15.
เด็กชายวัยห้าขวบที่กำลังนั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษด้วยสีเทียน ทั้งที่พี่ชายและพี่สาวสองคนนอนหลับสนิทอยู่ข้างกัน ผู้ที่เป็นแม่เดินเข้ามาดูใกล้ๆด้วยความสงสัย
"ทำอะไรนะลูก ทำไมถึงยังไม่นอน" เสียงทักของแม่ทำเอาเด็กชายสะดุ้ง แล้วหันมาทำเสียงจุ๊ๆ เลียนแบบที่ทำเวลาอยากให้เบาเสียง ก่อนจะหันกลับไปมองพี่ชายที่ยังคงหลับสนิทแล้วถอนหายใจ กิริยาเลียนแบบผู้ใหญ่ที่ผู้เป็นแม่คลี่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
"แอบแกล้งอะไรพี่เค้าอีกล่ะซิ" เด็กชายส่ายหัวรัวเหมือนจะบอกปฏิเสธ ก่อนจะหยิบกระดาษที่ตัวเองขีดเขียนอยู่เมื่อครู่ออกมายื่นให้ดู
"วาดรูป.." เจ้าของผลงานยิ้มจนตาปิด ทั้งที่ในแผ่นกระดาษมีเพียงเส้นขยุกขยิกมองออกเป็นรูปร่างบ้างไม่เป็นบ้าง เพราะเจ้าตัวยังคงเป็นเด็ก
"นี่รูปของใครกันน้า..แม่อยากรู้จริงๆ" คนเป็นแม่แกล้งทำเสียงสูง เจ้าลูกชายที่ยังยิ้มไม่เลิกชี้ไปทางต้นแบบที่ยังคงหลับสนิทด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
"รูปเฮีย..หลับอยู่.." เด็กชายเอื้อมมือมาดึงกระดาษกลับไปจากมือแม่ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาขีดเขียนต่อ ปล่อยให้คนเป็นแม่นั่งมองอย่างแปลกใจเพราะในยามปกติทั้งสองคนมักจะแกล้งกันไปมาเสมอ ลูกชายและลูกสาวของบ้านข้างๆ ที่มักจะมาเล่นด้วยกันในวันหยุด
"ทำไมไม่วาดพี่มีนาบ้างล่ะ วาดแต่เฮียเหรอ..?" คนเป็นแม่ลองแกล้งถาม แต่เจ้าลูกชายก็ส่ายหัวแทนคำตอบ
"ผมชอบวาดรูปเฮียมากกว่า" คำตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้างของลูกชาย ทำให้คนเป็นแม่ยื่นมือไปดึงแก้มเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว เข้าใจเอาเองว่าเด็กผู้หญิงคงจะวาดยากลูกชายก็เลยเลือกที่จะขีดๆเขียนๆใบหน้าของพี่ชายแทน
อีกไม่กี่ปีต่อมาเพื่อนสนิทที่อยู่บ้านข้างๆ ก็ตกลงแต่งงานใหม่กับอีกฝ่ายที่เป็นพ่อม่ายเช่นเดียวกัน โชคดีที่เค้ารักเด็กและยอมรับได้อย่างไม่รังเกียจแต่ทั้งครอบครัวก็จำต้องย้ายเข้าไปอยู่ในกรุงเทพ เด็กสองคนที่เคยมาวิ่งเล่นก็พลอยต้องย้ายตามไปด้วย
"แม่..เฮียเค้าจะกลับมาอีกไหม กลับมาอีกรึเปล่า..." คำถามซื่อๆของลูกชายทำเอาคนเป็นแม่พูดไม่ออกได้แต่ดึงตัวมากอดแล้วตบหลังเบาๆ เพราะรู้ว่าเด็กทั้งสามคนเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็กก็ต้องมีผูกพันกันบ้าง
"ต้องกลับมาซิลูก บ้านคุณยายยังอยู่นี่นา ถ้าคิดถึงลูกก็ไปวิ่งเล่นที่บ้านพี่เค้าได้ คุณยายท่านบอกแม่ไว้แล้ว..." เด็กชายพยักหน้าพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย วิ่งออกไปที่หน้าบ้านตอนที่เห็นรถยนต์ที่จอดอยู่บ้านข้างๆสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเคลื่อนออกไป แล้วจู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ ขาเกือบจะวิ่งตามหลังรถออกไป ถ้าไม่ติดว่าแม่วิ่งมาคว้าตัวเอาไว้...
