∈แต่คนที่ทั้งโลกเกลียด∋
ความจริงที่ 11 :: ฝันซ้อนฝัน
“....อ่า...”
พรึ่บ!!
นั่งกอดเข่าเล่นคอมอยู่เพลินๆตรงโต๊ะหนังสือ จู่ๆเสียงแว่วแผ่วเบาก็ดังลอยเข้าหู ผมแทบจะหันหัวไปในจังหวะเดียวกับที่มีความเคลื่อนไหวบนเตียง หรือว่าเมื่อกี้ตาฝาด แต่รู้สึกได้ถึงสัญญาณการขยับตัวของใครบางคนซึ่งยึดที่นอนตนเองไป นั่งนิ่งหายใจสังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ แต่ร่างตรงหน้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับหรือส่งเสียงอะไรออกมา
...หลอนๆว่ะ...
ไม่แปลกหรอกที่จะรู้สึกอย่างนี้บ้างยามอยู่ห้อง ใช่ว่าคนไร้รูมเมทอย่างผมจะชินกับการอยู่คนเดียวโดยไม่อ่อนไหวกับเสียงเล็กน้อยที่ดังขึ้น แล้วยิ่งในสภาวะห้องเงียบอย่างนี้ด้วยแล้วล่ะก็...ยิ่งอาการหนัก ปกติเลยมักจะเสียบหูฟังไม่ก็เปิดเพลงเสียงดังๆกล่อมเกลาจิตใจ หากวันนี้เงื่อนไขทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยนไปเพราะมีคนมาเยี่ยมเยียนถึงห้อง ไอ้เรวะที่นอนหลับเป็นตายมาได้สี่สิบห้านาทีแล้ว...
เห็นว่าไม่มีท่าทีอะไรผิดปกติเลยหันกลับมานั่งเปิดเว็บเลื่อนดูตารางกิจกรรมถัดไปต่อ แต่ทว่า...
“..อำ.....ม”
พรึ่บ!! ตอนนี้ใจกูเริ่มเต้นโครมครามตามรอบของเสียงครางอือไม่ได้ศัพท์ที่แว่วเข้าหูแล้ว หรือว่าจะมีพลังงานบางอย่างในห้องวะแม่ง...เม่น ยานแม่ รู้สึกได้...
ผมค่อยๆลุก ย่องไปตามทิศที่คิดว่าเป็นต้นตอของเสียง จนกระทั่งมาจนถึงขอบเตียงที่มีร่างหนึ่งนอนไหลตายอยู่
จังหวะหายใจหนึ่งสูดสี่วิฯ โคตรเสถียรอย่างนี้ไม่น่าจะเวียนละเมอมาเพ้อสามสี่พยางค์ให้ได้ยินแน่ สุดแท้แต่มันจะแกล้งผมหวังให้เป็นลมตายคาหอ คิดได้เลยจัดการดัดหลังด้วยการงอนิ้วไปอังใต้จมูกให้ร่างข้างใต้สูดหายใจติดขัดเล่น
“อื้อ...” แกล้งนิดๆไม่คิดว่าจะตื่น ร่างโปร่งปรือตาขึ้นมาภายใต้ม่านบังตาสีแอชเกรย์ ท่าทีเหมือนคนเมายาหยอดตาสูตรเย็นเพราะเล่นยู่หัวคิ้วซะจนยับ รู้เลยว่าพยายามปรับสายตาให้เข้ากับภาพตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ มันยกมือขึ้นมาอย่างไวจับแขนผมไว้กะทันหัน ไม่ทันจะหลบเลี่ยงร่างทั้งร่างก็โดนยึดไว้กับเตียงเต็มแรง
“แม่?...”
“ไม่ใช่แม่ กูเม่น”
“เม่น?”
“มึงฝันเห็นอะไรวะ”
พรึ่บ!!
เสียงนี้ไม่ใช่ผมที่หันหัวแต่เป็นเจ้าตัวที่ลืมตาโพลงมองหน้าผมด้วยความตื่นตกใจ สายตาหวั่นไหวจ้องสบกลับ ริมฝีปากบางขยับอย่างแผ่วเบา
“กู...เปล่า”
“นี่ใช่มั้ยฝันร้ายที่มึงว่า”
“...” สายตามันยังคงมีแววสับสนหลุกหลิกไปมา
“มึงฝันว่า...”
“ฝันว่าตื่นมาเจอหน้ามึงเนี่ยแหละ เม่น”
สัด...อารมณ์จะเค้นคอกูหมดหดกลับเข้าอู่ไปในบัดดล...
“กวนตีนนะมึง เฉไฉเก่งเอาเรื่อง” สะบัดมือย้ายตูดลงนั่งบนเตียง ส่วนไอ้เรวะก็ลุกขึ้นมาในสภาพหัวเหอโคตรรุงรังเป็ดห่านมากันทั้งเล้า แถมยังเกาท้ายทอยแสดงอาการมึนสัดรัสเซีย นิ่งเงียบไปพักใหญ่
“ตื่นยังวะ หน้าโคตรเมาขี้ตา”
“ยืมไหล่หน่อย”
“หา?”
