039
..พายุ
.
.
..เป็นคืนที่ผมนอนหลับสนิท และฝันดี เพราะฝันว่าตัวเองกําลังนอนอยู่ข้างๆ ปรินซ์ และคนตัวสูงยังคงนอนหลับใหลไม่ได้สติ ..ผมเอื้อมมือไปบีบจมูกโด่งๆ ของคนข้างๆ ..ก็ในนี้เป็นเพียงมิตินิทรา ปรินซ์คงไม่ว่าอะไรถ้าจะโดนผมแกล้งบ้าง
..ได้ผล ปรินซ์คิ้วขมวด ทั้งยังยกมือขึ้นมาคว้าเอามือของผมไว้แน่น ใครจะไปยอม ผมพยายามดึงมือของตัวเองให้หลุดออกจากการควบคุม แต่ก็ไม่เป็นผล ซํ้ามือของปรินซ์ยังยิ่งกุมกระชับแน่น!
“แกล้งพี่แต่เช้าเลยนะ..”
“..แต่มันเป็นเช้าในความฝันของธาม ขอแกล้งหน่อยไม่ได้รึไง”
ปรินซ์เลื่อนมือที่มีมือของผมอยู่ไปสัมผัสยังอกเปลือยเปล่าของตัวเอง!
“!!!!!”
“..ธามฝันแบบนี้อยู่รึเปล่า”
หน้าของผมร้อนผ่าว รีบชักมือของตัวเองกลับ แต่ก็สู้แรงของปรินซ์ไม่ได้ ปรินซ์ได้ทียิ่งโอบร่างผมแน่น.. ใจผมเต้นรัว
“หรือว่า.. เอาพี่มานอนข้างๆ ในฝันตลอด?”
“หลงตัวเองไปป่ะ” ผมที่เพิ่งยอมรับว่านี่ไม่ใช่ความฝันรีบฝังหน้าของตัวเองลงกับอกขาวของปรินซ์ ..ไม่รู้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีไหม แต่ก็ดีกว่าสู้ตาปรินซ์ที่มองจ้องอยู่
“เขินเหรอ..”
“เออ เขิน”
“ทําไงถึงจะหาย?”
“ไม่รู้..”
“งั้นพี่บอกให้..” ผมเอียงหูเพราะอยากรู้ ขณะที่ปรินซ์เองก็เอียงหน้าลงมากระซิบ..
…..........
“เชี่ยปรินซ์!”
“พี่จะบอกว่า.. พี่รู้แค่ว่าจะทําไงให้ธามเขินกว่าเดิม” ตอนนี้หน้าของผมคงแดงแรงยิ่งกว่าเฉดสีบนจอ LED!!
…..........
“ธาม!” เสียงของม๊า
ผมกับปรินซ์มองหน้ากันปรินซ์พยักหน้าให้ผม แม้สีหน้าจะตกใจไม่แพ้กัน..
“ครับม๊า” ผมพยายามปรับสีหน้า ก่อนเดินไปเปิดประตู..
..เชี่ย ประตูไม่ได้ล็อก!!
ผมเปิดประตู..
“คนรถที่บ้านปรินซ์มารับแล้วนะ บอกปรินซ์ให้รีบลงไปได้แล้ว” ม๊าพูดเสียงเย็น
“คนรถ?”
“..ม๊าโทรไปบอกพ่อปรินซ์เองว่าให้ส่งคนมารับ นอนบ้านตัวเอง.. ยังไงก็ดีกว่านอนบ้านคนอื่น..”
“แต่ปรินซ์ยังเจ็บอยู่เลยนะม๊า”
“..ก็ยิ่งต้องอยู่บ้านตัวเอง รีบแต่งตัวแล้วลงไป อย่าให้รอนาน..”
…............
ผมปิดประตู.. หันหน้ามองคนตัวสูงที่ยิ้มบางให้ผม “ไม่เป็นไร.. เราจะต้องผ่านไปได้ เชื่อพี่..”
ผมกับปรินซ์พากันเดินลงมาจากบันได.. เดินผ่านป้าป้าที่ยังคงยิ้มแย้มให้ปรินซ์เป็นปกติ และถามไถ่อาการปรินซ์ด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ม๊านั่งนิ่งอยู่ที่ชุดเก้าอี้หน้าทีวี..
‘ต่อไปข่าวใหญ่วงการกีฬาครับ’
‘...’
