ใจง่าย
“ว่าน นี่พี่ฐานทัพ พี่ชายเราเอง”
ผมมองผู้ชายตัวสูงโปร่งที่อยู่ตรงหน้า เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมากๆ คิ้วเข้มและดกดำ นัยน์ตาสีนิลที่ดูลึกลับแบบน่าค้นหา สันจมูกโด่งเข้ากับรูปหน้าเรียว และริมฝีปากสีคล้ำเพราะเจ้าตัวน่าจะเป็นคนสูบบุหรี่
ผมทำเพียงแค่ยกมือไหว้สวัสดีเขาแค่นั้น แต่เขากลับกระตุกยิ้มร้ายอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว หัวใจของผมเต้นแปลกๆ มันทั้งรัวเร็ว ทั้งสั่นไหว ผมรู้ว่าอาการอย่างนี้มันคืออะไร แต่ผมก็ไม่กล้าทำใจยอมรับ เพียงเพราะเขาเป็นผู้ชายเหมือนกันกับผม
“เดี๋ยววันนี้พี่ทัพจะพาเราไปส่งที่โรงเรียนกวดวิชา ว่านไปกับเราเลยนะ” ทิวเดินเข้าไปควงแขนพี่ชายของเธอ ก่อนจะหันมาชวนผมอย่างอารมณ์ดี
“อือ” ผมพยักหน้ารับ เมื่อเห็นดังนั้นทิวจึงดึงแขนพี่ชายนำไปที่รถนอกสัญชาติยุโรปทันที
“ว่านนั่งหน้านะ เดี๋ยวเราขอนั่งหลัง ง่วงนอนตั้งแต่คาบวิทย์แล้ว” ทิวว่าจบก็อ้าปากกว้างหาวออกมาประกอบคำพูด เพื่อยืนยันว่าเธอง่วงนอนจริงๆ
ผมทำเพียงแค่พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปที่ประตูหน้าข้างคนขับ ซึ่งมีเขายืนเปิดประตูรถรอไว้อยู่แล้ว ผมค่อมหัวให้เล็กน้อยและเข้าไปนั่ง และเขาก็ปิดประตูให้ผม ก่อนจะเดินอ้อมไปฝั่งคนขับและเข้ามาประจำที่
“คาดเข็มขัดด้วยนะครับ” ผมถึงกับสะดุ้ง เพราะเขาไม่ได้พูดเปล่า แต่กลับเคลื่อนตัวมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้กับผม ผมนั่งตัวแข็งทื่อ เราสองคนอยู่ใกล้กันมากจนผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสของลมหายใจของเขา มันอบอุ่นจนร้อนทำให้ผมแทบมอดไหม้
“ขอบคุณครับ” ผมพูดอ้อมแอ้มเบาๆ พลางก้มหน้าไว้เพื่อปิดบังใบหน้าที่กำลังเห่อร้อนของผมเอาไว้ เขาไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ผมก็ได้ยินเสียง ‘หึ’ เบาๆ ในลำคอของเขา
หลังจากนั้นบรรยากาศในรถก็เงียบลง จะได้ยินก็เพียงแค่สายลมหายใจของคนที่กำลังหลับสบายอยู่ที่เบาะหลังอย่างทิว และตลอดทางผมก็มองออกไปข้างหน้าต่างตลอด ผมไม่กล้าหันไปมองเจ้าของสายตาที่หันมามองผมเป็นระยะๆ
เมื่อเรามาถึงที่สถาบันกวดวิชา ผมก็รีบเปิดประตูรถลงมาทันที ผมยืนมองเขาที่ลงมาเปิดประตูหลังและมุดหัวเข้าไปปลุกทิว บรรยากาศของสองพี่น้องช่างน่ารักและอบอุ่น และเข้าไม่มีวันได้สัมผัสความรู้สึกนั้นได้ เพราะผมเป็นลูกชายคนเดียว
“ทำไมพี่ทัพขับรถเร็วจัง ยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย” ทิวหาวหวอดอย่างไม่อายสายตาของคนรอบข้างที่เริ่มให้ความสนใจมาทางเรา
“อย่างอแงนะครับ ตั้งใจเรียนนะเด็กดี” เขาลูบหัวน้องสาวเบาๆ ก่อนจะหันมามองหน้าเขาและจ้องลึกเข้ามาในดวงตา หากแต่ผมที่ไม่กล้าพอที่จะสบตากับดวงตาเจ้าเสน่ห์คู่นั้น “เราก็เหมือนกันนะว่าน ตั้งใจเรียนล่ะ” เขาส่งยิ้มใจดีมาให้ แค่คำพูดของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด แต่ผมก็ไม่ได้ตอบรับอะไรไป ผมทำเพียงแค่ส่งยิ้มเฝื่อนๆ ไปให้เขา
