มาละครับ บทที่ 77 ตอนนี้เราจะได้รู้จักเรื่องฝั่งบิ๊กบ้างแล้ว ส่วนตอนนี้ มาช่วยแทนที่พึ่งฟื้นกันต่อดีกว่าครับ
เหลืออีกไม่กี่บทจะจบบริบูรณ์ละครับ^^
มาดูกันต่อครับ
************
Chapter 77เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากแทนลืมตาขึ้นมาแล้ว คุณหมอเข้ามาตรวจอาการของแทนอย่างละเอียด แทนยังอ่อนล้าอยู่ กระดูกสันหลังที่ร้าวกับเคลื่อน รวมถึงเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ก็ยังต้องมาตรวจดูว่า แทนจะต้องกายภาพอย่างไร
“คนไข้ตอบสนองเบื้องต้นได้โอเคละครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเริ่มทำกายภาพเบื้องต้นนะครับ ตอนนี้แขนกับขาของคนไข้เท่าที่ทดสอบดู ถือว่าตอบสนองได้อยู่ เดี๋ยวจะเริ่มทำกายภาพบำบัดให้ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปครับ ละก็ ตอนนี้เดี๋ยวเปลี่ยนให้ทานอาหารอ่อนดูนะครับ” คุณพ่อ คุณแม่ คุณยาย และผม ไหว้ขอบคุณคุณหมอ
“ขอบคุณครับคุณหมอ” เสียงเล็กๆ ของแทนเอยขึ้นก่อนที่คุณหมอจะไป คุณหมอได้ส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไปจากห้องพักของแทน
“แม่ครับ พ่อครับ ยายครับ แทนขอโทษ” แทนเอยขึ้นตอนที่คุณพ่อ คุณแม่ กับคุณยาย ยืนอยู่ข้างๆ เตียง
“ไม่เป็นไรลูก ลูกปลอดภัย พ่อกับแม่ก็ดีใจแล้ว” คุณพ่อของแทนจับมือของแทนด้วยสีหน้าที่หายกังวลไปพอสมควร ในขณะที่แม่ของแทนเองก็ดูหายเครียดขึ้นพอสมควร
“แทนขอโทษนะครับ ยายไม่สบายใจเพราะแทนแท้ๆ เลย” คุณยายของแทนส่ายหน้าช้าๆ ปาดน้ำตาเล็กน้อย
“หลานปลอดภัยกลับมา ยายก็สบายใจแล้ว หลานต้องกลับมาเป็นปกตินะ” คุณยายเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของแทน
“บิ๊ก...” ผมยืนอยู่ปลายเตียงไกลๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปหาแทนช้าๆ
“เราขอโทษ ที่เราไม่ได้จัดงานวันเกิดให้ตามสัญญา” ไม่เป็นไรนะแทน มันไม่สำคัญเท่ากับการที่แทนปลอดภัยกลับมามากกว่า
“เดี๋ยวเธอทั้งคู่ต้องไปพรรคไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวสายนะ ฉันเองก็จะกลับบ้านเหมือนกัน ทางนี้ให้หลานบิ๊กเค้าดูแลก็ได้” คุณยายเอยขึ้น ก่อนที่คุณพ่อกับคุณแม่ของแทนจะตัดสินใจกลับ โดยที่คุณยายก็กลับด้วย
ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง กุมมือที่ผมคิดว่าเกือบจะไม่ได้กุมเอาไว้อีกตลอดไปไว้แน่นๆ แทนที่นอนมองผมผ่านการปรับเตียงให้ชันพอจะนั่งได้ พยายามออกแรงบีบมือผม แต่มือของแทนก็แทบไม่มีแรงอะไรตอบสนองมือของผมเหมือนกัน
“เดี๋ยวเที่ยงนี้กินข้าวนะครับ หิวมากไหม” แฟนผมพยักหน้าเป็นคำตอบ
