#Chapter12 – รับรุ่น(ภาค)
.........
นับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น ก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วผมไม่ค่อยได้เจอพี่ทะเล ถึงแม้จะอยู่หอเดียวกันก็เถอะ ทั้งผมและพี่เขาต่างก็ยุ่ง ผมเองก็ยุ่งกับรับน้อง นี่เพิ่งจะผ่านการรับรุ่นของคณะไป แล้วจะต้องไปรับรุ่นของภาคอีก ไหนจะมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่เข้ามามากมาย เรียนก็เข้มข้นขึ้นเพราะใกล้สอบมิดเทอมแล้ว ผมเข้าไปส่องเพจคนรักทะเลมา ก็มีอัพเดตข่าว อัพรูปของพี่ทะเลเป็นระยะ ๆ แต่ก็ยังไม่วายที่จะพาดพิงถึงผม
ล่าสุดได้แชร์คลิปที่ผมเต้น มัดหมี่ตอนรับน้อง เข้าไปในเพจ ผมไม่อยากจะบอกว่าคอมเมนต์ในเพจสโมกับเพจคนรักทะเล มันต่างกันมาก
เพจคนรักทะเล มีการคอมเมนต์โจมตี ว่าผมเต้นทุเรศ น่าเกลียดบ้าง บ้างก็แคปรูปจากคลิปเอามาใส่คำพูด ส่งต่อกันในเพจกันอย่างสนุกสนาน เฮ้อ คิดแล้วก็เครียด
ป่านนี้พี่ทะเลมันจะรู้ไหมว่า พวกแฟนคลับพี่จะมาแหกอกผมอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เป็นอะไรหรือเปล่าเห็นนั่งหน้าเครียด ” เมถาม
“นิดหน่อยน่ะ เม ”
“เรื่องอะไรเหรอ เล่าให้เราสองคนฟังได้นะ” พูดไม่ทันจบเนก็ยื่นโทรศัพท์ให้เมดู
“เรื่องนี้ใช่ปะ” เนหันมาถามผม
“เฮ้ย…นี่มันอะไรกัน ทำไมพวกมันถึงทำแบบนี้ ” เมเงยหน้าจากมือถือขึ้นมาถามผม
“นั่นดิ ” เนถามผมอย่างสงสัย
“เราก็คิดนะ ว่าเราก็ไม่ได้ทำอะไรที่มันเสียหาย ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่หยุดพูดถึงเราสักที ” ผมบอกเมอย่างเหนื่อยใจ
“นอกจากเรื่องเพจ ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกพวกกูปะ ” เมถามผม
“คือเอ่อ ….”
“มีสิมึง ” เนพูด
“เล่ามาซัน เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย ”
ผมเล่าเรื่องที่ร้านเครื่องเขียนให้เมฟัง พอเล่าจบเท่านั้นแหละ เมแทบจะเข้าไปแหกแอดมินเพจนั่นทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
“มันทำขนาดนี้เลยเหรอ มันจะมากไปแล้วนะ ซันไปยอมมันทำไม ”
“เมมึง ใจเย็น ๆ ก่อนเรื่องมันก็ตั้งนานมาแล้ว ” เนหันไปห้ามเม
“ไม่ได้ดิเน ดูมันทำกับซันสิ”
“เออ กูรู้แล้ว แต่เดือดไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาแล้ว เชื่อกู มึงใจเย็นก่อน ”
“ไอ้ห่าซัน มึงก็อีกคน ทำไมไม่บอกพวกกู เพิ่งจะมาเล่านี่ถ้ามึงเป็นอะไรไป มึงจะทำไง ” เนหันมาดุผม
“ขอโทษว่ะมึง ”
“เอาเถอะ แล้วตอนนี้พวกนั้นมันยังมาวนเวียนหาเรื่องซันอยู่ไหม ” เมถาม
“ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ละนะ มีแต่ในเพจนั่นแหละ ”
“แล้วพี่ทะเล รู้เรื่องนี้ไหมวะ” เนถามผม
“ไม่รู้ว่ะ ตั้งแต่เกิดเรื่องกูยังไม่เจอพี่เขาเลย ” ผมหันไปตอบเน
“เมว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับพี่ทะเลนะ ”
“ฮื่อ ๆ อย่าดีกว่า ” ผมส่ายหัวทันทีที่เมพูดขึ้นมา เพราะอะไรน่ะเหรอ ผมไม่อยากให้เอาเรื่องของผมที่มันไร้สาระไปให้คนที่ผมชอบเขาต้องรับรู้นะสิ อีกอย่างผมกับเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า พี่น้อง หรือคนที่แอบชอบ
“ทำไมวะ” เนถามผมอย่างสงสัย ปนขัดใจมันนิด ๆ
“นั่นสิ”
“เราไม่อยากเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องไปบอกพี่เขา อีกอย่างก็ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย จะให้เราบอกพี่เขาในฐานะอะไร ”
“เมียไง”
“พ่องสิไอ้ห่าเน ! อีกอย่างมันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย เราก็เลย…”
“ก็เลยจะไม่บอก ” เมพูด
“ไม่ได้ป่าววะ มึงเดือดร้อนก็เพราะพวกแม่ยกมโนของพี่มัน ยังไงมันก็ต้องรู้ว่าพวกแม่งทำอะไรกับมึงไว้บ้าง ”
“จริงของอิเน บอกเรื่องนี้เถอะหรือถ้าไม่กล้าเดี๋ยวเมบอกให้ ”
“ไม่ได้นะเม ซันขอเถอะนะ เมกับเน อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับพี่ทะเลเลย ไว้ซันจะหาโอกาสบอกพี่เขาเอง ”
“แน่นะ ว่าจะบอก” เมถามผม
“แน่ดิเม ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องสัญญานะ ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องรีบบอกพวกเราทันที”
“ได้สิ สัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือเลย ” ผมพูดพร้อมชูสามนิ้วขึ้นมาเหมือนลูกเสือสำรอง
“เสือห่าไร อย่างมึงลูกหมามากกว่า โอ๊ย ” ไม่ต้องรอให้มันพูดจบ ผมจัดการถวายฝ่ามือลงหัวมันแรง ๆ ทีนึง
-19.00 น. -
พอถึงเวลา 19.00 น. พวกเรา IE ปีหนึ่ง ต้องไปรับรุ่นของภาค โดยมีรุ่นพี่สาขาผมทุกชั้นปีมาร่วมด้วย สถานที่รับรุ่นของภาค ค่อนข้างที่จะมิดชิดและทำในตอนกลางคืนเท่านั้น ไม่เหมือนรับรุ่นของคณะ หรือของมหาวิทยาลัยที่จะทำในสถานที่ค่อนข้างเปิด เช่น โรงยิม แต่ของภาคสถานที่ก็ขึ้นกับรุ่นพี่เลย รุ่นผมโดนที่สนามฟุตบอลที่ใช้จัดงานเปิดโลก
ที่สนามในตอนกลางคืนนั้นมืด แต่ก็มีแสงสว่างจากถนนที่อยู่ข้างมหาวิทยาลัยส่องมาเล็กน้อย พอให้เห็นหน้าว่าใครเป็นใคร แถมที่นี่ยังเป็นพื้นดินทราย เดินทีฝุ่นฟุ้งไปหมด และอีกอย่างสนามในตอนที่ไม่จัดงาน มักจะไม่มีใครผ่านมาแถวนี้เพราะมันอยู่เกือบหลังสุดของ ม.