“ทิวกับว่านตั้งใจเรียนอยู่แล้วค่ะ พี่ทัพรีบไปเหอะ ต้องไปรับสาวอีกไม่ใช่เหรอ” ทิวโบกมือไล่พี่ชายอย่างไม่สนใจ ก่อนจะจับมือเขาและดึงเข้าไปภายในอาคารสถาบันกวดวิชา
“ว่านว่าพี่ชายเราหล่อมั้ย” ในระหว่างนั่งเรียนจู่ๆ ทิวก็ถามผม
“ก็...หล่อล่ะมั้ง” ผมตอบอย่างไม่มั่นใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่ใจในเรื่องความหล่อของเขา เพียงแต่ผมไม่มั่นใจว่าตอบแบบไหนจะดูไม่น่าเกลียดเกินไป
“จริงเหรอ แล้วว่านชอบมั้ย” ผมเลิกคิ้วสงสัยเมื่อทิวถามอะไรแปลกๆ ออกมา
“เอ่อ...คือก็แบบ ว่านชอบมั้ยไง พี่ชายเราอ่ะ” ทิวอึกอักไปเล็กน้อย
“จะให้เราชอบแบบไหนล่ะ”
“แบบไหนก็ได้ที่ว่านชอบน่ะ”
ผมหยุดนิ่งคิดประโยคเมื่อสักครู่ที่ทิวถาม ผมชอบเขาแบบไหน? มันเป็นคำตอบที่ผมรู้ดีแก่ใจ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะตอบ
“เราชอบที่เขาเป็นพี่ชายที่ดี” ผมเลือกคำตอบที่ดีที่สุด และแน่นอนว่ามันคือเรื่องจริง
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันอีกและหันไปตั้งใจเรียนต่อจนครบสองชั่วโมง ก็ถึงเวลากลับบ้านของผม แต่ทิวต้องอยู่เรียนวิชาภาษาอังกฤษต่อ
ผมเดินออกมาที่หน้าสถาบันกวดวิชาเพื่อออกมารอรถโดยสารที่วิ่งผ่านทางนี้พอดี แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ เขาคนนั้นที่กำลังยืนพิงรถนอกสุดหรูอยู่ เขาเหมือนกำลังมองหาใครอยู่ และสายตาคู่นั้นก็มาหยุดอยู่ที่ผม ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อสายตาของผมปะทะเข้ากับสายตาของเขาเข้าพอดี ผมรีบเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นมองไม่เห็นเขาที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“ว่าน” เสียงทุ้มนุ่มเรียกชื่อของผม ผมลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรแสร้งเมินหรือหันไปขานรับดี แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทัน เพราะเขาเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
“สวัสดีครับ” ผมพูดเสียงเบาหวิว
“ไปกับพี่หน่อยสิ พี่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย” และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ต้องการความเห็นจากผมสักเท่าไหร่ เพราะทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ดึงผมเดินไปที่รถของเขาทันที ในระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น มีเพียงแค่สายตาของเขาที่มองมาที่ผมเป็นระยะๆ
เรามาอยู่กันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งผมนั่งรอเขาอยู่ที่ม้านั่งริมน้ำ ส่วนเขาขอตัวออกไปซื้อน้ำ เมื่อนั่งรอสักครู่เขาก็กลับมาพร้อมกับน้ำผลไม้ปั่น และเขาก็ยื่นมาให้ผม
“ทิวบอกว่าว่านชอบน้ำแตงโมปั่น พี่เลยซื้อมาให้” ผมรับไว้และกล่าวคำขอบคุณเบาๆ
“เอ...วันนี้ว่านขอบคุณพี่หลายครั้งแล้วนะครับ พี่นับอยู่นะ” เขาพูดแซวอย่างตลกขบขัน แต่ผมก็ไม่ได้หัวเราะร่วมด้วย
