จากนั้นดนตร์ก็พาเขามาห้องพักซึ่งอยู่อีกทิศกับห้องพักของผู้ใหญ่ บ้านหลังนี้มีการแบ่งสัดส่วนและใช้อรรถประโยชน์อย่างเต็มที่ เจ้าของบ้านหอบหมอนกับผ้าห่มมาให้จนเต็มอ้อมแขน
“นี่นายจะให้ฉันนอนกับไอ้รันจริงๆ ใช่ไหม”
“ครับ” ดนตร์พยักหน้าหงึก “มันจะดีกว่าให้พี่ไปพักห้องเดียวกับผม”
“แต่ฉันเป็นผัวนาย” คำพูดขวานผ่าซากของเขาเล่นเอาคนฟังหน้าแดงไปถึงใบหู “ใจคอนายจะให้ผัวตัวเองไปนอนกับคนอื่นได้จริงๆ น่ะเหรอ”
“ถ้าไม่ใช่กับผู้หญิง ผมโอเค!”
พูดจบเจ้าตัวก็เม้มปากแน่น ก้มหน้างุด น่ารักเสียจนเขาต้องทิ้งสัมภาระแล้วรวบตัวมากอดไว้ ผ้าห่มกับหมอนก็หล่นตามไปด้วยโดยปริยาย กรณ์กดจมูกบนกลุ่มผมนุ่มหนักๆ ก่อนจะจับศีรษะทุยสวยแนบไปกับหัวไหล่ตัวเอง ตั้งแต่ออกตัวว่าจะคบหากัน ไม่เคยเลยสักครั้งที่ดนตร์จะแสดงความหึงหวง แม้แต่ตอนที่เขาถ่ายแบบกับรดา ดนตร์ก็ไม่เคยต่อว่าหรือมีปฏิกิริยา จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยได้ยินคำเรียกร้องจากเจ้าตัวด้วยซ้ำ ไม่เคยขอให้ซื้อของราคาแพงให้ ไม่เคยให้มารับไปกินข้าวกลางวัน หรือไปเดินช้อปปิ้งด้วยกัน มีแต่เขาเท่านั้นที่ไล่ต้อนให้จนมุม
“สัญญามาก่อนว่าจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องตัวนาย นอกจากฉันเท่านั้น”
ศีรษะสวยผงกเบาๆ มือเล็กค่อนข้างบางยกขึ้นเกาะที่ข้างเอว กรณ์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พยายามระงับความต้องการที่พุ่งพรวดขึ้นมา ทั้งกลิ่นกาย ผิวเนื้อนุ่ม ขนาดรูปร่างที่กำลังดี ดนตร์ก็ไม่ต่างจากเชื้อเพลิง ที่แค่ประกายไฟเล็กน้อยก็พร้อมจะโหมไหม้ได้ทุกเมื่อ กรณ์ก้มหน้าลงจนปลายจมูกชิดกับต้นคอขาว ใช้ริมฝีปากงับผิวละเอียด ดูดเม้มไม่หนักไม่เบาแต่ก็สามารถสร้างเครื่องหมายแห่งการเป็นเจ้าของไว้ได้ ดนตร์ดันอกเขาออกห่าง คิ้วเข้มแต่เรียงตัวสวยขมวดมุ่น ขยับปากพึมพำว่าเป็นรอย
“ก็ดี มันจะได้รู้ว่าฉันเป็นเจ้าของนาย”
ดนตร์ยกเท้าเตะหน้าแข้งเขาไปที แล้วรีบวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง กรณ์จิ๊ปากคาดโทษเจ้าเด็กตัวแสบ แต่พอไม่มีดนตร์ เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจแต่เพียงลำพัง ไม่ได้นึกกลัวแค่ไม่อยากอยู่ร่วมห้องด้วย!