.
.
"แม่.....แม่...!!" เสียงพึมพำของคนที่กำลังหลับ ก่อนจะเปิดเปลือกตาลืมขึ้นมาอย่างยากเย็น
ฝัน....!! ฝันถึงเรื่องเก่าๆซินะ หัวมันถึงได้หนักอึ้งแบบนี้
วายุยันตัวเองขึ้นมาจากที่นอนในสภาพเมื่อยขบไปทั้งตัว หัวมันหนักกว่าปกติจนแทบจะยกไม่ขึ้นจากหมอน แต่พอเหลือบตามองที่นาฬิกาก็จำต้องสลัดผ้าห่มตัดใจจากเตียง เดินไปล้างหน้าล้างตาจัดการธุระส่วนตัวตอนเช้า แล้วเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษา ไม่ลืมที่จะคว้าหอบงานที่ทำเสร็จเมื่อคืนติดมือออกไปด้วย
ลองแนบหูไปกับประตูห้องข้างๆ ได้ยินเสียงกุกกักเคลื่อนไหวอยู่ข้างในให้พอรู้ว่าเจ้าของห้องได้ตื่นมาแล้ว ไม่อย่างงั้นคงได้หาเรื่องเข้าไปปลุกด้วยตัวเอง แต่หากตื่นแล้วคงไม่เสี่ยงชีวิตเข้าไปแน่ กลัวว่าจะโดนฆ่ามากกว่าจะได้ทำอะไร คงต้องตัดใจหันไปเตรียมลงมือทำอาหารเช้า วันนี้ก็คงเป็นชุดอาหารเช้าสไตล์อเมริกัน...หรูป่ะล่ะ....ที่จริงทำไม่ทันแล้วต่างหาก ได้แค่ทอดไข่ดาวสองสามฟองกับไส้กรอกและจับขนมปังสองสามแผ่นยัดใส่เครื่อง
"ตื่นสายรึไงวันนี้..!!?" เจ้าของบ้านที่เดินออกมาพร้อมหอบงานชะโงกหน้าเข้ามาดูของกินบนโต๊ะ คนที่กำลังยกของมาวางคลี่ยิ้มให้แทนคำตอบ
"เมื่อคืนปั่นงานดึกไปหน่อย ขอชดเชยเป็นมื้อเย็นนะครับ" วายุบอกพร้อมกับยิ้มแหยๆให้ ยังคงรู้สึกมึนงงหัวหนักๆ และอยากนอนมากกว่าแต่ก็ติดที่วันนี้ต้องไปส่งงาน
"ก็ไม่ได้ว่าอะไร กินซิจะได้รีบออกไปกัน" นายตุลบอกก่อนจะนั่งลง เห็นว่าเชฟใหญ่ของบ้านหน้าซีดๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักเพราะเดาเอาว่าคงจะเป็นเพราะอดนอน
โป๊ก!!
"โอ๊ย!! เจ็บอ่ะ..."
"แตกแล้วมั้งน่ะ!!" จะอะไรซะอีก ก็ไอ้พ่อครัวใหญ่ที่กำลังจะเดินเอากะทะไปเก็บ ไม่รู้เดินอีท่าไหนชนเข้ากับขอบประตูเสียงดัง ก่อนที่ตัวมันจะทรุดนั่งลงกับพื้นยกมือกุมหน้าผากตัวเองเอาไว้ ตอนแรกก็คิดว่ามันแกล้งโอเวอร์แอคติ้งไปตามเรื่องเหมือนเคยแต่ก็ได้ยินเสียงมันครางบ่นงึมงำ จนต้องลุกไปดูเองในที่สุด
"เฮ่ย!! ตัวร้อนขนาดนี้ทำไมไม่บอก!!" แทนที่จะได้เห็นแผลแตกที่แสกหน้าไอ้หมีโย่ง แต่พอแตะไปโดนตัวมันแค่นั้นถึงได้รู้ว่าที่มันเบลอขนาดนั้นคงเป็นเพราะพิษไข้
"ผมก็ไม่รู้ แค่หัวมันหนักๆ" คนป่วยที่ไม่รู้ตัวเองว่าป่วยแล้วยังจะมาหาเรื่องเจ็บตัวเงยหน้ามาตอบตามความจริง
"หยุดเรียนเลย ไม่ต้องไป นอนพักอยู่ที่บ้านนี่แหละ" สภาพแบบนี้ขนาดปล่อยให้เดินในบ้านยังอันตราย แล้วจะปล่อยให้ออกไปผจญโลกกว้างคงไม่รอดกลับมา
"ไม่ได้หรอกเฮีย งานผมต้องส่งวันนี้" ไอ้หมีไวไวชี้ไปที่กองงานของตัวเอง..เป็นขนาดนี้แล้วยังจะดื้ออีกนะ!! นายตุลถอนหายใจออกมายืดยาว ดึงมือเจ้าตัวที่ปิดหน้าผากตรงที่โดนกระแทกออก เห็นว่ามันเป็นรอยแดงเป็นทางยาว
.