“กูมึน ยืมไหล่มึงหน่อย”
“มึงมึนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับไหล่...” มันไม่สนใจที่ผมแย้ง แถมยังโก่งตัวเอนหัวพุ่งมาตรงไหล่ผมเต็มที่ ถ้าจะบังคับกันอย่างนี้ทีหลังมึงไม่ต้องขอกูนะ มึงทำไปเลย
“...”
“...”
“เฮ้ย” ผมกระตุกไหล่
“...”
“อย่าบอกนะว่ามึงหลับ” บนไหล่กูเนี่ยนะ หลับไม่ดูสถานที่เกินไปแล้ว คิดแก้เผ็ดไอ้เด็กขี้เซาด้วยการขยับไหล่ดึ๊กดั๊กไปมาซ้ายขวาจนหน้าสั่น จนกระทั่งมันครางเสียงหงุดหงิดออกมา แต่ยังคงเอาหน้าซบไหล่ไว้ไม่ห่าง
“เม่น” โหแม่งเกาะหนึบเป็นตุ๊กแก แบบนี้เห็นทีแผ่นดินไหวสิบริกเตอร์ก็ยังไม่เผลอเอาหัวออกห่างจากไหล่แน่ ผมเลยเพิ่มแรงขั้นสุดลงไป จนมันทนไม่ไหวชักหน้าขมวดคิ้วเป็นโบว์ขึ้นมามอง แถมประคองต้นแขนผมไว้มั่น บีบบังคับไม่ให้สั่นอีกต่อไป “ทำเชี่ยอะไรวะ”
“เลิกนอนได้ยัง เดี๋ยวก็ฝันร้ายเห็นหน้ากูอีกหรอก”
“ถึงมึงจะโผล่มาในฝันมึงก็เป็นฝันที่ดีกว่าฝันร้ายในฝันกู” ซ้อนยิ่งกว่าสายโทรศัพท์ ซ้อนยิ่งกว่าจักรยาน ก็ประโยคที่ไอ้เรวะมันพูดมาเนี่ยแหละ สรุปว่าดีหรือเลววะนั่น
“เมื่อกี้มึงบอกว่าฝันร้าย มึงเจอกูในฝันอย่างนี้ก็แปลว่ากูเป็นฝันร้ายของมึงดิวะ”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”
“แล้วมันหมายความว่าไง ก็ในเมื่อมึงฝันร้าย แล้วกูเสือกไปโผล่ในฝัน แต่ดันไม่ได้เป็นฝันร้ายของมึงเนี่ยนะ”
“มึงเป็นฝันดีในฝันร้ายของกู”
“นั่นไงมึงบอกว่าฝันร้าย” ยกมือชี้นิ้วเข้าที่ใบหน้าขาว มันทำท่าเหมือนรำคาญแล้วปัดมือผมออก
“แล้วไงวะ”
“งั้นต่อให้กูเป็นฝันดี แต่มึงฝันร้าย กูก็เป็นฝันร้ายของมึงอยู่วันยังค่ำดิวะ”
“อย่าวนกลับมาเรื่องเก่าได้มั้ยเม่น”
“ฟังยังไงกูก็เป็นฝันร้ายของมึง แล้วจะให้กูเชื่อได้ไงว่ากูเป็นฝันดี”
“แต่มึงไม่ใช่ฝันร้ายของกู”
“ถ้ากูไม่ใช่ฝันร้ายของมึงแล้วมึงฝันอะไร”
“...”
“ฝันที่มึงบอกว่ากูโผล่เข้าไป กูก็ควรมีสิทธิ์รับรู้เหมือนกันว่ามึงฝันอะไรด้วยดิวะ” ล่วงล้ำอธิปไตยความฝันกันมันซึ่งๆหน้า ผมมองตาสีน้ำตาลอ่อนที่หมดอาการง่วงเหงาหาวนอนไปนานแล้ว เรวะจ้องสบดวงตาผมไม่หลบราวกับชั่งใจว่าควรจะเอ่ยคำอะไรออกมาดี
“มึงเป็นคนเข้าไปมึงก็ต้องจำได้เองดิวะ”
“กูเป็นอัลไซเมอร์”
“...”
“ตั้งแต่มาเจอมึง”
“...”