“พี่มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ” ผมทำตัวไม่ถูก และอยากคุยธุระของเขาให้จบไวๆ
“อ้อ นั่นสินะ” เขาทำท่านึก “พี่ก็แค่...หาคนมานั่งเป็นเพื่อนน่ะครับ” ผมนิ่งไปเล็กน้อยหลังจากที่เขาพูดจบ
“ไม่ต้องเกร็งก็ได้ว่าน พี่ไม่ได้จะทำอะไรเราเสียหน่อย” เขาหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางเกร็งเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก แต่ผมไม่สามารถทำให้ตัวเองผ่อนคลายได้ พอมาอยู่กับเขาแล้วผมรู้สึกไม่ชิน มันมีความรู้สึกแปลกๆ
“ผมขอโทษครับ” เพราะไม่รู้ว่าจะโต้ตอบกับเขาอย่างไร จึงกล่าวขอโทษออกไป
“เฮ้ย คิดมากน่า พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษว่าน” ผมพยักหน้ารับรู้ “ทำตัวตามสบายเลย คิดเสียว่าพี่เป็นพี่ชายของว่านก็ได้”
“ผมไม่เคยมีพี่ชาย” ผมพูดออกไปเบาๆ
“แล้วอยากได้พี่เป็นพี่ชายของเรามั้ยล่ะ?” เขาถามกลับมาทันควัน ผมนิ่งไปกับคำถาม และคิดว่าควรจะตอบอย่างไรดี เพราะจิตใต้สำนึกมันบอกกับผมว่า
ผมไม่อยากได้เขาเป็นพี่ชาย...
“ฮ่าๆ ไม่ต้องคิดมาก ว่านอาจจะไม่ชินที่จะมีพี่ชาย งั้น...เป็นมากกว่าพี่ชายได้มั้ยล่ะ” ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้ผมนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาพูดเล่นหรือพูดจริง ผมจึงไม่ได้ตอบออกไป และก็ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนบทสนทนาไปเรื่อยๆ โดยทำเป็นลืมๆ ประโยคนั้น โดยที่คำนั้นมันยังลอยอยู่ในหัวสมองผมอยู่เลย
เขาชวนผมคุยไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่เรื่องเรียนยันเรื่องไร้สาระ เขาเป็นผู้ชายที่พูดเก่ง แถมยังสุภาพอีกด้วย อยู่กับเขา ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ผมรู้ว่าผมหวั่นไหวกับเขา และก็รู้ตัวดีว่าอาการแบบนี้มันช่างบ่งบอกว่าผมช่างเป็นคนที่...ใจง่าย
หลังจากที่ตะวันลับฟ้า เขาก็พาผมมาส่งถึงในบ้าน เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากครอบครัวของผม และดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาเพียงแค่นิดเดียวในการปรับตัวเข้ากับคนในครอบครัวของผม เขาร่วมทานอาหารเย็นกับครอบครัวผม และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านจะเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ
“ผมต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ” เขายกมือขึ้นไหว้พ่อและแม่ของผม และไม่ลืมที่จะเข้าไปขยี้ผมของหลานสาวของผมอย่างเอ็นดู “พี่ไปแล้วนะคนสวย” เจ้าตัวที่ถูกเรียกว่าคนสวยยิ้มแฉ่งแก้มแดงทันที
ผมเดินไปส่งเขาที่หน้าบ้านตามคำขอของเขา เมื่อมาถึงรถคันหรูของเขาแล้วเขาก็เอาแต่ยืนนิ่งมองหน้าผม
“จะไม่กลับเหรอครับ” ผมถามอย่างซื่อๆ ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไรดี เพราะตอนนี้ผมกำลังทำตัวไม่ถูก ผมรู้สึกประหม่ากับสายตาของเขา
“อือ ไม่อยากกลับเลย” ถ้าผมฟังไม่ผิด น้ำเสียงของเขาเหมือนคนกำลังจะอ้อน
