ระยะที่ 05 - พี่ยีราฟหิวข้าวเก่ง
ยีราฟเป็นสิ่งมีชีวิตที่หิวข้าวบ่อยขนาดนั้นเลยหรอ !!
ชิไม่เก็ท
บางทีเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปแบบของเจ้าหนี้และพี่ยีราฟ ผมไม่เข้าใจมากถึงมากที่สุดว่าอะไรคือการไม่ยอมไปกินข้าวเย็นคนเดียวตั้งแต่วันที่เจอกันล่าสุดกระทั่งวันนี้
Rrr—R--RRRr
P'Giraffe
นั่นไง ..พูดถึงปุ๊บก็มาปั๊บ
“กินข้าวยัง”
[กินแล้วครับ กำลังจะนอน] สี่ทุ่มก็หาวสามทุ่มก็นอน
“โอเค ออกมากินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย ผมหิว”
[ห๊ะ อะไรของพี่เนี่ย]
“เดี๋ยวผมเลี้ยง”
[ผมจะนอนนนนน]
“ผมจอดรถรอหน้าหอคุณนะ ลงมาได้เลย”
[ผมจะนอน แค่นี้นะ]
“ไปนอนที่ร้านข้าวก็ได้ เอาหมอนกับผ้าห่มไปด้วย”
[โว๊ะ แค่นี้นะครับ]
“ไม่ลงมาผมจะขึ้นไปหาถึงห้องเลย ให้เวลาสิบนาที”
อะไรนักหนาวะเนี่ย!! นี่สรุปพี่เป็นเจ้าหนี้หรือเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันแน่ครับ
ชิไม่เก็ท!! ปิดเครื่องแมร่งเลย
ตอนแรกก็ว่าจะไม่ลงมาหรอกครับ แต่พอคิดว่าพี่ยีราฟจะขึ้นมาบุกถึงห้องความรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ ก็วิ่งผ่านแทบจะทันทีทำให้ความอยากนอนหายไปเป็นปลิดทิ้งต้องรีบลุกขึ้นจากเตียงหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์แล้วเดินลงมาทั้งชุดนอนแบบนั้นแหละ
พี่มันจะได้รู้ว่าผมกำลังจะนอนจริงๆ !!
“แถวนี้มีอะไรกินบ้าง”
เจ้าของร่างสูงที่ยืนพิงรถหรูคันเดิมเอ่ยทักผมขึ้นเมื่อเดินมาถึง วันนี้พี่มันแต่งตัวธรรมดาๆ เสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้นกับรองเท้าแตะกระนั้นก็โคตรจะหล่อให้ตายเถอะ
“มีโจ๊ก ก๋วยเตี๋ยวแล้วก็ร้านอาหารอีสานครับ”
เท่าที่ไปสำรวจมาเมื่อวันแรกที่มาถึงก็น่าจะมีประมาณนี้ อาหารอีสานตัดออกได้เลยเพราะพี่ยีราฟไม่กินเผ็ด ส่วนก๋วยเตี๋ยวกับโจ๊กนี่กินได้ปกติ
“กินโจ๊กแล้วกัน ไกลไหมต้องเอารถไปหรือเปล่า”
“พี่เอารถพี่จอดที่นี่แหละ เดี๋ยวเอานวลอนงค์ไปก็ได้” พี่ยีราฟขมวดคิ้วตั้งคำถามว่าผมกำลังพูดถึงใคร ผมเดินหายไปกลับมาพร้อมกับรถมอเตอร์ไซต์คันคู่ใจ ทันทีที่เห็นพี่มันก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นอันเข้าใจ
“รถผมไงครับ เวสป้าที่เอาไปชนบีเอ็มพี่อะ มันชื่อนวลอนงค์ครับ”
“อ่อๆ เศษเหล็กนี่เอง”
“ตบปากเดี๋ยวนี้เลย ห้ามว่านวลอนงค์ ไม่อย่างนั้นผมจะให้พี่เดินไป”
“อ่าๆ ขอโทษนะนงอนวล”
“มันชื่อนวลอนงค์ครับ”
“โทษทีๆ”
เสียงแถดๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของนวลอนงค์ดังขึ้นเมื่อเคลื่อนตัวออกจากหน้าหอของผมอย่างเช่นทุกครั้ง ทว่าวันนี้ต่างแค่ว่ามีแขกตัวโย่งขึ้นมานั่งซ้อนเพิ่มอีกคนก็เท่านั้นเอง