“เราหลับไปกี่วันอะ” นี่น่าจะเป็นคำถามแรกของแฟนผมหลังจากตื่นขึ้นมา
“สัปดาห์นึงอะ รวมนอน ICU ก็เป็นสิบวันพอดี” พอผมตอบจบ แทนร้องไห้จนผมต้องรีบเช็ดน้ำตาทันที
“เราขอโทษ เราทำให้บิ๊กเป็นห่วง” ผมเช็ดน้ำตาด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กที่พับวางไว้ข้างๆ พอเช็ดเสร็จ ผมจุมพิตหน้าผากที่พันด้วยผ้าพันแผล ผมค้างสัมผัสนี้ไว้สักครู่ ก่อนจะถอยออกมาช้าๆ กลับมานั่งข้างๆ ที่เก้าอี้ตัวเดิม
“มันเป็นอุบัติเหตุ มันเป็นเหตุสุดวิสัย แค่ตอนนี้เราได้ยินเสียงแทน ได้จับมือ ได้อยู่ใกล้ๆ แบบนี้ อย่างอื่นในโลกก็ไม่สำคัญกับเราอีกแล้ว” ผมจุมพิตหลังของแทนเบาๆ
“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งเราไปนะ” แทนพยักหน้ารับทราบ
“เรากลัว กลัวตัวเองจะช่วยตัวเองไม่ได้อีก เราจะเป็นภาระให้กับทุกคน” ผมยิ้มให้กับสิ่งที่แทนกังวล
“เราจะช่วยให้แทนกลับมาช่วยตัวเองได้อีกครั้ง” ผมหอมหลังมือของแฟนผมอีกครั้ง ก่อนจะลุกไปหยิบกีตาร์โปร่งที่วางอยู่ข้างๆ โซฟามานั่งข้างๆ
ผมเริ่มเกากีตาร์ แล้วเริ่มร้องเพลงที่ผมนึกออกว่าอยากร้องให้แทนฟังต่อ ใบหน้าเปื้อนยิ้มของแฟนผมในตอนนี้ เป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นที่สุดในรอบสิบกว่าวันที่ผ่านมา เพลงที่ผมร้องให้แฟนผมฟังเพลงแรกของวันนี้ก็คือ
“เธอคือทุกสิ่ง ในความจริงในความฝัน คือทุกอย่างเหมือนใจต้องการ เธอเป็นนิทานที่ฉันอ่าน ก่อนหลับตาและนอนฝัน
เธอคือหัวใจ ไม่ว่าใครไม่อาจเทียมเทียบเท่าเธอ ช่างโชคดีที่เจอได้ตกหลุมรักเธอ ได้มีเธอเคียงข้างกัน คงจะมีเพียงทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี้ ตรงที่เธอ
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว
เธอคือรักจริง ฉันยอมทิ้งทุกทุกอย่างเพียงเพื่อเธอ ดั่งฟ้าให้มาเจอให้เธอคู่กับฉัน ให้เราได้เดินเคียงข้างกันนับจากนี้ คงจะมีเพียงทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี้ ตรงที่เธอ
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว
จะทุกข์หรือยามที่เธอนั้นสุขใจ ยามป่วยไข้หรือสุขกายสบายดี ฉันอยู่ตรงนี้และจะมีแต่เธอทุกวินาที จะอยู่ใกล้ไม่ห่างไกล จะเคียงชิดไม่ห่างไป ไม่ไปไหน...
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียง
เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอ เพียงเธอที่รอ ฉันจะขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใด
เกิดชาติไหนฉันมีเธอ มีเธอเพียง..คนเดียว”
คู่ชีวิตของผม....
……………….
