ช่วงนี้เป็นช่วงสุดท้ายก่อนสอบ เนมค่อนข้างตั้งใจมากกว่าการสอบย่อย มีเวลาว่างก็อ่านหนังสือ หรือนัดติวกับเพื่อนบ่อยๆ ถ้าติวเฉพาะในกลุ่ม ผมจะไปคอยรับที่หอพักของคีย์ แต่ถ้าติวกันเป็นกลุ่มใหญ่กับเพื่อนในห้อง ผมก็จะไปรับที่ตึกคณะ เพราะที่นั่นจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ผมเคยซื้อเสบียงไปส่งแล้วจอดรอให้เนมติวเสร็จ แต่ก็แค่ครั้งเดียวเพราะเนมเกรงใจ รวมถึงเพื่อนๆ เนมด้วย วันท้ายๆ ก่อนสอบซึ่งอาจารย์เริ่มจะงดสอนหรือปล่อยก่อนเวลาเป็นส่วนใหญ่ เนมเลยเลือกจะติวและค้างที่ห้องคีย์จนเช้าหรือเกือบเช้า แล้วปล่อยให้ผมนอนพักก่อนจะออกไปรับเมื่อเนมโทรมาหา แล้วเนมก็จะสลบเหมือดตั้งแต่ขึ้นรถ จนผมแทบต้องแบกขึ้นห้องแทบทุกวัน ใจจริงผมก็กะจะอุ้ม แต่พออุ้มแล้วเนมรู้สึกตัวก็มักจะรีบสะบัดตัวให้ผมปล่อย แล้วเจ้าตัวก็เดินเซไปเซมาจนทิ้งตัวลงโซฟาในห้องนั่นล่ะ ถึงยอมจะให้ผมอุ้มเข้าห้องหรืออาบน้ำเช็ดตัวให้แต่โดยดี
“ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นน้องเนมมาที่นี่เลยวะ”วันนี้ผมมาเร็วกว่าปกติ เพราะต้องมาคุยงานใหม่
“ไปติวหนังสือกับเพื่อนมัน”
“อุ้ยตาย หนูเนมลืมอาจารย์ใกล้ตัวไปได้ยังไงกัน ทำไมไม่อ้อนให้สามีติวให้วะ อ๋อ...สงสัยกลัวจะติวผิดข้ามภาคปฏิบัติไปภาคปฏิบัติล่ะมั้ง”นิ้งลอยหน้าลอยตาตั้งใจกวนผมเต็มที่
“เห็นชอบโทรไปคุยแบบสาวๆ กันไม่ใช่เหรอ”ผมถามเพราะคิดว่ามันน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเนมเตรียมสอบ เพราะช่วงนี้พวกเราก็เตรียมเก็งข้อสอบให้นักเรียนที่มาเรียนเหมือนกัน และวันนี้ก็จะเป็นการสอนวันสุดท้าย
“ก็รู้ว่าน้องมันเตรียมสอบแล้วจะโทรไปรบกวนทำไมล่ะวะ เห็นอย่างนี้ก็มีหัวคิดนะเว้ย”
“แล้วนี่คุณกอบมีงานใหม่อะไรมึงรู้มั้ย”ปกติแล้วคุณกอบ ผู้จัดการจะประจำที่สาขาใหญ่เท่านั้น นานๆ ถึงจะแวะเวียนมาเยี่ยมสาขาย่อย เพราะความจริงสาขานี้คนดูแลจริงๆ คือลูกพี่ลูกน้องเขา แต่ถ้ามีงานนอกเหนือจากการสอน ผมต้องไปรับงานที่คุณกอบที่สาขาใหญ่เสมอ ยกเว้นครั้งนี้
“เห็นพวกพี่ปุ๋มคุยให้ฟังว่าเขาจะเปิดบริษัทใหม่ว่ะ เขาจะแยกพวกงานอบรมพวกเขียนโปรแกรมอะไรแนวนี้ไปเป็นอีกบริษัทเลย ส่วนที่นี่ก็จะเหลือแค่งานสอน เขาลือกันนะว่าแกจะค่อยๆ แยกตัวออกไปแล้ววางมือให้ลูกสาวมาคุมแทน”
“แล้วหุ้นส่วนแกไม่โวยเหรอ แยกไปแบบนี้ก็ต้องดึงคนไปด้วยน่ะสิ”
“ก็นี่แหละที่กำลังเป็นประเด็น เมาท์กันมาสองสามวันแล้ว หุ้นส่วนจะมีใคร ก็ญาติๆ ทั้งนั้น หลายระบบกงสีมากกว่ามั้ง แต่คนทำงานมีคุณกอบกับบอสเราลุยแค่สองคน คนอื่นๆ นอนกินกำไร เข้างานมาให้เห็นหน้าเดือนละกี่ครั้งกัน ยิ่งพวกงานเขียนโปรแกรมงานอบรมนะ แทบไม่ลงมาแตะ แต่งานตรงนี้กำไรมันเยอะนี่ บอสเราก็ยุนะว่าให้แยกบริษัทออกไป เดี๋ยวเขาไปหุ้นกันสองคนไม่เอาญาติคนอื่นเลย”