‘เป็นข่าวไม่ค่อยดีของวงการนักกีฬาระดับมหาวิทยาลัยครับ สองวันที่ผ่านมามีโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ระบุว่านักกีฬาฟุตบอลดาวรุ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง มีชื่ออักษรย่อว่า ป.อ. ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนนักกีฬาไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัยโลกด้วย ตามข่าวบอกว่านาย ป.อ. เคยข่มขืนเพื่อนสาวต่างคณะ ซึ่งจากหลากหลายแหล่งข่าวก็คาดเดากันว่า นาย ป.อ. อาจจะเป็น ปรินซ์ อชิระ กองหลังดาวรุ่งครับ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากทั้งทางมหาวิทยาลัย และทางนายอชิระนะครับ ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร..’
‘ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าเป็นห่วงนะคะว่าเส้นทางการเป็นนักกีฬาอาจจะต้องจบลง’
‘ครับ แล้วก็อาจมีผลทั้งเรื่องการเรียน และในส่วนของคดีความด้วยนะครับ..’
..ผมมองหน้าปรินซ์ที่เดินตามหลัง ปรินซ์ยังคงยิ้ม.. ต่างจากผมที่ใกล้ร้องไห้เต็มที..
“ผมกลับก่อนนะครับมาม๊า..”
“...”
..ปรินซ์กับผมเดินผ่านหลังของม๊าไปเงียบๆ ..ม๊าไม่แม้แต่จะหันหลังมามองตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นม๊าเป็นแบบนี้ ม๊าทําเหมือนกับว่าปรินซ์และผมเป็นเพียงอากาศธาตุ
ปรินซ์ยิ้มให้ผมหลังจากหยุดยืนที่ข้างประตูรถยนต์ขนาดเจ็ดที่นั่ง.. ขณะที่ผม..
“เข้าบ้านได้แล้ว..” ม๊าเดินมาประชิดที่ข้างกายผม ก่อนจูงมือผมกลับเข้าบ้าน และปิดประตูบ้านทันทีทั้งที่ปรินซ์ยังคงยืนมองผมอยู่..
.
.
..ปรินซ์
“ไงลูกชาย..” พ่อ..ที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากล่าวทักทายลูกชายคนเดียวอย่างผมเมื่อเราทั้งคู่นั่งข้างกันบนรถ
“...”
“ไปทําอีท่าไหนให้ถูกจับได้.. หรือว่าเมื่อคืน..”
“ผมไม่เคยละเมิดสัญญา..”
“...”
“ป๊าก็อย่าลืมเงื่อนไขในส่วนของป๊า..”
“ใช้ได้นิหว่า รู้จักเอาสัญญามาต่อรอง..”
“..ก็ผมลงทุนไปด้วยชีวิตของผม และผมก็รู้ว่าสัญญานั่นจะต้องคืนกําไรให้ผมในท้ายที่สุดตามที่ป๊าสัญญาไว้”
“..สมกับที่เป็นลูกอั๊ว มองขาดแต่เด็ก”
“...”
“..แล้วลื้อจะเอาไงต่อ?”
“ก็ทำตามเงื่อนไขข้อสุดท้าย.. ป๊าเองก็อย่าทำให้ผมผิดหวัง เพราะป๊าบอกผมเอง ..ว่ามันจะคุ้มค่ากับที่ผมลงทุนไป”
“...”
.
.
..ธาม
“ม๊า..”
“...”
“ม๊าโกรธอะไรปรินซ์.. ถ้าเรื่องข่าวเมื่อกี้ ธามอธิบายให้ม๊าฟังได้นะ มันเป็นเรื่..”
“ธาม.. เรื่องข่าวก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่อง.. ธามรู้ใช่ไหมว่าเรื่องอะไร..”
“...”
“ม๊าเห็น..”
“ม๊า.. คือธามกับปรินซ์..”
“ม๊าบอกธามไว้ตรงนี้เลยนะ ม๊ารับไม่ได้ และก็จะไม่มีวันรับได้.. ธามเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล วันนึงธามก็ต้องแต่งงาน มีลูก เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เลิกยุ่งกับปรินซ์ซะ”
“แต่ม๊า! ธามโตแล้วนะ เรื่องนี้ให้ธามเลือก ให้ธามตัดสินใจเองไม่ได้เหรอ”
“แต่ในสายตาของม๊า.. ธามก็ยังคงเป็นเด็ก เด็กที่ยังไม่รู้จักโลก! ธามจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีครอบครัวที่ดี ที่ถูกต้อง คนอื่นเขาจะมองธามยังไง ไม่อายเขาเหรอ!”
