บรรยากาศตอนเช้าภายในร้านคาเฟ่ที่เพิ่งเปิดค่อนข้างสบายเพราะความเงียบเชียบ แม้ตอนนี้เวลาจะผ่านเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายโมงเข้าไปแล้ว ผมผ่อนหลังลงนั่งกับเก้าอี้ วันนี้หลังจากที่ส่งคนมีเรียนที่หน้าคณะเสร็จเรียบร้อย ตัวเองก็วนรถมาที่ร้านกาแฟประจำที่จะเปิดหลัง 9 โมงเช้าเป็นต้นไป
กาแฟคาราเมลมัคคิอาโต้แบบเย็นที่วางลงตรงหน้าพร่องลงไปแล้วครึ่งแก้วในระหว่างที่รอ ผมหลับตาลงเพื่อพักสายตาหลังจากที่เล่นเกมส์ติดต่อกันมานานเป็นชั่วโมงจนรู้สึกล้าไปหมด ปกติผมจะมาที่นี่แค่เฉพาะช่วงที่เมดมีเรียนหลัง 10 โมงเท่านั้น ส่วนเวลามันมีเรียนเช้า ผมจะแค่นั่งคอยอยู่หน้าคณะเพราะไม่ชอบย้ายที่ไปไหนมาไหนหลายครั้ง
ครืน ครืน ครืน
สายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา ปรากฏขึ้นทั้งเบอร์และภาพหน้าจอที่เจ้าของเบอร์เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการตั้งไว้อย่างไม่ต้องร้องขอ ผมเผลอยิ้มกับภาพน่ารักนั่นแม้จะเคยบอกมันว่าเอาซาลาเปาไส้หมูแดงมาตั้งไว้ที่หน้าจอผมทำไมก็ตาม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
“ ว่าไง ”
“ เรียนเสร็จแล้ว ไปเที่ยวหัวหินกันนนนน ” ปลายสายที่ยังคงตื่นเต้น ผมส่ายหน้าไปมากับความเป็นเด็กของมัน ตั้งแต่ตื่นจนถึงก่อนลงรถไปเรียน คนข้างๆก็เอาแต่พูดจ้อเรื่องทะเลไม่มีหยุด มันถามผมว่า ผมจะลงเล่นน้ำทะเลมั้ย หรือจะลงเล่นน้ำในสระ มันถามแม้ว่าโรงแรมที่จองเป็นยังไง ห้องเป็นแบบไหน ไปถึงจะทำอะไรก่อน จะกิน จะอาบน้ำ หรือว่าไปเที่ยวตลาดกลางคืน แพลนของมันมีเป็นร้อย เยอะชนิดที่ว่า แค่เอ่ยปากบอกว่า จะกินอะไร มันก็จะมีร้านดังเสนอขึ้นมาได้ทันที ไม่ค่อยจะตื่นเต้นเท่าไหร่ ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กเลยสักนิด ‘ ไอ้ตัวน่ารักเอ้ย ’
“ เมด ” ผมแกล้งปั้นเสียงเศร้า ปลายสายเองที่ได้ฟังก็นิ่งไป “ คือ กูมีอะไรจะบอก ”
“ อย่าบอกนะว่าจะไม่ได้ไปหัวหินแล้วน่ะ ” มันพูดดัก ผมก็ได้แต่เงียบ “ ทำไมเงียบไปวะ ”
“ ก็มึงบอกว่าอย่าบอก ”
“ อะไรวะ จริงเหรอมึง ทำไมอะ ที่ผับมีปัญหาอะไรวะ ” น้ำเสียงเป็นห่วงแต่ก็ติดจะเสียดายอยู่หน่อยๆ ชวนให้ผมยิ้มกว้างในตอนที่อีกคนพูดพร้อมกับถอนหายใจเซ็งๆออกมา
“ ขอโทษที ”
“ เออๆ ไม่เป็นไร กูเข้าใจ งั้นเดี๋ยวค่อยคุยกัน มึงมารับกูเถอะ ”
“ ขอโทษที่ต้องโกหก ”
“ อ้าวยังไงวะ ” เมดพูด ก่อนจะเงียบไปสักพัก “ คือมึงตอแหลกูเหรอไอ้สัดอารยะ ”
“ ฉลาดจัง ”
“ K ” มันว่าแค่นั้นก่อนจะวางสายไปด้วยความน้ำเสียงหงุดหงิด ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มกว้าง ก็อย่างที่เมดบอก การแกล้งมันคือความสุขที่สุดของผมในทุกวัน
ขับรถมาจอดที่หน้าคณะที่มีคนโดนโกหกยืนรออยู่ด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แต่เหมือนจะเป็นการปั้นหน้าให้หงุดหงิดมากกว่าจะรู้สึกจริงๆ ในใจที่เต้นเป็นลิงโลดเพราะจะได้ไปเที่ยวมันฝืนตัวเองไม่ให้ยิ้มด้วยการกัดฟันทนเอาไว้ ในตอนที่เปิดประตูขึ้นมาบนรถมันก็มองผม