“ทำงั้นก็ดีนะ ความจริงคุณกอบหัวสมัยใหม่มากนะ คิดแต่จะพัฒนางานไปเรื่อยๆ ไม่หวงงานไม่หวงความรู้ ใครจะรับงานนอกยังไงก็ไม่ว่า แถมยังเอางานมาป้อนให้เรื่อยๆ พี่ปิ๊กก็ดีแบบเรื่อยๆ ของแก ไม่ไปยุ่งกับคนอื่น ใครจะหาเรื่องยังไงก็เฉยๆ แต่ขยัน คุณกอบคงทนให้หุ้นส่วนเอาเปรียบไม่ไหวแล้วมั้ง คนขยันแล้วแอคทีฟแบบแกทำงานจับจดเหมือนหุ้นส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้หรอก”
“เออ นี่ก็คุยๆ กันว่าอยากตามแกไปบริษัทใหม่เหมือนกันนะ แต่ยังไม่รู้จะไปทำหน้าที่อะไรนี่สิ สงสัยที่คุณกอบมาคุยถึงนี่เพราะจะชวนมึงไปทำงานด้วยล่ะมั้ง ไปคุยที่สาขาใหญ่เดี๋ยวเจออีกาคาบข่าวไปบอกคนอื่นจะพาลซวยกันหมด”
“นั่นไง แกมาพอดี”ผมเงยหน้ามองผ่านกระจกออกไปก็เห็นคนที่กำลังถูกพูดถึงเดินตรงมาทางนี้
“เออๆ คุยเสร็จมาเล่าด้วยล่ะ”นิ้งรีบหันไปมองแล้วเดินกลับไปประจำตำแหน่งตัวเอง
คุณกอบศักดิ์เป็นผู้ชายเชื้อสายจีน อายุราวๆ สี่สิบปลายๆ เป็นคนที่ดูกระฉับกระเฉงจนเดาอายุแทบไม่ออก แต่คุณกอบเป็นคนไทยเชื้อจีนที่แทบมองไม่ออกว่ามีเชื้อจีนปน นอกจากจะเป็นคนพูดจาสุภาพ นุ่มนวล เสียงยังค่อนข้างเบา และมีหัวคิดออกไปทางฝรั่ง
“พี่ไม่รู้ว่าโก้รู้เรื่องบริษัทที่พี่จะไปเปิดหรือยังนะ แต่ที่จะคุยนี่พี่ไม่ได้บังคับหรือกดดันหรอก พี่เห็นว่าเราเก่ง นิสัยก็ถูกใจพี่ เลยอยากให้ไปทำงานด้วยกัน อาจจะเริ่มต้นเล็กๆ ก่อน ไม่ถึงกับเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ แต่ก็คงลำบากช่วงแรกๆ พอดูนะ”คุณกอบเริ่มพูดเข้าประเด็นทันทีที่เดินเข้ามานั่งในห้องเรียนที่ว่างอยู่ และปิดประตูห้องคุยกันลำพังแค่เราสองคน เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นไปตามที่นิ้งได้เล่าคร่าวๆ แล้ว แต่คุณกอบไม่ได้พูดถึงปัญหาภายใน พูดเน้นแค่เฉพาะเรื่องบริษัทใหม่ และแนวทางของที่นี่หากคุณกอบไม่อยู่ แน่นอนแล้วว่าคุณกอบจะวางมือไม่ไปอยู่แค่ในตำแหน่งที่ปรึกษา และไม่ถอนหุ้นออก ส่วนคนที่จะทำหน้าที่แทนน่าจะเป็นลูกสาวคุณกอบที่กำลังจะจบปริญญาโทในไม่กี่เดือนนี้ ด้วยวัยอาจจะทำให้มีปัญหากับหุ้นส่วนคนอื่นและพนักงานบางคนในระยะแรง แต่คุณสมบัติต่างๆ น่าจะพอสู้ได้ คุณกอบอยากให้ผมไปตัดสินใจให้ดีว่าจะออกจากที่นี่ แล้วไปทำงานที่ใหม่เต็มตัว ไปเริ่มใหม่พร้อมๆ กัน โดยยินดีให้ผมร่วมหุ้นด้วย แม้จะไม่มากแต่ก็เป็นหลักประกันอนาคต แต่หากอยู่ที่เดิม คุณกอบก็ยังคงยินดีป้อนงานให้ผมเรื่อยๆ แต่ผมคงต้องระวังตัวมากกว่าเดิม เพราะอาจจะมีคนไม่พอใจ
หลังเลิกงานผมยังไม่ได้คุยกับนิ้ง เพราะนิ้งกลับไปก่อน ผมกลับมาห้องเพียงลำพัง คืนนี้เนมก็ไม่กลับเหมือนสองคืนก่อน ผมมองดูนาฬิกานิดหน่อย เมื่อเห็นว่าไม่ดึกมากเลยโทรกลับบ้านเพื่อคุยคุยเรื่องข้อเสนอที่ได้รับมาวันนี้ ผมว่าการโทรไปปรึกษาปัญหากับพ่อแม่ของเราเป็นเรื่องที่ควรทำ ไม่ว่าเราจะเป็นเด็ก หรือโตเป็นผู้ใหญ่มากแค่ไหน ยังไงท่านก็ยังเป็นพ่อแม่ของเราไปจนชั่วชีวิต เพราะงั้นการให้ท่านมีส่วนร่วมในชีวิตเราจึงเป็นสิ่งจำเป็นและต้องทำ