“มึงฝันเห็นอะไร มึงบอกกูมา อย่าให้กูต้องเกรี้ยวกราดไปมากกว่านี้เลย” ร่างตรงหน้ากลืนน้ำลายลงคอด้วยความลำบากยากเย็น แววตาสับสนหาจุดลงไม่ได้เลยได้แต่มองไปอย่างไร้ทิศทาง
“กูฝันเห็นสมัยตอนกูเด็กๆ”
“เด็กๆ หน้ามึงหลอนถึงขั้นฝันร้ายเลยเหรอวะ” อ้าวหาจุดตกได้แล้วเหรอวะ ตวัดสายตามามองหน้ากูเขม็งเลย
“ถ้ามึงฝัน มึงจะฝันเห็นหน้าตัวเองมั้ยถามจริง”
“เออ ถูกของมึง แล้วไงต่อ”
เดดแอร์กลายเป็นเรื่องปกติไปเลยสำหรับบทสนทนาช่วงนี้ ผมกลั้นใจรอคนที่นิ่งเงียบไปเอ่ยประโยคถัดมา
“ฝันถึง...เด็กคนนึงที่โดนไล่ออกจากบ้าน ฝันถึง...เด็กคนนึงที่เกิดมาไม่เคยมีใครต้องการ” เรวะยิ้ม แต่ไม่ได้ยิ้มให้ผม ปลายสายตาที่เหม่อมองไปเหมือนกำลังยิ้มขื่นให้กับใครอีกคนในความฝัน
“กูหวังว่าเด็กคนนั้นคงไม่ใช่มึง”
“งั้นมึงคงผิดหวังแล้วล่ะ” ร่างโปร่งขยับมาสบตาผม มือข้างหนึ่งของมันขยับมาตีแขนผมเบาๆ ส่วนอีกข้างก็ยันเตียงยกตัวขึ้นคุกเข่าเหมือนจะลุกหนีหายไป จนผมต้องเอื้อมจับข้อมือมันไว้กะทันหัน
“มึงจะไปไหน” สีหน้าโคตรเหมือนผู้ร้ายกำลังหนีการจับกุมของตำรวจ มันมองกลับมาด้วยแววตาประหลาดใจราวกับไม่คิดว่าคนอย่างผมจะดื้อด้านรั้งไว้อีก
“กูว่ามึงกลับไปนั่งเล่นเน็ตของมึงต่อเถอะ ฟังไปก็ไม่สนุกหรอก”
“หนีเหรอวะ”
“ใครหนี”
“มองตามึงก็รู้ ว่ามึงจะหนีไปร้องไห้ในห้องน้ำ”
“อย่างกูเนี่ยนะจะหนีไปร้องไห้ในห้องน้ำ ประสาทแล้วเม่น”
“แล้วไอ้ที่เห็นรื้นๆอยู่ขอบตามึงเนี่ย ประสาทกูหลอนมากเลยเนอะ หลอนทั้งตา หลอนทั้งสัมผัส” นิ้วโป้งที่ยกไปแตะขอบตาภายใต้ผมหน้าแสนยุ่งเหยิงของมันเปียกอยู่ชัดๆ ไอ้เรวะเหมือนโดนจับได้ว่าทำผิดนิ่งอึ้งอ้าปากค้างไปแล้ว
“มึงอย่าบิลด์กู”
“อย่ามาหาว่ากูบิลด์ ถ้ามึงไม่ได้จะไปร้องไห้”
“ฮึก...ไอ้เหี้ย” อูย เต็มๆหน้า นี่กูไม่น่าเข้าไปขวางมึงเลยใช่มั้ย หน้านิ่งเริ่มเปลี่ยนไปเป็นเหยเก ผิวขาวนวลปรากฎรื้นแดงจางๆขึ้นตามปลายจมูกและขอบตา
“กั๊กไว้ทำไมวะ”
“...”
“ถ้าอยากระบาย ก็ปล่อยออกมาเลย” จากรอยน้ำเปลี่ยนเป็นหยาดหยดน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาราวกับทำนบแตก ผมแทบจะรั้งตัวมันมาซบไหล่เกือบไม่ทัน
“อย่าทำที่นอนกูเปื้อน”
“สัดเม่น...ฮึก...กูร้องไห้...ยังเสือก ฮึก มาห่วงที่นอน”
“ไม่ห่วงที่นอนแล้วให้ห่วงใคร ให้ห่วงมึงหรือไง”
“ไม่ต้องห่วงก็ได้ ฮึก กูมันก็แค่...เด็ก คนนึงที่โดนทิ้งไม่มีค่าพอ จะให้ใครมาเป็นห่วงหรอก”
“ขี้งอนว่ะ แค่นี้กูก็ให้มึงมากพอแล้วนะ จะเอาเพิ่มอีกกูได้เป็นหลังคาแน่”
“หลังคาบ้าอะไรของมึงวะ” มันดันตัวออกมามองหน้าผม หน้าตาหัวเหอแม่งแทบดูไม่ได้ เปียกเลอะเทอะไปหมด โดยเฉพาะดวงตาที่แดงก่ำอย่างกับคนอดนอนมาสามวัน
“หลังคาห้าห่วง หรือจะเอาหกห่วง เจ็ดห่วง มึงอยากเพิ่มก็เพิ่มได้”
“ฮึก....เกลียดมุกมึง” อ้าวเฮ้ย ร้องไห้หนักกว่าเก่า หรือว่ามุกเรามันทำร้ายนายขนาดนั้นเลยเหรอวะ หูยยย
“ถามจริงเถอะ มึงโดนใครทิ้งวะ ทุกวันนี้ไอ้บูมก็ตามตูดมึงต้อยๆ ส่วนวันก่อนก็มีเพื่อนดื่มเหล้าอย่างไอ้บอ...”
