ตอนพิเศษวันเด็กจ้า ตอนนี้บอกเลยว่าวุ่นวายมว้ากกกก กวินทร์นางวุ่นวายมาก เป็นขุ่นแม่ที่จู้จี้จุกจิกขี้โวยวาย ส่วนบักคีธก็...ยินดีต้อนรับเข้าสู่สมาคมพ่อบ้านใจกล้าจย้าาาา ฮาาา
----------------------------------
Special Episode [Children’s day]: Keta and Kinn are kids…also Keith and Kawin[1] ผมไม่รู้ว่าตัวเองเลิกตั้งหน้าตั้งตาคอยวันเด็กไปตั้งแต่ตอนอายุเท่าไหร่ ที่รู้ๆ ตอนนี้คือ วันเด็กก็คือวันธรรมดาอีกวันที่ผมต้องทำงาน ถึงแม้ว่าวันเด็กของอเมริกาจะเป็นวันอาทิตย์ที่สองของเดือนมิถุนายนก็เถอะ แต่โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่างผม ถ้าอยู่ในช่วงที่เปิดกล้องแล้ว วันไหนก็คือวันทำงานทั้งนั้น ยิ่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น และผมก็เป็นโปรดิวเซอร์ไฟแรงอยู่ในขณะนี้ด้วยแล้ว ไม่ต้องถามเลยว่าตอนนี้คิวทองแค่ไหน แทบไม่มีเวลาเจอหน้าลูกผัวเลยเถอะ
อย่าว่าแต่เจอหน้าลูกผัวเลย แค่เวลาจะหายใจหรือนั่งพักแบบสมองว่างๆ สักห้าหรือสิบนาทียังไม่มี
แต่ถึงผมจะมองว่าวันเด็กก็คือวันธรรมดา ทว่าสำหรับลูกๆ ผมอย่างคีตากับคินน์แล้ว วันพรุ่งนี้มันไม่ใช่วันธรรมดาๆ สองคนนั้นถามผมแทบทุกวันว่าเมื่อไหร่จะถึงวันอาทิตย์และมีสีหน้าตื่นเต้นระคนดีใจทุกครั้งที่ผมบอกจำนวนวันที่เหลืออยู่กลับไป ทั้งหมดก็เพราะเมื่อเดือนก่อน ผมดันไปรับปากลูกๆ ไว้ว่าจะพาไปเที่ยวธีมปาร์คตอนวันเด็ก เรื่องยุ่งยากมันก็เลยบังเกิด ผมต้องเปลี่ยนแพลนการทำงานตลอดอาทิตย์ใหม่ทั้งหมด ทำงานหนักขึ้นเป็นเท่าตัวเพื่อที่จะขอลาหยุดในวันพรุ่งนี้
สุดท้ายเมื่อคืนก็ต้องทำงานล่วงเวลา กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปตีสาม กลับถึงบ้านตีสี่ แต่นรกคืออะไรรู้มั้ย... นรกก็คือพอหกโมงเช้าตรงเด๊ะ คีตากับคินน์ก็บุกเข้ามาในห้องนอน ปลุกผมที่เพิ่งจะนอนไปได้แค่สองชั่วโมงให้ตื่นทั้งๆ ที่ผมบอกลูกๆ ไปแล้วว่าจะออกจากบ้านตอนเก้าโมง เพราะธีมปาร์คเปิดสิบโมง ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง ไปสายหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ทว่าเหมือนไอ้ลูกพวกนี้จะนับเลขไม่เป็น
เลขเก้าคือเลขหกกลับหัวนะเว้ยไอ้เด็กพวกนี้!
“อืม... คีตา คินน์... พ่อจะนอน” ผมงึมงำ ตางี้เปิดไม่ขึ้นเลย มึนหัวมาก
แต่ทั้งคีตาทั้งคินน์ไม่มีใครฟัง ปลุกให้ผมตื่นอยู่นั่น
“แต่นี่มันเช้าแล้วนะฮะพ่อกวินทร์ ตื่นเร็วเข้า ไปเที่ยวกัน!” ผมไม่เห็นหน้าว่าใครพูด แต่เสียงร่าเริงแบบนี้ต้องเป็นเสียงของคินน์แน่ แถมปลุกผมอย่างเดียวยังไม่พอ เอามือเล็กๆ มาเขย่าไหล่ผมอีก
“ห้านาทีนะคินน์...” ผมว่าโดยไม่ลืมตา หากแต่คินน์ไม่สนใจฟังแม้แต่น้อย
“นาทีนึงของพ่อกวินทร์ก็คือหนึ่งชั่วโมง ห้านาทีก็ห้าชั่วโมง ผมไม่ให้พ่อกวินทร์นอนต่อหรอก ตื่นเดี๋ยวนี้!” ตอนนี้คินน์เริ่มโวยวายละ
ผมเลยพลิกตัวหนี ตลบผ้าห่มคุมโปงแล้วทำเป็นไม่สนใจ ทว่าการเมินหนีลูกก็เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกๆ ได้สำแดงฤทธาซะงั้น
“ถ้าพ่อกวินทร์ไม่ตื่น คินน์ก็จะไม่ให้นอน!” ว่าแล้วก็ปืนขึ้นเตียง ก่อนจะกระโดดไปมาพลางส่งเสียงร้องไปด้วย “พ่อตื่น! พ่อตื่น! พ่อตื่นเดี๋ยวนี้!”
