ตอนพิเศษ Japan! เพื่อนใหม่“หน้าเหมือนแซคเลยเนอะ ชื่อโซ่ใช่มั้ย?” ชายชาวญี่ปุ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่เอ่ยขึ้น
“ครับ...” ผมได้แต่นั่งนิ่งฟัง และรู้สึกแปลกใจที่ชายคนนั้นพูดภาษาไทยได้คล่องปร๋อ
“อ้อ ลุงชื่อยูกินะ เรียกยูเฉย ๆ ก็ได้” ชายคนนั้นบอก
ยูกิซัง อายุประมาณ 40 ปี เป็นสามีใหม่ของแม่ ปัจจุบันคบกันมาแล้วเกือบ 3 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่นานพอจะทำให้ผมรู้สึกวางใจชายคนนี้
“ครับ”
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ อยู่ที่นี่ทำตัวตามสบายนะ คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเอง”
“เอ่อ... ขอบคุณครับ”
“แซค ทำไมไม่พาน้องไปเที่ยวล่ะ แถว ๆ นี้ก็มีที่ให้เที่ยวเยอะนะ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยพาไป วันนี้เพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ ให้มันพักก่อน” ไอ้แซคบอก
“แล้วจะมาอยู่กี่วันล่ะ? จริง ๆ ที่บ้านเราก็มีห้องว่างอยู่นะ อยากมาอยู่ถาวรเลยรึเปล่าล่ะ? เดี๋ยวพ่อ... เอ่อ... ลุงจะได้ช่วยทำเรื่องให้”
“เอ่อ... ไม่หรอกครับ ผมยังอยากอยู่ที่ไทยมากกว่า ขอบคุณมากครับ”
“มาอยู่ที่นี่ด้วยกันก็ดีนะ แต่มึงคงไม่มาหรอก ติดผ... โอ้ย!” ผมเตะเท้าไอ้แซคอย่างแรงจนมันหยุดพูด รีบก้มลงไปเอามือกุมเท้าตัวเอง
“ผมยังเรียนไม่จบเลย อีกอย่าง ผมเป็นห่วงบ้านด้วย ถ้ามาอยู่นี่เดี๋ยวไม่มีใครดูแล”
“จริง ๆ ประกาศขายไปก็ได้นะ เพราะถึงยังไงมึงก็อยู่แต่หอพักมึงอยู่ดี” ไอ้แซคบอก
“พ่อมึงสิ! แล้วตอนกูเรียนจบอ่ะ จะให้กูไปอยู่ไหน?” ผมด่า
แม่กับลุงยูกิหันมามองผมด้วยความตกใจ เพราะปกติคงไม่มีใครพูดหยาบในบ้านแบบผม
“ขอโทษครับ”
“มาอยู่ที่นี่ไง” แม่เสริม
“ไม่เอาอ่ะ... ยังไงผมก็อยากอยู่ไทยมากกว่า”
"ติดแฟน" ไอ้แซคเหน็บ
"ไม่เกี่ยวเปล่าวะ? ต่อให้ไม่ได้คบกับไอ้ภพ กูก็ยังอยากอยู่ที่ไทยอยู่ดี"
“เอาไว้ถึงเวลานั้นค่อยคิดกันอีกทีแล้วกันเนอะ” ลุงยูบอก
หลังจากนั้นเราก็คุยอะไรกันอีกมากมาย จนผมเริ่มรู้สึกว่าแฟนใหม่ของแม่คนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรจริง ๆ อย่างที่ไอ้แซคคุยไว้ ทุกคนดูสนิทสนม และรักกันดี ผมรู้สึกได้ถึงคำว่าครอบครัวอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มานาน
“ผมขอไปเดินเล่นแถว ๆ นี้ได้มั้ย?” ผมถาม
“พาแซคไปด้วยสิ จะได้ไม่หลง”
“มันไม่หลงหรอกแม่ แถวบ้านเราไม่ใช่เขาวงกตนะ เดินไม่กี่นาทีก็รอบหมู่บ้านแล้ว” ไอ้แซคบอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปไม่ไกลหรอก”
“ใส่เสื้อหนา ๆ หน่อยนะ ข้างนอกกาศค่อนข้างหนาว” ลุงยูบอกพร้อมชี้ให้แม่ลุกไปหยิบเสื้อโค้ทตัวหนาเตอะมาให้ผม
ขณะที่ผมเดินออกมาที่หน้าบ้านนั้น จู่ ๆ ก็มีลูกบอลลอยตรงมาทางผม และชนเข้าที่หัวผมอย่างจัง จนผมล้มลงไป
“โอ้ย!” ผมเอามือกุมหัวตัวเองด้วยความเจ็บ พลางมองหาต้นตอของลูกบอลนั้นว่ามาจากที่ไหน
ผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม วิ่งมา แล้วหัวเราะใส่ผม พร้อมกับพูดภาษาญี่ปุ่นที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ ว่าไอ้หมอนั่นมันกำลังพูดว่าอะไร
“ขำเชี้ยไรวะ?!” ผมพึมพำเบา ๆ
“เป็นอะไรรึเปล่า? บอกให้รับทำไมไม่รับวะ?” หนุ่มยุ่นคนนั้นถามผมด้วยภาษาไทยด้วยสำเนียงที่ค่อนข้างชัดเจน
“อ้าว พูดไทยได้หรอ?”