“แม่ทำอะไรอยู่”
“ดูข่าว เดี๋ยวจะไปนอนแล้ว”
“พ่อล่ะ”
“อาบน้ำอยู่ โทรมาซะดึกมีอะไรหรือเปล่า”
“เจ้านายมาคุยเรื่องงานใหม่วันนี้ เขาจะไปเปิดบริษัทใหม่”ผมเล่าให้แม่ฟังคร่าวๆ อย่างรวบรัด
“แม่คิดว่าไง”
“ก็ต้องแล้วแต่โก้นะ โก้ชอบงานไหนก็ทำงานนั้นน่าจะอยู่ได้นานและมีความสุขมากกว่า ก็เหมือนที่ลูกใช้ตัดสินใจหลายๆ เรื่องเองไม่ใช่เหรอ หรือห่วงเรื่องเงินซื้อหุ้น แม่กับพ่อพอจะมีให้กู้นะ”แม่พูดจริงนะครับ ไม่ได้แหย่เล่นแม้แต่น้อย ปกติถ้าผมต้องการเงินสักก้อนที่คิดว่ามันมาก ผมก็จะยืม ไม่ใช่ขอ และจะเอามาใช้คืนเสมอ
“เรื่องหุ้นโก้ไม่คิดมากหรอก ได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ความจริงเขาจะออกค่าหุ้นให้ก่อนแล้วให้โก้ผ่อนจ่ายด้วย แต่ที่โก้ลังเลเพราะงานใหม่มันไม่เหมือนเดิมตรงที่งานค่อนข้างหลากหลาย ต้องคอยคิดคอยทำอะไรใหม่ๆ ตลอด คงยุ่ง”ผมอดบ่นนิดๆ ไม่ได้ คำว่ายุ่ง ไม่ได้หมายถึงยุ่งยาก แต่เพราะคงไม่ยาก แต่ผมกลัวตัวเองจะรำคาญมากกว่า งานสอนค่อนข้างจำเจ สอนแบบเดิมๆ ตลอดเพียงแค่เปลี่ยนกลุ่ม ทำให้ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ่อย หากผมเบื่อก็รับงานอบรม หรือเขียนโปรแกรมแก้เบื่อได้เป็นพักๆ อย่างทุกวันนี้ก็สบายดีแล้ว
“แม่ว่าโก้เนือยกับตัวเองไปหรือเปล่า ปกติลูกแม่ไม่เคยชอบอะไรจำเจซ้ำซากไม่ใช่เหรอ ลูกอาจจะชอบเป็นผู้นำคน ชอบสอนคน แต่แม่ว่าลูกมีพลังมากกว่าแค่ ‘สอน’ คนอื่นนะ”แม่ยังไงก็คือคนที่รู้จักเรามากที่สุด อาจไม่รับรู้เรื่องราวทุกช่วงชีวิต แต่เมื่อมีบางอย่างเปลี่ยนไป ท่านจะรับรู้ได้เสมอ ใช่...ก่อนนี้ผมค่อนข้างเนือย เลยไม่อยากทำงานอะไรที่ต้องวุ่นวาย ต้องแก้ปัญหา หรือแม้แต่ต้องสนทนากับคนอื่นบ่อยๆ งานสอนอาจจะต้องพูดคุย แต่ส่วนใหญ่คือการพูดคนเดียว และมันไม่เหมือนการพูดคุยแบบธุรกิจกับลูกค้า ซึ่งมันน่าเบื่อสำหรับผมมาก
ผมคุยกับแม่อีกนิดหน่อย แม่ถามเรื่องเนมว่ามาอยู่กับผมเป็นยังไงบ้าง ซึ่งผมก็ตอบรวมๆ ไม่ได้บอกอะไรพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รับรู้ได้ว่าแม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเนมในตอนนี้แล้ว อย่างที่บอกว่าผมมักจะปรึกษาหลายๆ เรื่องกับพ่อแม่เสมอ เพราะงั้นเรื่องอะไรก็ตามที่มันสำคัญ ก็จะไม่เคยเป็นความลับ อันที่จริงแม่คงรู้ตั้งแต่สมัยเนมยังเด็กแล้วมาบ้านผมบ่อยๆ แล้วนั่นล่ะ เพียงแต่บ้านผมก็มีนิสัยคล้ายๆ ผม คือเราจะไม่นั่งซักนั่งถามเรื่องส่วนตัวของกันและกัน แต่ถ้าพร้อม เราจะพูดออกมาเอง เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมเคยพูดเรื่องขอไปอยู่ดูแลเจหลังพ่อแม่เจจากไป