.
"งั้นก็ไป.." ไอ้ไวไวเกิดอาการแป้ว!! ขึ้นในใจ..คิดว่าไอ้คุณเฮียจะง้อซักหน่อยจะได้อ้อนให้สมใจ ..แต่ก็เปล่า!!! แค่เพียงดึงเอากระทะออกจากมือไปเก็บให้ แล้วดันหลังให้ไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว พร้อมกับเสียงถอนหายใจ..ทำเอาไอ้หมีเริ่มใจไม่ดีกลัวว่าตัวเองจะเป็นภาระ
หลังจากจัดการกับอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย มื้อนี้ไอ้คุณเฮียแอบใจดีช่วยเก็บให้ แถมยังช่วยหอบงานไปที่รถ แต่ก็ไม่ยอมพูดไม่ยอมจาทำเอาคนป่วยนั่งเจียมเนื้อเจียมตัวแบบไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงแบบไหนดี แล้วพอมันเงียบเช่นนั้น บรรยากาศมันก็ชวนให้คนที่หนักหัวอยู่ก่อนแล้ว...หลับไปได้โดยง่าย เพียงแค่รถเคลื่อนออกไปได้แค่หน้าปากซอยหมู่บ้าน
คนที่กำลังขับรถชำเลืองมองคนป่วยเป็นระยะๆ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอกับใบหน้ากวนประสาทที่บัดนี้ซีดเซียวแน่นิ่งไปแล้ว ...แล้วแบบนี้จะยังดื้อจะไปมหาลัยให้ได้ซินะ นายตุลตัดสินใจเลี้ยวรถไปคนละทางที่จะไปมหาลัย ตอนที่ติดไฟแดงก็อาศัยจังหวะที่เจ้าของโทรศัพท์มันกำลังหลับหยิบขึ้นมากดหาเบอร์เพื่อนในห้องที่พอจะฝากของไปได้
"ไว....ไว......ถึงแล้วลงมาเถอะ" เสียงเรียกเบาๆที่ได้ยินทำเอาคนที่อยู่ในอาการมึนลืมตาขึ้นมามองไปทางที่นั่งฝั่งคนขับ แต่ก็พบกับความว่างเปล่าเพราะคนขับที่ว่ามายืนอยู่ฝั่งนี้พร้อมกับเปิดประตูให้
วายุหรี่ตามองออกไปข้างนอกรถหวังจะได้เห็นอาคารเรียน หรือตึกหน้าคณะตัวเอง แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะมัน...ไม่ใช่!!!
เจี๊ยกกกกก เผลอหลับไปแป๊บเดียว ที่นี่ที่ไหนกันล่ะครับ!!! ระ...ระ...โรงพยาบาล!!! ม้ายยยยยยย...ไอ้ไวไวกลัวเข็ม กลัวเลือด แม่คร้าบบบบบ ช่วยด้วยยยยยยยย
"ลงมา!!" จากน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกเมื่อกี้ หายวับไปกับตากลายเป็นเสียงโหดที่มาพร้อมกับใบหน้าเหี้ยมเกรียม สาบานได้ว่านั่นไอ้คุณเฮียนะ ไม่ใช่นักโทษแหกคุก!!!
"ฮะ..เฮีย..ผมจะไปมหาลัย" เอาซิ!! ไอ้ไวไวขอยึดเบาะรถไว้เป็นตัวประกัน ให้ตายก็ไม่ลงไป ใครจะมาบังคับต้องงัดเอาเบาะรถลงไปด้วย เอาซิ!!