“พี่ยีราฟครับ ขยับไปหน่อยก็ได้นะครับเบาะไม่ได้เล็กขนาดนั้น”
“ผมไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซต์ ไม่รู้ต้องนั่งยังไงอะกลัวตกด้วยขอนั่งใกล้ๆ ไม่ได้หรอ”
“ไม่ได้ครับ ผมขับรถไม่ถนัด”
ผมเหวกลับไปเพื่อให้คนตัวสูงขยับออกไปให้ห่างจากตัว อันที่จริงการนั่งชิดแทบจะสิงจนลมหายใจรินรดต้นคอแบบนั้นมันไม่ได้ทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลงแต่อย่างใด ทว่าอาการใจสั่นที่เกิดจากการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของคนตัวสูงกว่าต่างหาก
ที่อาจจะทำให้ผมศูนย์เสียการควบคุมตัวเพราะสั่นจนทำอะไรไม่ถูก
“หวัดดีหนู วันนี้มีเพื่อนมากินด้วยหรอ”
เฮียแกเอ่ยทักทายผมแขกเจ้าประจำที่กินติดต่อกันมาหลายวันนับตั้งแต่มาพักอยู่แถวนี้ และที่สำคัญรายละเอียดเมนูนั้นเป็นใครก็ต้องทำเพราะกินยากมาก
“ใช่ครับ เอาเหมือนเดิมนะครับเฮีย โจ๊กหมูไข่สองฟองพิเศษตับไม่เอาไส้ใส่ขิงเยอะผักชีนิดเดียวพริกไทยจัดหนัก”
“แล้วอีกคนเอาอะไร”
“ผมเอาเหมือนน้องก็ได้ครับ แค่ไม่ใส่ผัก”
“ได้ๆ รอเฮียแปบนะ”
เฮียแกรับเมนูเสร็จก็เดินไปจัดการโจ๊กสำหรับสองที่ ผมเตรียมลุกเพื่อจะเดินไปยังร้านสะดวกซื้อหาเครื่องดื่มกับทิชชูมาเตรียมไว้เผื่อพี่มันด้วย
“จะไปไหน”
“ไปซื้อน้ำเปล่ากับทิชชูครับ พี่เอาไรเพิ่มไหมครับ”
“คุณอยู่นี่แหละ เดี๋ยวผมไปเอง”
“ก็ได้ครับ”
แล้วคนตัวสูงกว่าก็เดินตรงไปยังร้านสะดวกซื้อท่ามกลางสายตาของสาวน้อยใหญ่ที่มองตามตาเป็นประกาย แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแค่ไหนก็ตามความฮอตของพี่มันก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยสักน้อย ตรงกันข้ามยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อาจด้วยรูปร่างที่โดดเด่นกว่าใคร หน้าตาหล่อฟ้าประทานลูกรักพระเจ้าขนาดนั้นถึงจะดูเข้าถึงยากก็ตามที่แต่ปฏิเสธยากเหลือเกินว่าน่าค้นหาโคตร
เฮียแกยกโจ๊กมาเสิร์ฟสักพักแล้ว นานเกือบสิบนาทีพี่มันถึงจะเดินกลับมาทั้งที่ร้านสะดวกซื้อก็โคตรใกล้ทำไมไปนานจังก็ไม่รู้พร้อมถุงร้านสะดวกซื้อและแก้วน้ำสีส้มในมือวินาทีที่เห็นใจผมฟูขึ้นราวกับขนมปังที่กำลังสุกได้ที่
เพราะเครื่องดื่มที่ถือในมือนั่นคือของโปรดผม ... น้ำส้มคั้น 100 %
“ของคุณ ไม่แน่ใจว่าอร่อยหรือเปล่า แต่ผมเห็นคั้นสดๆ เลยสั่งมาให้”
“ขอบคุณครับ” ที่ยังจำได้ว่าผมชอบ
“แถวนี้ของกินเยอะเหมือนกันนะ ผมคิดออกละว่าจะมากินอะไรวันพรุ่งนี้ดี”
“หืม” พรุ่งนี้จะมาอีกงั้นหรอ ?
