงตาดุดันทรงพลัง แต่ความสามารถในการโกหกต่ำเตี้ย แววตาล่อกแล่กส่อพิรุธชัดเจน
“พูดพล่ามอะไรของมึง ไม่มีอะไรก็กลับห้องไปได้ละ”
ลูกพี่หลบตาและโบกมือไล่ชายชุดดำ ก่อนจะอุ้มร่างของแสงเทียนเดินขึ้นบันได ทว่าลูกน้องที่อยู่ข้างหลังร้องบอก
“เมื่อกี้เขาหัวฟาดพื้นคงจะเจ็บน่าดู ทายาให้เขาด้วยนะเฮีย”
“เออๆ!” ตอบแบบขอไปที
ลูกน้องมองตามหลังลูกพี่และยิ้มกริ่มเหมือนรู้ดี พอร่างสูงหายลับตาไป เขาก็กลับเข้าห้องของตัวเอง
โจรเล็ก หรือ ‘อเล็กซ์ เกรกอร์ ฮริคมันซ์’ หนุ่มลูกครึ่งไทย-เยอรมัน อายุยี่สิบเอ็ดปี เป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งโจร ตำแหน่งอาชญากรคอมพิวเตอร์ สมาชิกคนเดียวในแก๊งที่ไม่ออกภาคสนาม แต่ทำงานในห้องมืดๆ ที่ชั้นหนึ่ง งานประจำคือเจาะแฟ้มตำรวจ ดัดแปลงลายนิ้วมือของผู้ร้ายไม่ให้ตรงกับคนในแก๊ง (กรณีเผลอทิ้งไว้) ตำรวจจึงไม่สามารถจับพวกเขาได้
นอกจากนี้ยังเป็นคนเลือกหาสถานที่ในการก่อเหตุกับสถานที่กบดานในแต่ละครั้ง รวมทั้งเป็นนักบัญชี จัดการเรื่องเงินอย่างเป็นระบบระเบียบเพื่อไม่ให้ใครในแก๊งได้เปรียบเสียเปรียบกันด้วย
พูดได้เลยว่าเขานี่แหละมันสมองของแก๊งที่แท้จริง ถ้าไม่มีเขา ไอ้สามคนที่เหลือคงอยู่ในคุกนานเป็นชาติแล้ว
โจรเล็กเป็นคนไอคิวสูงปรี๊ด ฉลาดเป็นกรด แต่ขาดโอกาสในชีวิตทุกด้าน เขาถูกทิ้งในถังขยะตั้งแต่ยังเป็นทารกตัวแดงๆ สิ่งเดียวที่ติดตัวคือจดหมายของแม่ที่บอกว่าพ่อคือใคร ทว่าพอตำรวจสืบหากลับพบว่าพ่อเขาเป็นอาชญากรหลบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย แถมกว่าจะเจอตัวก็ถูกศัตรูเป่ากบาลดับคาห้องพักซะงั้น อีกทั้งพ่อยังเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีใครยอมรับเลี้ยงเด็กตาดำๆ อย่างเขาด้วย
เหตุนี้เด็กทารกอนาถาจึงถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า และอยู่ในนั้นจวบจนอายุสิบแปดแล้วทางสถานฯ ก็ให้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง อเล็กซ์เรียนมหา’ลัยเปิดแห่งหนึ่ง ไม่ได้เข้าเรียน แต่ทำงานแลกค่าจ้างขั้นต่ำอยู่เกือบสามปี ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาไม่มีเงิน อีกทั้งยังต้องส่งเสียทางสถานฯ บ้านเก่า เนื่องจากจำนวนเด็กกำพร้าในบ้านเพิ่มขึ้นทุกปี แม่ๆ ของเขาเลยมีภาระมากขึ้น รอเงินสนับสนุนจากรัฐอย่างเดียวไม่ไหว
อเล็กซ์ทำงานทุกอย่างตั้งแต่พนักงานร้านสะดวกซื้อ รับจ้างแปลเอกสาร สอนพิเศษเด็กนักเรียน แต่ไม่ว่าทำยังไง เงินที่ได้มาก็ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ดี เคยตกอับถึงขั้นนอนวัดและขอข้าวพระกิน จนบางครั้งนึกโกรธโชคชะตาของตัวเองที่น่าจะตายซะตั้งแต่ถูกทิ้งในถังขยะ จะได้ไม่ต้องรับรู้ความยากลำบากของโลกใบนี้
จนกระทั่งได้พบกับเบย์เมื่อหกเดือนก่อนในร้านเหล้าที่เขาเป็นเด็กเสิร์ฟ เห็นเบย์ฉกกระเป๋าชาวบ้านต่อหน้าต่อตา เลยคว้าคอไว้จากข้างหลัง ตอนนั้นเบย์ตกใจ คิดว่าจะโดนต่อยและส่งตำรวจ