ผ่านไปอีกสัปดาห์หนึ่ง การทำกายภาพของแทนเริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าจะการกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า การฝึกขยับในแต่ละอิริยาบท การลุกขึ้นยืนกับนั่ง ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยากสำหรับแทนในเวลานี้ ในห้องกายภาพตอนนี้ มีคนไข้หลายคนกำลังฝึกกายภาพกันอยู่ รวมถึงแทนที่พยายามฝึกอยู่เช่นกัน
“ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ นะคะ ช้าๆ คะ” พยายามกำลังกำกับให้แทนค่อยๆ ใช้สองมือยันตัวเองขึ้นจากรถเข็นขึ้นมา บุรุษพยาบาลอีกสองคนช่วยกันหิ้วปีกแทนเอาไว้ แล้วพาแทนไปจับราวเหล็กคู่ด้วยสองมือของแทน
“ค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักลงเท้านะคะ” แทนพยายามใช้สองแขนจับราวเหล็กเอาไว้ ก่อนจะทิ้งน้ำหนักลงบนขาทั้งสอง แต่ไม่ถึงห้าวินาทีเท่านั้น แทนร่วงลงไปกองกับพื้นทันที
“ไหวไหม” ผมกับบุรุษพยาบาลรีบเข้าไปประคอง แทนพยักหน้าเอาใหม่อีกที
สีหน้าของแทนค่อนข้างเหนื่อยและลำบากในการทำกายภาพ การพยายามยืนด้วยขาตัวเองให้นิ่งๆ เป็นเรื่องยากมากตอนนี้ แทนพยายามลองยืนโดยที่ใช้แรงจากแขนให้น้อยที่สุด ถึงห้องกายภาพจะแอร์เย็น แต่แทนเหงื่อออกเต็มตัวเพราะพยายามออกแรงฝึก
“พอแค่นี้ก่อนนะครับ” บุรุษพยาบาลที่ดูแลแทนค่อยๆ ประคองกลับมานั่งที่รถเข็น
“เดี๋ยวผมเข็นพาเดินเล่นก่อนนะครับ” ผมบอกกับพี่บุรุษพยาบาล ก่อนจะเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่ติดมาด้วย เช็ดหน้ากับคอของแทนให้เรียบร้อย
“เรากลัว...กลัวตัวเองเป็นง่อยแบบนี้ตลอดไป” ผมยิ้มกว้างๆ ให้แทน
“แทนต้องกลับมาเดินได้แน่นอนครับ เราจะช่วยอยู่ข้างๆ จนกว่าแทนจะเดินได้ปกตินะครับ” แทนพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ยังดูกังวลเหมือนเดิม ก่อนที่ผมจะเข็นแทนไปรอบๆ พาออกไปสวนหย่อมเล็กๆ ภายในโรงพยาบาล
“เหนื่อยไหม” ผมส่ายหน้ากับคำถามของแทน
“ไม่เคยเหนื่อยเลยครับ ให้ทำมากกว่านี้ก็ทำได้” ผมก้มตัวโน้มไปข้างหน้า แล้วก้มหน้าลงมาหาแทนที่นั่งรถเข็นตอนนี้
“เราเป็นภาระให้บิ๊ก เป็นภาระกับทุกคน มันแย่มากเลยอะ” ผมขยับแก้มตัวเองให้ชิดกับแก้มของแทน
“จำตอนที่แทนโดนฟันที่มือได้ไหม ตอนนั้นเรายังไม่ได้เป็นแฟนกันด้วย เราเต็มใจดูแลแทนเพราะแทนเป็นคนดีสำหรับเรา ตอนนี้แทนเป็นคู่ชีวิตเราแล้ว ต่อให้เราต้องแบกแทนขึ้นหลังเดิน เราก็จะไม่บ่น ไม่รำคาญ ไม่หนักด้วย เราจะไปด้วยกันนะครับ” ผมตบท้ายด้วยการหอมแก้มนิ่มๆ ของแฟนผมอีกที ผมเดินมาหน้ารถเข็นของแทน แล้วย่อตัวลงให้แทนเห็นหน้าผมชัดๆ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เราจะสู้ เสียอย่างอื่นเราพอทำใจได้ แต่เสียแทนไป เราทำใจไม่ได้แน่นอน” ผมค่อยๆ จุมพิตที่หน้าผากของแฟนผมเบาๆ ก่อนเอาปลายจมูกสัมผัสค้างไว้ตรงนั้น
“เราจะต้องกลับมาเดิน กลับมาวิ่งกับบิ๊กให้ได้นะ” ผมพยักหน้าเบาๆ
“เราจะอยู่ข้างๆ ให้แทนกลับมาเป็นปกตินะครับ สัญญา” ผมบอกขณะที่ปลายจมูกยังแตะหน้าผากของแทนไว้
ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ จะป่วย หรือเป็นอะไรก็ตาม ผมจะไม่ทิ้งคนที่ผมรักคนนี้แน่นอน
……………….
17 ปีที่แล้ว...
