นทีรินเดินทางมาที่เดอะแกรนด์ฯด้วยใจที่ห่อเหี่ยวแต่กระนั้นเขาก็จะพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่างบอบบางในชุดไพรเวทแบรนด์ดังเป็นที่น่าแปลกใจสำหรับพนักงานที่พบเจอนทีริน ทุกคนในเดอะแกรนด์ฯต่างก็พากันทำความเคารพนทีรินกันยกใหญ่จนเจ้าตัวประหม่าเล็กน้อย เพราะการมาที่เดอะแกรนด์ฯของเขาคงสร้างความแปลกใจไม่น้อยเลยแก่พนักงานเพราะทุกคนต่างรับรู้แล้วว่าเขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งในการทำงานในเดอะแกรนด์ฯอีกต่อไปหลังจากที่ภวินท์กลับมาบริหารงาน แต่กระนั้นทุกคนก็ยังปฏิบัติกับนทีรินอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“สวัสดีครับคุณนท”
แม้กระทั่งอดีตเลขาฯส่วนตัวของนทีรินอย่างอินทนิลที่ได้ยกมือขึ้นไหว้ภรรยาของเจ้านายคนปัจจุบันของตัวเองอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับพี่อิน ไม่ไปหานทที่บ้านบ้างเลยนะครับ พี่นวลก็บ่นคิดถึงพี่อินจะแย่”
นทีรินเอ่ยบอกเชิงตัดพ้ออย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก อินทนิลเป็นเลขาฯผู้ช่วยของเขาที่สนิทกันพอสมควรเพราะได้ร่วมงานกันอยู่เป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่ที่เจ้าสัวพีระล้มป่วย และในตอนนี้อินทนิลก็ได้กลายเป็นเลขาฯส่วนตัวของภวินท์แทนเขาไปเสียแล้ว
“ไว้ว่างๆแล้วเดี๋ยวผมจะเข้าไปหานะครับ -- คุณนทเชิญที่ห้องรับรองก่อนครับเดี๋ยวผมไปเอาของว่างกับน้ำผลไม้มาให้นะครับ”
อินทนิลผายมือเชื้อเชิญให้ภรรยาของเจ้านายเข้าไปพักที่ห้องรับรองแขกข้างห้องทำงานของภวินท์ที่ถูกสร้างขึ้นมาไว้เพื่อรับรองแขกคนสำคัญของผู้บริหารโดยเฉพาะ นทีรินรับคำก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอที่โซฟาหลังใหญ่ ไม่นานนักอินทนิลก็เดินเข้ามาภายในห้องพร้อมกับถาดอาหารว่างและเครื่องดื่มที่มีไว้รับรองแขก
“ตอนนี้คุณภพท่านกำลังคุยงานอยู่กับสถาปนิกที่ออกแบบโปรเจ็กต์ใหม่อยู่น่ะครับ แต่ท่านก็สั่งไว้นะครับว่าถ้าคุณนทมาให้คุณนทมารอที่ห้องนี้ก่อน ถ้าท่านคุยงานเสร็จจะรีบมาพบครับ”
อินทนิลชี้แจงให้นทีรินทราบถึงเหตุผลที่ให้นทีรินมานั่งรอในห้องรับรองแขกแห่งนี้ตามคำสั่งที่ภวินท์ได้สั่งเขาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะไปคุยงานกับสถาปนิก นทีรินพยักหน้าเข้าใจพลางยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย
“ช่วงนี้งานยุ่งมากหรือเปล่าครับพี่อิน”
นทีรินชวนคุยเนื่องจากเขาเองก็ไม่ได้เจออินทนิลเป็นเวลาร่วมหลายเดือนแล้วจึงอยากจะทราบถึงสารทุกข์สุขดิบของอดีตเลขาฯของตัวเอง
“ยุ่งพอสมควรครับคุณนท พอดีว่าคุณภพกำลังมีโปรเจกต์ใหม่เกี่ยวกับการสร้างห้างฯสำหรับสินค้าปลอดภาษีน่ะครับ เป็นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่พอสมควรเลยทุกฝ่ายก็เลยต้องตั้งใจเป็นพิเศษเพราะทางบอร์ดฯคาดหวังกับโปรเจ็กต์นี้ของคุณภพมากๆครับ”