“เอ่อ...คือ...แต่ว่า” ผมพูดอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร ชวนเขากลับไปในบ้าน หรือให้เขารีบๆ กลับบ้านไปเสียที รู้เพียงแค่ว่าผมกำลังลังเล และใจมันเอนเอียงไปที่ข้อแรกเสียมากกว่า
มันน่าละอาย แต่ผมก็ตัดสินใจไปแบบนั้น
“งั้นนอนที่นี่สักคืนไหมครับ” ผมถามเสียงเบาหวิว เพราะผมไม่มั่นใจกับคำเชิญชวนของผมสักเท่าไหร่
“ได้เหรอครับ” เขายิ้มกว้างอย่างคนดีใจ ผมพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินนำเขาเข้าไปในบ้านที่เงียบสนิท เพราะทุกคนเข้าห้องนอนไปหมดแล้ว ผมพาเขาขึ้นมายังชั้นสองของบ้าน ห้องของผมอยู่ริมสุดติดระเบียงหน้าบ้าน ผมเปิดประตูห้องและเชิญให้เขาเข้าห้องไปก่อน เขามีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอือมมือมากุมมือผมไว้เบาๆ แล้วดึงผมเข้าห้องไปพร้อมกัน
“พี่ถือว่าเราเปิดโอกาสให้พี่แล้วนะครับ” เขาพูดออกมา ผมนิ่งไปเล็กน้อย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ผมเข้าใจทุกอย่างที่เขาพูด แต่มันก็มีข้อกังขาหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมลังเล เราทุกคู่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไหนจะเรื่องของสังคม ไหนจะพ่อแม่
“ไม่ต้องกลัวนะครับ พี่จะปกป้องว่านเอง” คำพูดที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง และแววตาของเขาก็แน่วแน่ มันทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย มันทำให้ผมกล้าตัดสินใจที่จะก้าวผ่านเส้นแบ่งแยกทางสังคม ถึงแม้ใจจะกลัวอะไรหลายๆ อย่าง หากแต่ผมเชื่อว่าถ้ามีเขา ผมจะปลอดภัย
หลังจากวันนั้น วันที่ผมเจอเขาครั้งแรก วันต่อๆ มาก็เหมือนว่าผมจะได้เจอเขาทุกวัน เราไปทานข้าวด้วยกันบ่อย แต่เราในหมายความที่ว่า มีผม เขา และทิว บางวันเขาก็จะชวนผมไปนั่งเล่นที่สาธารณะนั้นกันแค่สองคน บางวันก็ชวนไปเดินตลาดมืดตอนกลางคืน เขาปฏิบัติต่อผมดีทุกอย่าง เขาทำให้ผมรู้สึกสบายทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขา เราเริ่มเดินจับมือกันเมื่อสองวันก่อน เราแชทไลน์หากันก่อนนอน เขาจะโทรมาปลุกผมทุกๆ เช้า และวันนี้ผมก็ตัดสินใจมาติววิชาคณิตศาสตร์กับเขาที่คอนโดฯ ของเขา
“...ทำตามแบบฝึกหัดนี้เลยนะ พี่มั่นใจว่าเรื่องนี้จะมีในข้อสอบเยอะ” เขาให้คำแนะนำกับผมดีทุกอย่าง เราเข้าใกล้กันมากเรื่อยๆ ผมเริ่มสนิทใจกับเขา ถึงแม้ว่าบทสนทนาของผมมันจะดูไม่น่าสนใจ แต่เขาก็คอยรับฟัง และยิ้มแย้มทุกเมื่อในเวลาที่ผมกำลังพูด
“ตรงนี้ผิดนะ เราต้องใช้สูตรนี่ต่างหาก” เขาเดินมาซ้อนหลังผม ก่อนจะจับมือผมเขียนสูตรใหม่ที่ถูกต้อง โดยมืออีกข้างของเขาก็ท้าวไว้กับโต๊ะ ซึ่งมันดูเหมือนว่าเขากำลังกอดผมทางอ้อมอยู่กลายๆ
“อะ...เอ่อ ผมเขียนเองดีกว่าครับ” ผมบอกเสียงตะกุกตะกัก เขาชะงักเล็กน้อยเหมือนคนลืมตัว ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ แล้วเอ่ยคำขอโทษเบาๆ ชิดริมใบหู จนผมรู้สึกเห่อร้อนที่ใบหน้ารามไปจนถึงหู ซึ่งนั้นทำให้เขาหัวเราะออกมา