รุ่งเช้าผมตื่นตั้งแต่หกโมงกว่า ซึ่งเป็นเวลาปกติของช่วงนี้ สิ่งแรกที่ผมเหมือนทุกวันคือเช็คข้อความในโทรศัพท์ว่าเนมจะให้ออกไปรับกี่โมง แต่วันนี้แปลกกว่าทุกวัน เพราะเนมส่งมาบอกว่า...ไม่ต้องไปรับ...สั้นๆ เข้าใจง่าย แต่ไม่เคลียร์ ทันทีที่อ่านข้อความจบ สิ่งที่แรกผุดขึ้นมาคือหน้าของเด็กผู้ชายที่มักจะเดินคู่กับเนมให้เห็นเวลาผมไปรับบ่อยๆ คนนั้นคือ ‘เพื่อน’ ที่เนมยังไม่เคยแนะนำให้ผมรู้จัก แต่จากการเล่าเรื่องต่างๆ ในช่วงติวหนังสือให้ฟัง ผมเดาๆ เอาว่าน่าจะชื่อฟิวส์ เดือนคณะที่ทั้งหน้าตาดี เรียนเก่ง กีฬาเป็นเลิศ และขอเดาต่อไปอีกว่าฐานะทางบ้านก็ต้องดี
ผมแต่งตัวลงมาเข้าฟิตเนสของคอนโดฯ ที่ไม่ค่อยได้มาใช้บริการเท่าไร วันหยุดอย่างนี้ก็มีคนมาใช้หลายคนเหมือนกัน มีบางคนที่พอจะคุ้นเคยกันบ้างเพราะเจอกันที่นี่บ่อยเลยได้ทักทายกันนิดหน่อย เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหนักเหมือนเมื่อก่อน ผมเลยใช้เวลาวอร์มอัพค่อนข้างมาก แต่ไม่หนักเพื่อจะไม่ต้องปวดกล้ามเนื้อ รวมๆ แล้วใช้เวลาในฟิตเนสไปเพียงชั่วโมงกว่า
ผมเดินออกไปหน้าคอนโดฯ ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง ต้มเลือดหมู น้ำเต้าหู้ไว้เป็นอาหารเช้า แน่นอนว่าเผื่อให้เนมด้วย แต่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลับตอนไหนเพราะยังไม่ได้โทรไปถาม....บางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องโทรถามแล้วก็ได้ ในเมื่อคนที่กำลังนึกถึงยืนอยู่หน้าทางขึ้นคอนโดฯ...พร้อมด้วย ‘เพื่อน’ ที่คงอาสามาส่ง ไม่มีการเร่งรีบหรือตะโกนเรียกให้เนมหันมาเห็นว่าผมมองอยู่ และกำลังเดินเข้าใกล้ทั้งคู่มากขึ้นทุกที แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่มีทีท่าจะล่ำลากันจบ จนกระทั่งผมเดินเข้าไปใกล้รถที่จอดใกล้ๆ ทั้งคู่นั่นล่ะ เนมถึงได้เป็นคนหันมาเห็นผมก่อน
“พี่โก้!”พอเนมเรียก อีกคนเลยหันมามองผมด้วย และหันไปถามอะไรกับเนมก่อนเนมจะพยักหน้าตอบแล้วรีบเดินเข้ามาหาผม
“เอ่อ...ไปไหนมาเหรอฮะ”เนมเอื้อมมือมาจับชายเสื้อผมซึ่งยังชื้นๆ เหงื่ออยู่นิดหน่อย
“เพิ่งเล่นฟิตเนสเสร็จเลยออกไปซื้อของกิน”ผมยกถุงในมือขึ้นสูงเพื่อให้เนมเห็นว่ามีอะไรบ้าง และหลายๆ อย่างเป็นของโปรดของเนม เจ้าตัวตาวาวทันทีที่เห็นหมูปิ้งเจ้าโปรด พร้อมทั้งยื่นมือมาหยิบถุงไปถือเอง และยังทำท่าจะหยิบออกมากินตรงนี้แต่ผมตีมือเบาๆ ให้รู้ว่าห้ามกิน เดี๋ยวก็ขึ้นห้องแล้วค่อยไปนั่งกินดีๆ ก็ได้ เนมยิ้มแหะๆ ให้อย่างรู้ตัว ก่อนจะหันไปมองเพื่อนตัวเองที่ยังยืนอยู่ข้างรถ เนมจับมือผมข้างที่ว่างแล้วจูงให้เดินไปทางเพื่อนของตัวเองพร้อมแนะนำตัว...ให้ได้รู้จักกันสักที
