A s t e r F l o w e r
“ถ้าพูดถึงเดือนกันยายนแล้วมึงจะคิดถึงอะไรวะ?”
คำถามที่ฟังดูแล้วโคตรจะนอกประเด็น ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังถือหนังสือพันธุ์ไม้ดอกเล่มโตอดที่จะต้องละสายตาไปมองหน้าคนพูดเสียไม่ได้
“บอกทีว่ามันเกี่ยวกับงานที่บอกว่าจะมาหาตรงไหน” คนถูกถามกลับกรอกตาไปมาอย่างเนือยๆแล้วไหวไหล่เล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคำถามก่อนหน้านี้คงจะไม่ได้รับคำตอบอย่างที่คิดไว้ถูกเผง!
“ก็แค่อยากรู้นี่” เสียงบ่นเบาๆดังขึ้นพร้อมๆกับร่างโปร่งของคนที่กึ่งชวนกึ่งบังคับเขาให้มาหาหนังสือเป็นเพื่อนที่ห้องสมุด กำลังไถลตัวไปฟุบหน้าลงบนโต๊ะ
“จะอยากรู้อะไรขนาดนั้น” คนปากไวลอบมองใบหน้านิ่งๆที่หลับตาพริ้มอย่างอ่อนใจ
“ก็มันเรื่องของกูบ้างมั้ยล่ะ!” ก่อนจะกดยิ้มเล็กน้อยเมื่อไอ้เพื่อนตัวดียังอุส่าส่งเสียงขึ้นมาขู่ฟ่อ
“ก็แล้วบอกได้ไหมล่ะว่าเรื่องที่อยากรู้มันไม่เกี่ยวกับกู”
สาริน ปิดหนังสือก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ เมื่อแน่ใจแน่แล้วว่าตอนนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าการได้กลั่นแกล้งคนตรงหน้า
“....หรือมึงว่าไง?” ยักคิ้วกวนประสาทคนตรงหน้าอีกนิด กดยิ้มตามสไตล์อีกหน่อย สารินก็ได้รับค้อนงามๆจาก
ธีธัช ทันทีแบบที่ไม่ต้องขอ
“ถ้ามึงไม่ยอมตอบก็ไม่ต้องทำเนียนมาอยากรู้ว่าเกี่ยวกับมึงไหมเลยนะริน” จบประโยค สารินก็หลุดหัวเราะเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่จนคู่สนทนาอย่างธีธัช ต้องหยิบก้อนยางลบที่ยังไม่ทันได้เก็บลงกระเป๋าเข้ามาไว้ในมือ แล้วเล็งเป้าไปที่หน้าผากของตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
“รู้สึกว่าจะชอบใจกับการได้แกล้งกูเหลือเกินนะมึง” สารินหลุดขำพรืดอีกครั้ง ก่อนที่ธีธัชจะกระโดดตัวข้ามโต๊ะเพื่อเอามือไปปิดปากนั้นไว้ เพราะตอนนี้พวกเขาทั้งคู่กำลังตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาที่อยู่ในห้องสมุดนี้เสียแล้ว
“ก็พอๆกับความขี้งอนของมึงนั่นแหละ”
“มึงว่าใครขี้งอนห๊ะ!”
“ก็มึงไง” ธีธัชอยากจะกระโดดงับนิ้วชี้ที่ดิ่งตรงมาตรงหน้าเขาเสียให้เลือดซิบ แต่ที่ทำได้ตอนนี้คือธีธัชทำได้เพียงแต่แยกเขี้ยวใส่สารินอย่างขัดใจเท่านั้น
“แล้วนี่เจอหนังสือรึยัง?”
“ยัง! หิวแล้วไม่อยากหาแล้ว” คิ้วสวยบนในหน้าเรียวขมวดยุ่ง คงกำลังขัดใจที่ไม่ได้คำตอบที่เจ้าตัวต้องการนั่นแหละปฏิกิริยาถึงได้ตอบสนองแบบมึนตึงจนสารินต้องแอบคาดโทษเอาไว้ในใจ ดูเอาเถอะ! แล้วแบบนี้จะไม่ให้สารินกล่าวหาว่าธีธัชน่ะเอาแต่ใจได้ไงไหว
“แล้วจะกลับบ้านเลยว่างั้น” สารินถามพร้อมขยับตัวลุกขึ้นตามธีธัชที่หอบหนังสือเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วเรียบร้อย
“อืม” ธีธัชพยักหน้ารับคำนั้น ก่อนที่ทั้งคู่ที่พากันเดินออกไปจากห้องสมุดอย่างเงียบๆ เหมือนอย่างตอนที่เดินเข้ามานั่นแหละ
.