“ว่านทำไปนะครับ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อน รู้สึกร้อนๆ อย่างไงก็ไม่รู้” และเมื่อผมมองไปที่เขาก็ได้รู้ว่า ใบหน้าของเขาก็ขึ้นสีแดงเหมือนกัน มันทำให้เราสองคนรู้สึกเก้อเขินกันเล็กน้อย
สักพักเขาก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับแผงอกที่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยจนต้องรีบเบนสายตาไปมองที่ประตูระเบียงแทน
“เขินอะไรครับ ยังไม่ชินอีกเหรอ” เขาพูดเย้าแหย่ หากแต่ใบหน้าของผมกลับร้อนผะผ่าว เขาหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ ผม ทั้งๆ ที่เขานุ่งเพียงแค่ผ้าขนหนูผื่นเล็กที่ใช้ปกปิดร่างกายส่วนล่างของเขา
“อืม...เก่งนี่ ทำถูกทุกข้อเลย” เขายกมือขึ้นลูบหัวของผมเล็กน้อยก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง “เดี๋ยวเพื่อนพี่จะมาหานะครับ ว่านจะอึดอัดใจหรือเปล่า” เขาถามอย่างมีท่าทีกังวลใจ ผมจึงส่ายหัวปฏิเสธเป็นการบอกว่าผมไม่เป็นไร เพื่อลดความกังวลใจของเขา เมื่อคุยกันรู้เรื่องเขาก็เข้าไปแต่งตัวเมื่อออกมาเพื่อนๆ ของเขาก็กดออดหน้าห้องพอดี
เพื่อนของเขามากันทั้งหมดสี่คน ทุกคนนิสัยดีอัธยาศัยดี แต่ออกจะขี้แกล้งไปหน่อย พวกเขาเอาแต่ล้อเลียนเรื่องของผมกับเขาไม่ยอมหยุด ทั้งๆ ที่เราทั้งสองคนต่างก็ปฏิเสธออกมาเหมือนกันว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน
“อะไรว้า เป็นพี่น้องกัน พี่น้องท้องชนกันหรือเปล่า” พวกเขาลากเสียงยาวล้อเลียนไม่หยุดหย่อน ผมมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย ส่วนเขาก็ทำเพียงแค่นั่งยิ้มแล้วลูบผมของผมเบาๆ
“อะไรก็ช่าง ขอให้ว่านสบายใจ” ผมนิ่งอึ้งเล็กน้อยกับคำพูดของเขา
ผมค่อนข้างพอใจทุกครั้งที่เขาบอกกับคนอื่นๆ ว่าเราเป็นพี่น้องกัน หากแต่ในใจเราก็รู้ๆ อยู่ว่าเราทั้งคู่ใจตรงกัน หากแต่เขาไม่เคยพูดขอผมเป็นแฟนเลยสักครั้ง และผมก็ไม่เคยคาดหวังจากเขาเช่นกัน
เพื่อนๆ ของเขาต่างทำท่าทางล้อเลียนผมและเขาอย่างสนุกสนาน ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสนุกไปด้วย ทีแรกผมก็ค่อนข้างกลัวการมาเจอกับเพื่อนๆ ของเขา ผมไม่อยากเจอกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ผมกลัวเพื่อนๆ ของเขาไม่ยอมรับผม แต่มันกลับผิดคาด เพื่อนๆ ของเขาดีต่อผมมากๆ
หลังจากที่เพื่อนๆ ของเขากลับไปแล้วเราสองคนก็กลับมานั่งดูหนังด้วยกัน เขาขอนอนหนุนตักผม และผมก็ไม่ปฏิเสธ ผมลูบหัวให้เขาเบาๆ เพราะเขาเคยบอกว่าชอบเวลาที่ผมลูบหัวเขา เขาละความสนใจจากหน้าจอทีวีมาสนใจผม ก่อนจะส่งยิ้มอบอุ่นมาให้
“ว่านกลัวใช่มั้ย เรื่องของเรา”
ใช่ตอนแรกผมกลัวการไปไหนมาไหนกับเขาแบบสองต่อสอง ผมไม่ชอบสายตาคนอื่นที่มองมาที่เราทั้งสองคนอย่างกับตัวประหลาด แต่ทุกครั้งผมก็ก้าวผ่านมันมาได้ เพียงเพราะมีผู้ชายคนนี้คอยกุมมือผมอยู่
“ผมแค่เคยกลัว”
เมื่อผมตอบไปอย่างนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มกว้างทันที