คินน์คนเดียวคงจะไม่พอ ยังมีคีตาที่ยืนมองน้องชายป่วนผมอยู่นานสองนานขึ้นมาช่วยกระโดดปลุกผมด้วยอีกคน ผมเลยจำเป็นต้องดันตัวขึ้นนั่งเพราะสปริงเตียงมันเด้งกระแทกจนผมรำคาญจนชักทนไม่ไหว
“เออๆ! ตื่นแล้วๆ ไอ้เด็กพวกนี้นี่!” แล้วผมก็เผลอโวยวายโดยไม่รู้ตัว
แต่พอเห็นผมลุกขึ้นมานั่งได้ คีตากับคินน์ก็หยุด ก่อนทั้งคู่จะส่งยิ้มกว้างมาให้ผม
“พ่อกวินทร์ตื่นแล้ว เย่ๆ!” ตามมาด้วยไอ้ตัวแสบประจำบ้านที่ร้องเฮลั่น พลันเข้ามากอดผมแน่น
จากที่รำคาญอยู่เมื่อกี้ ผมก็เผลอยิ้มออกมากับความขี้อ้อนของคินน์อย่างเสียมิได้ ส่วนคีตาน่ะไม่หือไม่อือหรอก ทำหน้าอึนๆ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
“แล้วพ่อคีธไปไหน” ผมถามหาใครอีกคนเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้างกายไร้เงาของร่างใหญ่
“พ่อคีธทำอาหารเช้าอยู่ฮะ” อันนี้คีตาตอบ ผมเดาในใจว่าคีธก็คงจะถูกลูกปลุกเหมือนกัน แต่คิดผิดถนัดเมื่อคีตาว่าขึ้นมาอีก “พ่อคีธไม่ว่างก็เลยให้ผมกับคินน์มาปลุกพ่อกวินทร์แทน”
อ๋อ! มึงนี่เองที่เป็นตัวการทำให้กูโดนลูกป่วนแต่เช้า!
หัวคิ้วผมย่นลงโดยอัตโนมัติ ไม่หงุดหงิดลูกละ หงุดหงิดไอ้เวรนั่น แม่ง รู้ทั้งรู้ว่าผมเพิ่งจะได้นอนตอนกี่โมง มันก็ยังมีหน้ามาปลุกผมอีก แต่ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว ลุกๆ ไปเลยแล้วกัน
“โอเค งั้นเดี๋ยวพ่อไปล้างหน้าก่อน คีตาพาน้องไปที่ครัวไป”
คีตาพยักหน้า คินน์หอมแก้มผมส่งท้ายทีนึงก่อนเดินไปหาพี่ชายแล้วก็กอดคอกันออกจากห้องนอนไป
ผมใช้เวลาไม่นานในการจัดการธุระส่วนตัว พอแต่งตัวเสร็จก็ตรงไปที่ห้องครัวที่มีลูกๆ นั่งรอกินมื้อเช้าอย่างพร้อมหน้า ส่วนไอ้เวรคีธในผ้ากันเปื้อนแม่งก็ทอดเหวอะไรอยู่ไม่รู้ พอเห็นผมเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับก็ร้องทักทันที
“ตื่นแล้วเหรอกวินทร์ เมื่อคืนนอนสบายมั้ย”
มึงยังจะถามอีก! นอนไปแค่สองชั่วโมง มึงคิดว่ากูสบายมั้ยล่ะ!