เขาบิดกลอนประตูเปิดเข้าไปโดยไม่ขออนุญาตจากผู้ที่อยู่ด้านใน ห้องขนาดกลางจนถึงเล็กไร้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง มีแค่เตียงเล็กๆ กับตู้เสื้อผ้าง่ายๆ และโต๊ะตัวเล็กๆ อีกตัว ดูก็รู้ว่ามันเป็นห้องพักสำหรับแขกชั่วคราว อริญชย์นอนกระดิกเท้าอยู่บนเตียง จับจองพื้นที่ที่สบายที่สุดไปแล้ว สอดมือรองใต้ศีรษะ ผิวปากตามเพลงที่กำลังฟังผ่านหูฟังสีขาว มันเหลือบหันมามองเขานิดหน่อย ก่อนจะผินหน้ากลับไปมองเพดานตามเดิม แม้จะอยากเตะมันให้ตกเตียงแค่ไหน แต่ก็ต้องระงับเอาไว้เพราะเขายังทำตัวเป็นว่าที่ลูกเขยที่ดีของบ้านตระกูลฮวงอยู่
กรณ์ทิ้งตัวลงบนพื้นไม้ขัดเงา ความเย็นของมันผ่านเนื้อผ้าเข้ามาจนต้องสะดุ้ง เขาคว้าผ้าห่มที่ดนตร์ขนมาให้ปูรองอย่างลวกๆ พอให้ไอเย็นทุเลาลงไปบ้าง จากนั้นก็หาที่วางสัมภาระ รื้อของที่ต้องใช้ออกมา ตั้งใจว่าจะไม่อาบน้ำเพราะอากาศที่ค่อนข้างเย็นจัดทำให้ไม่มีเหงื่อออก กลิ่นตัวก็ไม่มี แค่เอาน้ำลูบหน้าสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว แต่จะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะขืนนอนครบองค์แบบนี้ได้อึดอัดตายแน่ เขาหอบเสื้อผ้าที่จะใช้ผลัดเปลี่ยนหายเข้าไปในห้องน้ำ ดีหน่อยที่ห้องนี้มีห้องน้ำในตัวเลยไม่ต้องเดินไกล
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ กรณ์ก็กลับออกมาด้วยชุดพร้อมเข้านอน กางเกงวอร์มเนื้อหนาอบอุ่นกับเสื้อไหมพรมแขนยาว อากาศที่นี่หนาวกว่ากรุงเทพฯ ไม่เล็ก เขาเองก็รีบเสียจนไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าอุ่นๆ มามากนัก คืนนี้ผ้าห่มของดนตร์จำเป็นสำหรับเขามากทีเดียว กรณ์เลือกทำเลนอน ซึ่งก็ได้มุมตรงข้ามกับเตียงที่อริญชย์จับจองไปก่อน เขาใช้ปลายเท้าเขี่ยกระเป๋าของมันไว้อีกทาง ก่อนจะล้มตัวลงนอน รู้สึกรักหมอนกับผ้าห่มที่ดนตร์ขนมาให้ เพราะรู้สึกว่ามันจะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเจ้าตัวติดมาด้วย ก่อนจะหลับไปเขาได้รับข้อความจากเฟซบุ๊ค ตัวอักษรไม่กี่คำและแสนจะธรรมดาแต่ก็ทำให้ต้องอมยิ้มจนปวดแก้ม
‘ฝันดีนะครับ…เพลง’
พ่วงท้ายด้วยไอค่อนรูปหมาสีเหลือง
แฟนใครวะน่ารักชะมัด!
เปลือกตาหนากำลังจะทบปิด การเดินทางจากกรุงเทพฯมาถึงเชียงใหม่พรากเอาพลังงานไปไม่น้อย แต่ก่อนที่สติจะตัดขาด ก็มีเสียงดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง
“ฉันยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ ตราบใดที่เพลงยังไม่ได้บอกกับพ่อแม่ว่านายเป็นอะไร ฉันก็ยังมีหวัง”
กรณ์กระตุกยิ้มในความมืด “อย่าหวังลมๆ แล้งๆ เลย เพลงน่ะรักเดียวใจเดียว”
กองถ่ายขนาดเล็กออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า และเพราะไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าวเช้า คุณดาริน มารดาของดนตร์ใจดีทำแซนด์วิชง่ายๆ แต่ปริมาณไม่น้อยใส่กล่องมาให้ แถมนมสดและน้ำผลไม้กล่องใหญ่ กรณ์เปิดปากหาวอย่างไม่คิดจะรักษาภาพพจน์ เมื่อคืนเขาหลับไม่สนิทนักคงเพราะแปลกที่ แถมตอนเที่ยงคืนมีเสียงเด็กร้องให้ต้องตื่นตามอีก เขาตื่นอีกทีตอนที่อริญชย์มันจงใจเดินเหยียบขา เรียกได้ว่าส่งสาส์นรบตั้งแต่ลืมตาตื่นเลยทีเดียว