“อร่อยรสชาติใช้ได้เลยนะเนี่ย”
พี่ยีราฟจ้วงตักโจ๊กเข้าปากไม่ได้ตอบอะไรกลับมาคล้ายกับต้องการเปลี่ยนเรื่อง หลังจากนั้นไม่นาน ร้านเฮียที่เดิมจะที่โต๊ะว่างก็ถูกจับจองด้วยนักศึกษาจนเต็มพื้นที่ ส่วนใหญ่จะเป็นสาวๆ ทั้งนั้นและเท่าที่ผมสังเกตส่วนใหญ่มาถึงจะพุ่งเป้าไปที่พี่ยีราฟซึ่งทำตัวโคตรปกติไม่ได้วางมาดหรือเก๊กอะไรเลย ธรรมชาติสุดๆ ดูได้จากการตักโจ๊กเข้าปากแล้วลวกปากจนดิ้นพรวดๆ นั้นได้
และยิ่งไปกว่านั้นพอเห็นผมอยู่ด้วยก็พากันซุบซิบว่าผมเป็นใคร พี่ยีราฟไม่สนใจอะไรเลยเอาแต่กิน ส่วนผมก็ได้แต่มองพี่มันสลับกับคนที่รายล้อมรอบตัวเพราะทำตัวไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่ที่ต้องกลายมาเป็นเป้าสายตาใครต่อใครแบบนี้มาถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วแหละว่าดาราดังๆ ที่เป็นคนสาธารณะใช้ชีวิตยากแค่ไหน
“กินไข่ผมไหม” พี่ยีราฟตักไข่ลวกในชามมาให้ผม “ไข่ยีราฟ”
“แคร่กๆๆๆๆ” ไอ้บ้าเอ๊ย สำลักโจ๊กเกือบตายผมควรภูมิใจใช่ปะที่ได้กินไข่ยีราฟ เอิ่มไม่ใช่…ที่ได้กินไข่ไก่จากโจ๊กของพี่ยีราฟ
“พรุ่งนี้เปิดเทอมวันแรกเป็นไงตื่นเต้นปะ”
“ไม่นะครับ ผมคิดว่ามันต้องสนุกแน่ๆ เลย”
“ดีแล้ว ตั้งใจเรียนมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามผมได้”
“ขอบคุณครับ”
ดูดน้ำส้มคั้นเพื่อเรียกความสดชื่นท่ามกลางอากาศร้อนแม้ค่ำคืนนี้จะไม่มีแสงแดดก็ตาม บทสนทนาระหว่างเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา หากเป็นเมื่อก่อนผมคงอายม้วนที่ได้อยู่ใกล้คุณดาวอังคารมากขนาดนี้แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม อันที่จริงมันก็ไม่เหมือนเดิมนับตั้งแต่วันนั้นแล้ว
“ไอ้เวรตะไล กูโทรหาแทบตายเสือกมานั่งกินโจ๊กอยู่นี่นี่เอง”
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาแต่ไกลตามมาด้วยเจ้าของเสียงซึ่งเดินตรงมายังโต๊ะผมกับพี่ยีราฟ ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพี่เอ็มหนึ่งในสมาชิกแก๊งเทพบุตรสโมฯ
“ใครให้มึงนั่งตรงนั้น”
ชะอุ้ย!! เสียงดุมากแถมสายตาคมกริบฟันฉับไปที่เพื่อนของพี่มันที่กำลังลากเลื่อนเก้าอี้เตรียมหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ผม ซึ่งได้ผลมากเพราะพี่เอ็มเปลี่ยนเป้าหมายเดินอ้อมไปนั่งข้างพี่ยีราฟแทน
“ผมขอโทษครับลูกพี่” พี่เอ็มยกมือไหว้ประหลกๆ
“เดี๋ยวมึงโดน”
“ดุจริงนะมึงเนี่ย เป็นยีราฟหรือเป็นหมา ดุที่หนึ่ง หวงก้างที่หนึ่ง”