ตอนนี้พวกปีหนึ่งมาพร้อมกันที่สนามแล้ว ทุกคนแต่ง”ชุดพร้อมว้าก” เราต่างรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่แต่งชุดนี้ทุกคนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ชุดพร้อมว้าก จะต้องสวมเสื้อยืดสีดำที่สกรีนชื่อภาควิชาและชื่อรุ่นไว้ที่ด้านหลัง บนหัวคาดด้วยผ้าสีเลือดหมู ที่เขียนคำว่า SOTUS กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ ชาย หญิงแต่งเหมือนกัน
พวกปีหนึ่งนั่งเป็นแถวตอน แยกฝั่งชายหญิงอย่างรู้งาน นั่งอยู่สักพัก จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากทางเข้าสนาม
“เชียร์ เชียร์ เชียร์ ! ”
พวกผมตบมือลงเข่าสองข้างแล้ว แล้วเหยียดแขนไปข้างหน้า ตามจำนวนคำว่าเชียร์
“เชียร์ ! ”
“อะไรกันวะ พวกกูไม่มาดูแค่ไม่กี่วัน เละเทะแบบนี้แล้วเหรอวะ ”
“มากันกี่คน !”
“…..” ไม่มีปีหนึ่งคนไหนตอบ
“ตอบ! ”
“เห้ยเงียบ ว่ะ จะเอาไหมรุ่น อยากได้ไม่ใช่เหรอ ”
“เพื่อนกูถามก็ตอบดิ ” เหมือนพายุพี่ว้ากกำลังพัดโหมกระหน่ำเต็มที่ ค่อย ๆเพิ่มดีกรีขึ้นไปเรื่อย ๆ ว้ากภาคจะต่างจากว้ากคณะตรงที่ ใช้คำหยาบคายได้ เพราะไม่มีใครรู้เห็นนอกจากคนในภาค
“ขอเชียร์หนึ่งคน ” หมายถึงการขอตัวแทนออกไปยืนข้างหน้าแถวเพื่อตอบคำถาม กับพี่ว้าก โดยเมื่อสั่งว่า ขอเชียร์หนึ่งคน ทุกคนจะต้องยกมือขวา แขนตรง หูแนบแขน ต้องยกค้างไว้จนกว่าจะมีคนออกไป ถึงจะเอามือลงได้
“ช้า! เอามือลง…ขอเชียร์หนึ่งคน ” คงจะไวทันใจพวกพี่ว้ากแล้ว ที่นี่ก็เหลือแต่ผู้กล้าออกไป ซึ่งไม่ใช่ผมแน่
“ไม่มีใครออก ก็ยกค้างไว้แบบนี้แหละ ”
“ไม่ออกกันว่ะ ออกช้าเพื่อนมึงก็เหนื่อย ”
มีคนออกไปแล้ว พวกผมจึงเอามือลลงแล้วปรบมือ ให้กับคนที่ออกไป รู้สึกจะเป็น บอส ประธานรุ่นผม
“ผม ชื่อ …..” แนะนำตัวตามแบบวิศวะ ที่พวกผมถูกสอนมา
“มากันกี่คน ” พี่ว้ากถามคำถามเดิม
“76 คนครับ ชาย 22 หญิง 49 คนครับ ”
“หายไปไหน 5 คน ”
“….ไม่ทราบครับ ” พอประธานรุ่นตอบไปเท่านั้นแหละ พี่ว้ากก็โหมโรงกันเข้ามาอีก
“เพื่อนมึงหายไป 5 คน ไม่มีใครรู้เลยเหรอวะ ”
“พวกมันเป็นเพื่อนมึงหรือป่าว…ไปเข้าที่” บอสกลับมาที่เดิมแล้ว
“เป็นครับ/ค่ะ”
“เป็นเหรอวะ อย่าตอบส่ง ๆ นะเว้ย”
“กูไม่ต้องการฮีโร่ ”
“เป็นแบบไหนของพวกมึงวะ เพื่อนมึงหายไปทั้งคน พวกมึงยังไม่รู้ ”
“ 5 คนที่หายไป มันไม่ใช่เพื่อนมึงเหรอวะ ”