แต่ด้วยวันนี้กรณ์ไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบสักเท่าไร แซนด์วิชของคุณดารินอร่อยมากก็จริงแต่ก็ไม่ได้ทำให้มีแรงขึ้นมาได้ อีกทั้งการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้กรณ์หลับสัปหงกไปตลอดทาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่อาใหญ่เลือกอยู่ส่วนไหนของเชียงใหม่ กระทั่งรถตู้สีขาวกลางเก่ากลางใหม่ที่อาใหญ่เช่ามาเพื่อใช้ในการเดินทางหยุดลง กรณ์ถึงได้ลืมตาตื่น แดดในยามสายแยงตาจนต้องขยับเปลือกตาเปิดปิดอยู่หลายรอบ กว่าจะตั้งหลักได้คนอื่นๆ ก็ลงจากรถไปกันหมดแล้ว
กรณ์เดินลงจากรถอย่างเกียจคร้าน มองอาใหญ่อธิบายถึงรายละเอียดงานคร่าวๆ ให้กับทีมงานฟัง เห็นแล้วก็อดสังเวชใจไม่ได้ งานชิ้นแรกของดนตร์ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย แม้แต่ฉากหรูๆ สวยๆ ก็ไม่มี ไม่ต้องพูดถึงนางแบบที่จะมาร่วมงานด้วย ที่เห็นก็มีแค่ดนตร์คนเดียวเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าก็ยี่ห้อธรรมดา ช่างแต่งหน้าทำผมอยู่ในคนๆ เดียวเสร็จสรรพ เขาไม่คาดหวังหรอกว่ามันจะออกมาดี ในเมื่อโปรดักชั่นต่ำต้อยเช่นนี้
“ถ้าพี่หิว พี่กินไปก่อนเลยนะครับ กินนมเยอะๆ จะได้อยู่ท้อง เดี๋ยวผมไปเตรียมตัวก่อน”
ดนตร์ยัดกล่องที่ยังมีแซนด์วิชอยู่หลายชิ้นกับนมสดให้ ส่วนน้ำผลไม้ถูกพวกอาใหญ่จัดการหมดไปแล้ว ทุกคนท่าทางกระปี้กระเป่าผิดกับเขาลิบลับ แม้แต่อริญชย์ที่เคยคิดว่าเป็นพวกจับจดทำอะไรไม่เป็นยังขมีขมันช่วยอาใหญ่ยกขาตั้งกล้องโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ ส่วนดนตร์วิ่งตามช่างแต่งหน้าไปบนรถตู้
...ตอนนี้เขาได้กลายเป็นส่วนเกินอย่างแท้จริง...
งานของอาใหญ่เริ่มตอนเก้าโมงตรง แสงอาทิตย์สาดผ่านก้อนเมฆหนาลงมาเป็นลำแสงจ้า กระทบกับยอดหญ้าแห้งที่ชะอุ่มด้วยหยาดน้ำค้าง ดนตร์อยู่ในชุดเสื้อผ้าง่ายๆ แต่ดูอบอุ่นดีด้วยสีเอิร์ธโทน เพิ่มความโรแมนติกด้วยผ้าพันคอสีขาวกับหมวกไหมพรมเข้าชุด ใบหน้าผ่องขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมคมชัดกว่าเดิม พวงแก้มและปลายจมูกแดงระเรื่อคล้ายมีเลือดฝาด ริมฝีปากสดสีหวาน รวมๆ แล้วเหมือนหนุ่มน้อยวัยมัธยม สดใส ไร้เดียงสา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่โหนกแก้มกับปลายจมูกมีจุดสีน้ำตาลเล็กๆ กระจายอยู่ คงเป็นฝีมือของช่างแต่งหน้าที่จงใจทำให้ดนตร์ดูเด็กลงด้วยรอยกะปลอมๆ
สถานที่ที่อาใหญ่เลือกนับว่าไม่เลวนัก มันเป็นรางรถไฟที่สร้างกลางทุ่งหญ้าโล่ง ห่างออกไปมีภูเขาน้อยใหญ่ซ้อนเรียงราย เพราะอากาศที่ค่อนข้างแห้งทำให้ทุกอย่างเป็นสีน้ำตาล อาใหญ่ให้ดนตร์ไปเดินบนรางรถไฟด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติที่สุด แน่นอนว่าคนที่ไม่เคยผ่านงานด้านนี้มาก่อนย่อมเกิดอาการประหม่า ในครั้งแรกดนตร์เดินตัวแข็งยิ่งกว่าหุ่นยนต์เสียอีก แต่พออริญชย์วิ่งไปกระซิบอะไรบางอย่าง นายแบบหน้าใหม่ก็ผ่อนคลายขึ้น สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไป ท่วงท่าการเดินก็เช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าดนตร์สามารถทำได้ตามที่อาใหญ่ต้องการในครั้งที่สองเท่านั้น ขณะที่เขาโดนเอ็ดจนหน้าชาไปหลายรอบกว่าจะได้ภาพที่อาใหญ่พอใจ