“ชอบคุณนะครับ” เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมใบหน้าของผมที่ก้มมองเขาอยู่ เราสบตากันอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นนั่งแล้วประทับริมฝีปากสีคล้ำของเขาลงกับริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา เขาพรมจูบซ้ำๆ ก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากเข้ามาอย่างหนักหน่วง ผมขยับตามริมฝีปากของเขาตามอารมณ์และจังหวะ ผมรับรู้ได้ถึงความเปียกแฉะของน้ำลายของเราทั้งสองคนที่ไหลลงมากองรวมกันที่คาง หลังจากนั้นเขาก็ผละออกไป หากแต่ดวงตาของเขายังจ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาเขา เขายกมือขึ้นปาดน้ำลายที่ไหลเยิ้มลงมาให้ผม ก่อนจะก้มหน้าซบลงกับไหล่ของผม
“พี่รอคอยที่จะพูดประโยคนี้มาตลอด”เขาเลื่อนริมฝีปากมาคลอเคลียอยู่ที่ใบหูของผม ลมหายใจของเขาเป่าลดมาโดนใบหูของผม มันทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”
น้ำตาของผมเอ่อล้นออกมาทันทีทีเขาพูดจบ ก่อนจะพยักหน้ารัวๆ ตอบรับคำขอของเขา
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่บางครั้งความรักในรูปแบบอย่างผมมันก็น่ากลัว แต่ผมก็ผ่านความกลัวมาได้ เพียงเพราะมีเขาคอยกุมมือ คอยอยู่เคียงคาง และต่อไปนี้ผมก็ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว...
ความรักเป็นเรื่องของหัวใจ... เขาสอนให้ผมรู้จักประโยคนี้
พี่ฐานทัพ...
ตอนพิเศษ
(ฐานทัพ)
ผมมองภาพผู้ชายตัวเล็กร่างบางในภาพบนไทม์ไลน์ของเฟสบุ้คอย่างละสายตาออกไปไม่ได้
“คนนี้ใครเหรอครับทิว” ผมยื่นโทรศัพท์มือถือให้น้องสาวดูคนในรูป เพราะเธอเป็นคนกดถูกใจภาพนี้ ซึ่งมันทำให้รูปนี้ขึ้นมาบนไทม์ไลน์ของผม
“อ้อ เพื่อนทิวเอง น่ารักป่ะ”
น่ารักสิ น่ารักมากๆ ความรู้สึกที่นานๆ จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกที่หัวใจสั่นไหว เต้นแรงยามที่ไล่ดูองค์ประกอบของรูปหน้าผู้ชายในภาพ ผู้ชายตาโตขนตายาวเรียงกันเป็นแพ จมูกโด่งรั้นรับเข้ากับรูปหน้าเรียวเล็ก ริมฝีปากสีแดงสดอย่างคนสุขภาพดี อีกทั้งยังมีสีผิวขาวอมชมพู ยังทำให้ผู้ชายคนดูน่ารักมากยิ่งขึ้น
“พี่ชอบ...” ผมบอกความในใจที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อสักครู่ให้น้องสาวรับรู้ ผมเป็นเกย์ และน้องสาวก็รับรู้ ผมไม่คิดที่จะปิดบังใคร และผมก็ยอมรับได้ที่เกิดมาเป็นแบบนี้
“กรี๊ดดดด จริงเปล่าคะ พี่ชอบว่านจริงๆ เหรอ?” น้องสาวของผมมีท่าทีตื่นเต้นมากกว่าผมเสียอีก ก่อนที่เธอจะร่ายสรรพคุณ และเรื่องราวของน้องว่านให้ผมฟัง
ยิ่งได้รับรู้เรื่องราวผ่านทางน้องสาว น้องว่านก็ยิ่งน่ารักมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ผมอยากไปเจอน้องว่านตัวเป็นๆ
“พรุ่งนี้พี่ขอไปรับทิวได้มั้ยครับ” ผมตัดสินใจแล้ว
“ไปรับทิวเพื่อจะไปเจอว่านใช่มั้ยคะ งั้นตกลง” น้องสาวของผมตอบรับอย่างอารมณ์ดี
จะได้เจอกันแล้วนะครับน้องว่าน...
ผมไม่รู้ว่าผมใจง่ายหรือเปล่านะ...ผมรู้เพียงแค่ว่า
ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้อง ผมก็ควรที่จะทำตามหัวใจตัวเอง
End