"จะลง ไม่ลง!?" แง้ง!!! ณ ที่นี้ หน้าโรงพยาบาล ไอ้คุณเฮียมันกำลังโหดใส่คนป่วยอยู่คร้าบบบบบ ใครก็ได้ช่วยลากเฮียไปที...อยากจะบอกว่าแค่ขับรถผ่านป้ายโรงพยาบาล ไอ้ไวไวก็พร้อมจะหายแล้วครับท่าน ไม่ต้องเสียเวลารักษาถึงมือหมอคนไหน
"ผมต้องไปส่งงาน จะไม่ทันแล้วนะเฮีย จริงๆนะ" ไอ้ไวไวทำเสียงอ้อน กระพริบตาปริบๆสองสามที พร้อมทำหน้าตาสดใสวิ้งๆ ให้เห็นว่า'ตัวข้านั้นแข็งแรงดี'แต่..ไอ้คุณเฮียก็ยังคงยืนทำหน้าโหดข่มขู่คนไม่มีทางสู้อยู่ท่าเดิม ไม่น่าเผลอหลับไปเลยเชียว ไอ้คุณเฮียไว้ใจไม่ได้!!
นายตุลเหล่มองไอ้หมีป่วยที่ยังคงนั่งอยู่ท่าเดิมไม่ยอมปลดล็อคเข็มขัด แถมเอาสองมือจับเบาะที่นั่งเอาไว้แน่นเหมือนกับว่ามันจะช่วยอะไรได้..’เด็ก!!’ แทนที่จะอารมณ์เสียให้เข้ากับการเก๊กหน้าบูดบึ้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยิ้มออกมาได้ ก่อนจะล้วงมือไปหยิบโทรศัพท์ออกมา
“เออ!! อยู่หน้าโรงพยาบาลแล้ว ส่งคนมาช่วยหน่อยได้ป่ะ เอาบุรุษพยาบาลตัวโย่งๆซักสองสามคน..” ไอ้คนป่วยที่นั่งยึดติดกับเบาะรถเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงงจัด
“เฮีย..” วายุเอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อของคนที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยประโยคแปลกๆ เพราะเหมือนรู้สึกงานจะเข้าตัว
“แล้วก็ไอ้หมอ!! เอายาสลบมาด้วยก็ดี เออ..ซัก 4-5 เข็ม ตามสบาย ตอนนี้อยู่ในรถจัดมาเลย ชุดใหญ่!!”
“เฮียยยยย..!!.จะทำไรผม เข็มเขิมอะไรไม่เอา!!!!” ไอ้ไวไวครับท่าน คนที่สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมลงไปเด็ดขาด แทบจะพุ่งตัวลงไปจากรถอย่างเร็วจนหน้าแทบทิ่ม ตอนที่ได้ยินคำว่า ‘4-5 เข็ม’ คนป่วยนะคร้าบบบ ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุเลือดโชกมา ถึงต้องจัดมาชุดใหญ่ขนาดนั้น
“อ้าว...!!! ก็เห็นรีบ ฉีดยาจะได้หายเร็วๆไง” ถ้า...ถ้าตอนนี้ไม่ได้อยู่หน้าโรงพยาบาล และไอ้ไวไวมีแรงพอล่ะก็ จะจับเฮียยัดใส่รถแล้วปล้ำจูบซะให้หายแค้นเลย...อันนี้ต้องจดไว้ก่อน ไว้ทำตอนฟื้นไข้ก็ยังไม่สาย!!!
“โหดว่ะ เฮียโหดอ่ะ!! ก็รู้อยู่ว่าผมไม่ชอบโรงพยาบาล!!” แม้ว่าปากจะบ่น แต่ก็จำใจต้องเดินนำเข้าไปในโรงพยาบาล เกือบสะดุดขาตัวเองที่เป๋ไปเป๋มา ยังดีที่ไอ้คุณเฮียโหดที่เดินตามหลังมาช่วยหิ้วปีกเอาไว้ข้างหนึ่ง ..โอบเอวซะดีไหมโอกาสแบบนี้!!!
“เดี๋ยวไปรอรักษานะ เสร็จแล้วจะมารับ” นายตุลหันไปบอก ไอ้เด็กโย่งหันมาทำหน้างอใส่หยุดเดินมันเสียดื้อๆ
“เฮียไม่อยู่ด้วยเหรอ อยู่เหอะนะ ผมไม่ชอบโรงพยาบาล..” วายุหันไปทำเสียงอ้อนหนักกว่าทุกที ไม่ยอมปล่อยแขนข้างที่ช่วยพยุงตัวเองเอาไว้
“จะเอางานของเราไปฝากเพื่อนส่งให้ไง เดี๋ยวไอ้หมอเดินเอาใบแพทย์มาให้” นายตุลลูบหัวฟูๆดูยุ่งเหยิงของไอ้หมีโย่งให้เข้าที่ ก่อนจะเหลือบมองหาเพื่อนหมอที่บอกว่าจะเซ็นใบรับรองแพทย์ลงมาให้
“เฮีย...”