“แม่กูเอง”
“...!!”
“คนที่พยายามไล่กูให้ออกไปจากชีวิต คนที่เอาแต่พร่ำบ่นทุกวันว่ากูไม่น่าเกิดมา คนที่ทำได้แม้กระทั่งลงมือกับลูกตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายหายไป ”
“เรวะ...มึงละเมออะไรรึเปล่า”
“ถ้ากูละเมอมันคงไม่มีรอยแผลเป็นข้างเอวกู แล้วถ้ากูทำได้ กูก็อยากจะละเมอแล้วไม่ต้องตื่นมาอีก”
“...” ผมหมดคำพูด ได้แต่นั่งนิ่งมองแววตาไร้สิ้นซึ่งความรู้สึกของคนตรงหน้า ถ้าสิ่งที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง มันคงทำให้ผมช็อกน่าดู คนอย่างแม่นิที่แลเป็นห่วงเป็นใยลูกชายตัวเองอย่างกับอะไร ท่าทีในวันที่เจอกันครั้งแรก อาการกระวีกระวาดยามเมื่อได้รู้ว่าลูกชายตนเองบาดเจ็บ มันดูไม่หลอกลวงเลยสักนิด ขัดกับคำพูดและการกระทำของเรวะที่ดูห่างเหินและเกรงใจกับผู้เป็นแม่อย่างประหลาด ราวกับว่าคนทั้งคู่...ไม่ใช่แม่ลูกกันจริงๆ
“ขอดูแผลที่เอวมึงหน่อย” เรวะไม่ใช่คนเลวในสายตาผม แต่ก็ไม่ใช่คนที่ควรจะเชื่อในสิ่งที่พูดตั้งแต่ครั้งแรก ผมได้ยินข่าวลือของเจ้าตัวมามาก มากพอที่จะขาดความเชื่อใจกันและกัน ถ้าหากยังไม่ได้คบกันมานานจริง
จบคำขอร้องจากผม อีกฝ่ายจึงขยับตัวช้าๆ คุกเข่าหันแผ่นหลังเข้าหา พลางวาดมืออันสั่นเทาจับผืนผ้าที่เอวข้างซ้าย ค่อยๆกำชายเสื้อยืดขึ้นอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเลิกสูงขึ้นมาพอให้เห็นรอยแผลเป็นทางยาวบนเอวคอดขาว รอยนั้นไม่ลึก แต่ไม่จางหาย และยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึกอีกฝ่ายนิ่งนาน
“แม่ทำอะไรมึง”
“เอาไม้แขวนเสื้อตีแล้วพลาด เหล็กไส้ในยื่นออกมาเกี่ยวโดนเอว”
“...”
“เจ็บมั้ย” มือผมยื่นไปสัมผัสแผลเป็นนั้นอย่างแผ่วเบา ร่างตรงหน้ามีอาการสะดุ้งเล็กน้อย ปลายมือของเรวะกำชายเสื้อแน่นขึ้นจนเหมือนจะจิกเล็บเข้าเนื้อตนเอง
“ถ้าไม่เจ็บก็โกหกแล้ว เด็กห้าขวบนะมึงโดนไม้แขวนเสื้อแทงซะทะลุ”
“แล้วทำไมแม่นิต้องตีมึงด้วยวะ”
“เพราะกูไม่ได้เกิดมาจากความตั้งใจไง” จบประโยคเรวะปล่อยชายเสื้อลงแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้ง เจ้าตัวนั่งลงขัดสมาธิเหมือนกับท่าเดิมที่เคยซบไหล่ผมเมื่อก่อนหน้า
“...”
“กูเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อทิ้งแม่กูไป...กูไม่ได้เป็นเด็กที่ใครๆต้องการ”
“แต่ตอนนี้ก็เห็นแม่นิดีกับมึง...”
“กูไม่เชื่อ กูไม่สามารถทำให้ตัวเองเชื่อได้อย่างสนิทใจว่า แม่กูไม่ได้คิดอะไรกับกูอีก ตราบใดที่พ่อกูยังไม่กลับมา กูก็ยังคงเป็นฝันร้ายสำหรับเขา เป็นลูกที่ไม่เคยมีใครต้องการ แล้วกูก็ยังจะต้องฝันร้ายเห็นฉากซ้ำๆที่ถูกไล่ตีให้ออกจากบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา อยู่อย่างคนไร้ค่าไปจนวันตาย”
แผลไม่รุนแรงพอที่จะทำให้ตาย แต่ก็ไม่เลือนหายไปจากชีวิต และยังคงเหมือนมีดที่ปักมิดด้ามลงไปที่หัวใจดวงน้อยนั้นซ้ำๆตลอดกาล ผมไม่รู้หรอกว่าอดีตเจ้าตัวเคยเจออะไร ชีวิตที่ผ่านมาทรมานขนาดไหน แต่ตอนนี้ถ้าให้ผมทำได้อย่างนึง ผมก็จะ...