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่เอ็มพูดสักเท่าไหร่ แต่ก็ตลกดีที่พี่แกไม่ได้กลัวอะไรเพื่อนตัวเองเลย ดูจากทรงแล้วน่าจะเป็นสายปั่นประสาทมากกว่า
“หวัดดีน้องเมียนายก”
“แคร่กๆ” ไอ้ฉิบหายสำลักโจ๊กรอบที่สองของวัน ตายซะดีมั้ยกู
“สวัสดีครับพี่เอ็ม ผมชื่อชิครับพี่”
“เออๆ โทษทีพี่จำชื่อคนไม่ค่อยเก่ง จำได้แต่อะไรเด่นๆ”
อะไรเด่นๆ นี่ควรจะเป็นเรื่องดีดีหรือเปล่าครับพี่ไม่ใช่เรื่องที่น้องขายหน้าแล้วสรุปว่าเป็นเรื่องเด่น อะไรแบบนี้ชิไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่แถวบ้านเรียกกวนตีน
“เมื่อไหร่มึงจะกลับ” พี่ยีราฟมองหน้าเพื่อนตาขวาง
“กูพึ่งมา มึงจะให้กูกลับเลยหรือไง อยากกินโจ๊ก”
“ซื้อไปแดกที่คอนโด ไม่ก็ไปนั่งโต๊ะอื่น”
“ไอ้ต้าวใจร้าย ไอ้ต้าวคนลืมเพื่อน” สาบานได้ว่านี่ปีสี่ปัญญาอ่อนฉิบหาย ไอ้บีบเสียงไม่เท่าไหร่แต่ท่าทางที่แสนอ่อนแอขี้อ้อนผมขอซื้อทิ้งได้ปะพี่ ขัดกับหนวดซะเหลือเกิน
“รำคาญ”
“สรุปคืนนี้ที่มึงเทพวกกูอีกแล้ว เพราะมากินโจ๊กใช่มั้ย”
“เออ”
“กูจะไปฟ้องไอ้พวกนั้นว่ามึงหลงเด็กจนทิ้งเพื่อน มึงเปลี่ยนไป กูจะ Cry”
พี่เอ็มตั้งท่าจะซบลงตรงไหล่พี่ยีราฟแต่ถูกมือหนาผลักออกไปเต็มแรงจนแทบหงายหลังตกเก้าอี้ ก่อนที่พี่เอ็มจะมองค้อนขวับใส่เหมือนเด็ก
“กูไปก็ได้”
“พี่ไปก่อนนะน้องชิค”
“ผมชื่อชิครับพี่”
“เออๆ เหมือนกัน” เหมือนตรงไหนก่อนมั่วฉิบหาย แล้วพี่เอ็มก็เดินออกไปทักทายโต๊ะอื่นตามประสาคนอัธยาศัยดี แต่บางทีผมว่าการเป็นคนอัธยาศัยดีกับบ้ามันมีแค่เส้นบางๆ กั้นอยู่เหมือนกันนะ วันนี้พี่เอ็มได้พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ
มื้อดึกวันนี้ทำเอาผมแทบจะแขม่วพุงกะทิของตัวเองแทบจะไม่ได้เพราะกินไข่ไปตั้งสามฟองแถมยังมีน้ำส้มคั้นของโปรดอีกต่างหากเสื้อยืดนอนสีขาวแทบจะเก็บซ่อนเอาไว้ไม่มิด ต่างจากคนตัวสูงโปร่งที่แม้จะฟาดไปสองชามก็ยังแบนเรียบไม่มีความผิดปกติใดเกิดขึ้น สงสัยชาติที่แล้วจะทำบุญด้วยไฟเบอร์กล่องหรือแอลคาเนทีนเป็นลังชาตินี้ผลบุญเลยทำให้หุ่นดีสัดๆ
“ขึ้นห้องไปได้แล้ว จะได้พักผ่อนพรุ่งนี้เปิดเทอมวันแรก”
“พี่ก็ขับรถกลับดีดีนะครับ”
“อื้อ”
เราต่างคนต่างเดินหันหลังให้กันแล้วเดินไปยังจุดหมายปลายทางของแต่ละฝ่าย คนตัวสูงตรงไปที่รถสตาร์ทแล้วขับเคลื่อนออกไปส่วนผมขึ้นมาถึงห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้วพร้อมความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่เกิดขึ้น
ติ๊ง !!