“…..” ไม่มีใครตอบอะไร เพราะตอบไปก็กลัวจะโดนว่าอีก
“พวกมึง มันเงียบวะ ” พี่ว้ากหันไปบอกบรรดาเพื่อน ๆที่ล้อมวงอยู่
“ที่ตอบว่าเป็นตอนแรก ก็ตอบส่ง ๆ ป่าววะ ” ไม่ใช่เสียงใครแต่เป็นเสียงพี่ภาค พี่รหัสผมเอง ตอนธรรมดาเห็นมันหล่อลากไส้แบบนั้น แต่พอมาสวมบทว้าก องค์พ่อก็ลงเต็ม ๆ
“กูขอยอด 73 คนพวกมึงรับปากว่าทำได้ แต่ทำไมวันนี้ถึงไม่ได้ตามที่ขอ ”
“นี่พวกกูอุตส่าเข้ามาพูดด้วยดี ๆ ” หะ นี่เรียกว่าดีแล้วเหรอวะ
“ปีหนึ่งลุก !” พวกผมลุกขึ้นอย่างอัตโนมัติ
“พวกมึงจะตามไหม ใอ่ 5 คนที่หายไป ”
“ตะ…ตาม” บอสกำลังจะตอบ แต่เหมือนจะช้าเกินไป
“ช้า…หมอบลงไป ” ทีนี้พวกผมกระจายตัวหมอบกันหมดทุกคน ผมเองก็หมอบอย่างทุลักทุเล น่าไปชนกับรองเท้า เพื่อนคนที่อยู่ข้างหน้า
“กูให้โอกาสมึง ตามพวกนั้นมา ถ้าตามไม่ได้กูก็ให้แค่ทีมา อีก 5 นาทีพวกกูจะมาเอาคำตอบ ”
“ก้มหน้าลงไป !” ผมก้มหน้าแนบไปกับดิน ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในท่าหมอนี่แหละ พี่ว้ากออกไปกันหมดแล้ว
ตอนนี้พวกเรากำลังช่วยกันโทรตามเพื่อน 5 คนนั้น ปรากฏว่าทั้ง 5 คนยังยืนยันว่าไม่สามารถเข้าร่วมในครั้งนี้ได้เพราะต่างก็ติดธุระ หรือบางคนก็ไม่อยากมา พวกเราตกลงกันว่าจะบอกพี่เขาไปตามตรง
5 นาทีผ่านไป
พอครบ 5 นาทีเหล่าบรรดาพี่ว้ากก็เดินหน้าเข้ามาในสนามบรรยากาศเดิมเริ่มกลับมาอีกครั้ง
“ขอเชียร์หนึ่งคน ” บอสกำลังจะก้าวออกไป ก็ต้องหยุดเพราะ
“ไม่เอาประธานรุ่น คนอื่นไม่มีใครกล้าเลยหรือวะ ”
“ ผู้หญิงอ่ะ จะให้แต่ผู้ชายนำอย่างเดียวเลยเหรอ” พี่ว้ากผู้หญิงพูดขึ้น จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครออกไป
“นี่พวกกูตั้งใจจะมาถามดี ๆ แต่พวกมึงมันเป็นอะไรกัน ”
“น้องกูอยู่ไหนว่ะ รหัส0387” ชิบหายนั่นมัน ไอ้พี่ภาค นึกคิดถึงอะไรผมขึ้นมาตอนนี้
สุดท้ายแล้วผมก็ต้องออกไปตอบ ผมตอบตามที่คุยกันไปกับเพื่อน
“พวกกูถามหน่อย คนที่ไม่มา ถ้าพวกกูไม่ให้รุ่นมัน มึงยังจะคบมันเป็นเพื่อนอยู่ไหมวะ ” บ้าชิบพี่ภาค เล่นอะไรของพี่เนี่ย มาถามคำถามนางงามด้วยน้ำเสียงโหด ๆ แบบนี้ ผมก็นึกไม่ออกน่ะสิ จะตอบไงดีวะ
“ภาค น้องมึงตอบไม่ได้เหรอวะ ” เพื่อนพี่เขาถามขึ้น พี่ภาคเดินมาหาผมแล้วกระซิบเบา ๆ ที่ได้ยินแค่สองคน
“ตอบได้ไหมซัน ”
“ได้ ๆ พี่ ”
“คบครับ ” พอตอบเสร็จเท่านั้นแหละ