“เรวะ”
“...” สายตาสีน้ำตาลอ่อนมองสบกลับมา
“ต่อให้มึงเป็นฝันร้ายของใคร แล้วต่อให้มึงฝันร้ายเรื่องในอดีตมามากขนาดไหน แต่กูอยากให้มึงจำไว้ว่าการที่ได้เจอมึงไม่ได้เป็นฝันร้ายสำหรับกูเลย”ผมไม่ใช่พนักงานเงินเดือน ไม่ได้ซื้อลอตเตอรี่ แต่ตอนนี้ต้องมาง่วนกับการทำเมนูหลังหวยออกควบก่อนสิ้นเดือน ร่วมกับคนไม่มีงานประจำอย่างเรวะ ทั้งที่ไม่ได้ต้องการประหยัดอะไรเลยแท้ๆ แต่เป็นเพราะสภาพคนตรงหน้ามันเละจนเกินเยียวยาเนี่ยดิ ไหนจะตาที่บวมเป่งเพราะร้องไห้มาเต็มสตรีม จมูกที่แดงก่ำจนกูนึกว่าไปทำสักสี ตัวพี่เลยต้องแลกกับการที่จะได้ไปหาร้านอาหารดีดีกินเพลินเติมไม่อั้นสนองอาการท้องว่างมาทั้งวัน มาเป็นนั่งหักบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โยนเข้าหม้อต้มจนน้ำเดือดแล้วก็โยนเครื่องปรุง ไข่ ไส้กรอก แฮมทุกอย่างที่มีในตู้เย็น ณ ตอนนี้มันลงไป
คงมีคนสงสัยว่าหลังจากนั้นเป็นยังไงน่ะเหรอ พอจบประโยคนั่นไอ้เรวะมันก็เอาแต่จับมือผมแน่นก้มหน้า ปล่อยให้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงลงมาสัมผัสกับมือพวกเราทั้งสอง จนกระทั่งเสียงท้องอีกฝ่ายร้องขึ้นมาเนี่ยแหละ...คอมเมดี้สัด...จุดจบผมเลยต้องมาอยู่ตรงนี้ไง
“มึงทำอะไรน่ะ” เรวะที่ถือผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเย็นประคบดวงตาร้องทักขึ้น หลังจากเจ้าตัวเดินเข้ามาใกล้
“มาม่าไง แหกตาดูก็น่าจะรู้”
“เปล่า กูหมายถึงมึงกำลังจะทำอะไร” มันชี้ไปที่มือข้างขวาของผมที่กำผักสดไว้กับมือ
“ใส่ผัก”
“กูไม่กินกะหล่ำ”
“ก็เรื่องของมึงดิ”
“ใส่ไปกูก็กินไม่ได้ดิวะ”
“มีอะไรให้แดกก็แดกๆไปเถอะน่า อย่างนี้ไงมึงถึงไม่โตสักที”
“กูก็ตัวเท่ามึง ไม่โตตรงไหนวะ”
“เท่ากัน? มึงเตี้ยกว่ากูเกือบสิบเซนต์ เอวก็เล็กกว่ากูตั้งครึ่งคืบ แล้วอย่างไหนเรียกว่าเท่ากันวะ” ไม่สน กูจะกินต้องได้กิน คว้ากะหล่ำขึ้นมาอีกรอบแต่ยังไม่ทันจะเขวี้ยงเข้าไปก็โดนคนไซส์เล็ก(กว่า)เข้ามาจับแขนไว้อย่างแรง “เชี่ยทำไรวะ”
“กูไม่แดกกะหล่ำ”
“ต้มแป๊บๆเดี๋ยวก็ละลายไปกับน้ำแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“มันจะหายไปได้ไงเล่า เนี่ยยังเป็นเส้นๆคามือมึงอยู่เลย”
“ให้กูสับละเอียดเลยมั้ย”
“ก็บอกว่าไม่กินไง”
“ลองแดกดูแล้วมึงจะรู้ว่าไม่ยากอย่างที่คิด”
เถียงกันอยู่อย่างนั้น ยักแย่ยักยันดึงกันไปมาจนมาม่ากูจะเดือดจนค่อนไปทางอืดแล้ว ขืนไม่ทำอะไรมีหวังผมได้กินเส้นใหญ่แทน เลยจัดการงัดท่าไม้ตายที่เคยใช้แกล้งเพื่อนในกลุ่มมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ยังได้ผลออกมาใช้...
หมับ!!
“เชี่ย!!!” เรวะร้องเสียงหลงถอยกรูด จนเสียหลักไปนั่งกองกับพื้น ดีที่ลงเบาไม่งั้นกลัวว่าต้องไปนั่งเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลสาเหตุเนื่องมาจากอาการก้นกบร้าว ผมอาศัยจังหวะที่มันเผลอ เขวี้ยงกะหล่ำลงไปในหม้อเสร็จยกทัพพีขึ้นคนจนสมใจอยากจึงหันหน้ากลับมาทางเก่า
“เรวะ จะนั่งอยู่นั้นอีกนานมั้ย แล้วมึงจะหน้าแดงทำเพื่อ”
“สัด!! โดนทำแบบนี้ ไม่หน้าแดงก็บ้าแล้ว”
“หรือกูทำแรงไป”
“มันใช่ประเด็นมั้ยวะ!!”