“เด็กคนนี้น่ารักดีนะ ยิ่งตอนยิ้มยิ่งน่ารัก อาใหญ่ตาถึงจริงๆ”
ช่างแต่งหน้าชมไม่ขาดปาก ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังร่างโปร่งบางที่กำลังเดินไปหัวเราะไปบนก้อนกรวดของรางรถไฟ ด้วยความเป็นมืออาชีพอาใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้คนจัดฉากหรือไฟสักคน แสงธรรมชาติกับมุมที่ใช้ในการถ่ายก็ทำให้ภาพออกมาสวยสมใจได้
เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่มองนายแบบหน้าใหม่แสดงฝีมือไปเงียบๆ โดยไม่ลืมมองอริญชย์ไปด้วย รายนั้นก็มองดนตร์ไม่วางตาเช่นกัน บางครั้งถึงกับเอากล้องที่พกติดมาถ่ายภาพไปด้วย ส่วนเขาได้แต่มองและข่มความไม่พอใจเอาไว้ เพราะดนตร์ไม่เคยก้าวก่ายงานของเขา เขาเองก็ควรจะให้เกียรติดนตร์ด้วยเช่นกัน
ดนตร์ถูกพาตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกชุด คราวนี้เป็นแนววินเทจ กางเกงขาสั้นพับขาขึ้นมาเล็กน้อยกับเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้สีขาวพื้นน้ำเงิน โดยมีเสื้อสูทคลุมทับหัวไหล่อีกที สวมเข้าคู่กับรองเท้าหนังส้นเตี้ย ที่แม้จะดูขัดแย้งกับอากาศแต่รอยยิ้มสดใส บวกกับท่ากระโดดโลดเต้นมันก็ชวนให้หายหนาวดีเหมือนกัน การถ่ายทำดำเนินต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งแดดเริ่มแรงขึ้น อาใหญ่สั่งเลิกกอง โดยพรุ่งนี้จะเปลี่ยนโลเกชั่นใหม่ โดยจุดหมายอยู่ที่ริมแม่น้ำปิง
“ขึ้นกล้องใช้ได้เลยล่ะ เก่งเหมือนกันนะเรา”
อริญชย์เอ่ยปากชมเมื่องานวันนี้จบลง ดนตร์ยิ้มเผล่ห่อเสื้อคลุมเข้าหาตัวเพื่อให้ไออุ่น เพราะชุดที่ใช้ถ่ายมันไม่อุ่นเลยสักนิด ลมพัดมาทีขนหน้าแข้งก็พากันลุกไปหมด อริญชย์หัวเราะในคอทำท่าจะสละเสื้อของตัวเองให้ แต่ช้ากว่าอีกคน
เสื้อแจ็คเก็ตตัวใหญ่มีกลิ่นเมนทอลหล่นใส่หัวไหล่พอดี ขนาดความใหญ่และยาวของมันให้ความอบอุ่นได้มากทีเดียว และก่อนที่จะกล่าวขอบคุณทั้งร่างก็ถูกอ้อมแขนปริศนารวบกอดไว้เสียแล้ว
“อย่ามาใช้มุกเดิม” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือศีรษะ ดนตร์พรูลมหายใจเบาๆ รู้ดีว่าคนที่ชอบทำอะไรพลการอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน กรณ์เจ้าเดิมนี่เอง
อริญชย์บิดปาก พลางยักไหล่ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มลงมาที่ต้นคอขาว เล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้ง “นี่ก็มุกเดิม”
กรณ์กัดฟันกรอด มองตามร่างของเพื่อนรักไปจนอีกฝ่ายหายเข้าไปในรถตู้ “ต้องให้เอาโชว์หรือไงวะถึงจะเลิกบ้าสักที”
“อย่าแม้แต่จะคิด แค่นี้ผมก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”
คิ้วหนากระตุกหงึก “ปวดหัวเรื่องอะไร เรื่องที่เป็นแฟนฉัน?”