แต่เปล่า...อเล็กซ์ขอส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง แลกกับที่จะไม่แจ้งความ เบย์ทั้งงงทั้งดีใจ แต่ก็ตกลง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ
พวกเขาทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดี อเล็กซ์เลือกเหยื่อ ชี้เป้า เฝ้าต้นทาง ส่วนเบย์ลงมือทำ ช่วงนั้นเงินลูกค้าในร้านหายทุกวันโดยเจ้าตัวไม่รู้รวมแล้วเกือบหนึ่งแสน เป็นเวลาสามอาทิตย์ก่อนที่อเล็กซ์จะตัดสินใจว่าเงินเพียงครึ่งเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป เขาต้องการมากกว่านั้น เบย์จึงชวนให้เข้าแก๊งด้วยกันเป็นโจรเต็มตัว จากนั้นชีวิตของอเล็กซ์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นโจรเล็กเช่นทุกวันนี้
แต่ความจริงที่เจ้าตัวคิดก็คือเขามีเลือดโจรของพ่อตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก แค่มันเพิ่งจะฉายแววตอนโตนี่เอง
อย่างไรก็ตาม อเล็กซ์มาเป็นโจรอย่างมีเป้าหมาย เขามีอุดมการณ์แรงกล้าที่จะเก็บเงินสร้างบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่เพียงพอต่อน้องๆ หลายสิบชีวิตของเขา และไว้เป็นเงินทุนการศึกษาในภายภาคหน้าของเด็กๆ ด้วย เพราะเขาไม่อยากให้น้องๆ มีชีวิตลำบากหรือกลายเป็นปัญหาสังคม เขาเชื่อว่าต้องทำได้แน่ ถ้าหากไม่ถูกจับซะก่อนน่ะนะ
เช่นเดียวกับสมาชิกในแก๊งที่มีจุดประสงค์แตกต่างกันไป แต่สิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันคือ ‘อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น’ และเงินคือคำตอบของทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ
แต่กว่าจะหาเงินเองได้มันไม่ง่าย เลยขโมยจากชาวบ้านแทน ง่ายกว่าเยอะ
เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้แหละ...
เมื่อมาถึงห้อง เสืออู๋ก็วางร่างบอบบาง บอบช้ำ และเขรอะฝุ่นของแสงเทียนลงกับพื้นแล้วปาดเหงื่อเล็กน้อยตามไรผมกับกรอบหน้าหนาหนวดของตน
เห็นตัวผอมๆ แบบนี้หนักไม่ใช่เล่น เมื่อวันก่อนตอนแบกใส่กระสอบมาว่าลำบากแล้ว วันนี้ก็ยังต้องอุ้มเดินขึ้นบันไดมาตั้งสามชั้น ต่อให้เป็นโจรตัวใหญ่ร่างกายแข็งแรงก็หืดขึ้นคอกันบ้าง
โจรหนุ่มนั่งลงตรงหน้าคนตัวเล็กกว่า ปัดหยากไย่ออกจากผมแล้วเปิดหน้าม้าขึ้นดู เห็นหน้าผากปูดโนเป็นสีแดงๆ ก็ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี
ยาสามัญประจำบ้านมีเพียงอย่างเดียวคือยาหม่อง เขาเอื้อมไปหยิบมาทาที่แผลตรงหน้าผากของหนุ่มน้อยอย่างเบามือ คนที่ถูกทายาสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ตื่น... คงจะแสบเฉยๆ
โจรยิ้ม
หมับ...
มือบอบบางของคนที่นอนอยู่จับมือใหญ่ที่กำลังทายาให้ตนเบาๆ ทำเอาเจ้าของมือใหญ่ตกใจ กลัวจะทำคนเจ็บตื่น แต่ที่กลัวกว่าคือจะหาคำแก้ตัวไม่ได้ว่าทำไมต้องทายาให้ ทั้งที่เป็นคนทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายสารพัดแท้ๆ
ทว่าคนเจ็บก็ไม่ตื่น แค่ละเมอเท่านั้น
“อย่าไปนะเฟลม....”