“แล้วประเด็นคืออะไรวะ ก็เห็นมึงนั่งกุมตรงนั้นมาตั้งนาน”
“ประเด็นคือมึงจะจับไข่กูทำเพื่ออะไรวะ!!”
“กลุ่มกูมีประเพณีอย่างนี้ ใครดื้อด้านโดนจับไข่ แล้วมึงก็กำลังทำตัวดื้อด้าน เข้าใจ๋?”
“ไม่เข้าใจเว้ย!!” มันหอบหน้าแดงหน้าดำเถียงผมจนเหมือนจะหมดพลังกาย
“มึงยังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้เหรอวะ”
“กูจะไปชินได้ไง!!”
“อ้าวก็ไหนข่าวลือบอกว่ามึงเป็นบะ...” ฉิบหาย...ผมเผลอพลั้งปาก พอสนิทกับมันมากขึ้นก็เริ่มจะปล่อยตัวตามใจ ไม่กลั่นกรองคำพูดออกมาให้ดีเสียก่อน
“นั่นมันเป็นข่าวลือที่ไอ้บอมมันปล่อยทั้งนั้น ไม่มีความจริงสักอย่าง กูไม่ได้เป็นไบ ไม่ได้ชอบผู้ชาย ไม่เคยมีแฟนเว้ย” ยิงไปหนึ่งประโยคเล่นได้คอมโบคำตอบมาถึงสาม แต่ยังติดอยู่ประเด็นนึงตรงที่...
“คนปล่อยข่าวคือไอ้บอม? มันเป็นเพื่อนมึงไม่ใช่เหรอ มันจะปล่อยไปเพื่ออะไรวะ” มึงเป็นนักแสดงนำเรื่องเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดหรือไง
“กูถึงไม่เคยนับว่ามันเป็นเพื่อนไง”
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ขัดจังหวะได้อย่างแม่นเหมาะ ไม่ทันได้ตั้งคำถามต่อ ก็ต้องหันไปมองกับสิ่งที่ร้องแผดลั่นดังไม่หยุดหย่อน ณ เบื้องหลัง
“เสียงโทรศัพท์กู เรวะมึงเทใส่ชามแล้วแดกไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอ” พูดทิ้งท้ายก่อนปิดเตาวิ่งเข้าหาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่นอนดิ้นครืดคราดอยู่บนโต๊ะข้างเตียง หน้าจอส่องแสงสว่างวาบปรากฏชื่อเบอร์ของผู้เป็นมารดาแบบโคตรเฟี้ยว ALISA BLACKLABEL นึกสงสารศิลปินเกาหลีที่มีชื่อคล้ายนี้แบบจับจิตจับใจเลยว่ะ แต่แม่กรูสายไม่หลับไม่เอาไม่เมาไม่เลิกไง เลยทำให้รู้สึกแต่ต่างอยู่โข หลังจากปล่อยให้โทรศัพท์ดังมาประมาณสี่ห้าครั้งผมก็กดปุ่มรับสาย ป่านนี้คุณอลิษาคงหงุดหงิดโวยวายนึกน้อยใจอยู่กลายๆแล้วมั้ง ว่าทำไมลูกชายเธอยังไม่รับโทรศัพท์
“ไงครับคุณอลิษา” ภาพของแม่ที่แต่งหน้าจัดเต็มในลุคโฉบเฉี่ยวปรากฏอีกฟากพร้อมกับฉากพื้นหลังที่ไม่คุ้นเคย
[รับช้านะเรา วันเสาร์แท้ๆเลย]
“วันเสาร์ต่างกับวันธรรมดาตรงไหน ทำไมผมต้องรับโทรศัพท์เร็วด้วยล่ะครับ”
[ก็วันเสาร์น่ะ มันวันหยุด ถ้าเราไม่ขลุกอยู่แต่ในห้องซ้อมดนตรีเล่นกีตาร์ ก็ต้องไปไหนมาไหนกับแฟนใช่มั้ยล่ะ แต่นี่เราก็เลิกกับพลอยแล้ว...มันน่าสงสัย]
“สงสัยอะไรของแม่น่ะ” ผมขำให้กับท่าทีขมวดคิ้วนึกทำตัวราวกับตนเองเป็นนักสืบของแม่
[สงสัยว่าลูกชายแม่จะมีคนคบหาดูใจคนใหม่ซะแล้วน่ะสิ]
“เฮ้ย ไม่มี เมื่อกี้ผมแค่กำลังต้มมาม่าอยู่” นึกถึงมาม่าผมก็รีบหันไปดูท่าทีด้านหลัง ไอ้เรวะมันทำท่าเหมือนตักแบ่งลงชามแต่สิ่งที่ตามมากับตะเกียบกลับเป็น... “เชี่ยเรวะ อย่าเขี่ยกะหล่ำกูออกนะ” มันสะดุ้งโหยงเงยหน้าขึ้นมามอง “คิดว่าจะแอบกูทำได้เหรอ อย่าหวัง” ชี้หน้าคาดโทษมันจ้องจับพฤติกรรมอยู่พักใหญ่ แต่ทว่า...