มายด์มิ้นท์ไม่กินผัก : ไปทำเรื่องงามไส้ที่ไหนมา
Shiba Inu : อะไรของมึงกูไม่เก็ท
มายด์มิ้นท์ไม่กินผัก : เดี๋ยวมึงได้เก็ท
.
มายด์มิ้นท์ไม่กินผัก : Send you a copy link
-เจ้ม้อยลาดพร้าวร้อยหนึ่ง-
- รูปนายกยีราฟกับน้องชิเฟรชชี่ปีหนึ่งขณะพี่ยีราฟตักไข่ให้น้อง–
ว้ายยยพวกมึงสายกูรายงานมาว่ามีคนดอดพากันไปกินโจ๊กรอบดึกด้วยกันหล่ะมึงเอ๊ย ฟีลเกาหลีเกาใจมากอิด่กทง กูพูดอะไรมากไม่ได้ให้ภาพเล่าเรื่อง
#อย่าฟ้องกูเลย กูยังผ่อนโทรศัพท์ไม่หมดเหลืออีกสี่งวด
#อิม้อยเมียทิพย์ท่านนายกยีชู้พี่เอ็มกิ๊กพี่ว่านไฉแอบซุ่มคุยพี่โชค
@มายด์มินท์ไม่กินผัก
ไหงเพื่อนผมมาอยู่กับนายกได้ครับเนี่ย
@เอ็มเคที่ไม่ได้แปลว่าสุกี้
เรื่องนี้กูไม่โอเค กู Cry
@วอฉอแปลว่าว่านไฉไม่ใช่วันฉัย
กูว่าแล้วว่าเมื่อเย็นหายไปไหน คืนนี้ก็เบี้ยวนัดพวกกู ที่แท้ก็ไปกินโจ๊กกับน้องชิ
@โชคชัยสี่มีดีที่ตรงแว่น
กูฝากซื้อโจ๊กถุงหนึ่งดิ กูหิวพอดี
@เอ็มเคที่ไม่ได้แปลว่าสุกี้
Reply @โชคชัยสี่มีดีที่ตรงแว่น เค้าช่วยกันด่าเพื่อนมึงเสือกสั่งโจ๊ก ไอ้เวรตะไล สภาพพพพ
@เมียทิพย์นายกยีราฟ
กูผู้อยู่ในเหตุการณ์ กูการันเตอทูการันตีฟีลเลี้ยงต้อยมากแม่ กูเห็นตั้งแต่พี่ยีราฟเดินไปซื้อน้ำส้มให้น้อง อิดอกร้านน้ำอยู่ไกลมากแต่อิพี่เดินไปซื้อมาให้ กูเลิฟเอ็นเนอจี้นี้
@มหาเทวีเจ้าแห่งเมืองมีด
ตัวเล็กตัวน้อยของพี่ยีราฟ งือเป็นน่ารัก เป็นตะมุตะมิ เป็นเขิล
โอ๊ยยย ไอ้ฉิบหาย ใครเป็นคนทำ...
ชิไม่เก็ท แล้วพรุ่งนี้จะไปเรียนยังไงไม่ให้เป็นเป้าสายตาคนอื่น
ฮ่วย !!!!