“ตอบส่ง ๆ หรือเปล่า / ที่นี่ไม่ต้องการฮีโร่/ผมรักเพื่อนครับพี่ / เพื่อนมันดีกับผม ” บลา ๆ
“เข้าไป” ผมกลับเข้ามานั่ง
หลังจากที่จบคำถามตรงนั้น การว้ากเริ่มพีคขึ้นเรื่อย ๆ พวกผมโดนแยกชายหญิง ออกไปคนละมุมของสนาม พี่ว้ากก็แยกกันว้าก ชายว้ากชาย หญิงว้ากหญิง ผมไม่รู้หรอก ว่าผู้หญิงโดนอะไรบ้าง แต่ฝั่งผู้ชาย โดนสั่งให้หมอบ คลาน กลิ้งทับตัวกัน ตอนที่กลิ้งทับตัวกัน จะว่ามันดีก็ดีนะ เพราะผมได้กลิ้งทับผู้ชายในภาค ทับบนบนไอ้นั่นของพวกมัน ฮ่า ๆ แต่ทับของใครก็ได้ยกเว้นไอ้เน
ไม่ใช่ละ นาทีนั้นผมฟินไม่ลงหรอกเพราะฝุ่นเข้าปาก เข้าตา เสื้อผ้าผมเปื้อนฝุ่นไปหมด แว่นตาผมตอนนี้ก็มีแต่ฝุ่นเกาะ ครั้นจะถอดออกก็กลัวจะมองไม่เห็น
หลังจากหมอบ คลาน กลิ้งทับกัน ก็เปลี่ยนมาเป็นยืนกอดคอนั่งอ่านหนังสือพิมพ์กลางอากาศ อันนี้แม่งเด็ดจริง เพราะต้องกอดคอกันเป็นแถวหน้ากระดาน โดยคนอยู่ริมสองฝั่งต้องทำ มือนึงเหมือนจับหนังสือพิมพ์เอาไว้ อีกมือก็ต้องกอดคอเพื่อน แถมทุกคนในแถวต้องนั่งไขว่ห้าง กลางอากาศแล้วย่อตัวให้มโนเหมือนว่าตัวเองนั่งไขว่ห้าง จิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้า ฟัค!!
ที่ว่าเด็ดมันอยู่ตรงที่ ต่างฝ่ายต่างกอดคอ แล้วกดไหล่เพื่อน พยุงตัวให้อยู่ในท่านั่งมโน ผมที่ยืนกอดคอกับเน ไอ้นี่แม่งกดไหล่ผมชิบหาย กูเข้าใจว่ามึงสูงกว่ากู แต่มึงจะกดไหล่กูแบบนี้ไม่ได้
“มึงจะกดไหล่กูทำเชี่ยไรเนี่ย กูหนัก” ผมกระซิบด่ามัน
“ก็กูเมื่อย แล้วมึงก็เสือกตัวเตี้ยเองช่วยไม่ได้ว่ะ “
“กูผิดสะงั้น”
“หุบปาก แล้วอยู่นิ่ง ๆเดี๋ยวพวกแม่งได้ยิน”พวกแม่งที่มึงว่า นี่หมายถึงพี่ภาคใช่ไหม
“กดไปดิ ไหล่เพื่อนมึงอ่ะ / ผมเหนื่อยครับพี่ /กูไม่น่ามาเลย...” พี่ว้ากพูด
“กูว่านั่งมันสบายเกินไปว่ะ ปีหนึ่งหมอบ หมอบลงไปดิวะ”พี่ภาคพูด
“นอนหงาย ยกขาชี้ฟ้า “
มาถึงจุดนี้ผมก็ต้องทำตามที่พี่มันสั่ง สินะ
“ดาวสวยไหม...กูถามว่า สวยไหม “
“สวยครับ!” ผู้ชายปีหนึ่งตอบ
“อยากไปดูใกล้ ๆ ไหม “
“ไม่อยาก/อยากครับ” เฮ้ยทำไมพวกมึงอยากไปดูกันวะเนี่ย
“อยากหรือไม่อยาก”
“อยากครับ”
“ปั่นจักรยานไปดูใกล้ ๆ ปั่นไปดิวะ ขามึงอ่ะปั่นเข้าไป อ่าวเฮ้ย มึงปั่นจักรยานไม่จับแฮนด์เหรอวะ “
พวกผมยกแขนทั้งสองข้างชี้ฟ้า มโนว่าจับแฮนด์ไว้ แล้วขาก็ยังปั่นอยู่
“ปีหนึ่ง ลุก !"