.
“อยู่ไหนน่ะ” เสียงเขียวปั๊ด จนคนรับชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าของเบอร์กับเจ้าของเสียงจะใช่คนเดียวกันหรือป่าว? สารินดึงโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์ที่โทรเข้ามาอีกครั้งก็คลายความคิดทุกอย่างลง ก่อนจะนึกขำเมื่อพอจะเดาได้ลางๆแล้วล่ะว่าเจ้าตัวเขาคงจะโมโหน่าดู ถึงได้ทำเสียงเหมือนอยากจะกินหัวเขาเสียขนาดนั้น
“ตลาด” ตอบพลางผงกหัวให้อีกคนที่กำลังคุยอยู่ด้วยอย่างเกรงใจ แต่ถ้ามัวแต่เกรงใจแล้วไม่รับโทรศัพท์ มีหวังสารินคงจะเจอมากกว่าเสียงเขียวๆแบบนี้แน่
“เพิ่งรู้ว่ามึงย้ายจากสินกำ ไปเรียนการตลาด”
"นี่มึงเป็นผู้หญิงรึไงวะธัช ทำไมถึงขี้ประชดนัก?” ริมฝีปากกดยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียงร้องโวยวายจากปลายสาย ก่อนจะเดินเลี่ยงไปนั่งอยู่มุมนั่นเล่นของร้าน...ที่เขาชอบปลีกตัวจากเพื่อนๆแล้วมาขลุกอยู่ที่นี่ได้สักพักหนึ่งแล้ว
“ไอ้ห่านี่!! กูแค่จะโทรมาถามว่าทำไมมึงไม่เข้าเรียนเว้ย! งานกลุ่มก็ไม่มาช่วยกันทำ ไอ้หมาบ้าฟ้าครามมันขู่จะตัดชื่อมึงออกจากกลุ่มแล้วด้วยนะ” เสียงตะแง๊วๆจากปลายสาย และบรรยากาศที่มองไปทางไหนก็เจอแต่....ดอกไม้ ทำให้สารินเพลิดเพลินกับการใช้เวลาคุยโทรศัพท์นานเกินจน....
‘ริน...’“เสียงใครเรียกมึงอ่ะ?”
“อ่อ ..เออ...ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวกูต้องวางสายก่อนนะธัช เจอกันตอนเย็นมึง”
เสียงเรียกจากเจ้าของร้านดังขึ้นทำให้สารินต้องรีบเอ่ยวางสาย ก่อนจะเดินเข้าไปหาคนที่ตัวเองชักจะไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าการที่เขาเอาเรื่องบางเรื่องของคนบางคนมาปรึกษาด้วยนี่ มันจะได้เรื่องได้ราวหรือป่าว? เพราะพี่ท่านเล่นไม่ให้ความร่วมมือเลย ถามอะไรก็บอกแต่
‘โตแล้ว คิดเองสิวะ’...แต่สารินก็ยังเลือกที่จะมาหมกตัวอยู่ที่นี่ทุกครั้ง นอกเหนือจากเวลาทั้งหมดที่ยุ่งอยู่กับการเรียนและเจ้าเพื่อนตัวแสบอย่างธีธัช
“ว่าไงเฮีย” เมื่อกลับมาที่เก้าอี้ตัวเดิม สารินก็เห็นคนมาใหม่อีกคนซึ่งก็คุ้นเคยกันดีด้วยเพราะ...เหล่าดอกไม้นานาชนิดที่กำลังแข่งกันส่งกลิ่นอบอวลอยู่ตอนนี้
จีเฟ่ย....พี่ชายลูกครึ่งไทยฮ่องกงที่เขาได้รู้จักเมื่อตอนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ 3 เดือนช่วงมัธยมปลาย จีเฟ่ยเป็นผู้ชายที่มีรูปร่าสูงโปร่ง ริมฝีปากบาง จมูกโด่งสวยรับใบหน้าที่หวานไม่แพ้เจ้าตัวแสบที่มหา’ลัย แต่เพราะผมสลวยสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกดัดเป็นลอนเล็กถูกปล่อยทิ้งให้ยาวจรดบั้นเอวนี้แหละที่ทำให้จีเฟ่ยสวยมาก เขายังเคยมองจีเฟ่ยเป็นผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ
“มึงก็มัวแต่คุยโทรศัพท์ แล้ววันนี้มันจะได้มั้ยหะคำตอบน่ะ” ผิดแต่ก็ตรงคำพูดคำจานี่แหละที่สารินขอยอมยกมือแพ้
“ก็ถ้าเฮียเฟ่ยไม่บอก โง่ๆอย่างผมมันจะรู้อะไรวะ”
“อย่ามาประชด! นี่ถ้ากูไม่เอ็นดูมึงเหมือนน้องนะ กูเตะก้นมึงออกจากร้านไปนานแล้ว”
“โหดไปป่ะเฮีย ปกติแล้วเฮียเฟ่ยเป็นแบบนี้กับเฮียหยงเจี่ยด้วยหรือป่าววะ” สารินหันไปยักคิ้วใส่พี่ชายอีกคนที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องครัว
“แน่นอนว่ามึงคิดไม่ถึงเชียวล่ะไอ้น้อง” หยงเจี่ยตอบพลางมองจีเฟ่ยที่กำลังทำท่าทางขู่ฟ่อใส่ ก่อนที่ทั้งสารินและหยงเจี่ยจะลอบยิ้มกับปฏิกิริยาของจีเฟ่ยที่บ่นขร่มใส่ทั้งพี่ทั้งน้องต่างสายเลือดที่แลดูแล้วเคมีมันเข้ากันเสียจริง! จีเฟ่ยคงหมายถึงมันกวนตีนเหมือนกันทั้งคู่อ่ะนะ
“มึงอย่ามาเบี่ยงประเด็นนะริน กูรู้นะว่ามึงรู้อยู่แล้วว่าคำถามที่ธัชมันถามมึงตอนนั้นน่ะหมายถึงอะไร”สารินแสร้งทำตาโตใส่เหรอหราจนจีเฟ่ยหมั่นไส้หันไปคว้าเอาก้านดอกไม้ที่หักแล้วฟาดใส่ไอ้น้องรัก ท่ามกลางสายตาขำๆของหยงเจี่ยที่กำลังเดินออกไปดูแลลูกค้าที่มาใหม่
“ทำไมเฮียเฟ่ยถึงรู้ดีอย่างนี้นะ”
“ปากดี! แต่ขนาดมึงยังว่ากูรู้ดี แล้วมึงไม่คิดบ้างเหรอรึไงว่าธีธัชคนที่รู้จักมึงดียิ่งกว่าพวกกูจะไม่รู้ทันมึง?”
“อย่าตัดกำลังใจกันน่าเฮียเฟ่ย”
“เหอะ! ตอนนี้กูต้องถามมึงมากกว่ามึงคิดจะทำอะไรกันแน่”
“นั่นสิ! มึงคิดจะทำอะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าคิดจะหาทางรังแกน้องรักของพวกกูหรอกนะ” หยงเจี่ยเดินกลับมาเมื่อพนักงานในร้านรับช่วงต่อ สารินกุมขมับ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิดจริงๆที่วิ่งมาเพิ่งคู่รักคู่นี้
สารินคงผิดเองที่ลืมคิดไปว่าตั้งแต่แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกับไอ้ตัวแสบ ไอ้ตัวแสบของผม(?)ก็กลายเป็นไอ้ตัวเล็กของเฮียหยงกับเฮียเฟ่ยทันที คนมาก่อน(ที่ถูกเฮียเฟ่ยหมายหัวอยู่ทุกวัน)อย่างสารินก็ตกกระป๋องสิครับ
“พวกเฮียเห็นผมเป็นคนยังไงวะเนี่ย” เสียงหัวเราะขำๆดังขึ้นสลับกับเสียงพูดคุยในร้านนั้นตลอดช่วงเช้าก่อนที่สารินจะรีบชิ่งไปช่วยเพื่อนทำงานกลุ่ม เมื่อธีธัชที่คงจะหงุดหงิดเข้าแล้วจริงๆ ให้เพื่อนในกลุ่มโทรมาจิกเขาไปแทนที่จะเป็นคนโทรมาเองเช่นเคย
.
.