เปิดเทอมวันแรกผมก็เกือบสายเพราะนวลอนงค์งอแงแต่เช้ากว่าจะสตาร์ทติดก็ล่อไปเกือบยี่สิบนาที เปิดประตูเข้ามาในห้องเรียนรวมโชคดีที่อาจารย์ยังไม่มากวาดสายตามองหาไอ้มายด์ไปทั่วห้องพบมันนั่งอยู่เกือบด้านบนสุดของแถว ผมก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงซุบซิบนินทาปะปนกับสายตาของใครต่อใครที่จับจ้องมาที่ผมเป็นจุดโฟกัสเดียวกัน
และเรื่องที่คุยตั้งแต่แถวแรกไล่มาตามทางเดินเรื่อยมาก็หนีไม่พ้น
“แกๆ คนนี้แหละที่ไปไหนมาไหนกับพี่ยีราฟบ่อยๆ” สองสาวสุดคิวท์ที่นั่งแถวหน้าสุดเริ่มก่อนเป็นเจ้าแรกกันเลยทีเดียว
“คนที่เจ้ม้อยลงรูปในเพจไงว่าพี่ยีราฟตักไข่ให้อะ” นั่นขนาดไอ้หนุ่มตี๋ที่นั่งตรงโน้นก็ยังไม่เว้นจะกล่าวถึงผม
“พี่ยีราฟจีบชิหรอกหรอ น่ารักดีนะ เหมาะกันสุดๆ ชิตัวเล็กพี่ยีราฟตัวสูงเหมือนหลุดออกมาจากนิยายวายเลย” และนี่แก๊งเพื่อนคณะผมคนที่เชียร์ผมเย้วๆ ตอนที่ผมแข่งแดนซ์แบทเทิลก็เอากับเขาด้วย สรุปเมาท์เรื่องผมกันทั้งห้อง จนผมทำหน้าไม่ถูกต้องก้มหน้างุดรีบจ้ำอ้าวเดินขึ้นด้านบนด้วยความรวดเร็ว
แหมะตัวลงบนเก้าอี้พร้อมสูดอากาศให้เต็มปอด ขณะอาจารย์เปิดประตูเข้ามาแล้วเริ่มต้นสำหรับวิชาแรกของชีวิตนักศึกษา
“นี่แหละเหตุผลที่กูมานั่งอยู่ข้างบนนี้อะ ไม่อยากให้มึงตกเป็นเป้าสายตาใคร”
ขอบคุณมากเพื่อนรัก ไม่ตกเลยมั้งกูเนี่ยตอนเดินขึ้นมาเห็นกันทั้งห้องเรียนรวม แต่ยังไงก็ดีกว่าการนั่งอยู่แถบๆ หน้าแล้วให้คนนินทาแบบนั้นผมไม่ชอบเลยให้ตายเถอะมันมีความรู้สึกหลอนแปลกๆ
“ไม่มีอะไรหรอกมึง ก็แค่มึงไปควงพี่ยีราฟหนุ่มฮอตของมอแบบนั้น แล้วเจ้ม้อยเอาไปลงเพจเลยตู้มกลายเป็นประเด็นดังในชั่วข้ามคืน” เหอะ ไอ้เวรแว่วๆ ว่ามึงก็เป็นหนึ่งในคนที่ไปคอมเมนท์เพจอิเจ้ม้อยอะไรนั่นมั้ย ยังเสือทำเป็นพูดจาให้กูปลงอีก
“แต่กูไม่เคย มึงดูสายตาแต่ละคนสิที่มองมา แถมไอ้เสียงซุบซิบนั่นอีก” ถึงจะเข้าใจว่าการนินทาเป็นสัจะธรรมของโลกใบนี้ซึ่งไม่มีใครหลีกหนีพ้นแต่ผมก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้อยู่ดีโดยเฉพาะไอ้การนินทาระยะประชิดซึ่งหน้าแบบนี้ด้วย
ชิไม่เก็ท !!เพราะเกิดมาชิยังไม่เคยโดน
“ต่อไปกูจะอยู่ให้ห่างพี่ยีราฟ”
ทั้งที่ตั้งใจจะมูฟออนแล้ว ทั้งที่ตั้งใจจะหนีมาไกลแสนไกลจากพี่มันและความทรงจำสีเทาที่แสนเจ็บปวด แต่สุดท้ายกลายเป็นทุกอย่างกลับตรงกันข้าม ทฤษฎีความย้อนแย้งในพฤติการชนิดที่ว่ายิ่งหนียิ่งเจอ ยิ่งถอยห่างพี่มันยิ่งเข้ามาใกล้ และสุดท้ายแทนที่ผมจะเดินตรงไปข้างหน้าแต่กลับวกมาที่เดิม
ที่ที่ผมพยายามเดินออกมา ...