“เอากาแฟมาแก้วนึง” ผมไม่ตอบ สั่งมันแทน
คีธพยักหน้า ปิดเตาแก๊สแล้วตักเบคอนใส่จานยกมาให้ผมพร้อมกับกาแฟดำแก้วเล็กๆ แก้วหนึ่ง ผมกระดกกาแฟอึ้กๆ คิดว่าวันนี้คงต้องพึ่งคาเฟอีนทั้งวัน ขณะที่เสียงเจื้อยแจ้วของคินน์ดังไม่หยุดเมื่อตระหนักได้ว่าอีกไม่นานก็จะได้ไปเที่ยวแล้ว
“เค้าจะขึ้นรถไฟเหาะ แล้วก็ไวกิ้ง แล้วก็ถ่ายรูปคู่กับแดร็กคิวล่า คีตาจะเล่นอะไรมั่ง”
“อืม โกคาร์ทมั้ง” คีตาทำท่าคิดไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“โห เด็กอะ แต่ถ้าคีตาอยากให้เค้าเล่นเป็นเพื่อนก็ได้นะ เค้าจะเล่นกับคีตา”
คินน์พูดไปเรื่อยตามประสาเด็ก คีตาก็พยักหน้าเออออรับคำน้องไป ท่าทางเหมือนจะเฉยๆ แต่ผมสังเกตได้ว่าคีตาอมยิ้ม แววตาก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ปกติแล้วคีตาไม่ค่อยแสดงสีหน้าเท่าไหร่ เหมือนกับคีธเด๊ะๆ ราวกับถอดแบบออกมา จนบางครั้งผมรู้สึกว่าคีตาโตเร็วเกินเด็กวัยสิบขวบไปหน่อย แต่วันนี้ดูมีความเป็นเด็กแฮะ ส่วนคินน์ก็เด็กนั่นแหละ เด็กกว่าเด็กอายุเก้าขวบทั่วไปด้วยมั้ง คิดแต่จะเล่นตลอดเวลา เอาเถอะ อย่างน้อยๆ ผมก็ได้เห็นลูกๆ มีความสุขแล้วกัน คิดไม่ผิดที่ยอมหยุดงานมาให้เวลากับลูกแบบนี้
“รีบๆ กินเร็วเข้า จะได้ไปกัน ดูท่าทางวันนี้คนจะเยอะ รีบไปหน่อยก็ดี” ผมว่าพลางจิบกาแฟอึกสุดท้าย
เด็กทั้งสองพยักหน้าแล้วจัดการกับอาหารเช้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว คีธเดินมานั่งพร้อมกับอาหารเช้าของตัวเอง ก่อนจะเปรยกับผม
“ขอโทษนะกวินทร์ที่ปลุกแต่เช้า เห็นเด็กๆ ตื่นเต้นกันแล้วอดไม่ได้”
ผมพยักหน้าก่อนจะถาม “แล้วนี่ลูกก็ไปปลุกนายเหรอ”
คีธส่ายหน้าพรึ่บ “เปล่า ฉันไปปลุกลูก”
หัวคิ้วผมย่นลงทันที วางแก้วกาแฟเปล่ากระแทกบนโต๊ะดังปึง
กูว่ามึงนั่นแหละที่ตื่นเต้น ไม่ใช่ลูกตื่นเต้นหรอก มึงอย่าเอาลูกมาอ้างหน่อยเลยไอ้คีธ! มนุษย์ต่างดาวอย่างมึงคงไม่เคยมีวันเด็กล่ะสิท่า!
“เอากาแฟมาอีกแก้วซิ” ผมขี้เกียจจะด่ามันก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป
พอได้กาแฟแก้วใหม่มา ผมก็จัดการกระดกอึ้กๆ อีกครั้งจนคีธที่กำลังจิ้มเบคอนเข้าปากมองหน้า
“ดื่มแต่กาแฟไม่ดีนะกวินทร์ กินอย่างอื่นด้วยสิ”
“อย่ายุ่งน่า ก็คนมันง่วงนี่หว่า” ผมว่าเสียงขุ่น คีธก็เลยจัดการส่งเบคอนในมือมาตรงหน้าผมทันควัน
“กินซะ เดี๋ยวหิว”
“ไม่เอา” ผมปฏิเสธในทันที คีธก็เลยเรียกชื่อผมเสียงเรียบ
“กวินทร์ อย่าดื้อ เดี๋ยวไม่มีแรงเที่ยวหรอก ลูกๆ จะหมดสนุกเอา”
คราวนี้ไม่ใช่แค่คีธที่มองหน้าผม ลูกๆ ก็ละสายตาจากจานอาหารของตัวเองมามองหน้าผมและเข้าข้างคีธทันใด
“พ่อกวินทร์กินนะฮะ คินน์อยากให้พ่อกวินทร์เล่นกับคินน์ด้วย” แล้วก็ตามมาด้วยการออดอ้อน
คีตามองผมแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณว่ากินๆ ไปเถอะ ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงแล้วอ้าปากงับเบคอนนั่นอย่างไร้ทางเลือก
“พอใจยัง” ผมถามขณะปากยังเคี้ยวอยู่
ไม่มีใครตอบ นอกจากพากันยิ้มให้เท่านั้น พอกลืนลงคอไป คีธก็จิ้มไส้กรอกมาตรงหน้าผมอีก
“กินอีกสิ”
ผมอ้าปากเตรียมบอกว่าไม่เอาแล้ว อดนอนแล้วมันไม่อยากอาหาร ทว่าพอเห็นสายตาของคีตากับคินน์ที่มองมาอย่างกังวลว่าผมจะไม่มีแรงเที่ยว ผมก็ตัดใจไม่พูด งับไส้กรอกอย่างไม่มีทางเลือก ปากเคี้ยวไปก็ต่อรองกับคีธไปด้วย
“วันนี้นายขับรถนะ”
“ได้ แต่มีข้อแม้”