“พี่โก้ นี่ฟิวส์ฮะ เป็นเพื่อนคณะเดียวกันแต่นละห้อง แต่ว่าเป็นกลุ่มเตะบอลแล้วก็กลุ่มติวหนังสือด้วยกัน”ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายนิดๆ อย่างไม่สนใจสายตาสำรวจเหมือนประเมิณค่าผมอยู่ เพราะที่ผมสนใจตอนนี้มีเพียงการรอฟังคำแนะนำตัวของผม สถานะของผมที่เนมจะบอกกับเพื่อนคนนี้...ที่ดูยังไงก็ไม่มีทางหวังแค่เพื่อนแน่ๆ ผมก้มหน้าลงมองใบหน้าเนมด้านข้างที่มองผมสลับกับเพื่อนตัวเองก่อนจะพูดงุบงิบเบาๆ แต่ก็ยังผลให้น่าพอใจจนอดยิ้มไม่ได้
“ฟิวส์...นี่พี่โก้............แฟนเนมเอง”
“อ้อ...ครับ เห็นไปรับเนมบ่อยๆ แต่ไม่เคยได้คุยกันเลย พอดีเมื่อคืนติวกันดึก ให้รุ่นพี่มาติวให้สองวิชาน่ะครับ เลยใช้เวลามากหน่อย เพิ่งจะแยกกันไปนอนเมื่อกี้เอง บ้านผมอยู่ไม่ไกลเลยอาสาพาเนมมาส่งน่ะครับ...พี่คงไม่ว่าอะไรนะ”คำพูดชี้แจงโดยรวมๆ ฟังดูดีและฟังขึ้น ยกเว้นประโยคคำถามสุดท้ายที่แปลเจตนาไม่ค่อยออก ผมก้มมองหน้าเนมว่ามีปฏิกิริยาอะไรกับคำพูดพวกนี้หรือเปล่า...และก็มีจริงๆ เนมก้มหน้าเม้มปากแน่นขึ้นเมื่อผมไม่ได้พูดตอบอะไรออกไปสักที จนที่สุดคงทนไม่ไหวเลยเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมที่กำลังมองอยู่
“ไม่มีอะไรหรอกฟิวส์ พี่โก้เข้าใจ ไม่หึงหรอก”อ้อ.....หมายถึงเรื่องนี้นี่เอง
“งั้นเรากลับล่ะนะ มีอะไรไม่เข้าใจตรงไหนก็โทรมานะ...เราจะรอ”ฟิวส์พูดแล้วยืนมองเนมที่ได้แต่พยักหน้าบีบมือผมแน่นขึ้นแต่ไม่พูดอะไรตอบกลับไป จนฟิวส์เป็นฝ่ายส่งยิ้มให้อีกรอบก่อนจะเดินกลับขึ้นรถตัวเองและขับกลับไป ผมเดินจูงมือเนมกลับขึ้นห้อง ตลอดทางเนมไม่ได้พูดอะไร บางทีก็บีบมือผมแน่นขึ้น ทางทีก็เอียงหน้ามาอิงแขนผม พอผมมองก็ฉีกยิ้มยิงฟันให้หนึ่งที เหมือนจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วมี
กลับขึ้นมาบนห้องเรากินข้าวด้วยกัน เนมเล่าเรื่องติวหนังสือเมื่อคืนให้ฟัง แต่ก็อย่างที่ฟิวส์ได้พูดไว้ว่ามีรุ่นพี่มาช่วยติวให้นั่นล่ะ หลังจากกินเสร็จผมปล่อยให้เนมเข้าห้องไปอาบน้ำนอนเพราะอดนอนมาทั้งคืน แน่นอนว่าเนมอ้อนให้ผมนอนข้างๆ เป็นเพื่อน ผมเลยหยิบโน้ตบุ้คเนมมาเปิดหนังดูบนเตียง เนมหลับแทบจะทันทีที่คลานขึ้นเตียงได้ เสียงข้อความจากหน้าต่างสนทนาบนหน้าจอเด้งขึ้นก่อนจะปรากฏกล่องข้อความของโปรแกรมเอ็มเอสเอ็นที่เจ้าของเครื่องคงล็อคอินอัตโนมัติตอนเปิดเครื่อง ข้อความที่มีคนส่งมาหาตอนออฟไลน์ก็เลยเด้งขึ้นมาให้อ่านตอนนี้ ผมคงจะกดปิดทันทีถ้าไม่เผลอมองชื่อคนที่ทักเนมมา...ฟิวส์ แต่ไม่ว่าจะเป็นข้อความจากใครก็ไม่สำคัญและน่าสนใจเท่ากับเนื้อหาข้อความที่พิมพ์ส่งมา