“เปล่า...” ดนตร์ทอดเสียงอ่อน เอนกายเข้าหาคล้ายกับจะเอาใจ “แค่ไม่อยากมีเรื่องก่อนที่ผมจะบอกกับพ่อแม่”
แม้จะหงุดหงิดที่ถูกอริญชย์ก่อกวน แต่เพราะเหตุผลของดนตร์มันมีน้ำหนักต้องยอมกัดฟันอดทนจนกว่างานจะเสร็จ
ขบวนกองถ่ายขนาดเล็กเคลื่อนจากรางรถไฟไปที่ร้านอาหารเล็กๆ แถวนั้น และเป็นร้านที่ดนตร์แนะนำว่ารสชาติดีไม่แพ้ในภัตตาคารหรู อาใหญ่สั่งอาหารเผื่อกรณ์ด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของทีมงานก็ตาม ไม่นานอาหารพื้นเมืองหน้าตาน่ากินกฌทยอยมาเสิร์ฟ ท่าทางร้านนี้จะอร่อยสมกับที่เจ้าถิ่นแนะนำจริงๆ แค่กลิ่นก็เรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานได้แล้ว
อาหารมื้อแรกของวันไม่นับรวมแซนด์วิชถูกจัดการไปในเวลาอันรวดเร็ว ทุกคนหิวโซไม่ต่างกันแม้แต่คนเรื่องมากในการกินอย่างกรณ์ก็ยังกินโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองใคร เพิ่งรู้ว่าอาหารง่ายๆ ในร้านเล็กๆ นี่ก็อร่อยถูกลิ้นไม่น้อย เขาคงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วว่าอาหารอร่อยต้องอยู่ในโรงแรมหรือภัตตาคาระดับห้าดาวเท่านั้น
“พรุ่งนี้เราจะไปถ่ายแถวริมแม่น้ำปิงกันนะ อารู้จักกับเจ้าของรีสอร์ทที่หนึ่ง วิวสวยใช้ได้”
“หนาวคูนสองเลยทีนี้” ดนตร์ทำท่าหนาวก่อนจะยกน้ำชาขึ้นจิบ
เมื่อจบมื้อเที่ยง อาใหญ่ก็พามาส่งถึงบ้านของดนตร์ แน่นอนว่าทั้งกรณ์และอริญชย์ยังปักหลักพักที่เดิม โดยไม่คิดจะเกรงใจเจ้าของบ้าน ทั้งหมดล่ำลากันพอประมาณ รอจนรถตู้ที่เช่ามาลับตาไปถึงได้เดินเข้าสู่รั้วบ้าน
สวนหน้าบ้านในตอนกลางวันน่าสนใจไม่น้อย ต้นไม้ที่ยังพอเหลือใบอยู่บ้างตั้งต้นเด่นตระหง่านอยู่ชิดริมรั้ว มีม้าโยกสีเหลืองขนาดเล็กสำหรับเด็กทารกตั้งอยู่ด้วย ข้างๆ กันนั้นก็มีเครื่องเล่นเด็กหลายชิ้น อาจจะดูประหลาดไปบ้างแต่เพราะมีดอกไม้น่ารักๆ ที่ออกดอกเฉพาะในฤดูหนาวปลูกไว้ด้วย เลยทำให้มองดูคล้ายสนามเด็กเล่นกลายๆ กว่าน้ำเหนือจะโตจนเมินของเล่นพวกนี้คงเต็มสวนพอดี
อากาศในตอนบ่ายไม่หนาวมากนัก กรณ์ยกเสื้อให้ดนตร์ไปตั้งแต่ขึ้นรถกลับ เพราะไม่อยากให้คนของตัวเองใช้ของคนอื่น
ประตูบ้านถูกเปิดออกก่อนที่พวกเขาจะทันได้เคาะเรียกด้วยซ้ำคงเพราะเจ้าอั่งเปาเห่ารับตั้งแต่รั้วบ้านแล้วกระมัง คนด้านในเลยออกมาเปิดประตูต้อนรับ นับดาวทำหน้าฉงนตอนที่เปิดออกมาเจอผู้ชายสามคน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าน้องชายตัวเองพาผู้ชายมาเยี่ยมบ้านถึงสองคน เจ้าบ้านเบี่ยงตัวให้กับบุรุษตัวใหญ่ทั้งสอง ใช้สายตาจับจ้องตลอดเวลาไม่ต่างจากเครื่องเลเซอร์จับความร้อน