อินทนิลเอ่ยบอกถึงความเป็นไปภายในบริษัทให้นทีรินฟังเพราะเขาคิดว่านทีรินคงยังไม่ทราบถึง โปรเจ็กต์เดอะแกรนด์อ็อฟสยามดิวตี้ฟรี ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ของเดอะแกรนด์ฯซึ่งไอเดียทั้งหมดเป็นของภวินท์ทั้งสิ้นซึ่งเป็นโปรเจ็กต์นี้เปรียบเสมือนผลงานมาสเตอร์พีซของภวินท์ที่จะสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้ทางบอร์ดฯบริหารเห็นว่าภวินท์เหมาะสมที่จะดำรงในตำแหน่งประธานกรรมการของเดอะแกรนด์อ็อฟสยามต่อจากเจ้าสัวพีระอย่างแท้จริง
“แล้วพี่อินทำงานกับคุณภพราบรื่นดีใช่ไหมครับ”
“ดีมากครับ คุณภพท่านเป็นคนเก่งจัดการอะไรทุกอย่างได้ฉลาดและรวดเร็วสมกับเป็นหลานของท่านเจ้าสัวเลยครับ”
“ดีแล้วครับ”
นทีรินฟังจากที่อินทนิลเล่าเขาก็ทราบถึงประสิทธิภาพการทำงานของภวินท์ได้อย่างถ่องแท้เลย เพราะขนาดภวินท์ได้เข้ามาทำงานได้ไม่เท่าไร แต่กลับสร้างผลงานที่ดีๆให้แก่เดอะแกรนด์ฯได้หลายอย่างแล้ว เขายอมรับเลยว่าภวินท์นั้นเก่งจริงๆ
“แล้วคุณนทเป็นยังไงบ้างครับ เอ่อ.. ผมหมายถึงกับคุณภพน่ะครับ”
อินทนิลเลือกที่จะถามสารทุกข์สุขดิบอดีตเจ้านายของตัวเองคืนบ้าง เพราะตั้งแต่เขาไม่ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยนทีรินแล้วเขาก็ไม่ได้ทราบความใดๆเกี่ยวกับนทีรินและภวินท์โดยสิ้นเชิง แต่ด้วยความที่เคยรับใช้กันมาก่อนก็ทำให้ความห่วงใยที่อินทนิลมีต่อนทีรินนั้นไม่ได้ลดลงตามเช่นกัน
“ก็ปกติดีครับพี่อิน ไม่ได้มีอะไรพิเศษ”
นทีรินเลือกที่จะเลี่ยงตอบความในใจเพราะเขาไม่ได้อยากให้ใครมาเป็นกังวลกับตัวเขาทั้งนั้น และเขาก็คิดว่ามันไม่สมควรเลยสักนิดถ้าจะต้องเอาความไม่สบายใจของเขามาเล่าให้ใครต่อใครฟัง
“นทฝากพี่อินดูแลคุณภพด้วยได้ไหมครับ ช่วงนี้คุณภพไม่ค่อยสบายเท่าไรคงเป็นเพราะจะโหมงานหนัก”
นทีรินไหว้วานอดีตเลขาฯด้วยน้ำเสียงเชิงวอนขอ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คงจะไม่ได้ดูแลภวินท์ได้มากเท่าใดนักหากคนเป็นสามียังดึงดันที่จะทำงานหนักเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้มีโปรเจ็กต์ใหม่รออยู่ภวินท์ก็คงจะมีเวลาในการพักผ่อนได้น้อย
“จริงเหรอครับ นี่ผมดูไม่ออกเลยนะครับ ท่านดูปกติมากๆเลย”
อินทนิลเอ่ยบอกอย่างตกใจเพราะว่าภวินท์ไม่มีท่าทีเหมือนคนป่วยเลยสักนิด เพราะใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมตลอดเวลานั้นทำให้เขาเองก็ยังจับไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเจ้านายป่วย
“คุณภพเขาไม่ค่อยแสดงออกว่าป่วยให้ใครเห็นหรอกครับ เขาเป็นคนจริงจังกับงานมากๆจนบางทีก็ไม่นึกถึงสุขภาพของตัวเอง”