‘อย่าคิดอะไรมากนะ ฟิวส์คิดถึงนะครับ อย่าให้เรารอนานนะ เราไปนอนล่ะ ไม่ไหวแล้ว คิดถึงจริงๆ นะ ถ้าตื่นแล้วจะโทรหานะครับ’ผมมองแก้มเนียนใสที่อยู่ใต้ฝ่ามือตัวเองซึ่งกำลังลูบไล้เบาๆ เพื่อกล่อมให้หลับ ยิ่งนอนขดตัวกอดเอวผมไว้แบบนี้ก็ยิ่งเหมือนเนมเมื่อตอนเด็กๆ ไม่ว่าท่านอน วิธีกล่อม แต่ก็แค่เหมือน เพราะเราไม่ได้เป็นเด็กในวัยนั้นกันอีกต่อไปแล้ว แต่บางเรื่อง...ต่อให้ผ่านมากี่ปี หรือผ่านเรื่องราวและปัญหาร่วมกันมามากเท่าไร ต่อให้ตอนนี้เราต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันมากแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เราปรับไม่ได้คือพื้นฐานนิสัยเดิมๆ ไม่เชิงว่าปรับไม่ได้ เพียงแต่มันคงต้องใช้ระยะเวลามากกว่านี้ เนมไม่ใช่แค่ภายนอกที่ดูเด็ก แต่ภายในรวมทั้งความคิดก็เด็กด้วย ไม่ใช่ว่านิสัยแบบเด็กๆ แต่หมายถึงความคิดที่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน และมักจะแสดงออกให้ได้เห็น ต่อให้เจ้าตัวพยายามปิดบังแล้วก็ตาม ผมไม่ใช่คนเก่งที่มีญาณวิเศษจนสามารถรู้ความนึกคิดคนอื่นไปเสียหมด ไม่ได้เก่งเลิศเลอทำอะไรก็ถูกต้องและดีที่สุดเสมอ เราต่างก็มีข้อเสียด้วยกัน มีบางอย่างที่ผมยอมที่จะปรับปรุง แก้ไขให้ดีขึ้น สำหรับความสัมพันธ์ของเราครั้งนี้ แต่...ก็มีบางอย่างเช่นกันที่ผมจะไม่มีวันเปลี่ยน ต่อให้เนมอยากที่จะเปลี่ยนผมก็ตาม ผมก็เป็นแค่คนธรรมดา เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ที่บางครั้งก็ทำได้เพียงภาวนาในใจว่า...อย่าให้เราต้องจบลงเหมือนครั้งก่อนเลย
เหลือเวลาอีกสองวันเนมก็ต้องเริ่มสอบวันแรก เท่าที่ดูเนมค่อนข้างพร้อมแล้ว แต่เจ้าตัวคงกลัวและประหม่ามากสำหรับการสอบใหญ่ครั้งแรกในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งกลัวแบบนี้ก็ดีตรงที่เนมพยายามเตรียมตัวให้พร้อมเต็มที่ แต่เพราะกลัวเกินไปเลยเริ่มจะฟุ้งซ่าน
“ฮึกๆๆ ฮืออออ....จำไม่ได้เลยอ่า พี่โก้~”เปล่าหรอกครับ เนมไม่ได้ร้องไห้จริงๆ แค่ทำเสียงกับหน้าตาบี้ๆ ทึ้งผมตัวเองไปมา พยายามทำท่าทางให้เหมือนคนเสียใจ แต่ผมว่าคล้ายๆ คนบ้านะ และก็ต้องเรียกผมอย่างนี้ลงท้ายการบ่นทุกครั้ง
“เลิกอ่านได้แล้วมั้ง ยิ่งอ่านยิ่งฟุ้งซ่าน”ผมต้องหยิบหนังสือมานั่งอ่านใกล้ๆ เป็นเพื่อนเนมอ่านหนังสือ เพราะเจ้าตัวไม่ยอมให้ผมเปิดหนังดู
“ไม่เอาอะ เนมกลัวสอบตก ค่าเทอมก็แพง ถ้าสอบตกพี่นิคก็ไล่ไปเลี้ยงควายแน่ๆ เลย”เนมฟุบหน้าใส่หนังสือที่กางอยู่ เสียงพูดหนักแน่นเหมือนเชื่อว่าพี่ชายตัวเองจะทำอย่างนั้นจริงๆ ทำให้ต้องหัวเราะเบาๆ เรียกสายตากลมโตหันมาตวัดค้อนให้อีกครั้ง
“ถ้าเนมสอบตกก็ต้องกลับไปอยู่บ้าน เนมก็จะไม่ได้อยู่กับพี่ ถึงเวลานั้นจริงๆ อย่ามาร้องไห้แงๆ คิดถึงเนมแล้วกัน”
“ใครจะร้องกันแน่”ผมพูดแหย่กลับไป คิดว่าจะได้ค้อนอีกสักขวับแต่เปล่า เนมก้มหน้าพูดอู้อี้ใส่หนังสือเบา
“ใช่สิฮะ...คงมีแต่เนมนี่แหละที่ร้องไห้”