“โดนบอลอัดแรงไปจนสมองเสื่อมเลยหรอวะ?” ชายคนนั้นบอก แล้วยื่นมือมาช่วยดึงผมลุกขึ้น
“ไอ้ชู!!” ผมกับไอ้หนุ่มยุ่น หันไปตามเสียงของไอ้แซคที่คงออกมาดูว่าใครเอะอะอะไรอยู่หน้าบ้าน
“เชี้ย!” “มึงทำอะไรน้องกูเนี่ย?”
“น้อง...? น้องมึง?” หนุ่มยุ่นที่น่าจะชื่อชู ถาม
“เออ นี่น้องกูเอง”
“เชี้ย! กูนึกว่ามึง”
ชูคุงหันมามองผมด้วยความตกใจ แล้วรีบขอโทษผมยกใหญ่
“กูนึกว่ามึง ก็เลยส่งบอลให้ แต่...”
“แต่เข้าหัวกูเต็ม ๆ” ผมบอก
“ขอโทษครับ!” ไอ้ชูรีบขอโทษอีกครั้ง (ไม่ทันไรเรียกไอ้ชูซะแล้ว)
“นี่ชูอิจิ เพื่อนในห้องกู พูดไทยได้นิดหน่อย แม่มันก็เป็นคนไทยเหมือนกัน” ไอ้ภพแนะนำเพื่อนมันให้ผมรู้จัก
“ถึงขนาดด่าเป็นนี่ไม่นิดหน่อยแล้วมั้ง!”
“ไอ้ชู นี่น้องกู ชื่อไอ้โซ่ เพิ่งมาจากไทย”
“หน้าเหมือนกันจนกูแทบแยกไม่ออก” ไอ้ชูบอก
“กูหล่อกว่า!”
“เหอะ ๆ” ผมหัวเราะแกน ๆ
“เออ มึงว่างป่ะ? พาน้องกูไปเดินดูรอบ ๆ นี้หน่อยสิ”
“ได้ ๆ ว่าแต่จะไปที่ไหนล่ะ?” ชูหันมาถามผม
“ไม่เป็นไร แค่เดินดูรอบ ๆ นี้เฉย ๆ เราไปคนเดียวได้”
“ไม่เป็นไร ถือว่าไถ่โทษที่เตะบอลใส่เมื่อกี้”
<---o--->
“มีอะไรรึเปล่า? เห็นเอาแต่มองตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ผมหันไปถามไอ้ชู เพราะรู้สึกอึดอัดที่มันเองแต่มองหน้าผมตั้งแต่เดินออกมาจากบ้านด้วยกันแล้ว
“เอ่อ ขอโทษ แค่แปลกใจที่หน้าเหมือนไอ้แซคมาก ๆ เลย”
“ก็เป็นแฝดกัน หน้าก็ต้องเหมือนกันสิ”
“ไอ้แซคเคยบอกว่ามีน้องชายอีกคน ไม่คิดว่าเป็นแฝดกันนะเนี่ย”
“ช่างเถอะ แล้วนี่บ้าอะไรเนี่ย? ออกมาเล่นบอลตอนอากาศหนาวขนาดนี้เนี่ยนะ?”