มันก็จริงอย่างที่หยงเจี่ยกับจีเฟ่ยบอกว่าสารินน่ะ มันรู้ความหมายของคำถามที่ธีธัชพูดขึ้นในห้องสมุดมหา'ลัยเมื่อเดือนที่แล้วอยู่แล้วตั้งแต่แรก
“ถ้าพูดถึงเดือนกันยายนแล้วมึงจะคิดถึงอะไรวะ?”
คำถามนี้สารินตอบไปแล้วในใจตั้งแต่วันนั้น
...ก็เดือนเกิดของมึงไง ...แต่จะให้เขาตอบไปตรงๆก็ยังไงอยู่ อย่างว่าแหละสารินมันเป็นคนขี้แกล้งอย่างที่ธีธัชชอบค่อนขอดใส่
อีกอย่าง ...ถ้าไม่ใช่เพราะวันเกิดธีธัชเมื่อปีที่แล้วสารินไม่ได้รีบถ่อไปอเมริกากับแม่เพราะเรื่องเรียนของเจ้าน้องชายตัวแสบ และไม่ได้แกล้งธีธัชด้วยการทำเป็นลืมและไม่พูดถึง ธีธัชก็คงไม่ลองเชิงถามสารินแบบนี้
เพราะอย่างนั้นแล้ว...ไหนๆก็ไหนๆ ขอแกล้งอีกสักนิดเถอะเนอะะะะะะะะ
“สวัสดีครับพี่จีเฟ่ย อ่อ..พี่หยงเจี่ยเองหรอกเหรอครับ” ธีธัชกดรับสายของจีเฟ่ยก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งเมื่อคนที่คุยด้วยคือหยงเจี่ยที่มีน้ำเสียงร้อนรน
‘สบายดีมั้ยไอ้ตัวเล็ก คือตอนนี้พี่อยากจะทักทายเรานะแต่พี่รีบมาก ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ มาหารินมันที่ร้านพี่กับจีเฟ่ยหน่อยได้มั้ย’ “แล้วไอ้บ้านั่นไปทำอะไรที่ร้านพี่ล่ะครับ งานกลุ่มยังไม่เสร็จก็ไม่มาช่วยทำ ผมไม่ไปหรอก ถ้าไปผมต้องอารมณ์เสียแน่ๆ”
‘แต่รินไม่ค่อยสบายนะธัช พี่จะดูมันเองก็ไม่ได้แล้วตอนนี้จีเฟ่ยจะกลับฮ่องกงพี่ต้องรีบไปตาม’“แล้วพี่ไปทำอะไรพี่จีเฟ่ยเข้าล่ะครับถึงได้หนีไปอย่างนั้น”
‘โธ่! ไอ้ตัวแสบ พี่เข้าใจล่ะว่าทำไมไอ้รินถึงได้ชอบเรียกเราแบบนี้ลับหลังนัก’“พี่หยงเจี่ยว่าอะไรนะครับ”
‘เอ่อ..ตอนนี้ช่างมันก่อนเถอะ พี่ต้องรีบจริงๆ พี่สัญญาว่าพี่จะช่วยเอาคืนรินมันให้ทีหลัง แต่ตอนนี้ ธัช เรารีบไปหารินก่อนนะ แค่นี้ก่อนนะไว้ค่อยคุยกันอีกทีไอ้ตัวเล็ก’ตื้ดดดดดดด....... ธีธัชถือโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้นก่อนจะสบถคำบ่นไอ้คนป่วยเป็นชุด หากแต่ขาที่กำลังก้าวเดิน กลับเดินไปทางเดียวกันกับร้านดอกไม้ของหยงเจี่ยและจีเฟ่ยอย่างรวดเร็ว
“ทำไมมันมืดแบบนี้วะเนี่ย” ทันทีที่มาถึงธีธัชก็เดินไปที่กระถางดอกไม้หน้าร้านตามที่หยงเจี่ยส่งข้อความมาบอกว่าจะซ่อนกุญแจร้านไว้ตรงไหน ก่อนจะรีบไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปพบเข้ากับความมืดสนิท
กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดเป็นกลิ่นประจำของร้านนี้ที่ยังคงอยู่เหมือนเดิน แต่ความมากของมันกลับลดลงไป
ธีธัชพยายามคลำหาสวิตซ์ไฟเท่าที่พยายามนึกได้ว่ามันอยู่ตรงไหน ก็อย่างว่าแหละนะร้านนี้มันไม่ใช่ร้านของเขา เขาจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน ถึงจะสนิทกันแต่เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นมานอนป่วยอย่างไอ้บ้าที่ตอนนี้มุดหัวอยู่ตรงไหนของร้านก็ไม่รู้
..เขาไม่เคยขึ้นไปชั้นลอยของร้านเสียด้วยสิ
ถึงจะคิดในใจอย่างนั้น แต่ความรู้สึกที่สวนทางกับความคิดก็พาให้ธีธัชค่อยๆเดินจับราวบันไดเพื่อขึ้นไปที่ชั้นลอยของร้าน พลางหาสวิตซ์ไฟที่ยังหาไม่เจอไปด้วย และเมื่อธีธัชเดินขึ้นไปถึงก็ต้องค่อยๆเดินไปกลางชั้นอย่างระมัดระวังเพราะธีธัชรู้ว่าบนชั้นนี้มันจะมีดอกไม้อยู่เต็มไปหมด
พรึ่บ!