บ้านเดี่ยวหลังหนึ่งแถวชานเมืองที่ฉันกับสามีพึ่งซื้อได้สำเร็จ เป็นทั้งเรือนหอ เป็นที่ๆ ผู้หญิงที่ไม่มีญาติมิตรที่ไหนคนนี้ได้ซุกหัวนอน ครอบครัวของเราเติมเต็มด้วยลูกชายหนึ่งคน เด็กผู้ชายตัวขาว ปากแดง ดวงตาดูเข้มแข็ง เด็กผู้ชายคนนี้เราทั้งสองตั้งชื่อให้ว่า “บิ๊ก” เพราะเค้าคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของครอบครัวของเรา
“คืนนี้จะกลับมาทานข้าวไหม” ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว ฉันโทรเข้าบริษัทของสามี
“คืนนี้มีนัดทานข้าวกับลูกค้า ไม่ต้องรอนะ” ฉันได้แต่รับคำของสามี แล้ววางสายลงไป
ตั้งแต่บิ๊กเกิดมา เรื่องแแบบนี้แทบจะชินชาไปแล้ว ฉันพอเข้าใจว่าบริษัทของสามีกำลังตั้งไข่ ฉันเองก็ต้องเลี้ยงลูกไปทำงานที่ธนาคารไปด้วย ถ้าผู้จัดการสาขาที่ทำงานไม่เมตตา ฉันก็คงเอาลูกชายคนนี้ไปเลี้ยงระหว่างงานเกือบทุกวันไม่ได้ ในขณะที่บิ๊กเองก็ไม่ดื้อไม่ร้อง บางทีก็หลับเกือบทั้งวันด้วยซ้ำ จนวันนึงตอนบิ๊กสามขวบ...
“คุณพ่อกลับมาแล้ว” เสียงลูกชายของฉันดีใจเป็นพิเศษ ก่อนจะรีบวิ่งไปหาคุณพ่อของตัวเอง แต่สามีฉันก็ดูรีบๆ
“วันนี้กลับมาเร็ว เดี๋ยวรีบไปเตรียมกับข้าวก่อนนะ” สามีฉันไม่ตอบอะไรนอกจากรีบขึ้นไปบนห้อง คิดว่าคงไปอาบน้ำแล้วค่อยมาทานข้าว แต่หลังจากที่เตรียมโต๊ะอาหารเสร็จ
“คุณจะไปไหน” สามีฉันไม่ตอบอะไร แต่แบกกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบเต็มๆ วางไว้หน้าประตูบ้านอย่างเร่งรีบ
“ผมจะไปหาลูกค้าที่ต่างประเทศสักอาทิตย์” แต่เสื้อผ้าที่เก็บมันแทบจะเรียกว่าหมดทั้งห้อง
“เดี๋ยวก่อน คุณจะไปไหนกันแน่ ทำไมต้องเก็บเสื้อผ้าหมดตู้แบบนี้” สามีฉันไม่ตอบอะไรนอกจากใส่รองเท้า เปิดประตูแล้วยกกระเป๋าออกไปใส่ท้ายรถ
“คุณจะไปต่างประเทศแล้วขับรถไปเองทำไม” สามีฉันดูเร่งรีบจนฉันไม่เชื่อว่ากำลังไปต่างประเทศจริงๆ
“บอกมาดีๆ ตกลงไปไหนกันแน่” สามีฉันไม่ตอบ แต่ผลักฉันออกไปแล้วรีบขึ้นรถก่อนจะออกไปทันที ฉันได้แต่วิ่งออกไปหน้าประตูดูสามีฉันขับรถออกไป
กับข้าวบนโต๊ะที่ฉันต้องยิ้มทานกับบิ๊กแล้วบอกลูกชายฉันว่า คุณพ่อมีงานด่วน ถึงสีหน้ากับสายตาลูกชายฉันจะผิดหวัง แต่ลูกชายฉันก็ยิ้มแย้มกับฉันเสมอ คืนวันนั้น ฉันนอนหลับไม่สนิทนัก จนพอถึงเวลาเช้าที่ฉันต้องไปส่งบิ๊กเรียน ชีวิตของฉันก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล
หมายศาลสั่งยึดทรัพย์สามีฉัน ทั้งบ้านหลังนี้ บริษัทของสามี ทุกสิ่งที่ฉันช่วยค้ำประกันไว้ ผลผูกพันธ์ทางกฎหมายต่างๆ ทุกสิ่งมันพุ่งเช้าใส่ จนฉันไม่ทันตั้งตัว วันนั้นฉันต้องรบกวนเพื่อนร่วมงานที่ลูกสาวเรียนโรงเรียนเดียวกับบิ๊กให้เป็นคนพาไปส่ง ส่วนฉันได้แต่ไล่เช็คว่า อะไรบ้างที่สามีฉันทำไว้แล้วฉันไม่รู้เรื่อง พอได้สติ สิ่งที่ฉันมีเป็นส่วนตัวที่พอจะเหลือตอนนี้คือ เงินสดสองล้านบาทจากพ่อกับแม่ของฉันที่เสียไปแล้ว รถ Civic คันนึงที่ฉันซื้อด้วยนำ้พักน้ำแรงตัวเอง ฉันเก็บเสื้อผ้าและของใช้ทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วออกไปเช่าห้องสมัยที่ฉันยังเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่แทน
“ทำไมคุณแม่ไม่พาบิ๊กกลับบ้านครับ” ลูกชายฉันถามขณะที่ขับรถมาถึงห้องเช่าที่พึ่งเช่าไป
“เรามีปัญหานิดหน่อย เดี๋ยวจะได้กลับบ้านทีหลังนะครับ” ฉันพยายามปั้นยิ้มเอาไว้เพื่อลูกของฉัน
“แล้วทำไมกลับบ้านไม่ได้อะครับ” ฉันลูบศีรษะลูกชายฉันแล้วบอกว่า
“มีคนชอบบ้านของเรา ขอซื้อต่อเลย แม่เลยพาบิ๊กมาอยู่นี่ก่อน เดี๋ยวเราซื้อหลังใหม่อยู่กันนะครับ” นี่คือคำตอบที่ฉันไตร่ตรองก่อนตอบให้เด็กสามขวบฟังแล้วเข้าใจ
“คุณพ่อไปหาบ้านหลังใหม่อยู่เปล่าครับ” ฉันพยักหน้าตามน้ำในคำตอบของลูกชาย
ทุกวันหลังจากนั้น ฉันต้องคอยคุยกับเจ้าหนี้จนต้องลาออกจากธนาคาร ฉันต้องคอยย้ายเงินสองล้านที่มีเป็นก้อนสุดท้ายให้พ้นสายตาเจ้าหนี้ ทุกเวลาที่ฉันนอน ตื่น ฉันจะร้องไห้ทุกครั้งที่บิ๊กไม่อยู่แล้ว วันเวลาที่ผ่านไป บิ๊กเองก็เหมือนรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ปกติ
"คุณแม่ครับ ทำไมคุณพ่อไม่กลับมาซะทีครับ คุณพ่อไม่รักบิ๊กแล้วใช่เปล่าครับ" ลูกชายฉันเอยขึ้นก่อนจะนอนข้างๆ
"ไม่ใช่นะครับ คุณพ่อมีธุระบางอย่างที่จำเป็น จะรีบกลับมาหาบิ๊กแน่นอนครับ" ฉันโกหกลูกอีกแล้ว
"คุณพ่อไม่โทรหาเราบ้างเลยครับ คุณพ่อไม่รักบิ๊กแล้ว" ฉันกอดลูกชายเอาไว้ก่อนจะบอกว่า
"เวลาที่โตขึ้น บางอย่างก็เหนื่อยยาก แต่ที่แน่ๆ คุณพ่อเค้ารักและกำลังรีบทำงานให้เสร็จ จะได้กลับมาอยู่กับเราทุกคนนะครับ" ฉันพยายามข่มเสียงตัวเองให้นิ่งที่สุดไว้
"บิ๊กจะเป็นเด็กดี บิ๊กจะไม่ดื้อ บิ๊กอยากให้คุณพ่อกลับมา" ฉันรีบเช็ดน้ำตาให้หมดก่อนที่ลูกฉันจะรู้ว่าฉันกำลังร้องไห้อยู่
"นอนนะครับคนดี" ฉันคลุมมุ้งรอบที่นอนของบิ๊ก ก่อนจะเปิดพัดลมเบาๆ ให้ส่ายรอบที่นอน
นี่แค่ตัวอย่างของทุกคืนที่ฉันต้องแบกรับ ฉันต้องโกหกลูกไปเรื่อยๆ แบบนี้ ความทุกข์ในอกมันเกิดกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันจะแบกมันได้ แต่พอฉันเห็นลูกชายแล้ว ฉันจะเป็นอะไรไม่ได้ ฉันจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะบิ๊กคือสิ่งสุดท้ายที่ฉันเหลืออยู่