เพิ่งรู้ว่ากว่าจะลืมใครสักคนได้นั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่มันคงไม่เกินความพยายามของเราไปได้หรอก มันคงจะดีถ้าไม่ได้เจอกันบ่อยๆ หลบหน้าเท่าที่จะทำได้ และหนีห่างออกจากพี่มัน
เพื่อเว้นระยะห่างให้มากขึ้น ใช่..ผมต้องออกห่างจากพี่มัน
เพราะไม่อย่างนั้นผมเองนั่นแหละที่จะเสียใจ !!
เสียใจแบบที่เคยเป็น
คาบแรกผ่านไปด้วยความรวดเร็วเพราะยังไม่มีการเรียนการสอนเกิดขึ้น อาจารย์แจก course syllabus ต่อด้วยอธิบายรายวิชาอีกนิดหน่อยแล้วก็ปล่อย ผมเลือกที่จะลุกเป็นคนเกือบสุดท้ายของห้องเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครเมื่อตอนเดินขึ้นมาอีก จนนักศึกษาทยอยออกจากห้องเกือบหมดนั่นแหละผมถึงหยิบกระเป๋าแล้วเดินลงมุ่งตรงไปยังโรงอาหารของคณะ
“อย่าทำหน้าบึ้งสิวะมึง ยิ้มหน่อย”
ไอ้มายด์จิ้มสองทีที่แก้มของผมคงหวังกระตุ้นให้ผมยิ้มออก แต่เปล่าเลยผมกลับมุ่ยหน้าตามเดิม ไม่ได้รู้สึกโกรธ เกลียด หรืออะไรกับพี่มันหรอกแต่แค่ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองเข้าไปพัวพันกับพี่มันมากจนเกินพอดีแล้ว
“มึงจะให้กูยิ้มยังไง มึงไม่มาเป็นกูสักหน่อย”
“แล้วมึงจะอยู่ห่างจากพี่ยีราฟจริงหรอวะ”
“จริงสิ” วางกระเป๋าลงบนโต๊ะกินข้าวแล้วหย่อนตัวลงถอนหายใจยาวออกมา แค่เจอกันไม่กี่วันชีวิตที่ควรจะเป็นปกติของผมยังวุ่นวายขนาดนี้เลย ไม่อยากจะคิดถึงตอนถัดไป สภาพ !!
“แล้วถ้าพี่ยีราฟเป็นฝ่ายมายุ่งกับมึงเองหล่ะ มึงจะทำยังไง”
“กูก็จะหนี หนีไปให้ไกลที่สุด” ไกลที่สุดของผมจะไปไหนได้ในเมื่อเรียนอยู่ที่เดียวกัน คณะเดียวกัน แถมยังมีบ่วงหนี้ติดพันกันขนาดนั้น แต่ถึงยังไงชิก็จะหนี
“โอเค ถ้ามึงคิดว่ามึงจะหนีมึงได้สิทธินั้นเดี๋ยวนี้”
“ห๊ะ อะไรของมึง”
“เพราะพี่ยีราฟเดินมาโน่นแล้ว”
ไอ้มายด์ยื่นปากไปข้างหลัง ผมจึงหันไปตามทิศนั้น แวบแรกที่เห็นใจกระตุกวูบกลืนน้ำลายดังเอื๊อกใหญ่ เพราะตอนนี้แก๊งเทพบุตรสโมกำลังเดินเดินตรงมาและจากการคาดเดาเป้าหมายคงหนีไม่พ้นโต๊ะผมเป็นแน่
เอาไงดีวะยังไม่หายใจสั่นเลยจะตามมาอีกทำไม
อยู่ไม่ได้แล้วกู.....