“ม๊า.. ปรินซ์ก็เป็นคนดี ม๊าเลี้ยงปรินซ์มา แล้วม๊าก็รักปรินซ์.. รักมากกว่าธามอีก.. แล้วทำไมเป็นปรินซ์ไม่ได้..”
“ยังไงก็เป็นไปไม่ได้!! ธามต้องเชื่อฟังม๊า! เพราะม๊าคือคนที่รักและหวังดีกับธามที่สุด! กลับขึ้นไปได้แล้ว..” ผมมองหน้าม๊า.. ม๊าเป็นเคยแม่ที่ใจดีที่สุด.. ม๊าเป็นแม่ที่ผมรักมากที่สุด.. แต่ตอนนี้ม๊ากลายแม่ใจร้ายในสายตาของผม ผมเข้าใจม๊า.. อยากยอมรับว่าที่ม๊าพูดมามันไม่ผิด ..แต่ใจผมล่ะ ใจของผมจะยังคงเต้นอยู่อย่างมีชีวิตได้ยังไง ในเมื่อผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมรักปรินซ์.. เพิ่งยอมรับความจริงที่ตัวเองเป็นได้ ..แล้วความสุข ช่วงเวลาดีๆ ที่เพิ่งได้สัมผัสกลับมาถูกม๊าตอกตะปูปิดตายเรียบร้อยว่ามันจะไม่มีอีกต่อไป ผมควรจะทำยังไง..
“ม๊า.. ให้โอกาสธามกับปรินซ์นะ..” ผมจับแขนของม๊า ภาวนาให้ม๊าใจอ่อนเหมือนทุกครั้งที่ผมอ้อนวอนต้องการขอในสิ่งที่อยากได้
“โอกาสให้ชาวบ้านเขาเอาไปนินทารึไง อยากให้ม๊า ป้าเจ็ง ป้าหมวยต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดินรึไง! มันจะไม่มีโอกาสอะไรทั้งนั้น แล้วก็เอามือถือมาให้ม๊า”
“...” ผมไม่ฝืนแรงของม๊า เมื่อม๊ากระชากเอาโทรศัพท์ไปจากมือของผม
“เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก.. กลับขึ้นไปบนห้องซะ..”
…..........
.
.
..มหาวิทยาลัย
“หวัดดีพี่ / สวัสดีพี่”
“เออ ไอ้ปรินซ์มันเรียกพวกมึงมาด้วยเหรอ”
“ใช่พี่โบ้ท น่าจะเป็นเรื่องข่าว..”
“ข่าวที่ตอนนี้รู้กันค่อนประเทศ”
“เออ ลามเร็วฉิบหาย”
“หวัดดีพี่”
“เอ๊า ไอ้เชี่ยข้าว มึงมาได้ไงเนี่ย กูว่ากูตามไอ้ทีนะ ไม่ได้ตามมึง”
“ก็ไอ้ทีมันบอกให้มา..”
“ออ เป็นตัวแทนไอ้ที.. แล้วทำไมไอ้ทีไม่มา..”
“ก็.. มันลุกไม่ค่อยไหว ก็เลยให้ผมมา เผื่อจะช่วยอะไรไอ้ปรินซ์ได้บ้าง”
“..ลุกไม่ไหว?ทำไมวะ.. เมื่อคืนจัดหนักเหรอพวกมึง??”
“มันดันนอนดึกเพราะมัวแต่เล่นเกม.. แถมเมื่อเช้าตัวมันก็ร้อนเหมือนจะมีไข้อ่อนๆ ด้วย.. มันก็เลยอยากนอนต่อแล้วขอให้ผมมาแทนนี่ไง..”
“อื้มมมมมมม ..งั้นเดี๋ยวคุยเรื่องไอ้ปรินซ์เสร็จ กูจะตามไปเยี่ยมไอ้ที”
“ไม่ต้อง!”
“?”
“มันอยากพัก พี่ก็อย่าไปกวนดิวะ!”