ฉันตัดสินใจขายรถทิ้ง เอาเงินที่ขายได้ไปจ่ายเจ้าหนี้ที่พอจะใจดี ลดหนี้ให้ได้ และปิดหนี้ให้ได้ ฉันเอาเงินเก็บก้อนสุดท้ายมาไว้เป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการเลี้ยงบิ๊ก ความรู้เดียวที่ฉันมีคือเรื่องหุ้นกับกองทุน นั้นทำให้ฉันได้งานเป็นเลขาเจ้าสัววัยเกษียณท่านหนึ่ง เงินส่วนแบ่งจากการนำเงินเก็บท่านเจ้าสัวไปลงทุน ทำให้ฉันมีเงินทยอยจ่ายดอกเบี้ยกับทบต้นไปเรื่อยๆ เช่าคอนโดดีๆ อยู่ได้
"บิ๊กเข้าใจแม่นะครับ" บิ๊กในวัยประถม 4 กำลังน้อยใจที่ฉันไม่สามารถไปงานวันแม่ของโรงเรียนได้ เพราะฉันมีนัดประชุมกับกลุ่มทุนใหญ่ที่ท่านเจ้าสัวถือหุ้นอยู่
"แค่ตอนเช้าก่อนเข้าแถวเองนะครับ คุณครูอยากให้คุณแม่มาด้วย นะครับ นะครับ" ฉันสูดหายใจลึกๆ
"แม่ขอโทษที่ไปไม่ได้นะครับ แม่กำลังจะซื้อบ้านหลังใหม่ได้แล้ว แม่ต้องใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่า บิ๊กเข้าใจนะครับ" ลูกชายฉันไม่ตอบอะไรนอกจากเดินกลับไปที่มุมโต๊ะทำการบ้านของตัวเอง
"แม่ก็ไม่รักบิ๊กเหมือนที่พ่อไม่รักบิ๊ก" ถึงบิ๊กจะพูดเบาๆ แต่ฉันก็ได้ยินทุกคำ มันทำให้ฉันต้องฝืนไม่ได้ยินว่ามันเกิดขึ้น
ชีวิตฉันเริ่มดีขึ้น หนี้สิ้นของสามีฉันลดลงเรื่อยๆ ฉันทยอยจ่ายสุดความสามารถเท่าที่ฉันทำได้ ยิ่งฉันทำงานเงินให้ท่านเจ้าสัวได้มากเท่าไหร่ ยิ่งฉันทำให้ท่านเจ้าสัวเสียภาษีน้อยได้เท่าไหร่ ส่วนแบ่งของฉันก็มากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ตามหลอกหลอนฉันไม่หยุดก็คือ
"มาทำไม" ทันทีที่ฉันเปิดประตูห้องออกมา นี่คือคำที่ฉันใช้ทักทายคนที่ฉันเกลียดที่สุด
"สามีจะกลับมาหาภรรยาบ้างไ่ม่ได้เหรอครับ" แน่นอนว่าถ้าผู้ชายคนนี้จะเข้ามาในห้อง ฉันไม่ให้เข้า!!
!
"ถ้าจะมาเหมือนเดิม กลับไปซะ ลูกยังไม่ตื่น อย่ามากวนด้วย" ฉันพูดอย่างสุภาพที่สุดเสมอ
สามีเลวๆ ของฉันผลักฉันเข้าห้อง แล้วตรงเข้าไปรื้อค้นห้องกับหากระเป๋าสตางค์ฉันทันที ฉันพยายามสู้เพื่อไม่ให้สามีฉันแย่งเงินสดกับเครดิตการ์ดในกระเป๋าของฉัน
"พ่อ พ่อกลับมาแล้ว" บิ๊ก อย่าออกมานะลูก
สามีของฉัน พ่อของลูกชายฉัน ไม่ได้สนใจว่าลูกจะคิดถึงอะไร ยังคงยื้อแย่งกระเป๋ากับเงินสดในกระเป๋าของฉัน ไม่ว่าจะมีแค่กี่สิบ กี่ร้อย หรือกี่พันก็ตาม หรือมันจะถอนมาเพื่อเอาไปจ่ายอะไรสักอย่าง ผู้ชายคนนี้ก็ไม่สนใจ และการแย่งเงินกับฉัน ก็จบลงเหมือนทุกครั้ง
"พ่อหยุดนะ อย่าตีแม่ อย่า" แรงของเด็กประถม 5 จะสู้พ่อตัวเองได้อย่างไร
"อย่ายุ่ง จะไปไหนก็ไป" นี่คือสิ่งที่สามีฉันพูดกับลูกฉันหลังจากถีบลูกตัวเองไปแล้ว
"ถ้าคุณอายัดบัตร ผมจะรีบกลับมาเอาเงินคุณอีกแน่นอน" สามีของฉันกลับไป ทิ้งฉันกับลูกนอนเจ็บท่ามกลางสิ่งต่างๆ ในห้องพักของเรากระจุยกระจาย
"แม่เจ็บตรงไหนครับ" ฉันส่ายหน้าไม่เป็นไร ก่อนจะกอดลูกเอาไว้
"หิวข้าวยังลูก ลูกไปแปรงฟันล้างหน้านะครับ เดี๋ยวแม่พาไปกินข้าวเช้านะครับ" ฉันเป็นแม่ที่แย่มาก