ธีธัชสะดุ้งตัวโยนเมื่อจู่ๆ ไฟทั่วทั้งชั้นที่ติดขึ้นมาทั้งที่เขาเลิกพยายามหาสวิตซ์ไปแล้ว เมื่อปรับสายตาให้เข้ากับความสว่างแบบไม่ตั้งตัวได้ก็หันไปมองรอบๆทั่วทั้งชั้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่ผนังกระจกซึ่งสามารถมองเห็นภายในร้านชั้นล่างทั้งชั้น
ก่อนจะหุบยิ้มลงทันทีเมื่อเห็นหน้าของไอ้คนที่พี่หยงเจี่ยโทรมาว่าบอกป่วย รีบให้เขามาเฝ้า แล้วไอ้ตี๋ยิ้มข้างล่างที่ดูแข็งแรงทุกอย่างนี่มันอะไร?
“กำลังบ่นกูอยู่ในใจใช่มั้ยไอ้ตัวแสบ” สารินยิ้มกว้างให้กับธีธัชที่ทำหน้าคว่ำเมื่อเขาตะโกนเรียกเจ้าตัวแบบนั้น ก่อนจะพูดต่อเมื่อธีธัชยังคงนิ่งเฉยและไม่ยอมพูดอะไร
“วันนั้นที่ห้องสมุด มึงยังจำคำถามของมึงอยู่ได้อยู่ไหมวะธัช”
“วันนั้น วันไหน? ถามอะไรกูไม่เห็นรู้เรื่อง” ธีธัชตอบหน้าเฉย
“ ถ้าพูดถึงเดือนกันยายนแล้วจะคิดถึงอะไร? ...มึงถามกูแบบนี้ จำไม่ได้จริงๆเหรอ” สารินยังคงแหงนหน้าคุยกับธีธัชที่อยู่ชั้นบน ซ้ำยังต้องตะโกนเพราะผนังกระจก
“ไม่เห็นจำได้”
“นี่ถ้ามึงโกหกอีกครั้ง กูจะขังมึงไว้บนนั้นทั้งคืนจริงๆนะ” สารินขู่เล่นๆ แต่ธีธัชตอนนี้น่ะเหรอ โวยวายจนสารินทนไม่ไหว ต้องหลุดขำพรืดออกมาจนได้
“นี่! มึงอย่าหัวเราะใส่กูนะไอ้คนโกหก”
“เรื่องนั้นเอาไว้จะอธิบายทีหลังแล้วกัน แต่ตอนนี้.....มึง! ธีธัช ก่อนที่กูจะตอบคำถามนั้นของมึง กูขอถามอะไรมึงก่อนได้ไหมวะ” สารินถาม และก่อนที่สารินจะตะโกนถามย้ำขึ้นมาอีกครั้ง ธีธัชก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ
“กูขอถามมึง ...ตอนนี้เราสองคนยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือป่าววะ” ธีธัชพยักหน้าให้คำตอบอีกครั้ง
“มึงแน่ใจนะ?” ก่อนจะกัดริมฝีปากอย่างลังเลใจทั้งๆที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“แต่กูไม่ได้เห็นมึงเป็นแค่เพื่อน ไม่เคยสักครั้ง ....ไม่เคยเลย”
“ไอ้...”