“อะไร” ผมเผลอเสียงเขียวใส่มันเลย แม่ง กูยิ่งเหนื่อยๆ อยู่ อย่ามาหาเรื่องให้กูเหนื่อยกว่าเดิมนะ
แต่ข้อต่อรองของคีธไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมเหนื่อยอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้แต่อย่างใด มันแค่เลื่อนจานอาหารของผมเข้าหาตัว แล้วก็หยิบเอาขนมปังปิ้งขึ้นมา
“กวินทร์ต้องกินเยอะๆ กินให้หมดจานรู้มั้ย”
“ก็นึกว่าเรื่องอะไร เออๆ กินก็กิน” ผมตอบรับอย่างโล่งอก แล้วก็งับขนมปังในมือมันอีก
ตอนนี้แหละที่คินน์พูดขึ้นมา “พ่อกวินทร์เหมือนเด็กเลยนะฮะ ต้องให้พ่อคีธป้อน คินน์ไม่ต้องให้ป้อน แสดงว่าคินน์เป็นผู้ใหญ่แล้ว”
คีตาพยักหน้าเห็นด้วยเป็นพัลวัน ผมหัวเราะในลำคอทันใด
“ผู้ใหญ่เค้าไม่เที่ยวสวนสนุกกันหรอกนะ”
เท่านั้นแหละ ทั้งคู่จ้องหน้าผมนิ่งแล้วคินน์ก็หันหนีไปเลย มีแต่คีธนั่นแหละที่ทำลายความเงียบขึ้นมา
“แต่วันนี้เป็นวันเด็กนี่ คีตากับคินน์จะเป็นเด็กสักวันก็ได้” ลูกๆ มีสีหน้าดีขึ้น ยิ้มให้คีธกันใหญ่ที่คีธเข้าข้าง ก่อนที่มันจะหันมาบอกผมบ้าง “กวินทร์ก็เหมือนกัน เป็นเด็กบ้างสักวันก็ได้นะ”
แล้วก็ตามด้วยการมองแบบมีเลศนัย ผมฉุกใจขึ้นมาทันทีเลยว่ามันหมายความว่าอะไร ทว่าไม่ต้องพูด มันก็เอ่ยปากขึ้นมาซะแล้ว
“กินนมได้นะ”
นมที่ว่าของมันไม่ใช่นมวัวแน่นอน แต่เป็นนมมันนี่แหละ ผมเลยทุบมันไปดังปั้กท่ามกลางสายตางุนงงของลูกๆ ว่าผมทุบคีธทำไมทั้งที่แค่มันบอกให้กินนมเท่านั้น
แต่อย่ารู้แหละดีแล้วลูก รู้ความจริงว่าพ่อคีธหื่นแค่ไหนแล้วจะหมดศรัทธา
กว่าจะกินมื้อเช้าเสร็จ กว่าจะเตรียมนั่นเตรียมนี่ก็ปาเข้าไปชั่วโมงกว่า สุดท้ายเราก็ออกจากบ้านเกือบๆ แปดโมง รถแวนครอบครัวถูกเอาออกมาใช้เป็นพาหนะของวันนี้ คีธประจำตำแหน่งคนขับ ลูกๆ นั่งเบาะหลังตามปกติ ส่วนผมก็นั่งข้างๆ คีธ ขึ้นรถได้ รัดเซฟตี้เบลท์เสร็จ ผมก็ตั้งท่าจะนอนทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแม้ว่าคีตาจะอ่านแผนที่จากในแท็บเล็ต บอกจุดหมายปลายทางให้คีธรู้ทั้งที่หน้ารถก็มีจีพีเอสอยู่แล้วแท้ๆ ส่วนคินน์ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไม่เลิกจนผมต้องดุถึงจะหยุดได้
สรุปก็คือ ธีมปาร์คที่เราจะไปคือธีมปาร์คที่เพิ่งเปิดใหม่ อยู่ห่างจากบ้านเราซึ่งอยู่ในละแวกฮอลลีวูดพอสมควร อย่างที่บอกแหละว่าใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงหลังจากคำนวณระยะทางโดยจีพีเอสแล้ว เพราะที่นั่นมันดันไปสร้างอยู่นอกเมือง แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าผมไม่สน ปล่อยให้ลูกๆ คุยกับคีธแล้วตัวเองก็นอนอย่างเดียว กระทั่งผ่านไปชั่วโมงเศษและพวกเรามาถึงครึ่งทาง เสียงจอแจของลูกทั้งสองก็ค่อยๆ เงียบลง มีแต่เสียงแอร์ดังหึ่งๆ ให้ได้ยินเท่านั้น
ได้นอนหลับลึกซะที...
ผมผ่อนลมหายใจ เคลิ้มๆ จนเกือบจะหลับลึกอยู่แล้ว เสียงกระเง้ากระงอดก็ดังขึ้นน้อยๆ พร้อมกับมือเล็กที่สะกิดไหล่ผมเบาๆ
"พ่อกวินทร์... คินน์หิว"
มาละไอ้ตัวงี่เง่าเบอร์หนึ่งประจำบ้าน ว่าจะนอนๆ ไม่ได้นอนอีกแล้วเนี่ย
"เดี๋ยวก็ถึงแล้ว อดทนก่อน" ผมว่าส่งๆ ตาก็ปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า แต่ก็ทันสังเกตเห็นว่าแก้มใสของคินน์ป่องขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตามมาด้วยการแหกปากเสียงดัง
"คินน์หิว! คินน์จะกิน! คินน์หิวอะ! พ่อกวินทร์ใจร้าย! ทำไมไม่ยอมให้คินน์กิน! ฮือ...!"