“เออๆ หวงฉิบหาย ได้กันแล้วก็อย่าทิ้งกันล่ะ”
“ไม่ทิ้งหรอก”
“นั่นไง กูว่าแล้ว ว่าพวกมึงได้กันแล้ว”
“!!!”
“ไม่ใช่ดิ! มึงได้ไอ้ทีแล้วตังหาก”
“พอเลไอ้เชี่ยพี่โบ้ท”
“นี่กูเป็นพี่พวกมันรึเปล่าวะไอ้บอสไอ้บรีส กูโดนทั้งไอ้เป้ไอ้ข้าวจิกเรียกชื่อกูตลอด”
“ก็สมควรไหมล่ะพี่”
“มึงก็อีกตัวนะไอ้บอส”
“ผมว่าเราเบรกเรื่องบันเทิงไว้ก่อนไหมพี่ พี่ปรินซ์พี่เป้เดินหน้าเครียดมานู้นแล้ว”
“...”
“หวัดดีพี่ / หวัดดีพี่”
“เออๆ ไหว้พระ”
“ไอ้เป้มันเล่าให้ฟังล่ะว่าเป็นไอ้เวรที่ร้านเหล้าคืนนั้น..”
“มันเป็นคราวซวยของมึงจริงจริ๊ง ที่ลลินเสือกเห็นตอนมึงกับมันมีเรื่องกัน.. แล้วดันไปแลกเปลี่ยนข้อมูลปมความแค้นที่มีกับมึง”
“...”
“นี่ขนาดตอนนั้นมึงไม่เอาเรื่องที่มันต่อยมึง มันก็ยังจะชงความเลวเข้มๆให้มึงจนได้”
“มันคงอิจฉาพี่ปรินซ์ ดันเทพไปหมดทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องบอล”
“แล้วมึงจะจัดการกับมันยังไง.. จัดให้เข้าโรงบาลอีกสักรอบม่ะ.. คราวที่แล้วโดนหมัดเดียวของมึงยังหยอดน้ำข้าวต้ม รอบนี้เอาให้แดกอะไรไม่ได้เลยไหม”
“ไม่ว่ะ ผมจะไม่ทำอะไรมัน..”
“!!!! / !!!!!!! / !!!!!!!!! / !!!!!!! / !!!!!!!”
“กูว่า.. ถ้ามึงจะเป็นคนดี ก็เอาให้ถูกเวลาหน่อยก็ได้นะ เรื่องอย่างนี้มันก็ต้องเอาคืนเปล่าวะ”
“ไอ้ข้าวพูดถูก มึงจะยอมมันง่ายๆ เนี่ยนะ!”
“ผมไม่ได้จะยอม แต่แค่เรื่องที่มันโพสต์ ก็มีส่วนที่จริงอยู่.. แล้วจริงๆ ก็ต้องขอบใจมัน.. ที่ทําให้เรื่องมันง่ายขึ้น”
“เรื่องอะไรวะไอ้ปรินซ์”
“..ก็เรื่องลาออกจากการเป็นนักบอล”
“!!!! / !!!!!!! / !!!!!!!!! / !!!!!!! / !!!!!!!”
“ไอ้เชี่ยปรินซ์! ถ้ามึงไปลาออก ก็เท่ากับมึงยอมรับดิวะว่ามันเป็นเรื่องจริง”
“ใช่พี่”
“คนอื่นจะคิดยังไงผมไม่สน ผมสนแค่คนของผม..”
“โอ้โห กูล่ะซาบซึ้ง ชื่อเสียงที่มึงสั่งสมมามึงจะยอมแลกกับขี้ปากของคนหมาๆเพียงคนเดียว?”
“ใช่ แต่ผมไม่ได้แลกกับไอ้เชี่ยนั่น ..ผมแค่แลกกับธาม”
“เอาไงดีวะพี่..”
“ก็มันตัดสินใจไปแล้วนี่หว่า”
“พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอวะพี่”
“กูก็จนปัญญาว่ะ มันบอกโค้ชก่อนมาเจอพวกเราด้วยซ้ำ กูล่ะนับถือจิตใจของมันจริงๆ ถึงกูจะยังไม่เข้าใจว่าไอ้การออกจากการเป็นนักบอล มันจะเกี่ยวยังไงกับไอ้ธาม..”
“...”