“อ๊ะ!! ไอ้หมอมาโน่นแล้วไง..” ยังไม่ทันที่คนป่วยตัวโตจะได้หาเรื่องอ้อนอะไรอีก ไอ้คุณเฮียก็ลุกขึ้นโบกมือเรียกคุณหมอที่กำลังเดินเข้ามาหาพร้อมกระดาษสีขาวในมือ
วายุนั่งทำหน้าหงอยมองไอ้คุณเฮียที่กำลังเดินไปรับใบแพทย์จากเพื่อนหมอ ก่อนจะสั่งอะไรสองสามคำแล้วหันมายิ้มให้ เข้าใจว่ามีความจำเป็น และความจำเป็นนั้นก็เป็นของไอ้ไวไวคนนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เลยจำต้องปล่อยให้ไปอย่างเสียดาย
สาเหตุที่กลัวโรงพยาบาลนะเหรอ...ไม่ใช่แค่กลัวเข็ม กลัวเลือดเพียงแค่อย่างเดียวหรอก แต่เพราะเคยมาเป็นเพื่อนแม่ตั้งแต่ครั้งที่ท่านป่วย มานั่งรอหน้าห้องที่แม่เดินหายเข้าไป รออย่างใจจดจ่อเพื่อหวังจะได้เห็นแม่เดินออกมาแล้วยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง แต่แล้ววันหนึ่ง..ความหวังก็ไม่เป็นจริง ทั้งๆที่รู้ก็ยังคงนั่งรออยู่แบบนั้นอีกหลายชั่วโมงจนคุณยายข้างบ้านมารับตัว
“วายุใช่ไหม...ไปกันเถอะ” คุณหมอเดินมาแตะที่แขนพร้อมกับยิ้มให้ ตอนที่สายตาของวายุจ้องตามแผ่นหลังของคนที่พาตัวเองมาส่ง เดินหายไปทางประตูทางออก
“ผม..ไม่ต้องฉีดยาใช่ไหมครับ..?” คุณหมอเพื่อนเฮียหลุดหัวเราะออกมา แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะพาคนป่วยไปยังห้องตรวจ ...เหมือนอย่างที่ไอ้คุณเพื่อนพูดไว้ไม่มีผิด ตัวก็โตแต่กลัวเข็มอันนิดเดียว
.
.
.
เสียงโหวกเหวกโวยวายที่ข้างหู ทำเอาคนที่กำลังนอนหลับเพราะฤทธิ์ยาลืมตาตื่นขึ้นมาได้ไม่ยาก จำได้ว่าห้องที่ตัวเองโดนสั่งให้มานอนพักเพื่อรอคนมารับ เป็นห้องพิเศษที่คุณหมอเป็นคนเซ็นเปิดห้องให้ แล้ว...ไอ้เสียงเจี๊ยวจ๊าวประหนึ่งนอนสลบอยู่กลางตลาดขายปลานี่มันอะไร
“เฮ้ย!! เบาๆดิ ตื่นเลยเห็นป่ะ” เสียงปรามคุ้นหูที่ได้ยิน อยากจะบอกว่าไม่ทันละ เสียงดังตลาดแตกขนาดนี้ ไม่มาตะโกนใส่หูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ!!
“อย่ามาทำสำออย ก็แค่หวัดใหญ่ ตื่นๆมาได้แล้ว หรือจะเป็นเจ้าชายนิทรา” ชัดเลยแบบนี้!! ไม่ต้องลืมตามองก็รู้ว่าเสียงปรามแรกที่ได้ยินคือเสียงหญิงหยกชัวร์ ส่วนไอ้คำแดกดักกวนประสาทเมื่อกี้ต้องเป็นเสียงของไอ้ชายเอิงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไอ้วา เป็นไงมั้งวะ!!?”