น้ำเสียงหวานๆ จากริมฝีปากบางกระแทกหัวใจของชายหนุ่มที่จ้องดูอยู่อย่างจัง... แม้มันจะฟังดูเศร้า และชื่อนั้นจะไม่ใช่ชื่อเขาก็ตาม แต่กลับรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างประหลาด
“...เฟลม”
แสงเทียนน้ำตาไหล เสียงสั่นน้อยๆ แต่จับมืออีกฝ่ายแน่นมากขึ้น
“อย่าร้องสิ”
เขาพูดเบาเกือบเป็นกระซิบ แต่แสงเทียนก็ยังคงร้องต่อไป ไม่รับรู้สิ่งใดที่อยู่นอกความฝัน
เสือหนุ่มโน้มตัวลงไปใกล้ อยากจะเช็ดน้ำตาให้ ทว่าก็ชะงักไว้เพราะกลัวฝ่ามือหยาบกระด้างแข็งกร้าวของตนจะบาดผิวจนหนุ่มน้อยระคายเคืองและตื่นขึ้นมาได้ เลยเคลื่อนตัวกลับไปข้างหลังเช่นเดิม
ไอ้เฟลมนั่นเป็นคนที่ทำให้เอ็งร้องไห้ใช่ไหมก็แล้วจะคิดถึงมันอีกทำไมเล่า...รุ่งเช้า
ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเจ็บหัว เอามือแตะหน้าผากดูก็ต้องร้องโอ๊ยเพราะหัวโนเท่าลูกมะนาว คงเป็นตอนตกหน้าต่างหัวฟาดพื้นเมื่อคืนแหงๆ มองรอบตัวเห็นว่ายังอยู่ห้องเดิม แสดงว่าหนีไม่รอดอีกครั้งหนึ่งแล้ว เย่ (ประชด)
แต่แปลกจัง ทำไมผมไม่ถูกมัด ไม่ถูกล่ามโซ่?!
“ฟื้นซะที สลบนานฉิบหาย” เจ้าของห้องที่กำลังนั่งตัดเล็บเท้าหน้าประตูพูดจิกกัดผมทันที
“นี่มันอะไร ทำไมไม่มัดกูล่ะ” ผมถามอย่างมึนงง หันไปข้างตัวก็เห็นถุงเสื้อผ้าใหม่หลายชุด “แล้วเสื้อผ้าพวกนี้คือ?”
“ซื้อมาให้” โจรตอบห้วนๆ สายตาจ้องอยู่ที่เล็บเท้าตัวเอง “ที่ไม่มัดก็เพราะเอ็งคงจะหาทางหนีอยู่ดี เขาว่ายิ่งขังหมา หมายิ่งอยากออกจากกรง ข้าก็เลยเลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติ”
เปรียบเทียบได้ลึกซึ้งมากผมก้มมองดูสภาพตัวเองแล้วก็แปลกใจอีกเพราะไม่ได้สกปรกเหมือนเมื่อคืน ดมๆ ดูก็หอมกลิ่นสบู่ด้วย
“อาบน้ำให้ใหม่เมื่อคืน” โจรบอกอย่างรู้ทัน “แต่เอ็งก็หลับได้หลับดี ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกสวนทวารตั้งสามรอบ”
“...!!!”
“ล้อเล่นน่ะ”
“...” เกือบด่าเป็นภาษาเหนือสำเนียงเชียงรายแล้วเชียว
“ตื่นแล้วก็ดี จะได้ถ่ายรูป”
ตัดเล็บเท้าเสร็จมันก็หันตัวมาทางผมตรงๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าว่าหนวดของมันดูบางตาลง
“ถ่ายรูปให้ลูกค้าดูน่ะเหรอ” ผมถาม ใจแอบหวั่นวิตก
“ใช่ แต่ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ถ่ายเอ็งทั้งๆ ที่โป๊หรอก เสื้อผ้าในถุงน่ะเลือกใส่เอาสิ”
“...อือ”
ผมพยักหน้าอย่างจำใจแล้วเปิดดูถุงเสื้อผ้า มีครบทั้งชั้นใน เสื้อ และกางเกงอย่างละสามตัว แบรนด์เนมซะด้วย ตัวละตั้งหลายร้อยแน่ะ สงสัยฝากนายเดลิเวอรี่ซื้อมั้ง ผมเลือกออกมาใส่ให้เสร็จๆ ไป
ผมรู้ว่าทำไมไอ้โจรถึงไม่ล่ามโซ่แถมซื้อเสื้อผ้าให้ ไม่ใช่ว่ามันใจดีสงสารผมหรอก แต่มันกำลังจะขายผมจริงๆ แล้วต่างหาก เสื้อผ้าพวกนี้ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ลูกค้าจะได้เห็นว่าผมดูดีมีชาติตระกูล ไม่ใช่ถูกทารุณเหมือนสัตว์ ที่มันทำก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองล้วนๆ ไม่ใช่เพื่อผม
ใส่เสร็จไอ้โจรก็หยิบมือถือขึ้นมา โอ้โห ใช้รุ่นใหม่ล่าสุดที่แบมบี้วงก็อตจักรพันธ์เป็นพรีเซนเตอร์ด้วยนะแก (ขโมยมาอีกชัวร์) แล้วสั่งให้ผมยืนชิดผนังห้อง
"ยิ้มสวยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ”
มันสั่ง ผมก็ยิ้มแบบฝืนๆ
“ดูเฟคมาก ยิ้มออกมาจากใจสิวะ”
“คนจะโดนขายตัวเขายิ้มกันออกรึไง!” ผมสวน
“เรียนออกจะสูง เรื่องแค่นี้ทำไมทำไม่ได้”
“มันเกี่ยวกันตรงไหนวะ!?”