“อย่าเพิ่งโกรธกันเลยน่า คราวนี้กูจะตอบคำถามของมึงจริงๆแล้วนะ” สารินชิงพูดก่อนทันทีที่รู้ว่าธีธัชต้องโวยวายอะไรออกมาสักอย่างแน่ๆ ก่อนจะหันไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ธีธัชคุ้นตาดีเพราะช่วงหลังๆมานี้ สารินจะพกมันติดตัวอยู่เสมอ
“แต่ก่อนที่กูจะตอบ มึงช่วยมองไปให้รอบๆร้านก่อนได้ไหม” ธีธัชตอบคำถามด้วยการใช้สายตากวาดมองภายในร้านชั้นล่างทั้งหมด ก่อนจะค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ผนังกระจกทั้งที่กลัวความสูง แล้วใช้มือแนบเข้ากับกระจกอย่างสนใจ แล้วหันกลับมามองบนชั้นลอยที่กำลังยืนอยู่
ธีธัชกวาดสายตามองช้าๆก็พบว่า จากร้านที่มีดอกไม้นานาพันธุ์อยู่เต็มร้าน บัดนี้มีเพียงดอกไม้ชนิดเดียวที่อยู่เต็มร้านทั้งร้าน ทุกดอกเบ่งตัวสวยราวกับกำลังแข่งกันเชื้อเชิญสายตาของธีธัชให้หันไปมอง ก่อนที่รอยยิ้มสวยจะผุดพรายขึ้นมาอย่างชอบใจ
“มึงเห็นมันแล้วใช่มั้ย” สารินถามอีกขึ้น เมื่อธีธัชชะโงกลงไปมองที่ชั้นล่างอีกครั้ง
“อืม”
“สุขสันต์วันเกิดนะ ดอกไม้พวกนี้เป็นของขวัญและคำตอบทั้งหมดของกู” ธีธัชเลิกคิ้วอย่างงงๆ เพราะไม่รู้ว่าสารินกำลังจะทำอะไร
“หมายความว่า?”
“ก็ถ้าพูดถึงเดือนกันยายนแล้วกูก็ต้องคิดถึงคนสำคัญของกู เพราะมันเป็นเดือนเกิดของเขา และวันเกิดของเขาก็วันที่นี้... แต่นอกเหนือจากนั้นถ้ามึงจะยังจำได้ เรารู้จักกันครั้งแรกก็เดือนนี้”
ธีธัชแอบยิ้มเพราะแปลกใจจริงๆที่สารินจะใส่ใจและจำครั้งแรกที่เขาทั้งคู่รู้จักกันได้
“ดอกไม้พวกนี้เรียกว่าดอก Aster ตอนที่มึงถามกูในห้องสมุด วันนั้นกูก็กำลังอ่านศึกษาดอกไม้พันธุ์นี้อยู่พอดี”
“จากเล่มนั้นอ่ะนะ” ธีธัชถามพลางชี้ไปที่หนังสือในมือของสารินที่พยักหน้าตอบ
“แอสเทอร์เป็นดอกไม้ประจำเดือนกันยายน เดือนเกิดของมึง
....และดอกแอสเทอร์มันก็เป็นสัญลักษณ์ของความรัก”ธีธัชกัดริมฝีปากตัวเอง พลางจ้องมองไปยังสารินอย่างตั้งใจฟังทุกคำพูด
“ความรักของกูตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่เรารู้จักกันครั้งแรก ที่กูบอกว่าไม่เคยเห็นมึงเป็นเพื่อนเพราะกูรักมึงได้มากกว่านั้น”
“กูให้มึงเอาแต่ใจกับกู ได้มากกว่านั้น
โมโหใส่กูได้มากกว่านั้น
โกรธกู
งอนกู
...อ้อนกูได้มากกว่านั้นเพียงแค่มึงตอบคำถามคำนี้ของกู”
“สารินกับธีธัช จะเป็นแฟนกันได้ไหมครับ?” สิ้นคำถามนั้นทุกอย่างก็ตรงอยู่ในความเงียบสนิท มีเพียงแค่สายตาเท่านั้นที่มองสบกันอยู่อย่างอยากจะอ่านลึกลงไปให้รู้ถึงความรู้สึก
“มึง.....”