ในบ้านอบอุ่นเหมือนเคย ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นหอมคล้ายกับพวกนมเนย ดนตร์ยิ้มหน้าบานวิ่งเข้าไปในครัวก่อนใคร ร่างโปร่งสวมกอดมารดาจากด้านหลัง ก่อนจะหอมแก้มอีกฟอดใหญ่ ใช้เสียงออดอ้อมเต็มที่
“แม่ทำเค้กใช่ไหม งื้อ อยากกินๆๆๆๆ”
“ก็จะทำไว้ให้กินกันในงานวันเกิดน้ำเหนือไง แต่ไม่ได้ทำนานแล้ววันนี้เลยจะทดสอบฝีมือก่อนสักหน่อย”
ดนตร์ยิ้มกว้าง เด็กจอมตะกละใช้มือจ้วงลงไปในแป้งเค้กที่เพิ่งอบเสร็จดึงบางส่วนใส่ปาก เลยโดนมารดาตีไปเพี้ยะใหญ่
“อร่อยจังเลยครับ แป้งนุ้มนุ่ม เหมือนแก้มแม่เลย”
“เจ้าเด็กปากหวาน สาวๆ ได้ฟังมีหวังติดกับเป็นแถวแน่” ผู้เป็นมารดาเอ่ยปากแซว โดยไม่รู้เลยว่าบุรุษตัวใหญ่สองคนที่ยืนอออยู่หน้าประตูเข้าครัวกำลังอมยิ้ม
...อย่างดนตร์น่ะ มีแต่ผู้ชายมาติดทั้งนั้น...
ส่วนตัวเองก็หุบยิ้มไปชั่วขณะ แม้จะเคยมีสาวๆ มาติดกับบ้างก็จริงแต่ก็โดนกำจัดไปอย่างง่ายดาย นี่ถ้าหากมารดารู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองมีเสน่ห์ทั้งกับเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามคงได้ลมจับจริงๆ แน่
“เออ พรุ่งนี้ก็วันเกิดน้ำเหนือแล้ว เดี๋ยวลูกออกไปซื้อของหน่อยนะ แม่จดรายการให้แล้ว”
“ได้ครับ แล้วแม่จะเอาตอนไหน”
“วันนี้เลย พรุ่งนี้เราก็จะต้องไปทำงานกับพวกพี่ๆ อีกไม่ใช่เหรอ”
ดนตร์พยักหน้ารับ ของจะต้องถูกเตรียมภายในวันนี้หรืออย่างช้าที่สุดก็ตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้ มือเรียวรับกระดาษที่มารดาส่งให้ รายการส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ใช้ในงานเลี้ยงทั่วไป แต่จะมีขนมที่เด็กวัยหนึ่งขวบกินได้อยู่ด้วย
“หาคนไปช่วยถือสักคนสิ กรณ์เป็นไง ท่าทางแข็งแรงดี”
หน้าที่ถูกโยนใส่โดยไม่รู้ตัว กรณ์ทำหน้างงๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
“ให้ผมไปดีกว่าครับ กรณ์เขาไม่เก่งเรื่องพวกนี้เท่าไร” อริญชย์ออกตัวอีกคน แต่คุณดารินปฏิเสธ
“เราน่ะมาอยู่ช่วยน้าตำน้ำพริกแกงดีกว่า หน่วยก้านดีน่าจะตำเก่งได้”
กรณ์ยิ้มเย้ยหยันใส่เพื่อนรักแต่เป็นศัตรูหัวใจ เขารับอาสาขันแข็งแถมรับปากว่าจะช่วยดนตร์ซื้อของตามรายการได้ครบอย่างแน่นอน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!” อริญชย์พูดลอดไรฟัน ก่อนจะเดินสวนกับดนตร์ที่เดินออกมาจากห้องครัว โดยทิ้งหน้าที่หนุ่มนวดแป้งเอาไว้ให้