“แล้วที่คุณนทมาในวันนี้ก็เพราะตามมาดูแลคุณภพเหรอครับ”
“ครับ นทกลัวว่าเขาจะดื้อจนไม่ยอมทานข้าวทานยาอีกน่ะครับ -- เอ่อ.. นทไม่ได้ห่วงเขานะครับ ก็แค่ทำตามหน้าที่”
นทีรินเอ่ยบอกก่อนจะรีบชี้แจงไปถึงเหตุผลของการมาของเขาในวันนี้ให้อดีตเลขาฯฟังเพราะแววตาเป็นประกายเชิงล้อเลียนอย่างเห็นได้ชัดของอินทนิลนั้นทำให้ใบหน้านวลขึ้นสีแดงพาดริ้วจนนทีรินมุ่ยหน้าใส่อดีตเลขาฯด้วยท่าทีแง่งอนจนอินทนิลยิ้มกว้างที่สามารถเย้าแหย่ให้นทีรินเขินอายได้
คุยเล่นกับอินทนิลไปได้สักพักใหญ่ๆเจ้าตัวก็รีบขอตัวไปทำงานต่อ นทีรินนั่งรออยู่ได้ไม่นานร่างสูงของสามีก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า ใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนนั้นทำให้นทีรินรีบกุลีกุจอจัดสำรับอาหารพร้อมยาไว้ให้สามีทันทีเพราะนี่เลยเวลาอาหารกลางวันมาได้สักพักแล้ว
ภวินท์กินข้าวและกินยาตามที่ภรรยาจัดไว้ให้ทุกอย่างโดยไม่ขัดใจอีกฝ่ายเลย นทีรินถือโอกาสช่วยภวินท์ดูงานในหลายๆอย่างในวันนี้เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงานจากสามีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายโหมงานหนักเกินไปเพราะอาการป่วยที่กำลังจะดีขึ้นอาจจะทรุดลงได้อีก
ภวินท์มองใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความตั้งใจขณะทำงานอย่างเพลินๆ เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชอบมองใบหน้านวลของภรรยาขึ้นทุกวัน ร่างบางที่มีกลิ่นกายหอมละมุนทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อยจนเขารู้สึกเสพติดกลิ่นของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว ห้องทำงานที่เคยมีแต่ใบหน้าตึงเครียดของเจ้าของห้องบัดนี้กลับมีแต่รอยยิ้มพึงใจปรากฏขึ้นมาแทนที่เพียงเพราะมีใครอีกคนอยู่ในห้องด้วยกันเท่านั้นเอง
เมื่อเวลาผ่านไปจวบจนถึงเวลาเลิกงานแล้วทั้งภวินท์และนทีรินก็ได้จัดการเคลียร์งานทั้งหมดให้ผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันเพื่อจะกลับท่ามกลางสายตาแปลกใจของพนักงาน บ้างก็มองมาด้วยสายตาชื่นชมยิ่งเวลาที่ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันมานั้นทำให้พนักงานหลายๆคนอดคิดไม่ได้เลยว่าเจ้านายทั้งสองของพวกเขานั้นดูเหมาะสมกันมากจริงๆ นทีรินยิ้มสดใสรับความเคารพของพนักงานที่เดินผ่านไปมาอย่างเป็นกันเอง ใบหน้าคมของภวินท์ที่เคยเคร่งขรึมและดุดันสำหรับลูกน้องหลายๆคนนั้นบัดนี้กลับมีแววตาที่อ่อนโยนขึ้นโดยเฉพาะเวลาที่จับจ้องไปยังนทีริน
“นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่ครับ” นทีรินทักท้วงคนขับขึ้นทันทีที่เริ่มไม่คุ้นทางกลับบ้าน
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” คนขับเอ่ยตอบภรรยาด้วยท่าทีสบายๆจนนทีรินนึกสงสัย