“ให้กูมีมึงเป็นความรักของกูได้ไหมวะธัช” รอยยิ้มและดวงตาที่ไร้แววล้อเล่นเหมือนทุกทีของอีกฝ่ายทำให้ธีธัชที่รู้ความรู้สึกของตัวเองดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้นนั้น ต้องใจสั่นขึ้นมาเสียดื้อๆ
ความจริงพวกเขาก็อาจจะรู้ใจของตัวเองกันดีอยู่แล้วเพียงแต่ยังไม่มีใครพูดมันออกมาเหมือนอย่างที่สารินกำลังพูดมันอยู่ในวันนี้ ตอนนี้ ...ที่สารินกำลังจะทำให้มันชัดเจนขึ้น
“ธัช”
“อะ...อะไรล่ะ”
“ตอบตกลงกูได้แล้วน่า ยืนคุยแบบนี้เมื่อยคอไปหมดแล้วนะ”
“เอ๊า! ไอ้บ้านี่ แล้วทำไมถึงไม่เดินขึ้นมาชั้นนี้ล่ะวะ”
“ก็เผื่อมึงไม่ตอบรับ กูจะได้เดินออกไปอย่างเท่ๆไง” สารินพูดตลกให้ธีธัชขำ ก่อนที่เจ้าตัวจะยืนมองธีธัชที่หัวเราะด้วยสายตาที่ธีธัชคุ้นชิน เพียงแต่วันนี้...เพียงแค่ธีธัชเอ่ยตอบรับ พวกเขาก็จะสามารถตีความหมายของมันได้โดยที่ไม่มีคำว่าเพื่อนล้อมกรอบเอาไว้
“ตกลง”
“หื้อ...ตกลงอะไร?”
“ก็ตามนั้นไง”
“ก็แล้วมันอะไรล่ะครับคุณธีธัช”
“โอ๊ย! ก็ตกลงเป็นแฟนกันไงเล่า! ทำไมมึงต้องให้กูพูดซ้ำด้วยนะมันเขินไม่รู้เหรอ”
“ก็แค่นั้น”
เสียงพูดคุยกันบ้าง หัวเราะบ้าง หรือแม้แต่เสียงทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆดังขึ้นภายในร้านดอกไม้ โดยที่เจ้าของร้านดอกไม้คนสวยกับคนรักที่กำลังยืนสำนึกผิดอยู่นอกร้านนั้นต้องยิ้มออกมา ก่อนที่หยงเจี่ยจะรีบหุบยิ้มเมื่อจีเฟ่ยทำหน้าดุใส่
“ฉันคิดว่าสำหรับนายแล้วเป็นฉันคนเดียวที่นายจะไม่โกหกกันเสียอีกหยงเจี่ย”
“โธ่! จีเฟ่ย ฉันแค่ต้องการช่วยเด็กๆก็เท่านั้นเอง”
“ฉันรู้ว่านายหวังดี ฉันก็ดีใจที่รินกับธัชมันรักกัน แต่...”
“แต่อะไรจีเฟ่ย อย่าโกรธฉันเลยนะฉันขอโทษที่โกหกนายแถมช่วยรินทันโกหกธัชว่าไม่สบายด้วยอีก”
“สำนึกได้แบบนี้ก็ดี” หยงเจี่ยยิ้นให้จีเฟ่ยที่ยังแสร้งทำหน้าดุ ก่อนจะเบิกตากว้างและนึกคาดโทษสารินในใจขึ้นมาทันที
“แต่ฉันก็หวังว่าพรุ่งนี้นายจะเคลียร์ร้านให้เหมือนเดินทุกอย่างเสร็จก่อนเวลาร้านเปิดนะหยงเจี่ย”
...และหวังด้วยว่าเร็วๆนี้เขาจะช่วยธีธัชแกล้งเอาคืนสารินบ้างแล้วกัน
สวัสดีค่ะ แอบเข้ามาเปลี่ยนชื่อเรื่องสักหน่อย
เดิมทีจะให้มันจบแค่นี้แหละ แต่พอนึกขึ้นได้ว่า...
1 ปีมี 12 เดือน เดือนกันยายนก็มี Aster Flower ไปแล้ว...แล้วเดือนอื่นล่ะ
อิเราก็จะปล่อยไปไม่ได้ เลยตั้งใจจะแต่งมันทุกเดือนไปเลย
เฮ่อะะะ นี่คือการหาเรื่องใส่ตัวเองชัดๆ
ยังไงก็แล้วแต่ ฝากเรื่องสั้น Flower ㅣ Meaning ㅣ Loving ㅣไว้ด้วยนะคะ
แล้วจะเอาดอกไม้ประจำเดือนกุมภาพันธ์มาฝากก่อนหมดเดือนค่ะ
รักกกกกกกก...