พรึ่บ ! ผมลุกขึ้น ในสภาพที่ขาเริ่มอ่อนลงเต็มที่แล้ว
“ไปรวมกับผู้หญิง”
ตอนนี้ปีหนึ่งมารวมกันเหมือนเดิม เรียบร้อยแล้ว พี่ว้ากกลุ่มใหม่เข้ามา ว้ากต่อ คงเป็นปีสี่เพราะผมไม่คุ้นหน้าเลยสักคน
“ที่พวกกูให้ไปขอลายเซ็น พวกมึงขอครบยังวะ”
“ครบครับ/ค่ะ”
“อ้าวเฮ่ย ทำไมมีบางคนไม่ตอบวะ/มั่นใจเหรอว่าขอกูแล้ว/ไปให้ใครเซ็นมาวะ / ไม่เห็นมีใครมาให้กูเซ็นเลยวะ “
บลา ๆ พวกพี่จะแย่งกันพูดทำไมครับ ผมฟังไม่ทัน พี่ว้ากปีสี่เริ่มลงมือตรวจสมุดพกของปีหนึ่งทีละแถว ไล่มาเรื่อย ๆ บางคนก็ครบ บางคนก็ไม่ครบ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้ได้ยังไงว่าครบหรือไม่ครบ เพราะสมุดพกมันเป็นแค่กระดาษเปล่า ๆ ไม่ได้มีรายชื่อรุ่นพี่ ระบุว่าต้องเซ็นตรงนี้นะ มึงมโนเอาใช่ไหมพี่
ถึงคิวแถวผม พี่มันเปิดสมุดแบบลวก ๆ ต้องใช้คำว่าลวกจริง ๆ เพราะยังเปิดสมุดไม่เห็นข้างในเลย แม่งบอกครบ นี่มึงเป็นตาเทพจากหนังแข่งรถหรือเปล่าพี่
ของผมผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สมุดพกของไอ้เนนั้น...
“ไม่ครบ” พี่ว้ากบอก อย่างที่เรารู้กันดีว่า นอกจากสกิลปากหมาแล้ว ไอ้เนมันยังมีสกิลการเถียง(กวนตีน)ไม่เป็นสองรองใคร
“พี่เล่นเปิดผ่านแบบนี้มีสิบตายังดูไม่ทันเลย”
“ใครให้คุณพูด!”
“ถ้าพี่บอกว่าไม่ครบ พี่บอกผมหน่อยได้ไหมว่าผมขาดลายเซ็นพี่คนไหน”
เอาดิ เพื่อนผมมันพร้อมชนเสมอพี่เขาอึ้งและนิ่งเงียบไปพักนึงบอกแล้วว่าพวกนี้แม่งมโน..