[แล้วคิดว่าปิดแม่ได้เหรอ อย่าหวัง]
หา? หันขวับมาตามเสียงแทบไม่ทัน ใช่ แม่ผมยังอยู่ในสายแถมสอดส่ายประหนึ่งว่าอยากรู้เรื่องราวเต็มประดา
[เบนกล้องไปข้างหลังอีกนิดสิจ๊ะลูกชาย]
“แล้วทำไมผมต้องทำด้วยอ่ะ”
[แหมหนูเรมมาใช่มั้ย ทำไมไม่บอกแม่ ปล่อยให้เดาส่งไปเรื่อยเลยว่าลูกชายแม่มีลับลมคมในอะไร ที่แท้ก็มีกะใจจะทำมื้อเที่ยงกินกับแฟนกันสองคน แล้วทำไมลูกชายแม่เกรี้ยวกราดกับแฟนอย่างนี้เนี่ย กลับไปต้องสอนมารยาทให้หนักซะแล้ว] แหมไอ้ที่ทำอยู่มันก็เดาส่งไม่ใช่เหรอ
“แฟนเฟินที่ไหนไม่มีทั้งนั้นแหละแม่ แล้วถ้าเป็นแฟนผมอ่ะนะผมคงใจดีกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า ไม่มาทำตัวเกรี้ยวกราดใส่อย่างนี้หรอก” กับพลอยก็ไม่เคย...หมายถึงไม่เคยคบกันนานขนาดเผยธาตุแท้ความเป็นเม่นคนคูลๆใส่กันได้หรอก แต่กับคนนี้บอกเลยว่ากูจะ...
[งั้นคนนี้ใคร...]
ม๊วฟฟฟฟฟฟ เสียงดูดด๊วบข้างแก้มดังจนแก้วหูสั่น อะไรนิ่มๆมายันสันโหนกของกูวะ ภาพที่ฉายขึ้นจอวีดิโอคอลเห็นเพียงฮู้ดสีเทาและเงาลางๆของ...ผมสีแอชเกรย์
“เชี่ย!!”
“เอาคืนที่มึงจับไข่กู” ไอ้เรวะกระซิบเบาๆ ให้ช้ำใจแล้วจากไปอย่างไวว่อง แต่ผมนี่เล่นอุทานจนคุณอลิซ่าหน้าหัน นิ่งอึ้งตะลึงงันไปแล้ว
[ไหนบอกแม่ว่าไม่มีอะไรไงไอ้ลูกชาย]
“ก็ไม่มีอะไรไง”
[ไหนบอกว่าทำมาม่า นี่ไข่เจียวหอมใหญ่รึเปล่าเนี่ย]
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไรไงครับ หัดหวงลูกชายตัวเองบ้างเถอะแม่” หัวสมัยใหม่ไม่ใช่ว่าอะไรก็ยอมรับไปหมดนะครับคุณอลิซ่า
[หืม...ให้หวงเหรอ โอเค งั้นส่งโทรศัพท์นี้ให้หนูเรมสิ]
“แม่จะทำอะไร”
[แสดงความหึงหวงลูกชายต่อหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ไง]
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงแม่”
[นี่อย่าบอกนะว่าคบกันแล้วยังจำกัดนิยามไม่ได้น่ะ]
“โอ๊ย เรื่องจะไปกันใหญ่แล้ว” ผมทึ้งหัวตัวเองส่วนปลายสายพอได้ทีเข้าหน่อยก็หัวร่องอหายออกมาเสียงดัง
[ชอบจังเวลาทำลูกชายคนนี้หัวปั่น] จบประโยคเสียงประกาศบางอย่างจากอีกฟากดังแทรกเข้ามาเป็นระยะจนผมนึกแปลกใจ
“นี่แม่อยู่ที่ไหนเนี่ย”
[สนามบินจ้ะ]
“หา? เฮ้ย แล้วเดี๋ยวใครไปรับเนี่ย แล้วมาถึงตั้งแต่เมื่อไร”
[อย่าตื่นตูมไปค่ะคุณลูกชาย แม่กับพ่อพึ่งอยู่ดีซีเอง นั่งเครื่องกว่าจะถึงก็นู่นห้าทุ่มพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอะไรแม่จะวางสายแล้วนะ เหมือนเขาจะประกาศให้ขึ้นเครื่องแล้ว]
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิแม่ แล้วพรุ่งนี้จะเอายังไงให้ผมไปรับ...” เล่นคุยเรื่องสะใภ้เรวะมันซะครึ่งบทสนทนา กว่าจะหาเนื้อหาสาระได้ก็ต้องมานั่งเร่งเอาตอนท้ายเหรอเนี่ย
[ไม่ต้องมาหรอก ลำบากเปล่าๆ เผื่อวันจันทร์มีเรียนแต่เช้า แต่ถ้าจะมาจริงต้องโชว์ป้ายไฟใหญ่ๆไม่งั้นแม่ไม่สนใจนะเออ] เว่อร์ไปอีก
“ป้ายไฟ? ใครมันจะไปทำของแบบนั้นกันล่ะแม่ แล้วถึงกล้าทำก็ไม่กล้าโชว์เหอะ” กูหน้าบางเป็นทุนเดิม ไม่คิดจะโชว์ให้เขินตัวแตกหรอก
[งั้นก็ไม่ต้องมา อยู่หอเตรียมเก็บของรอกลับบ้านได้เลยจ้า]
“เก็บของ? กลับบ้าน?”