โอย... ปวดหัว ไมเกรนกินไปครึ่งซีกแล้วเนี่ย ไอ้ลูกคนนี้ติดนิสัยขี้โวยวาย เอาแต่ใจนี่มาจากใครวะ!
ผมเปิดตาขึ้นมา หันไปมองก็เห็นคินน์ร้องไห้น้ำตาไหลพราก เลยมองเลยไปยังคีตาที่นั่งเล่นเกมจากแท็บเล็ตอยู่
"คีตาดูทีว่าท้ายรถมีอะไรให้น้องกินบ้าง เอายัดๆปากไป พ่อปวดหัว อยากนอน"
คีตาพยักหน้ารับ ปีนไปมองหลังรถก่อนจะหันกลับมาส่ายหน้าให้ผม
"ไม่มีของกินเลยฮะพ่อกวินทร์"
"คินน์ต้องอดตายแน่ๆ! พ่อกวินทร์ใจร้าย! คินน์หิวก็ไม่ให้คินน์กิน! ฮือ!"
ยังไม่ได้บอกสักคำเลยว่าไม่ให้กิน! แค่บอกว่าให้ทนไปก่อน มันจะถึงที่หมายปลายทางแล้วเนี่ยไอ้ลูกงี่เง่า!
ผมยกมือขึ้นคลึงขมับตัวเองไปมาอย่างหงุดหงิด จังหวะเดียวกับคีธที่ขับรถอยู่พูดขึ้นพร้อมมองคินน์ผ่านกระจกมองหลัง
"กินนี่ก่อนมั้ยคินน์"
ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่า 'นี่' ที่มันว่าคืออะไร ทว่าพอเหลือบไปเห็นมันยกนิ้วชี้ขึ้นให้ลูกดู ผมก็รีบคว้ามือมันหมับก่อนมันจะเอาของกินไม่ถูกหลักโภชนาการป้อนให้คินน์ที่พยักหน้าหงึกหงักตอบรับทั้งน้ำตา
คีธมองหน้าผมเหมือนกับจะถามว่าทำไม ผมเลยแหวออกไปทันที
"อย่ามาเอานิ้วสกปรกๆ ให้ลูกดูดนะเว้ยไอ้คีธ โน่น ปั๊มน้ำมันอยู่ข้างหน้า แวะปั๊มไป"
คีธพยักหน้า ตีไฟเลี้ยวเข้าชิดเลนนอกก่อนจะเลี้ยวเข้าปั๊มไป พอจอดรถหน้ามินิมาร์ทได้ คินน์ที่ยังโวยวายไม่เลิกก็ตบมือแปะ ยิ้มร่าขึ้นมาทันที ก่อนจะเป็นคนแรกที่โดดลงจากรถทันทีที่ผมอนุญาต ตามด้วยคีตาที่เดินตามไปติดๆ
เฮ้อ... เบาหูสักที
"กวินทร์จะเอาอะไรมั้ย" ส่วนคีธนี่พอลงจากรถได้ก็ถามผมที่ตั้งท่าจะงีบ
"เอากาแฟ"
"เช้านี้กวินทร์ดื่มไปสองแก้วแล้วนะ"
"งั้นก็ไม่ต้องซื้อ"
พอมันขัดมางี้ ผมก็ปฏิเสธไปด้วยอยากพักมากกว่า โบกมือไล่มันหย็อยๆ คีธไม่เร้าหรือ หายไปข้างในมินิมาร์ทแต่โดยดี
ทว่าการรอคอยสามพ่อลูกนั่นซื้อของกินช่างยาวนานนัก นานซะจนผมงีบไปตื่นนึงแล้ว พวกมันก็ยังไม่ออกมา เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าทั้งสามหายเข้าไปเกินสามสิบนาที ความเป็นห่วงก็แล่นพล่านเกาะกุมจิตใจทันที
คีธน่ะไม่ห่วงหรอก ที่ห่วงน่ะลูกๆ ต่างหาก
เท่านั้นผมก็รีบลงจากรถ ถลันเข้าไปในมินิมาร์ท มองหาลูกอย่างรวดเร็ว ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับร่างสูงของคีธยังโซนหนังสือเล็กๆ ด้านใน พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นมันถือหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอ่านโดยมีคินน์กับคีตายืนประกบดูหนังสือเล่มนั้นอยู่ใกล้ๆ ด้วย
จากที่อยากจะบ่นมันว่าทำไมช้านักก็ไม่อยากบ่นละ เอาเถอะ อย่างน้อยๆที่มันช้าก็เพราะชวนลูกดูของที่เป็นประโยชน์นะ หากแต่ในจังหวะที่มันพลิกหน้าหนังสือ สายตาผมก็ปะทะเข้ากับรูปวาบหวิวของนางแบบในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยเข้าอย่างจัง เท่านั้นผมก็รู้ได้เลยว่ามันเอาหนังสืออะไรให้ลูกดู
มึงจะชวนลูกดูนิตยสารปลุกใจเสือป่าทำไมไอ้คีธ! ลูกมึงเพิ่งจะเก้าขวบกับสิบขวบเองนะเว้ย!