“ไม่ตกหรอกน่า อย่าคิดมาก”ผมพูดอย่างที่คิดจริงๆ ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจเนมเลย พื้นฐานเนมก็เป็นคนความจำดีอยู่แล้ว อาจจะไม่ได้เก่งมากมายอะไร แต่ตั้งใจอ่านหนังสือระดับนี้ ยังไงก็สอบผ่านแน่ๆ ส่วนเรื่องคะแนนผมว่ามันเป็นเรื่องรอง เกรดก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะเมื่อมาทำงานจริงๆ เราก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ไม่มีใครเอาเกรดเฉลี่ยมาวัดระดับประสิทธิภาพการทำงานอยู่แล้ว
“ถ้าเนมต้องกลับไปอยู่บ้านจริงๆ ล่ะ”
“ก็กลับสิ”ถ้าจำเป็นจริงๆ จะให้ทำยังไง ถ้าต้องกลับก็คือต้องกลับ
“.....จริงอะ จะไม่...รั้งเนมไว้เหรอ”ในที่สุดก็พูด...คำที่ผมไม่ต้องการได้ยินมากที่สุด เนมอ่านง่ายเสมอว่าต้องการอะไรจากผม ต้องการให้ผมทำอะไร เป็นแบบไหน ต้องการให้ผมอ่อนโยน พูดทุกเรื่องที่เนมอยากรู้หรือสงสัย ต้องการให้ผมหึง หวง ให้แสดงออกมาให้เห็น ต้องการให้...รั้งเนมไว้
“พี่....จะไม่มีวันรั้งเนมไว้”ตั้งแต่ได้อ่านข้อความนั้น ผมไม่ได้บอกอะไรเนมว่าผมเห็น ไม่ได้ถามถึงใจความที่มีนัยเหล่านั้น ผมไม่อยากรู้ ไม่ต้องการรู้ว่าใครรู้สึกอะไรกับเนม ต้องการอะไรจากเนม ผมไม่สนใจ ที่ผมสนใจมีเพียงความรู้สึกเนมเท่านั้น นอกนั้นใครจะคิดอะไรไม่สำคัญ ใครต้องการอะไรก็ไม่สำคัญ และถ้าหากเราไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน....ก็ไม่จำเป็นจะต้องรั้งไว้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เนมมักมีหลายๆ คำถามที่ถามผมเสมอ แต่ผมมีคำถามเดียวในตอนนี้ ผมแค่อยากรู้ว่า....เนมรักผม...ในแบบที่ผมเป็นผมในปัจจุบัน หรือแค่ยังหลงยึดติดกับความทรงจำตัวเองในวัยเด็กกันแน่ ผมเป็นของเล่นชิ้นเก่าสมัยเด็กที่ทำหายไป แล้วบังเอิญหาเจออีกครั้ง เลยนึกอยากหยิบมาเล่นดู หรือเป็นแค่ส่วนต่อจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ต่อไม่สำเร็จในวัยเด็ก เมื่อหาเจอถึงได้รีบต่อเพื่อที่สุดท้ายแล้วจะได้รู้ว่า....ภาพที่วาดฝันว่าจะสวยงามถูกใจ เป็นแค่รูปภาพรูปหนึ่งที่ปัจจุบันไม่ได้ต้องการอีกแล้ว...บางทีอาจเป็นได้แค่นั้น
เนมเงยหน้ามองผม นิ่งค้างทันทีที่ผมพูดจบ และผมไม่หลบสายตาที่สั่นไหวคู่นี้ อยากบอกย้ำให้ได้รู้ว่าผมพูดจริงๆ จะไม่มีการ ‘รั้ง’ ไว้ หากเนมเลือกจะไป...ก็ไป
“ไม่...มีวัน.....จริงๆ เหรอ”หยาดน้ำที่คลอนัยน์ตากลมโตเหมือนเตรียมหยดทุก ผมไม่ได้อยากเห็นเนมร้องไห้ ไม่ได้อยากทำให้เสียใจ แต่...ผมก็ไม่อยากโกหกด้วยเหมือนกัน
“เนมถามเหมือนกำลังจะไปจากพี่เลยนะ”ผมถามกลับยิ้มๆ ให้เนมผ่อนคลายลงบ้าง ไม่อยากให้เราต้องทะเลาะกันหรือเครียดในช่วงที่กำลังจะสอบนี้
“เอ้อ....ปะ...เปล่าฮะ...เนมถามเล่นๆ เฉยๆ”