“แล้วคุณจะไปไหนครับ”
“เดี๋ยวก็รู้น่า” คนขับหันมายักคิ้วให้กวนๆอย่างมีเลศนัยนั่นก็ยิ่งทำให้นทีรินอดหวั่นใจไม่ได้
“อะไรกัน.. คุณจะไปไหนบอกผมมาเดี๋ยวนี้นะครับ”
เสียงหวานติดดุของภรรยาทำเอาภวินท์ลอบยิ้มขำกับท่าทีหวั่นวิตกของอีกฝ่ายไม่ได้
“กลัวผมพาไปขายเหรอหืม” เสียงทุ้มเย้าแหย่จนคนถูกล้อแหวใส่เสียงเขียว
“ผมไม่ใช่เด็กนะครับ จะได้กลัวคุณพาไปขาย”
“ก็ใช่ไง แล้วคุณจะกลัวทำไม ผมแค่จะพาคุณไปทานข้าวเท่านั้นเอง” เสียงหัวเราะในลำคอของคนเป็นสามีทำเอานทีรินหน้ามุ่ย
นี่เขาไม่ใช่เด็กเสียหน่อยแต่อีกฝ่ายกลับล้อเลียนเขาราวกับว่าเขาเป็นเด็กที่กำลังถูกหลอกไปขายเสียอย่างนั้น เขาก็แค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะพาเขาไปไหนเท่านั้นเอง แค่พาไปทานข้าวไม่เห็นจะต้องลับลมคมในอะไรกับเขาขนาดนั้นเลย
ซูเปอร์คาร์คันหรูที่ราคาเกือบเหยียบเก้าหลักทะยานมาจอดในที่จอดรถสำหรับลูกค้าวี.ไอ.พี.ของโรงแรมห้าดาวสุดหรูใจกลางเมือง ห้องอาหารชื่อดังที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรมเป็นห้องอาหารยุโรปที่เสิร์ฟอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนสุดหรู นทีรินเคยมาทานอาหารที่นี่เพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น ร่างบางนึกแปลกใจไม่น้อยเพราะครั้งที่เขามาทานอาหารที่นี่กับเพื่อนๆภายในร้านมีลูกค้าอยู่เต็มร้านทุกครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้มันถึงต่างไปขนาดนี้ เพราะว่านอกจากโต๊ะของเขากับภวินท์ภายในร้านไม่มีลูกค้าโต๊ะอื่นเลยแม้แต่โต๊ะเดียว
แปลกจัง… ทำไมไม่มีคนเลย “เป็นอะไรเหรอ ทำไมคุณดูกังวลแปลกๆ” ภวินท์ถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้านวลมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่าครับ ผมแค่สงสัยว่าทำไมไม่มีลูกค้าโต๊ะอื่นเลย”
นทีรินเฉลยความในใจและไม่ได้คลายความสงสัยเลยแม้แต่น้อย ภวินท์ลอบยิ้มกับท่าทางแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เมื่อนทีรินพบว่าไร้ซื่งคำตอบจากคนเป็นสามีก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ทั้งคู่เริ่มสั่งอาหารกับบริกรไปตามปกติจนกระทั่งอาหารเริ่มมาเสิร์ฟก็ยังไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยจนนทีรินเลิกสงสัยไปโดยปริยายโดยที่ไม่ได้ฉุกคิดไปเลยว่าห้องอาหารชื่อดังแบบนี้จะไม่มีลูกค้าได้อย่างไรหากไม่มีคนมีเงินมหาศาลมาทำการปิดร้านเพื่อเซอร์ไพร์สใครสักคน
ภวินท์และนทีรินได้ออกมาชมวิวกลางคืนของเมืองกรุงหลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากบริเวณโซนภายนอกของร้านอาหารสไตล์รูฟท็อปที่เปิดโล่งให้สำหรับผู้ที่ชอบนั่งชมวิวบรรยากาศกลางคืน
“นท”
“ครับ?”