[อย่าบอกนะ ว่าที่แม่กับพ่อตั้งใจจะกลับมาอยู่กับลูกชายสามเดือน มันไม่สะเทือนไปถึงสมองเราเลยน่ะ] โหยบทโศกก็มา คุณอลิษาทำท่าซับน้ำตาด้วยกระดาษทิชชู่เปื้อนชีสจากเฟรนด์ฟรายของนาง
“เฮ้ยไม่ใช่ ผมแค่ตามไม่ทัน” เล่นปั่นสปีดโค้งสุดท้ายซะอย่างงั้น สมองใครมันจะตามทันล่ะ “แล้วหอตรงนี้ล่ะ”
[ทิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวแม่จ่ายเป็นก้อนให้เอง กลับมาอยู่ด้วยกันเถอะนะ] รอยยิ้มอ่อนหวานพาลให้ใจผมสั่นไหว โอเค คิดถึงแม่กับพ่อครับ บางครั้งไม่อยู่อย่างอิสระซะบ้างอาจช่วยเปลี่ยนบรรยากาศการใช้ชีวิตก็ได้ ผมพยักหน้ารับคำของมารดาก่อนตอบ
“โอเคครับ ไว้ผมจะเก็บของรอ”
[ไม่ต้องทำหน้าเศร้าไปค่ะคุณลูกชาย ถ้าหนูเรมอยากมาหาเมื่อไรก็มาได้ แม่ไม่ถือ]
“ใครบอกจะให้มันมา...”
[เลิกบ่นได้แล้วเรา รีบกลับเข้าไปช่วยเขาทำกับข้าวได้แล้ว เห็นหาไข่อยู่ไม่ใช่เหรอ ไปเถอะแม่วางนะ]
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ แม่...แม่..” ตัดสายไปแล้ว หน้าจอดำเชียว ทำไมแม่ชอบวางระเบิดให้กูอย่างนี้ตลอดเลยว้า แล้วที่ว่ามันหาไข่ ใช่ที่ไหน มันกำลังด่าว่าผมไปจับไข่มันต่างหากล่ะ!!
ถอนหายใจยาวๆ แล้วเดินกลับมายังโต๊ะอาหารในโซนทำครัว ตอนนี้ไอ้ตัวปัญหามันกินมาม่าสบายใจเฉิบ แถมยังมีซากกะหล่ำปลีกองมหึมาที่วางอยู่ในชามแยกของกูอีก จนนึกสงสัยตกลงกูมากินมาม่าหรือข้าวหน้าทงคัตสึกันแน่วะ
“เห็นกูเผลอก็จับยัดกะหล่ำให้กูเลยนะ” เลื่อนเก้าอี้ลงนั่ง จัดการกับตะเกียบที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ ส่วนคนฟังก็เงียบไม่สนใจเอาแต่สูดเส้นมาม่าเข้าเป็นการใหญ่ “กินไม่รอกูอีก ขอให้ติดคอตาย”
“ก็มึงบอกให้กูกินไปก่อนไม่ใช่เหรอ”
“แต่ก็เสือกมีปัญญามาหอมแก้มกูนะ” ผมหนีบตะเกียบเข้ากับเส้นเริ่มจัดการอาหารมื้อแรกของวัน ในระหว่างที่ก้มลงไปนั้นก็ได้มีปัญญาเห็นหน้าไอ้เรวะมันที่ก้มอยู่
...เชี่ย หน้านี่แดงเถือกอย่างกับโดนพริก...
รีบหยิบซองเปล่าข้างกายที่วางนอนตายอยู่บนโต๊ะขึ้นมา พลางอ่านชื่อรสชาติ...
“หมูสับ” ข้างหลังแม่งก็ไม่มีต่อ ‘ต้มยำ’ หรือ ‘น้ำข้น’ อะไรนี่หว่า แล้วทำไมมันถึงหน้าแดงได้ขนาดนั้นวะ เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าผมสังเกตได้มันเงยหน้าขึ้นมาพลางประกาศว่า...
“กูเผ็ดพริกป่น!!”
“เออกูเชี่อมึง!!”
...เชื่อทั้งๆที่ซองพริกบ่นยังนอนปนอยู่ในซองเปล่า ในสภาพที่ไม่ถูกกระทำชำเราแต่อย่างใด...
...TBC...