“ทำไมอ่ะ? สนุกดี ไม่ร้อน ไม่มีเหงื่อ” ไอ้ชูบอก
“อืม ก็คงชินแล้วสินะ”
“ไม่ชอบเล่นฟุตบอลหรอ?”
“ทำไมรู้อ่ะ?”
“ก็เตะไปให้ ไม่เห็นรับได้เลย”
“เตะมาตอนไม่ได้ตั้งตัวแบบนั้น ใครจะไปรับได้วะ?” ผมเอามือกุมหัวอย่างไม่รู้ตัว
“ฮ่ะ ๆๆ”
"แต่ก็ชอบดูนะ แฟนเราก็เป็นนักฟุตบอลเหมือนกัน"
"มีแฟนแล้วหรอ?"
"อืม"
"ที่ประเทศไทยนี่ ผู้หญิงก็ชอบเล่นฟุตบอลหรอ?" ไอ้ชูถาม
"เอ่อ... ไม่หรอก"
"งั้นก็?"
"แฟนเราเป็นผู้ชาย" ผมบอก ไอ้ชูดูตกใจนิดหน่อย แต่ก็ยังมีมารยาทพอที่จะยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
"ก็โอเคนะ สบายใจแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เราเองก็ไม่ได้แอนตี้เรื่องแบบนี้เหมือนกัน"
จากนั้นต่างคนต่างเงียบ เพราะผมเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับมันเหมือนกัน
“พูดไทยชัดจังเลยเนอะ” ผมเริ่มชวนคุย ก่อนที่บรรยากาศจะเริ่มอึดอัดด้วยความเงียบ
“ก็เคยอยู่ไทยตอนเด็ก ๆ ประมาณป.6 ได้มั้ง แล้วก็ย้ายตามแม่มา”
“แม่เป็นคนไทยหรอ?”
“แม่เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น พ่อเราเป็นคนญี่ปุ่น”
“อืม ก็ดีนะ เจ๋งดี”
“เจ๋งยังไงอ่ะ?”
“ก็ถ้าหน้าตาอย่างนี้ ถ้าอยู่ที่ไทย สาว ๆ ก็คงชอบอ่ะ”
“อย่างงี้สงสัยต้องหาโอกาสไปเที่ยวประเทศไทยบ้างแล้ว ฮ่า ๆๆ” ไอ้ชูบอกแล้วหัวเราะออกมา
ปกติแล้วผมเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ค่อนข้างแย่ กับคนที่เพิ่งรู้จัก หรือไม่สนิทด้วย ผมมักจะมึนใส่เสมอ แต่กับไอ้ชู ผมกลับรู้สึกโอเคที่จะคุยด้วยซะงั้น อาจเพราะผมคิดว่า นอกจากไอ้แซคกับคนที่บ้านแล้ว ก็มีไอ้ชูนี่แหละ ที่ผมจะคุยกับมันได้ เพราะมันพูดไทยได้
“จะมาอยู่นานไหม?”
“ประมาณ 2 อาทิตย์”
“น่าเสียดาย น่าจะอยู่นาน ๆ จะได้พาเที่ยว”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็คงได้มาบ่อย ๆ อยู่แล้ว อย่าลืมที่พูดแล้วกัน” ผมบอกพลางเอื้อมมือไปหยิบลูกฟุตบอลที่ไอ้ชูถือเอาไว้มาเตะเล่น
ซึ่งในขณะนั้น ก็มีผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมเข้ามาทักไอ้ชู แล้วหันมาพูดกับผมด้วยภาษาญี่ปุ่น ซึ่งถ้าให้เดา ฝ่ายนั้นก็คงคิดว่าผมเป็นไอ้แซคแน่นอน ไอ้ชูจึงรีบอธิบาย ไอ้หมอนั่นก็ทำท่าทางตกใจ ก่อนจะหันมามองผมแบบพินิจพิจารณาอีกที จนผมรู้สึกเกร็งที่โดนมองขนาดนี้
“นี่เคนตะ เพื่อนเรา”
“Hi I’m Kenta, nice to meet you!” เคนตะแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษกับผม
“เอ่อ... Nice to meet you too.”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็หันไปคุยกันต่อจนเคนตะแยกตัวออกไป
“เคนตะมันตกใจมากเลย ที่รู้ว่านายเป็นแฝดกับไอ้แซค”
“แหง~”
“??” ไอ้ชูหันมาทำหน้ามึนใส่ผม
“เอ่อ หมายถึง แน่นอน! แหง แปลว่า แน่นอน อะไรประมาณนั้น”
“อ่อ โอเค จะจำไว้นะ”
ตือดึ่ง! เสียงการแจ้งเตือนของไลน์ดังขึ้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วอุทานเบา
“เชี้ย!” ผมลืมไอ้ภพไปซะสนิทเลย
“เริ่มหนาวแล้ว เรากลับกันก่อนมั้ย?” ผมบอกกับไอ้ชู
“จากตรงนี้ไปกลับเองถูกมั้ย?” ไอ้ชูหันมาถามผม
“เอ่อ...”