เกลียดฉิบหายไอ้คำพูดพวกนี้ เรียนปริญญาตรีไม่ได้แปลว่าต้องทำได้ทุกอย่างครอบจักรวาลนะเว่ย นี่คนครับไม่ใช่ซูเปอร์แมน!
“ต้องทำ ไม่งั้นไม่ให้แดกข้าว”
มันลั่นคำประกาศิตที่รู้ว่าผมไม่กล้าปฏิเสธ ซึ่งก็จริง เริ่มแสบท้องละเนี่ย
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลอกตัวเองว่าคนตรงหน้าคือญาญ่าคนสวย ก่อนจะฉีกยิ้มอย่างหวานหยาดเยิ้ม แววตาเป็นประกายวิ้งๆ ใส่กล้อง ยิ้มหวานขนาดนี้ถ้ามันยังติอีกล่ะก็ ผมยอมไม่แดกข้าวเลยอ่ะ
“เออ แบบนี้ดิ” ไอ้โจรว่าแล้วกดถ่ายสามครั้งติดกัน
“จะเอากูไปให้ลูกค้าตอนไหน” ผมถาม จะได้เตรียมใจทัน
“ข้าต้องดูก่อนว่าลูกค้าคนไหนให้ราคาเอ็งสูงที่สุด คงไม่เกินสามสี่วัน เดี๋ยวเอ็งก็เป็นอิสระ”
“อิสระ...” ผมทวนคำของมันอย่างขมขื่น
อิสระจากมึงก็จริง แต่หลังจากถูกลูกค้าบ้ากามปู้ยี้ปู้ยำหนำใจแล้วชีวิตกูจะเป็นยังไงต่อไป? โดนฆ่าหรือเอาไปขายเป็นทอดๆ? หรือต่อให้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนปกติ ประวัติก็คงด่างพร้อยย่อยยับ สังคมไม่ยอมรับอยู่ดี ไม่มีหรอกอิสระที่มึงว่าน่ะ นอกจากความตายเท่านั้นแหละ
โจรออกไปข้างนอกแล้วกลับมาพร้อมกับจานข้าวยื่นให้ผม
“แดกซะ”
ปรากฏว่าเป็นข้าวคลุกน้ำปลา ดูแล้วอนาถยิ่งกว่าข้าวหมา แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรกิน ผมรับมาจากมือมันและถือมานั่งกินห่างๆ
ก่อนตักข้าวเข้าปากผมหันไปบอกมันอย่างโคตรจะจริงใจ
“ขอบใจนะ”
“อือ”
ผมกินข้าว ส่วนมันก็ก้มหน้ากดมือถือ คงกำลังส่งรูปผมให้ลูกค้า
เอาเหอะวะ กูก็อยากรู้ว่าชีวิตนี้จะเฮงซวยได้ถึงขีดสุดแค่ไหน!
...
ขณะที่คนหนึ่งกินข้าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง อีกคนก็ซ่อนรอยยิ้มไว้เบื้องหลังหนวดครึ้ม เขาเลื่อนดูรูปภาพที่เพิ่งถ่ายไปหมาดๆ แล้วเลือกภาพที่ดูดีที่สุด แต่ก็เลือกไม่ได้สักทีเพราะดูดีเกินกว่าจะมีอยู่จริงทุกรูป
หนุ่มน้อยหน้าหวาน ผมสีน้ำตาล ยิ้มตาเป็นประกาย
คงจะมีแค่นางฟ้าเท่านั้นที่จะงดงามเทียบเท่าคนๆ นี้
ตั้งค่า -> ใช้เป็นวอลเปเปอร์หน้าจอ -> ตกลง“หึๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอแล้วหย่อนมือถือลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม
TBC...