ผมไม่รอช้า เดินเข้าไปตบกบาลมันทันที คีธกับลูกๆ หันมามองผมอย่างงงๆ ส่วนผมก็กอดอกมองพวกมันอย่างเอาเรื่อง
"อย่าเอาหนังสือพวกนี้ให้ลูกดูสิวะ ลูกยังเด็กนะ ดูเล่มอื่น!"
คีธเข้าใจได้ทันทีว่าเมื่อกี้ผมตบมันทำไม มันพยักหน้ารับน้อยๆ วางนิตยสารเล่มนั้นลงที่เดิม ก่อนจะหยิบเล่มใหม่ออกมาเปิดให้คีตากับคินน์ดูอีก แล้วหัวคิ้วผมก็ต้องกระตุกหนักเมื่อเห็นว่าเล่มที่มันหยิบมาใหม่ก็ไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมแม้แต่น้อย เพียงแค่เปลี่ยนจากผู้หญิงเป็นผู้ชายเท่านั้น
เปลี่ยนจากปลุกใจเสือป่าเป็นปลุกใจเสือไบก็ไม่ได้เว้ยไอ้เวรคีธ! มึงอย่าปลูกฝังให้ลูกมึงเป็นคนหื่นๆเหมือนมึงนะเว้ย!
ผมพุ่งไปกระชากหนังสือออกจากมือคีธแล้วเอาตีหัวมันไปทีนึง คีธทำหน้าเหมือนจะถามผมอีกรอบว่าตีทำไม ลูกๆ เองก็เช่นกัน แต่ผมไม่รอให้ถาม โบกมือไล่ทันควัน
“รีบไปเลือกของกินแล้วไปจ่ายตังค์ แล้วก็ออกเดินทางต่อได้แล้ว จะเที่ยวมั้ยเนี่ยฮะ ไม่เที่ยวก็กลับ!”
เท่านั้นแหละ ทั้งลูกทั้งผัวต่างพากันแยกย้ายโดยไว เหอะ ก็ลองไม่แยกย้ายดูสิ กูจะทิ้งแม่งให้เดินกลับบ้านทั้งหมดนั่นเลย
สถานการณ์กลับเข้าสู่ปกติอีกครั้ง และผมก็ได้หลับไปอีกงีบนึงแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อร่างกายอยู่ดี ทว่าก็ไม่ได้แย่เท่าตอนเช้า อย่างน้อยๆ ก็ทำให้มีแรงไปฝ่าฝูงชนที่แห่กันมาเที่ยวอย่างกับเปิดให้เข้าฟรีที่ยืนออกันอยู่ทางประตูทางเข้าเพื่อรอซื้อบัตรได้ ผมก็พอทำใจไว้แล้วล่ะว่าวันนี้คนจะต้องเยอะแน่ๆ เป็นธีมปาร์คเปิดใหม่ แถมมาเปิดใกล้ๆ วันเด็กอีกต่างหาก บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองจะหอบลูกเต้ามาเที่ยวก็ไม่แปลก
ผมเดินตามคีตากับคินน์ที่กอดคอเข้าไปข้างใน เด็กสองคนนั่นเห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ไปเต๊ะท่ากับตัวมาสคอตบ้าง หุ่นปูนปลาสเตอร์บ้าง ให้ผมถ่ายรูปให้จนมือแทบหงิก ผมฉุกคิดได้ก็ในตอนนี้ว่านี่เป็นการเที่ยวสวนสนุกครั้งแรกของสองคนนี้ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยพามาเที่ยวที่อย่างนี้ด้วยซ้ำ เหตุผลก็คือพาเด็กเล็กๆ มาเที่ยวแล้วจะเสียเงินเปล่าเพราะเล่นเครื่องเล่นอะไรไม่ได้เลยน่ะ ส่วนไอ้คีธ...
อะ...เอ๊ะ หายหัวไปไหนของมันวะ
ผมมองซ้ายขวาหาตัวคีธที่เดินตามกันเข้ามาเป็นพัลวัน ทว่ามองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็น เลยบอกให้ลูกยืนรออยู่ที่เดิมก่อนเผื่อว่ามันจะกลับมา แล้วมันก็กลับมาอย่างที่คะเนไว้จริงๆ ด้วย แต่ไม่ได้กลับมามือเปล่า กลับมาพร้อมกับสายไหมสามแท่งในมือและขวดน้ำดื่ม
“นายหายหัวไปซื้อขนมเนี่ยนะ!” ผมถอดแว่นออก แหวใส่มันทันที
คีธพยักหน้ารับแล้วก็ส่งสายไหมให้คีตากับคินน์คนละแท่ง
“สีสวยดี ฉันไม่เคยกิน อยากให้ลูกลอง”
มึงก็บอกอยู่แหม็บๆ ว่าตัวเองไม่เคยกิน มึงอย่ามาอ้างว่าอยากให้ลูกลองนะเว้ย!