“ภาค ปี 2”
คนที่ถูกเอ่ยถึงก้าวออกมายืนข้างหน้า สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่รุ่นพี่ปีสองคนนี้ ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพี่ว้ากจะทำยังไงต่อ
“ภาค มึงได้เซ็นสมุดพกให้น้องไหมวะ” พี่ว้ากถามเสียงดัง คนถูกถามไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมานอกจากนิ่งเงียบ มองหน้ารุ่นน้องที่ถูกกล่าวถึง
“เงียบทำไม ก็ตอบมาดิว่าเซ็นไม่เซ็น”
“ป่าวพี่” คำตอบของพี่ภาคไม่ได้ทำให้ไอ้เนที่เอาแต่ก้มหน้า แสดงอาการหรือท่าทีเปลี่ยนไปจากตอนนี้เลยสักนิด
-ภาค-
“ป่าวพี่” ผมพูด
คำตอบของผมไม่ได้ทำให้รุ่นน้องตัวขาวที่ตอนนี้มอมแมมไปด้วยฝุ่น มีเศษหญ้าติดตามตัวตามหัวเต็มไปหมด สลดเลยสักนิด มันก้มมองพื้น ไม่รู้ว่าพื้นนั่นมันมีอะไรดีนักหนา หล่อ ๆ อย่างกูยืนตรงหน้าไม่มองวะ
ผมแอบหวังว่ามันจะเงยหน้าขึ้นมามองผมบ้าง เพราะหลายวันมานี้มันเอาแต่หลบหน้า ไม่คุย ไม่กวนตีน หรือปากหมาใส่เหมือนทุกครั้ง ตอนขอลายเซ็นมันก็ระริกระรี้เดินส่ายตูดตามขอเพื่อนผมกันจนครบ ขาดแค่ลายเซ็นผมนี่แหละ
ผมนัดกับไอ้พี่พายุ คนที่ตรวจสมุดไอ้เน ว่าให้แกตรวจแถวที่มันอยู่ แล้วเจาะจงไปที่ไอ้ตัวหลบหน้าเก่งโดยเฉพาะ ผลที่ได้ก็เลยเป็นแบบนี้ คือ ไอ้หมาเน เถียงไม่ออกเลยสักคำ แหงล่ะก็มันไม่มีลายเซ็นของผมจริง ๆ
สมน้ำหน้ามัน พี่ภาคขอบอกน้องเนไว้เลยนะครับ...
มึงจะลืมขอลายเซ็นใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ “กู”ไอ้หมาเน
“ทำไมไม่ให้ไอ้ภาคเซ็น มึงมีปัญหาอะไร” พี่พายุถาม
“เปล่าพี่ แต่ผมไม่ค่อยได้เจอพี่เขาเลย” ไม่เจอก็เหี้ยละครับน้องเน กูจำได้ขึ้นใจว่าพอเรียกมึง มึงเดินหนีไวยังกะเดอะแฟลชเลยนะสัส
“ไม่ค่อยไปดูน้องเหรอมึง” พี่พายุหันมาถามผมปมส่ายหัวปฏิเสธทันที
“ไม่ไปก็เหี้ยละพี่ ผมไปบ่อยกว่ามันอีก ไม่ขอลายเซ็นกูไม่พอยังโกหกอีกนะมึง ทำไมรุ่นพี่อย่างกูมันไม่สำคัญ ไม่น่าคบหาหรือไงวะ”
ท้ายประโยคผมหันไปตอบไอ้หมาเนที่ตอนนี้มันเงยหน้ามองผม ตอนมันทำหน้าบึ้งคิ้วขมวดแบบนี้ มันก็ดูน่าถีบไปอีกแบบ
“ก็รู้ตัวนิพี่”
บอกแล้วครับว่าคนอย่างไอ้นี่มันไม่สลด ยังอาจหาญลุกขึ้นเถียงได้อีก ในเมื่อหมาเนปูพื้นเรื่องมาแบบนี้ตัวของพี่ภาคจะรับช่วงสานต่อเองนะน้องรัก