“ฮ่า ๆๆ ล้อเล่น! เดี๋ยวเดินไปส่ง”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร คิดว่าน่าจะกลับถูก”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปส่ง ขืนปล่อยให้กลับคนเดียว ถ้าหลงขึ้นมาไอ้แซคฆ่าเราแน่”
“เว่อร์ ฮ่า ๆๆ”
<---o--->
“กูกำลังจะออกไปตามพอดีเลย แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว”
“ขอบใจนะ ที่มาส่ง”
“อืม ไม่เป็นไร”
“เออนี่ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
ไอ้ชูทำท่าทางลังเล แล้วหันไปมองไอ้แซค
“ได้ใช่มั้ย?” ผมหันไปถามไอ้แซค
“เออ มาเหอะ”
“งั้นรบกวนด้วยแล้วกันนะ” ไอ้ชูบอกแล้ววางลูกฟุตบอลไว้ตรงหน้าประตูบ้านก่อนจะเดินตามผมเข้ามาในบ้าน
<---o--->
“โซ่ชอบกินอะไรเป็นพิเศษไหมลูก?” แม่เอ่ยถามผมขณะที่เรากำลังกินข้าวกันอยู่
“ก็หลายอย่างนะครับ ถ้าให้บอกตอนนี้คงนึกไม่ออก”
“ไก่กระเทียมละมั้ง!” ไอ้แซคแซว
“ทำเป็นรู้ดี”
“เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนกันเลยนะ ทั้งสองคนเนี่ย! ตีกันตลอดเลย” แม่บ่นพลางหัวเราะ ผมหันไปมองไอ้ชูก็แอบหัวเราะเช่นกัน
“ก็มันกวนตีน...เอ่อ... ขอโทษครับ” ผมเผลอหลุดคำด่าไปอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวแม่กับลุงก็คงชินเอง” ลุงยูกินบอก
“แต่ก็ต้องระวัง เดี๋ยวโชจังพูดตาม” แม่บอกแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวโชตะคุงที่นั่งอยู่ช้าง ๆ ผม
“เดี๋ยวชูจังก็จะพูดตาม” ไอ้แซคบอกแล้วหันไปลูบหัวไอ้ชูบ้าง
ทุกคนพากันหัวเราะอีกครั้ง
“จริง ๆ อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกันนะ...” ผมคิดในใจ
<----O<<::::::======[ จบตอนพิเศษ ]======::::::>>O---->
สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน
อันเนื่องมาจากผู้เขียนพอจะมีเวลาว่างนิดหน่อย บวกกับ มีความคิดถึงไอ้ภพกับไอ้โซ่ และทุก ๆ คน
ก็เลยเขียนตอนพิเศษขึ้นมาให้หายคิดถึงซะหน่อย
ตอนนี้ได้ลองอะไรใหม่ ๆ ด้วย นั่นก็คือการแคปหน้าจอไลน์มาลง 555
2 ตอนนี้ อาจเป็นตอนสั้น ๆ พอให้หายคิดถึง
จริง ๆ มีแพลนจะแต่งภาค 2 ต่อ แต่คงต้องดูเวลาก่อน ไม่อยากแต่งแล้วดองนาน ๆ แต่ไม่ว่ายังไงมาแน่!
และบอกไว้ก่อนว่า ใครที่รอคู่ แซคภู อาจได้ลุ้น
รอก่อนน๊าาาา