“ไอ้ชิมึงจะไปไหน”
“กูจะหนี กูจะมูฟออน”
“เดี๋ยว” อะไรของมึงอีกไอ้ห่ามายด์ พี่ยีราฟเดินจะถึงโต๊ะอยู่แล้วเนี่ย
“ห้องน้ำทางโน้น อย่าเด๋อมากเดี๋ยวสะดุดตีนก่อนจะถึง”
“ฟวย” ยกนิ้วกลางให้ไอ้เพื่อนเลวแล้ววิ่งพรวดไปห้องน้ำโดยไม่หันกลับมาที่โต๊ะตัวเองอีกเลย
พี่ยีราฟทำหน้าตึงใส่ก่อนที่ผมจะถอนหายใจแล้วหมุนตัวกลับแล้วรีบวิ่งแจ้นตรงมายังโต๊ะของตัวเองแบบไม่คิดชีวิตส่วนไอ้มายด์ทันทีที่เห็นแมร่งก็หัวเราะร่วนสะใจ
ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีผมค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากห้องน้ำมองไปโดยทั่วทั้งซ้ายขวาหน้าหลังไม่มีวี่แววของพี่ยีราฟหรือแก๊งเทพบุตรสโมฯอยู่แถวนี้แล้วเลยเดินกลับออกมาหาไอ้มายด์ที่นั่งเล่นเกมส์สบายใจอยู่คนเดียว
“แล้วนี่มึงซื้อขนมมาทำไมเยอะแยะไอ้มายด์”
มองไปยังถุงขนมที่มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้นเลย ทั้งปลาเส้นทาโร่ ทั้งเลย์รสกะเพรา ทั้งช็อกโกแลต ทั้งป๊อกกี้ เห็นแล้วน้ำลายไหล ตาเป็นประกายวิ๊งเลย
แฮ่กๆๆ !! ชิหิว
“ไม่ใช่ของกู”
“อ้าว แล้วของใคร”
“ของมึง”
เออๆ ของกูก็ของกูแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาถามหาว่าใครเป็นเจ้าของแล้วเพราะต้องรีบแจ้นออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
เพราะอะไรนะหรอ ? โน่น!! คุณยีราฟตัวโย่งสูงโปร่งนั่งตระหง่านเด่นอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากสักเท่าไหร่ดูเหมือนพี่มันจะเห็นผมแล้ว
“กูตลกหวะมูฟออนของคนอื่นเป็นเส้นตรงแต่ของมึงแมร่งเป็นวงกลม ยิ่งหนีพี่ยีราฟยิ่งเข้าหา”
“ไม่ใช่เวลาหยุดสอนกูด้วยแคปชั่นทวิตก่อนเก็บของด่วนแล้วออกไปจากที่นี่”
“แล้วมึงจะไปไหน”
“ไปยิมคณะ”
ทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วแล้วรุดออกจากไป ยัง ยังไม่ตามมาอีกมึงจะยืนทำด๋อยอะไรไม่เห็นหรอว่ากูรนรานขนาดไหน
“มึงไม่ตามกูมาหล่ะไอ้สันขวานจะยืนนิ่งทำซากอ้อยอะไรอยู่ตรงนั้นละคร้าบ”
“ไอ้ฟายมึงไปผิดทางยิมคณะอยู่ทางนี้”
ชะอุ๊ย!!
แล้วก็ไม่เหนี่ยวไม่รั้งอะไรเพื่อนไว้เลยนะปล่อยกูทะยานออกมาไกลเกือบห้าร้อยเมตร
วิ่งกลับแทบไม่ทัน !!!
#เมื่อดาวอังคาร..เคลื่อนเข้าใกล้โลก
ความมูฟออนของน้องชิ และความหิวข้าวเก่งของพี่ยีราฟ
มันช่างดูไปด้วยกันไม่ได้เลยเอาจริง สภาพ !!