"พ่อไม่รักเราแล้วใช่ไหมครับ ทำไมพ่อต้องทำแบบนั้น" ทำไมบิ๊กต้องมาเห็นภาพแบบนี้ด้วย นี่คือครั้งแรกที่ลูกฉันได้เห็นความจริงตลอดสามสี่ปีที่ฉันพยายามเก็บเอาไว้
ฉันเก็บความจริงทั้งหมดนี้เอาไว้ อดทนให้สามีของฉันตบตี เพียงเพราะลูกชายของฉันต้องการพ่ออยู่ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจัดการฟ้องหย่าทันที ท่านเจ้าสัวเองก็ใจดี เอาทนายมาช่วยจนฉันชนะคดี ได้สิทธิในการเลี้ยงดูบิ๊ก และไม่ต้องแบ่งสินสมรสอะไรเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่บิ๊กรู้ความจริง ก็ทำให้ฉันเจ็บปวดมาถึงทุกวันนี้ พฤติกรรมของบิ๊กเปลี่ยนไป
"ทำไมเสื้อผ้าลูกเปื้อนเลือดแบบนี้ละ แล้วหน้าลูกทำไมช้ำแบบนี้อีกแล้ว แม่ไม่โอเคที่ลูกมีเรื่องชกต่อยแบบนี้" นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นเดือนละหน สองหน หรืออาจจะทุกสัปดาห์ในเดือนนั้น และทุกครั้ง บิ๊กจะไม่ตอบว่าทำไม นั้นทำให้ฉันต้องทำโทษด้วยการให้อยู่ในห้องไปคนเดียวจนกว่าจะสำนึก จนวันที่บิ๊กในวัย มัธยมศึกษาปีที่ 1 บิ๊กก็ระเบิดสาเหตุทั้งหมดให้ฉันฟังว่า
"แม่รู้ไหมว่าบิ๊กไม่มีเพื่อน ทุกคนไม่อยากคบผม บางคนเรียกผมไม่มีพ่อไม่มีแม่ บิ๊กโดนรังแก บิ๊กไม่ได้อยากมีเรื่อง แต่บิ๊กทนไม่ได้ที่โดนล้อโดนแกล้ง แม่เคยไปโรงเรียนตอนที่บิ๊กอยากให้ไปเปล่า ไม่เคยเลย บิ๊กอยากมีพ่อกับแม่อยู่พร้อมหน้าเหมือนคนอื่น" ลูกชายฉันพูดจบ วิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนของตัวเองทันที
บ้านหลังใหม่ที่ฉันสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงที่สะสมตลอดสิบปีที่ผ่านมา ทรัพย์สินเงินทองที่ฉันสร้างมาเพื่อล้างทั้งหนี้ และสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง แต่มันสายเกินไปกับเวลาที่ฉันแลกกับลูกชายฉัน บิ๊กกลายเป็นเด็กก้าวร้าว เย็นชา ทุกครั้งที่โรงเรียนโทรมาหา ก็ต้องเป็นพฤติกรรมชกต่อย โดดเรียน รวมถึงสูบบุหรี่ด้วย ทุกครั้งที่ฉันอบรม ไม่ว่าจะด้วยไม้อ่อนหรือไม้แข็ง มันจะจบด้วยคำว่า
"แม่พูดจบแล้วใช่ไหมครับ" แล้วบิ๊กจะไหว้หนึ่งที ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้อง หรือออกจากบ้านไปเลย
วันเกิดปีที่ 13 ของบิ๊ก คือวันที่ฉันเสียใจที่สุด ฉันพยายามรีบกลับจากสิงคโปร์ให้ทันไปรับลูกที่บ้านของสามีฉัน ฉันไม่อยากอนุญาตให้บิ๊กไปเที่ยวบ้านผู้ชายชั่วๆ คนนั้น แต่ถ้าพ่อลูกไม่ได้เจอกันบ้าง ฉันก็คงดูใจร้ายเกินไป พอฉันกลับมาถึงบ้าน
"บิ๊ก ลูกนอนตรงนี้ทำไม ทำไมลูกนอนตรงนี้" ลูกชายฉันนอนอยู่ริมรั้วบ้าน บิ๊กนอนหลับไม่ได้สติ ฉันพยายามปลุกก็ไม่ตื่นขึ้นมา ตามเนื้อตัวมียุงกัดเต็มไปหมด บิ๊กตัวร้อนมีไข้ ใบหน้ามีรอยฟกช้ำเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายฉัน
"แม่ครับ บิ๊กจะไม่ไปหาพ่ออีก บิ๊กไม่อยากเจออีกแล้ว" ลูกชายฉันเอยขึ้นทันทีที่ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล
"เกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกนอนหน้าบ้านแบบนั้นละ" บิ๊กไม่ตอบอะไรนอกจากบอกฉันว่า
"พ่อเค้าไม่รักบิ๊กแล้ว บิ๊กเลยเดินกลับมาบ้าน" หลังจากนั้น ฉันก็ติดต่อสามีฉันไม่ได้อีก ว่าทำไมลูกชายฉันถึงต้องเดินกลับมาบ้านคนเดียวแบบนี้
หลังจากวันนั้น ทุกปีที่บิ๊กโตขึ้น ฉันไม่แน่ใจว่าทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ ลูก พูดคุยกับลูก ลูกชายฉันมองแม่คนนี้ยังไง รู้สึกกับแม่คนนี้ยังไง แต่สิ่งหนึ่งทีฉันรู้สึกตลอดคือ ลูกชายฉันมีกำแพงกับฉัน กับโลกใบนี้ เป็นกำแพงที่ฉันไม่รู้จะทำลายมันยังไง
จนวันที่ลูกชายฉันพาเพื่อนที่ชื่อแทนเข้าบ้าน ฉันเห็นลูกชายฉันกอดเพื่อนคนนี้ เห็นตอนหยอกล้อกัน มันแตกต่างกับเพื่อนๆ อีกสามคนของบิ๊กที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน ลูกชายฉันไม่เคยมองฉันหรือใครด้วยดวงตาที่ดูมีความสุขเท่าคนนี้ ลูกชายฉันไม่เคยปฎิบัติกับใครดีแบบนี้ ถึงลูกชายฉันจะยังเด็กไปกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในสายตาผู้ใหญ่ และยิ่งเป็นผู้ชายด้วยกันแล้ว คนเป็นแม่อย่างฉันก็ได้แต่เป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก ฉันได้แต่สงสัยจนต้องถามแทนด้วยตัวเอง
มันเป็นความรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ฉันได้เจอคนที่ทำให้ลูกชายฉันร่าเริงมีความสุขได้ มันไม่สำคัญกับฉันอีกต่อไปว่าเค้าจะเป็นเพศอะไร เป็นใครมาจากไหน แต่ถ้าเค้าเป็นคนดีกับลูกชายฉัน หวังดีกับลูกชายฉัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะไม่สนับสนุนให้คบกัน
ฉันกำลังเดินทางไปขอนแก่น เบาะหลัง Mercedes-Benz S-Class ที่โอบอุ้มฉันตอนนี้ ทำให้ฉันคิดถึงเรื่องเก่าๆ เรื่องที่ฉันทำพลาดไป และฉันกำลังเดินทาง เพื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำเพื่อความสุขของลูกชายฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข และฉันต้องทำให้ได้ ใกล้ถึงขอนแก่นแล้ว ฉันควรโทรศัพท์ไปนัด ฉันแน่ใจว่าคุณแม่ของแทนว่างตอนนี้แน่ๆ
"สวัสดีคะคุณอุษณีย์ ฉันเป็นคุณแม่ของบิ๊ก พอจะมีเวลาคุยกันสักครู่ได้ไหมคะ"
แม่จะทำให้ได้นะบิ๊ก....
************
บทถัดไปจะเป็นการดูแลของบิ๊ก และการเจรจาระหว่างคุณแม่บิ๊กกับครอบครัวของแทน และหลังจบ มีตอนพิเศษให้อีก 1 หรือ 2 ตอนครับ
รักคนอ่านครับ^^