นทีรินตกใจเล็กน้อยเมื่อสิ่งที่สามียื่นมาให้เป็นช่อดอกไม้ขนาดพอดีๆส่งมาให้ ช่อดอกไม้ราคาแพงระยับที่ประกอบไปด้วยดอกไม้ระดับพรีเมียมที่ภวินท์ตั้งใจสั่งมาให้ภรรยาโดยเฉพาะ
“รับไปสิ” นทีรินมองสิ่งที่อยู่ในมือของสามีสลับกับใบหน้าคมไปมาอย่างแปลกใจก่อนจะรับสิ่งนั้นมาด้วยท่าทีงงๆ
“ฟอร์เก็ตมีน็อต..” ดวงตาหวานเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้มหวานเมื่อเห็นดอกไม้ที่ตัวเองโปรดปราน
“ชอบไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ชอบปลูกแล้วล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางดีใจของภรรยาที่ถูกแสดงออกผ่านรอยยิ้มหวานของอีกฝ่าย
“อากาศที่นี่ร้อนเกินไปครับ ปลูกยังไงมันก็ตายอยู่ดี ผมเลยปลูกอย่างอื่นแทน” นทีรินอธิบายให้ฟัง
ที่จริงเขาอยากปลูกเจ้าต้นฟอร์เก็ตมีน็อตให้เต็มสวนจนใจจะขาดหากเพียงแต่ว่าที่กรุงเทพฯในสมัยนี้นั้นร้อนเกินกว่าที่จะปลูกมัน เพราะนอกจากจะดูแลยากแล้วก็ยังทำให้คนปลูกนั้นท้อใจและเสียใจที่ต้องมาเห็นต้นไม้ที่ตัวเองรักมันเหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุดนทีรินเลยเลิกคิดที่จะปลูกเจ้าต้นไม้นี้ไปเลย
“นท.. ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกครา
“ครับ?”
เสียงหวานรับคำพลางละสายตาจากช่อดอกไม้มายังใบหน้าคมของสามีแทน แต่ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสายตาคมจับจ้องมาที่ใบหน้าเขาอย่างมีความหมาย
“ขอบคุณที่ดูแลผมนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยด้วยเสียงนุ่มจนนทีรินรู้สึกใจชื้นขึ้นราวกลับมีน้ำมาชะโลมจิตใจที่เคยห่อเหี่ยวของเขา นทีรินไม่เคยต้องการอะไรจากภวินท์เลยเพียงแค่ร่างสูงรับรู้ซึ่งถึงความห่วงใยที่เขามีต่ออีกฝ่ายเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ มันคือหน้าที่ของภรรยาอย่างผมอยู่แล้วนี่ครับ”
นทีรินเอ่ยบอกพลางยิ้มบางๆก่อนจะเสตามองไปยังวิวกลางคืนตรงหน้า เขาไม่กล้าสบตากับภวินท์นานๆเพราะมันจะยิ่งทำให้การควบคุมหัวใจของเขายากขึ้น
“คุณยังชอบดูวิวตอนกลางคืนเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขณะที่สายตาไม่ได้ละไปจากดวงหน้าหวานเลยสักนิด
“ก็วิวตอนกลางคืนมันดูสงบกว่าตอนกลางวันนี่ครับ กลางวันมีแต่ความวุ่นวาย น่าเสียดายที่กรุงเทพฯไฟสว่างเกินไปจนมองไม่เห็นดาว”
นทีรินถอนหายใจยาวเมื่อมองไปบนฟากฟ้ามืดดำแต่กลับมองไม่เห็นดวงดาวเลยสักดวงอาจจะเพราะแสงไฟมากเกินไปจนบดบังแสงสว่างธรรมชาติจากดวงดาว
“แต่ต่อให้เรามองไม่เห็น แต่ก็สัมผัสได้ว่ามีไม่ใช่เหรอ บางอย่างไม่ต้องมองเห็นด้วยตาแต่ก็สัมผัสได้ด้วยใจไม่ใช่เหรอ”
นทีรินหันมองไปยังสามีทันทีขณะที่อีกฝ่ายมองมาที่เขาอยู่แล้ว ดวงตาคมจับจ้องลึกเข้ามาภายในดวงตาหวานของนทีริน และเขาก็ต้องรู้สึกวูบไหวในใจเมื่อใบหน้าคมขยับเข้ามาที่ใบหน้าเขาจนห่างกันเพียงไม่ถึงนิ้ว โลกเหมือนจะหยุดหมุนไปทันใดเมื่อริมฝีปากหนาประทับลงมาที่ริมฝีปากบางอย่างนุ่มนวลและไม่มีการรุกล้ำใดๆ นทีรินหลับตาพริ้มไปด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวพลางในใจพลันอดนึกไปยังเหตุการณ์ในอดีตของเขาและภวินท์ไม่ได้