เสียงรถยนต์เคลื่อนห่างออกไปแล้ว อริญชย์ละสายตาจากท้ายรถญี่ปุ่นสีดำแล้วกลับมาสนใจครกหินตรงหน้าต่อ คุณดารินทำหน้าที่นำเครื่องแกงลงครก หน้าที่ของเขาแค่ตำให้ พริกแห้ง กระเทียม หอมแดง และสมุนไพรรสร้อนอีกสี่ห้าอย่างให้เข้ากัน มันไม่ใช่งานยากก็จริงแต่ก็ต้องใช้พลังงานไม่น้อย สมควรแล้วที่งานแบบนี้จะตกเป็นของเขาถ้าให้สตรีสูงวัยผู้นี้ทำเขาคงเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวที่สุดในโลก
“ปกติแล้วนับดาวจะเป็นคนทำน่ะ แต่พอมีน้ำเหนืองานพวกนี้เลยไม่มีใครทำ น้าเองก็ตำไม่ค่อยจะไหว ส่วนพ่อของเพลงไม่ต้องพูดถึง รายนั้นกินเป็นอย่างเดียว”
“แล้วทำไหมไม่ซื้อล่ะครับ” อริญชย์ถาม พลางพยายามหันหน้าหนีจากครกให้ได้มากที่สุด
“เจ้าเพลงมันไม่ชอบน่ะสิ ถ้าน้าไม่ทำเองเพลงจะไม่ยอมกิน แต่ก็ไม่เคยมาช่วยตำสักที เรียกใช้ทีไรต้องมีข้ออ้างตลอด ปวดท้องบ้างล่ะ การบ้านเยอะบ้างล่ะ หรือไม่ก็แอบปั่นจักรยานหนีไปบ้านเพื่อน กลับมาอีกทีก็กินเลย”
เขาหัวเราะตามคำพูดของคุณดาริน จินตนาการถึงดนตร์ในวัยเด็กที่คอยหลบเลี่ยงงานในครัว ครอบครัวนี้อบอุ่นไม่น้อย ถึงจะมีฐานะปานกลาง แต่ความรักที่มีให้กันกลับเปี่ยมล้น แม้จะอิจฉาที่กรณ์ได้ออกไปกับดนตร์สองต่อสอง แต่การช่วยคุณดารินนวดแป้งตำเครื่องแกงก็เหนื่อยไม่ยอก ขนาดอากาศเย็นสบายยังทำให้เหงื่อแตกได้ พอเครื่องแกงเริ่มจะเข้ากัน เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ไม่นานก็ได้ยินเสียงสนทนาของคุณดารินกับเด็กผู้ชายดังแว่วเข้ามาในครัว
“แม่บอกว่าให้เอาไชเท้ามาให้ครับ ปีนี้ได้หัวสวยเชียว เอาไว้ใส่น้ำซุปน่าจะหวานมากเลย”
“ขอบใจมากพระนาย ไม่ได้ไปไหนใช่ไหม มาช่วยป้าทำข้าวซอยหน่อยสิ คืนนี้ป้ามีแขกหลายคนทำคนเดียวไม่ไหว”
“ได้ครับ ผมว่างตลอดทั้งเย็นเลย”
อริญชย์มองตามต้นเสียง ที่เห็นคือคุณดารินกำลังถือตะกร้าที่มีหัวไชเท้า สีขาวน่ากิน แล้วที่เดินตามมานั้นคือ เด็กหนุ่มตัวไม่สูงมาก น่าจะเตี้ยกว่าดนตร์ด้วยซ้ำ เดาจากความอ่อนเยาว์ของใบหน้าคงไม่เกินสิบแปดปี ดวงตากลมใส เส้นผมสีดำสนิท จมูกโด่งรับกับริมฝีปากรูปกระจับ ผิวขาวเหมือนหัวไชเท้าที่เจ้าตัวนำมาฝาก ทันทีที่เห็นเขาเจ้าตัวก็ชะงักงัน ดวงตาเหมือนลูกกวางมีแววประหลาดใจ
“นี่อริญชย์เพื่อนพี่เพลง รู้จักเขาไว้สิ...อริญชย์ นี่พระนาย ลูกชายเพื่อนน้าเอง”
....................................
:monkeysad:ขออภัยนะคะที่อัพช้า คุณแม่เสียแล้วค่ะ ยุ่งวุ่นวายมาก เพิ่งจะมีเวลาว่างนี่เอง หลังจากนี้จะอัพบ่อยๆ นะคะ