“ไอ้ข้าว.. มึงมีไอเดียอะไรบ้างไหม”
“พี่ช่วยเล่าก่อนได้ป่ะว่าเรื่องที่ร้านเหล้ามันเรื่องอะไร”
“เออว่ะ ตอนนั้นมึงมัวแต่โชว์หล่อบนเวที.. ก็ไอ้ธามมันเมาไปเข้าห้องน้ำ แล้วเสือกไปทักทายคนอื่นแรงไปหน่อยเพราะคิดว่าเป็นเพื่อน ไอ้เวรนั่นก็ไม่พอใจจะต่อยไอ้ธาม แต่ไอ้ปรินซ์มันเข้าไปขวางไว้ทัน ไอ้ปรินซ์ก็พยายามลากไอ้ธามหนีแล้ว แต่ไอ้เวรนั่นเสือกไม่ยอม แล้วดันต่อยไอ้ปรินซ์ก่อน ไอ้ปรินซ์มันก็เลยซัดหมัดเดียวไอ้เวรนั่นหลับ แต่ไอ้ปรินซ์ก็ยังตามรถโรงบาลมารับ ซึ่งมันก็โอเค ไม่ได้ติดใจอะไรกัน จนมันไปเจอลลิน แล้วก็เสือกโพสต์หมาๆนั่นแหละ”
“แสดงว่ามันเจ็บใจเพราะโดนต่อย..”
“เห้ยพี่”
“อะไรไอ้บอส”
“ผมว่าเรามีวิธีเอาคืนมันแล้วพี่”
“?”
.
.
.
..ธาม
..สองวันที่ผ่าน ผมเหมือนถูกจำคุกเพราะความผิดข้อหาอะไรสักอย่างในห้องของตัวเอง มีป้าหมวยคอยเอาข้าวเอาน้ำมาให้ผม ทั้งที่ผมควรจะลงไปช่วยอะไรในบ้านในครัวเหมือนทุกครั้งที่ผมอยู่บ้าน
..ผมถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเหมือนตัวเองหลงเข้ามาในดินแดนที่ถูกรีเซ็ทให้ย้อนเวลากลับไปในยุคที่ไร้ซึ่งเครื่องมือสื่อสาร แม้แต่ช่องทางในการรับข่าวสารอย่างวิทยุหรือทีวีก็ยังไม่ถือกำเนิดเกิดขึ้น
..ผมอ่านการ์ตูนที่คุ้นเคยเล่มแล้วเล่มเล่าจนแทบหมดตู้ จริงๆผมไม่ได้อ่าน.. ไม่มีตัวหนังสือ หรือลายเส้นอารมณ์ของตัวละครตัวไหนซึมผ่านเข้ามาในการรับรู้ของผม ..ผมเปิดพวกมันเพียงแค่ฆ่าเวลาให้ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็วและรวดเร็ว
..ทำไมถึงไม่มีข่าวจากคนตัวสูง
..ตอนนี้จะยังเจ็บแผลอยู่ไหม
แล้วตอนนี้.. จะยังคิดถึงกันอยู่รึเปล่า
..น้ำตาผมไหลทุกครั้งที่คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันที่เมื่อตื่นขึ้นก็เป็นแค่เรื่องราวที่จิตใต้สำนึกร่ายกลให้ผมหลงมีความสุขเพียงแค่ชั่วการหลับ.. แต่ภาพของกล่องยา ผ้าห่มที่ยังคงยับยู่อยู่บนเตียงของปรินซ์.. ก็คอยย้ำเตือนว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง..
……!!!!!!!
เสียงเบาๆของอะไรสักอย่างที่กระทบกับหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ดังอยู่ในการรับรู้อันบางเบาของผม.. มันดังเบาๆ ต่อเนื่องอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มสนใจว่ามันคือเสียงอะไร..
..คงเป็นนกน้อยที่คาบเอาเส้นไม้กวาดมาทำรัง
..คงเป็นแมวที่อยากฝนเล็บตัวเองให้พร้อมกับการแย่งชิงอาณาเขต
..คงเป็นสไปเดอร์แมนที่เที่ยวชักใยฝากไว้ตามตึกที่กระโดดผ่านไปทั่ว
..ถ้าเป็นปรินซ์ก็คงดี
“ธาม.. นี่พี่เอง”
“ธาม.. ได้ยินพี่ใช่ไหม..”