“ทำไมดาวที่บ้านพี่ภพถึงน้อยจังล่ะครับ”
น้องตัวเล็กเอ่ยถามขณะที่แขนเล็กพาดเกาะไปที่ระเบียง ดวงตาหวานจับจ้องไปบนฟากฟ้ามืดดำที่มีดวงดาวเพียงน้อยนิดประดับอยู่บนนั้น
“อาจจะเป็นเพราะแสงไฟมีมากเกินไปล่ะมั้งครับ เราเลยมองเห็นดาวได้น้อย”ร่างสูงของพี่ชายเอ่ยตอบเด็กตัวเล็กที่สูงเลยเอวเขาขึ้นมาหน่อยเดียวเท่านั้น
“ว้า.. เสียดายจัง”
“ตัวเล็กชอบดาวเหรอครับ”
“ที่บ้านคุณแม่ของนทมีดาวเยอะกว่านี้ครับ นทเลยชอบดู”
น้องตัวเล็กเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง ที่เชียงใหม่สถานที่ที่เป็นบ้านเกิดของคุณแม่น้องตัวเล็กนั้นอากาศดีนักแถมตอนกลางคืนยังสามารถมองเห็นดาวได้ชัดเจนกว่าในกรุงเทพฯอีกต่างหาก นทีรินชอบดูดาวยิ่งดาวเยอะๆเขายิ่งชอบ
“แต่ถึงที่บ้านพี่ภพจะมีดาวน้อยกว่าบ้านคุณแม่ของตัวเล็ก แต่อย่างน้อยเราก็สัมผัสได้นะครับว่ามันมี”
เสียงทุ้มของพี่ชายเอ่ยบอกน้องตัวเล็กที่ทำหน้าฉงนไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ชายพูดนัก
“สัมผัสได้เหรอ?”
“ครับ อย่างตรงหน้าที่ภพก็มีดาวนะ”
คำพูดของพี่ชายทำเอาน้องตัวเล็กตื่นเต้นขึ้นมาทันใดพลางดวงตาหวานกวาดมองไปถ้วนทั่วอย่างตื่นเต้นเพื่อตามหาดาวอย่างที่พี่ชายบอก
“ดาวอะไรเหรอครับพี่ภพ! นทอยากเห็น”
“ก็ตัวเล็กไงครับ… ตัวเล็กคือดาวของพี่ภพ”
พี่ชายเอ่ยเฉลยพลางดวงตาคมก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของน้องตัวเล็กไม่วางตาจนน้องหน้าแดงแจ๋ราวกับลูกตำลึงจนพี่ชายอดที่จะก้มลงไปฟัดแก้มกลมของน้องตัวเล็กด้วยความมันเขี้ยวไม่ได้ เหตุการณ์ในวันนั้นคล้ายคลึงกับวันนี้มากนักหากแต่มันช่างต่างไปในความรู้สึกของทั้งภวินท์และนทีริน ริมฝีปากหนายังคงวาดจูบไปทั่วริมฝีปากบางอย่างมัวเมาจากความหวานของอีกฝ่าย ความรู้สึกวูบไหวก่อเกิดภายในใจดวงน้อยของนทีรินอย่างห้ามไม่ได้ ร่างบางตัวสั่นเล็กน้อยลมเย็นพัดโชยยังไม่ทำให้หนาวกายจนสั่นเท่ากับตอนที่ริมฝีปากหนาประทับลงมาที่ปากของเขาเลย โลกที่เหมือนหยุดหมุนกลับมาเป็นปกติอีกครั้งเมื่อภวินท์ถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่งก่อนที่ร่างสูงจะเอ่ยประโยคที่ทำให้โลกของนทีรินแทบจะหยุดหมุนอีกครา
“สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานนะนท” To be continue
__________________________________________________________________________________________________
TALK WITH WRITER :: พบคนหลงรักเมียตัวเองหนึ่งอัตราจ้า พี่ภพเป็นผู้ชายประเภทที่รักเค้าแต่ก็ชอบแกล้งเค้าอ่านะ ไว้วันหย่ามาเมื่อไรพี่ภพหนาวแน่ค่ะ! ทุกคนไม่ต้องห่วงว่าน้องนทจะไม่ได้เอาคืนนางนะคะยังไงพี่ภพก็ต้องได้รับบทลงโทษจากการกระทำของตัวเองอยู่แล้วค่ะ ไว้วันนั้นมาถึงเมื่อไรฝากสมน้ำหน้าพี่เค้าด้วยนะคะ 55555555555555 เจอกันตอนหน้าค่ะ