“ขอบใจไม้ นึกว่าจะไม่มีคนถามถึงซะละ” ก็ดูพวกมันแต่ละคน ไอ้หยกกำลังลังนั่งกินข้าวกล่อง ไอ้คุณชายกำลังนั่งปอกผลไม้ในตะกร้า!! เออ..คิดว่าน่าจะเป็นของเยี่ยมที่พวกมันหอบหิ้วมานั่นแหละ
“ตื่นมาได้เวลากินพอดี ให้รออยู่ได้ตั้งนาน” ไอ้ชายเอิงบ่นพึมพำทั้งที่มือยังไม่หยุดปอกแอปเปิ้ล ให้ตายเหอะใครจะไปคิดว่าคุณชายอย่างมันจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย
“เฮียล่ะ!!?” วายุมองหาบุคคลที่น่าจะอยู่ด้วย แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา และคงเป็นเพราะอาการป่วย เหมือนกับว่าจู่ๆอารมณ์มันเหงาขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
“พี่ตุลบอกมีธุระ เพิ่งจะกลับไปเมื่อกี้ เดี๋ยวพวกเราไปส่งที่บ้านให้เองไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้คุณชายเดินเข้ามาพร้อมกับจานผลไม้ที่ปอกเสร็จแล้ว ยื่นมาให้แต่แทนที่จะส่งให้คนป่วย กลับส่งให้ไอ้คุณป๋าที่นั่งน้ำลายยืดอยู่ข้างเตียงแทน...ใคร!! ช่างส่งไอ้พวกนี้มาเป็นคนเยี่ยมไข้ให้ตายเหอะ!!
“อยากกลับวะ ไปส่งทีเหอะ ไม่ชอบกลิ่นโรงพยาบาล” คนป่วยบนเตียงลุกขึ้นสลัดผ้าห่มที่คลุมตัวทิ้งอย่างไม่สนใจ ถ้าไม่ได้ตื่นมาเจอหน้าใครบางคน ก็ยอมลากสังขารกลับไปนอนที่บ้านยังจะดีเสียกว่า
“ไรหว่า เพิ่งมาถึงกันเองนะ เรียนเสร็จก็รีบมาเลยเนี้ยะ” ไอ้คุณป๋าหันมาบ่นทั้งที่ผลไม้ยังคาเต็มปาก ถึงว่า..พวกมันถึงได้มารวมตัวกันสวาปามของกินกันในห้องผู้ป่วย ที่ซื้อของมาทำเนียนเหมือนจะมาเยี่ยม..ที่แท้เอามากินเอง..น่าสรรเสริญมันจริง ๆ
“ไปกินต่อที่บ้านก็ได้ เก็บของ ๆ ” เพราะได้ยาดีไป อาการก็เลยดีขึ้นแม้ว่าจะยังเหลืออาการมึนอยู่บ้างแต่ก็ไม่เท่ากับตอนแรก ไอ้คุณเพื่อนทั้งสามช่วยกันเก็บข้าวของเดินตามหลังมาแต่โดยดี
วายุไม่ลืมที่จะเดินกลับไปยังห้องพักคุณหมอเพื่อบอกขอบคุณและขอตัวกลับ โดยมีเพื่อนอีกสามคนยืนเป็นแบล็คกราวน์อยู่ข้างหลัง ก่อนที่ทั้งหมดจะย้ายสำมะโนครัวไปที่บ้านของเฮียตุล โดยมีคนป่วยที่กึ่งหลับกึ่งตื่นคอยบอกทาง
“พาคนป่วยเรื่องมากมาส่งครับคุณผู้ชาย” เจ้าของบ้านที่เปิดประตูออกมารับทำหน้าแปลกใจอยู่แวบหนึ่ง ตอนที่ไอ้ชายเอิงมันแกล้งทำเสียงเหมือนเดลิเวอรี่แมนบริการส่งของถึงบ้าน
“เข้ามาข้างในกันก่อนซิ”
“เฮียหลอกให้ผมรออีกแล้วนะ...” คำต่อว่าของคนป่วยเรื่องมากที่ว่า ทำเอาเจ้าของบ้านขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่ได้ยิน ไอ้ที่โดนว่าหลอกให้รอนะเข้าใจ..แต่ที่ว่า...อีกแล้ว..มันยังไงหว่า!!