“เล่นๆ ก็เล่นๆ ไปล้างหน้าซะ ตาแดงหมดแล้ว วันนี้อ่านแค่นี้ก็พอ อ่านมากๆ เดี๋ยวจะสับสน พรุ่งนี้ค่อยทบทวนอีกที”ผมเก็บหนังสือเนมเป็นการสั่งทางอ้อม ไม่ทำอย่างนี้เนมก็ไม่หยุดอ่านหรอก แถมตอนนี้อ่านไปก็คงไม่เข้าหัว เผลอๆ จะฟุ้งซ่านกว่าเดิม ผมชวนเนมเปิดหนังดู ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมโดยดี หยิบถุงขนมมาพร้อม เพิ่มออพชั่นนิดหน่อยด้วยการมานอนพิงอกบังคับให้ผมกอดเอวไว้ ผมก็เต็มใจตอบสนอง กอดเอวเล็กๆ แน่นขึ้น ก้มลงหอมขมับเบาๆ ตราบใดที่ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ยังไม่มีอะไรเกิด ‘เรา’ เลือกที่จะไม่สนใจ แม้จะรู้ดีว่ามีปัญหารอเราอยู่ในวันข้างหน้าก็ตาม
ผมนอนดูหนังจนจบเรื่องแล้วก็กดรีโมทปิดทีวี ไม่ลุกเพราะลุกไม่ได้ เนมหลับไปตั้งแต่เปิดได้สักครึ่งเรื่อง ขอบตาแดงช้ำบวมนิดหน่อย คงเพราะเข้าไปร้องไห้ตอนไล่ไปล้างหน้าแน่ๆ ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม ขยับท่าให้เนมหันมานอนก่อนเหมือนตอนนอนเช่นทุกวัน ก่อนจะหลับตาลงนอนหลับไปด้วยกัน
ผมรู้สึกตัวตื่นอีกทีเมื่อเนมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผมนอนนิ่งเพราะยังไม่อยากลุก เนมหยิบโทรศัพท์ตัวเองที่ส่งเสียงร้องมากดรับ
“ฟิวส์เหรอ........นอนอยู่อะ มึน จำอะไรไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ”เนมลุกขึ้นเดินคุยโทรศัพท์เข้าไปในห้องตัวเอง เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงหัวเราะของเนม ผมถอนหายใจเบาๆ กับความรู้สึกตอนนี้ หวังว่าเนมคงไม่ได้ทำอะไรแบบที่ผมคิด หรือที่อยากให้ผมคิด
ผมมองดูเวลาก็เห็นว่าเย็นมากเล้วเลยไปเตรียมอาหารเย็นรอเนมที่ยังไม่ออกมาจากห้อง ทำผัดกะเพราหมูสับ ไข่ดาว แกงจืดเต้าหู้ ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยรอแค่อีกคนที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้อง
“กะเพราๆๆ หอมฉุยเลย หิวอะ กินเลยนะ”เนมรีบเดินตรงมามองอาหารบนโต๊ะ หยิบช้อนกลางตักแกงจืดซดน้ำแล้วรีบเป่าปากเพราะยังร้อนอยู่
“กินก่อนเลย พี่ร้อน จะอาบน้ำก่อน”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเนมรอ เนมอยากกินหมูยอทอด เดี๋ยวเนมทอดเอง”เนมเดินไปหยิบหมูยอในตู้เย็นจัดแจงหั่นทันที ผมเดินเข้าห้องหยิบเสื้อผ้าเพื่อออกมาใช้ห้องน้ำด้านนอก หลังจากอาบเสร็จกำลังเช็ดตัวอยู่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ตัวเองก่อนจะได้ยินเสียงเนมตะโกนบอก
“พี่โก้โทรศัพท์!!”
“รับให้พี่ก่อน จะเสร็จแล้ว”ผมตะโกนบอกแล้วรีบใส่กางเกงเดินออกมาหาเนมที่ยืนถือโทรศัพท์แนบค้างข้างหู ตากลมโตเหมือนจะโตมากกว่าปกติ เสียงพูดค่อนข้างเบาจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจับใจความได้
“....พี่.....พี่เจ....ฝากบอกว่า.....อีกสองอาทิตย์..................เจอกัน”
++++++++++++++++++++++++++++++
แฮปปี้วันเด็ก(ย้อนหลัง)นะคะ