อยากด่าฉิบ ยิ่งนอนไม่พอ ยิ่งหงุดหงิดเป็นเท่าตัว แต่พอเห็นมันเลียสายไหมจนละลายติดปากพร้อมกับทำหน้าตกใจนิดๆ แล้ว ผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
น่ารักดีแฮะ ถ่ายรูปเก็บไว้ดีกว่า
แชะ!
คีธละสายตามามองผมที่ยกโทรศัพท์ถ่ายรูปมันเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมโดยไม่สนใจลูกๆ ที่ยืนแทะสายไหมอย่างเอร็ดอร่อยสักนิด
“ปากเลอะน่ะกวินทร์ เช็ดให้หน่อย”
“ก็เอาลิ้นเลียๆ สิวะ” ผมว่าเสียงขุ่นที่จู่ๆ มันก็มาอ้อน หากแต่คีธไม่หยุด ส่ายหน้าแล้วว่าเสียงเรียบ
“งั้นกวินทร์ก็เลียให้หน่อย”
มึงเห็นมั้ยว่าลูกอยู่ตรงนี้น่ะไอ้คีธ! ไม่ใช่แค่ลูกมึง แต่ยังมีลูกคนอื่นด้วย มึงอย่ามาชวนกูทำอนาจารกลางแจ้งนะเว้ย!
แต่คีธมันสนที่ไหน แค่ผมเบิกตาโต มันก็พุ่งเข้ามาจูบผมแล้ว รสหวานปะแล่มที่มาพร้อมกับรสจูบและสายตาของคนรอบๆ กายที่จับจ้องมาทำให้ผมหน้าร้อนฉ่าทันควัน ดีที่มันแค่จูบเฉยๆ ไม่ได้ล้วงลึกชอนไชอะไรเข้ามาในปากแล้วก็ผละไป ผมก็เลยไม่อายมาก จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกการจูบกันในที่สาธารณะเนี่ย ออกจะธรรมดาด้วยซ้ำสำหรับคนชาตินี้ แต่ผมเป็นคนไทยไง ยังไงก็ทำใจให้ชินไม่ได้จริงๆ
ที่สำคัญ พอคีธละริมฝีปากจากผมแล้ว สายตาก็เหลือบไปเห็นคีตากับคินน์ที่มองผมกับคีธนิ่ง พร้อมกับทำสายตาเจ้าเล่ห์
“พะ...พ่อแค่กินสายไหมที่พ่อคีธป้อนให้” ผมรีบแก้ตัวก่อนลูกเข้าใจผิด
แต่สองคนนั้นกลับยักไหล่แล้วเมินหน้าหนีไปทางอื่น ก่อนคินน์จะพูดขึ้น
“คินน์จะถือว่าไม่เห็นแล้วกันฮะ”
คีตาพยักหน้าตามน้องเป็นการใหญ่ ผมนี่หน้าร้อนไปถึงไหนต่อไหนเลย พลันหันไปมองคีธที่ทำหน้านิ่งตาเขียว
มึงนะมึง... ทำอะไรก็หัดเกรงใจลูกบ้างสิวะ!
ดีที่ความสนใจจากการเห็นพ่อๆ จูบกันเมื่อครู่ถูกดึงไปได้เมื่อคีตากับคินน์ได้ยินเสียงกรีดร้องของคนที่อยู่บนรถไฟเหาะใกล้ๆ ดังลอยมา เท่านั้นคินน์ก็หูตาแพรวพราว รีบหันมาร้องบอกผมกับคีธทันที
“พ่อกวินทร์ พ่อคีธฮะ! ไปเล่นไอ้นั่นกัน!” ว่าพลางชี้นิ้วเล็กๆ ไปที่รถไฟเหาะ
ผมเห็นแล้วก็เบ้หน้า บอกตรงๆ ว่าผมไม่ถูกกับเครื่องเล่นจำพวกนี้เท่าไหร่ ขึ้นทีไร อ้วกแตกอ้วกแตนทุกที ผมเลยรีบปฏิเสธไปก่อนจะถูกลูกๆ มาคะยั้นคะยอ
“ไปเล่นกับพ่อคีธนะ เดี๋ยวพ่อรอข้างล่าง”
คีธดูท่าทางไม่มีปัญหา มันก็คงไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะ ยานอวกาศมันยังขับมาแล้ว กับอีแค่รถไฟเหาะนี่กระจอก
ทว่าการปฏิเสธของผมทำให้คินน์ยู่หน้า โวยวายใส่ผมทันใด
“ไม่เอาอะ! คินน์จะเล่นกับพ่อกวินทร์ด้วย ถ้าพ่อกวินทร์ไม่เล่น คินน์ไม่ยอม!” แล้วก็ตามมาด้วยการดีดดิ้นพล่านๆ
คีตาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน ดูก็รู้แหละว่าเข้าข้างน้อง แต่ไม่พูดอะไรออกมา คีธเห็นลูกกระทืบเท้าปึงๆ แล้วก็หันมาหาผมทันควัน
“กวินทร์...”