“ซื้อมาฝากพี่ตุลคะ บ้านสวยมาก ๆ เลยคะ” ไอ้หญิงหยกยกตะกร้าเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพที่ถือมาจากโรงพยาบาลให้เจ้าของบ้านหน้าตาเฉย ไอ้นี่มัน!! แล้วไอ้คุณเฮียก็ดันไปยิ้มหวานให้มันอีก ต้องนับไอ้หยกเป็นคู่แข่งแล้วกากบาทหัวตัวแดงเอาไว้ว่าไอ้ตัวอันตรายซะแล้ว
“ตามสบายเลยนะ ของอะไรหยิบได้เลยในตู้เย็น” เจ้าของบ้านชี้ทางไปห้องครัว บอกทางไปห้องน้ำ แต่ไม่เห็นจะหันมามองหน้าคนป่วยที่ตัวเองทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลเลยซักนิด ไอ้สามเกลอพอได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของบ้าน มันก็บริการตัวเองเสร็จสรรพไม่ต้องรอให้บอกอีกเป็นรอบที่สอง
วายุเดินลากสังขารตัวเองเข้าไปในห้องนอน โยนถุงยาในมือทิ้งไว้บนโต๊ะอย่างไม่สนใจ ไม่รู้ว่าในหัวมันจะหงุดหงิดอะไรนักหนา ป่วย!!? ฤทธิ์ยา!!? หรือเพราะไม่ได้เห็นหน้าใครบางคนอย่างที่ควรจะเป็นตอนตื่นขึ้นมา ก็แค่...ความหวังเล็ก ๆ ของคนป่วยเอาแต่ใจ
“ดีขึ้นรึยัง!!?” คนป่วยที่นั่งโงนเงนอยู่บนเตียงเพียงแค่เหล่มองมาด้วยหางตา ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตะแคงโดยไม่ตอบคำถาม นายตุลจำต้องสาวเท้าเข้าไปใกล้ยกมือแตะหน้าฝากไอ้หมีตัวดีที่ยังคงนอนหลับตานิ่ง
เข้าใจว่าธรรมชาติของคนป่วย..คือ..อยากให้ดูแล อยากให้ใครมาสนใจ อยากให้ตัวเองสำคัญที่สุด ณ ตอนนั้น หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าอาการเอาแต่ใจที่มาพร้อมกับอาการป่วย..
“ถ้าจะนอน เฮียออกไปข้างนอกนะ..” ยังไม่ทันจะได้ปล่อยมือที่วางแปะอยู่บนหน้าผาก ฝ่ามือร้อน ๆ ของคนป่วยก็คว้าเอาไว้เสียก่อน แววตาทั้งคู่ที่หรี่ลงจะแทบจะปิดเหลือบมองมาเหมือนกับจะอ้อนวอน
“อยู่ต่ออีกนิดได้ไหมครับ...ขอแค่ตอนก่อนจะหลับก็ได้...” เสียงแหบแห้งของคนป่วยที่อ้อนวอนมาพร้อมกับสายตาที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ลง มือที่ยังวางอยู่บนใบหน้าเผลอลูบไปมาอย่างลืมตัว
“หลับซะ..ไอ้หมีดื้อ..!!” คำต่อว่าที่ได้ยินทำเอาไอ้หมีป่วยคลี่ยิ้มออกมาทั้งที่หน้าตายังคงซีดเซียว หมดกันความรู้สึกหงุดหงิดทั้งหมดทั้งมวลตลอดวันที่ผ่าน เพียงแค่ได้ยินเสียงกับแววตาอ่อนโยนที่มองมา ปลายนิ้วเย็น ๆ แอบหยิกแก้มคนป่วยไปทีด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะปล่อยให้ข้อมือของตัวเองโดนยึดไว้แบบนั้นจนกระทั้งเจ้าตัวหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
ผ้าห่มที่อยู่ปลายเท้าถูกคลี่มาคลุมตัวให้ ก่อนที่สัมผัสอ่อนโยนแผ่วเบาจะแตะลงบนหน้าผากของคนป่วยที่หลับสนิท สัมผัสที่แม้แต่คนทำเองก็ยังทำไปแบบไม่รู้ตัว แต่หัวใจมันกำลังเต้นแรงเป็นจังหวะที่ควบคุมไม่ได้ ถึงได้เดินมายืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้อง ยกฝ่ามือลูบหน้าตัวเองเพื่อปรับโหมดปกติก่อนเปิดประตูออกไป เพราะยังมีลูกลิงอีกสามตัวนั่งรออยู่ที่ข้างนอก....
====================
ปั่นตาเหลือก แหะ แหะ
คิดถึงทุกคนจริงจัง
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย..รักษาสุขภาพกันด้วยนะทุกคน