..เสียงของปรินซ์
มันเป็นเสียงของปรินซ์จริงๆ ผมไม่ได้กําลังถูกหลอนหลอกโดยความคิดของตัวเอง ผมรีบลุกไปที่หน้าต่างที่ถูกปิดอยู่ ในใจก็แอบคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอในเมื่อพื้นที่ใต้หน้าต่างมันน้อยมากจนไม่น่าจะยืนเหยียบอยู่ได้..
“ธาม.. ค่อยๆ เปิดหน้าต่าง เปิดบานซ้ายก่อนนะ ไม่งั้นพี่ร่วงแน่”
“ซ้ายธามหรือซ้ายปรินซ์”
“ซ้ายธาม”
“ถ้าเปิดผิด..”
“ไม่ต้องกังวล เปิดเถอะ ถ้าไม่รีบ เดี๋ยวจะมีคนผ่านมาเห็นนะ”
..ผมค่อยๆ เปิดหน้าต่างฝั่งซ้าย แสงจากไฟทางที่ถูกเปิดเพราะเป็นเวลาพลบค่ำฉายใบหน้าของปรินซ์ให้ปรากฏขึ้นที่หลังหน้าต่างฝั่งขวา ใบหน้าที่ผมไม่ได้เจอแค่สองวัน แต่กลับเหมือนผมไม่ได้เห็นใบหน้านี้มาเป็นปี..
“อย่าเพิ่งยิ้ม เก็บไว้ยิ้มให้พี่ตอนพี่เข้าไปได้..”
ปรินซ์จับยึดขอบหน้าต่างไว้แน่น ก่อนค่อยๆ เบี่ยงตัวและปีนเข้ามาภายในได้สำเร็จ ..หน้าต่างถูกปิดลงอย่างแผ่วเบาโดยคนตัวสูงผมเฝ้ามองคนตัวสูงด้วยความปลื้มใจ น้ำตารื้นไหลคลอเคล้าเต็มดวงตาจนเห็นภาพเป็นโมเสคฟุ้ง.. ผมโผกอดหลังของปรินซ์ทันทีที่คิดว่ากระบวนการการแอบย่องเข้าห้องผมเสร็จสิ้น.. ผมต้องการการสัมผัส.. สัมผัสให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน..
“คิดถึงพี่ใช่ไหม..”
“อื้ม.. คิดถึงมาก..”
“งั้นให้พี่ดูหน้าหน่อยได้ไหม”
“ไม่ได้..”
“ทำไม..”
“เพราะร้องไห้อยู่..”
ปรินซ์หัวเราะเบาๆ “ไหนว่าคิดถึง คิดถึงแล้วไม่อยากเห็นหน้าพี่เหรอ..”
“...”
ผมยอมคลายอ้อมกอดที่รัดตัวปรินซ์ไว้หลังจากที่คิดว่าหน้าตัวเองดีขึ้นนิดหน่อยเพราะได้ซับน้ำตาฝากไว้ที่เสื้อของปรินซ์บางส่วนแล้ว..
..ปรินซ์กลับตัวมามองผม “ขี้แยเป็นเด็กๆ”
“..ก็มึงหายไป แล้วม๊าก็..”
“ไม่เจอแค่สองวัน.. ไม่สุภาพกับพี่อีกแล้วนะ”
“ก็กูไม่รู้จะทำยังไง โดนขัง มือถือก็โดนยึด โดนม๊าสั่งว่าไม่ให้เจอมึง แล้วมึงก็หายไป..” สองมือของผมกำอกเสื้อปรินซ์ไว้แน่น น้ำมูกน้ำตาไหลพราก.. ปรินซ์จะเข้าใจไหมว่าผมกลัวมากแค่ไหน..
..คนตัวสูงมองหน้าผม ยิ้มอ่อนโยนระบายอยู่บนใบหน้า ปรินซ์โน้มหน้าเข้ามาใกล้ผม ก่อนประคองลำคอของผมขึ้น และมอบจูบอันอ่อนโยนให้ผม.. ผมหลับตาเพื่อซึมซับความรู้สึกทั้งหมดที่ปรินซ์ส่งให้ผม.. ความอบอุ่นใจ ความปลอดภัย และการรับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน..
..ปรินซ์กอดผมหลังจากที่เราถอนริมฝีปากออกจากกัน
“พี่อยู่นี่แล้ว.. ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องห่วง เรื่องของเราสองคน พี่จะไม่ยอมแพ้ ธามแค่อดทนอีกหน่อย เชื่อพี่นะ..”
.
.
.