“ถึงมึงจะไม่เคารพกู แต่มึงก็ต้องขอลายเซ็นกู กูเคยบอกแล้วว่าถ้าพวกมึงได้ลายเซ็นพวกกูไม่ครบ พวกมึงก็ไม่ต้องเอารุ่น” เกิดเสียงฮือฮาขึ้นจากปีหนึ่งคนอื่น ๆ ตามด้วยสายตาคาดโทษที่ส่งมายังไอ้เน
คราวนี้มันมีท่าสลด และรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนไม่ได้รุ่น มันเงียบ ไม่เถียง ไม่แย้งเลยสักคำ ชิบหายละ ผมเล่นแรงไปไหมวะ
“ผมไม่เอารุ่นก็ได้พี่ พี่ให้เพื่อนผมเถอะ พวกมันไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าจะมีใครสักคนไม่ได้รุ่นคนนั้นก็คือผม”
“รักเพื่อน หรือรู้สึกผิดวะ” ผมถามมัน
“...” เอาเถอะไม่ตอบก็พอจะรู้ ถ้าตัดเรื่องที่มันกวนตีน ปากหมา ออกไป เนมันก็เป็นคนนึงที่แคร์เพื่อน ใส่ใจเพื่อนโดยเฉพาะเพื่อนในกลุ่มมัน เรียกว่าด่าพ่อมันได้แต่อย่ามาทำให้เพื่อนมันเสียใจ อิจฉาว่ะ
ถ้ามันแคร์ผม เหมือนที่มันแคร์เพื่อนบ้างก็คงดี..
“กูมีข้อเสนอให้ แลกกับรุ่นของพวกมึง”
“ข้อเสนออะไรพี่”
“มึงแน่ใจนะว่าจะทำ”
มันหันไปมองเพื่อนในรุ่นที่ตอนนี้ส่งสายตาเป็นเสียงเดียวกันว่า เอาข้อเสนอเลยนะมึง/พวกกูเหนื่อย/
ฮ่า ๆ ไอ้คนถูกมองทำหน้าลำบากใจ
“แน่ใจ” มันพูดเสียงเบา ได้ยินแค่ผมกับมัน
“ตอบให้เพื่อนมึงได้ยินด้วย”
“แน่ใจครับ!” คราวนี้มันแหกปากตะโกนชนิดที่เรียกว่าอยู่อีกฝากของสนามยังได้ยิน
“ไปแดกข้าวกับกู” คนฟังมีสีหน้าแปลกใจ เหมือนกับทุกคนในสนาม แล้วตามด้วยเสียงโห่แซวจากพวกเพื่อน และรุ่นพี่ มีไอ้ห่าโช กับ ไอ้ไผ่เป็นแกนนำ
“แดกข้าวหรือแดกอย่างอื่นว่ะ”
“สนองตัณหานะมึง ”
“ของขาดเหรอวะ”
“ไปเตะบอลบ้างนะสัส” และอื่น ๆ ตามมามากมาย
“หุบปากดิ ”
“อูยยยย ของขึ้นว่ะมึง ” ไอ้ไผ่หันไปบอกเพื่อน
บรรยากาศกลับมาสงบอีกครั้ง ไอ้เนก็ยังปิดปากเงียบเหมือนเดิม มันทำหน้าเหมือนแอบด่าผมในใจ แต่ใจจริงมันคงอยากจะอ้าปากปล่อยหมามากัดให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่เพราะมันมีความผิดค้ำคออยู่ จึงทำแบบนั้นไม่ได้
“ไม่ไปก็ได้นะ แต่รุ่นพวกมึงไม่ต้องเอา คิดดี ๆ คิดอะไรดูหน้าเพื่อนมึงด้วย ” มันหันไปมองงหน้าเพื่อนมันที่ตอนนี้มองมันเป็นความหวังเดียวของหมู่บ้าน
“เออแม่ง ไปก็ได้วะ ” มันตอบอย่างจำใจ ถึงมึงจะตอบกูอย่างจำใจ แต่มันก็สมใจกูละครับหมาเน
(อ่านต่อข้างล่างนะ)