“อย่ามาตามใจลูกแถวนี้ บอกว่าไม่เล่นก็คือไม่เล่น” ผมดักคอทันควัน
คีธเลยหุบปากฉับ ไปจับตัวคินน์ที่งอแงไม่เลิกให้ยืนนิ่งๆ จังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์ผมมีสายเรียกเข้าพอดี พอปรายตามองก็เห็นว่าเป็นหนึ่งในทีมงานภาพยนตร์ที่ทำงานร่วมกับผมอยู่ และวันนี้ผมก็มอบหมายหน้าที่ดูแลงานทั้งหมดให้หมอนั่น มันก็คงจะโทรมารายงานความคืบหน้าให้ผมฟังนั่นแหละ ผมก็เลยใช้โอกาสนี้บอกปัดลูกๆ ทันที
“ไม่ว่างด้วยตอนนี้ มีคนโทรมา” ว่าพลางชูโทรศัพท์
คินน์เม้มปากแน่น สีหน้าบ่งบอกเลยว่างอน ก่อนจะกระแทกเสียงใส่ผมแล้วถลาเข้าไปเกาะแขนคีธแน่น
“คินน์เล่นกับพ่อคีธก็ได้ พ่อกวินทร์ไม่น่ารัก ไม่รักแล้ว!”
“คร้าบๆ ท่านคินน์” ผมเออออส่งๆ ไป โบกมือเป็นสัญญาณให้คีธพาลูกไปต่อคิวเล่นเครื่องเล่นได้แล้ว
พอทั้งสามเดินไปต่อคิวซื้อบัตร ผมก็เลี่ยงมาคุยโทรศัพท์ คุยเสร็จก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คีธกับลูกๆ ขึ้นเครื่องเล่นพอดี ผมเลยไปยืนถ่ายวิดีโอไว้ พอพวกนั้นลงมา ผมก็ทำท่าจะโชว์วิดีโอให้ดู แต่คีตากับคินน์เมินผม จูงมือกันไปเล่นเครื่องเล่นอื่นแทน
“ลูกโกรธกวินทร์แล้วน่ะ” คีธที่เดินมาข้างหลังผมว่าขึ้นเบาๆ
ผมตวัดตาไปมองมันอย่างหงุดหงิด “รู้แล้วน่า”
“กวินทร์ไม่อยากให้ลูกงอนก็ไปเล่นกับลูกสิ”
“นายไม่เห็นหรือไงว่าเมื่อกี้มีคนโทรมาหาฉัน อย่ามาทำตัวงี่เง่าเป็นคินน์อีกคนนะเว้ย” ตอนนี้ผมชักรู้ละว่าคินน์ติดนิสัยเสียมาจากใคร
ก็จะใครล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้บ้าหน้าตายนี่!
คีธมองผมนิ่งๆ ก่อนจะถือวิสาสะมาแย่งโทรศัพท์ในมือผมไปแกะซิมการ์ดออก แล้วโยนทิ้งไปไหนสักที่ก็ไม่รู้
“เฮ้ย!” ผมแหกปากลั่นด้วยตกใจที่ไม่คิดว่าคีธจะทำแบบนี้ ก่อนจะแหวมันเสียงลั่น “รู้มั้ยว่าในซิมการ์ดนั่นมีเบอร์สำคัญอยู่น่ะ!”
คีธยังคงนิ่ง แถมตอกหน้าผมอีกด้วย
“มีอะไรสำคัญไปมากกว่าลูกอีกเหรอกวินทร์ แค่วันเดียว ให้เวลาลูกหน่อย พรุ่งนี้กวินทร์ก็ได้กลับไปทำงานแล้ว วันเดียวในหนึ่งปีที่ไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยว มีแต่ลูก กวินทร์ทำได้ใช่มั้ย”
ผมตระหนักได้ในตอนนี้ว่าผมทำอะไรพลาด เลยเบือนหน้าหนี ขยับปากพึมพำแทน
“ก็ได้อยู่หรอกถ้าไม่เล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวน่ะนะ ฉันไม่อยากอ้วกแตกต่อหน้าลูก”
คีธยกยิ้มน้อยๆ วางมือลงบนหัวผมแล้วยีเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันบังให้”
สรุปคือไม่ว่ายังไงมึงก็จะลากกูขึ้นเครื่องเล่นหวาดเสียวนั่นให้ได้ใช่มั้ย!?
ไม่ทันได้ถาม คีธก็เปลี่ยนตำแหน่งมือจากหัวผมมาเป็นจับมือแทน แล้วลากไปหาลูกที่ยืนรออยู่หน้าซุ้มบัตรเครื่องเล่นไวกิ้งแล้ว
แม่ง... เอาก็เอาวะ เพื่อลูกนะไอ้กวินทร์ ท่องไว้... เพื่อลูก