“ สีหน้าดูปวดขี้ ไม่ต้องไปแล้วมั้งหัวหิน ”
“ ไป! ไอ้สัดอาฟแม่งแกล้งกู ” อีกคนบ่นก่อนจะมองมาด้วยหางตา
“ งั้นยิ้มก่อน ”
“ ยิ้มเหี้ยอะไร ” พูดออกมาแบบนั้นแต่กลับยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะหันไปทางอื่นแล้วสบถในตอนที่ผมเองก็ยิ้มตาม “ มึงแม่ง ” ขยับเกียร์เปลี่ยนให้เดินหน้าผมขับรถออกไปจากหน้าคณะมันแต่ยังไม่ทันถึงทางออกมหาลัยเสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์เมดก็ดังขึ้น
“ อะไรวะ ” คนที่พลิกมือถือขึ้นมาดูพูดขึ้น มือที่กดพิมพ์ข้อความด้วยสีหน้าหงุดหงิดชวนให้ผมชะลอรถก่อนจะกดไฟเลี้ยวซ้ายเข้าจอดข้างทาง
“ มีอะไร ”
“ อาฟ วนกลับไปคณะกูก่อนได้มั้ย ”
“ ทำไม ” ผมถามอีกคนก็ถอนหายใจก่อนจะหันมาบอก
“ ไอ้ฝ้ายส่งข้อความมาบอกกูว่าจะคุยเรื่องรายงานกลุ่มตอนนี้ ”
“ อื้ม ” เมดพยักหน้ารับก่อนจะเกาหัว แล้วก้มหน้าลงพิมพ์ข้อความลงไปในมือถือ “ แต่วันนี้ตอนที่นั่งข้างมันไอ้ฝ้ายไม่เห็นพูดอะไรเลย กูยังบอกมันเลยว่าจะไปหัวหิน ทำไมอยู่ๆเปลี่ยนใจขึ้นมาวะ ”
“ ก็ลองถามมัน ”
“ มันไม่ตอบ ” ผมถอนหายใจก่อนจะเลี้ยวรถกลับไปจอดที่หน้าคณะเหมือนเดิม แล้วตอนที่ดึงเบรคมือขึ้นเมดก็บอก “ มึงขึ้นไปกับกูนะ ”
“ ขึ้นได้ ? ”
“ ขึ้นได้สิ ไม่ได้ขึ้นไปเรียนขึ้นได้อยู่แล้ว ”
“ อื้ม ” ปลดสายเข็มขัดนิรภัยตามคำขอของคนข้างกัน กดล็อกประตูรถในตอนที่เดินออกมาแล้วเข้าไปในตึกที่ก็รอลิฟต์อยู่ไม่นานก็ถึงชั้นที่อีกคนถูกนัดมาให้มาเจอ ห้องเรียนที่ไม่มีใครอยู่ประตูที่ถูกแง้มไว้ราวกับมีคนที่มาก่อนหน้านั้นแล้ว เมดผลักประตูเข้าไปในและไม่ต้องหาคำตอบอะไรให้นาน คำตอบก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า คนที่มาถึงก่อนหันมามองเราที่เข้ามาใหม่ ไอ้บินนั่งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งพร้อมกับยีนส์อดีตเพื่อนสนิทของเมดที่ก็ยังอยู่บนเก้าอี้ตัวที่ติดกับโต๊ะนั่นคนที่ทั้งคู่ที่กำลังยิ้มให้กันแต่ก็ต้องหุบลงตอนที่เห็นหน้าพวกเรา
“ อ้าว เมด ” ไอ้บินเอ่ยทักคนตรงหน้าผมที่ก็ยิ้มให้ก่อนจะก้มหน้าลงทักกลับไป เมื่อเอื้อมมือตัวเองมาจับมือของผมไว้แน่นในตอนนั้น สายตาที่หันไปมองอีกคนก็หันมามองผมพอดี เมดยิ้มกว้างราวกับจะบอกคนที่มองดูเราอยู่ตอนนี้ว่าผมคือแฟนของมัน และก็อยากจะให้ผมมั่นใจว่า ผมสำคัญที่สุดและมันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น
“ ฝ้ายส่งข้อความนัดมึงมาเหมือนกันยีนส์ ” เมดถามอีกคนที่ก็ขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหน้า
“ ไม่นะ ไอ้จิงบอกกู แต่มันก็บอกนะว่าฝ้ายนัดมา ”
“ เหรอวะ ” พยักหน้ารับกับอีกคนก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนผมก็นั่งลงบนโต๊ะตัวข้างหลังเมดที่ก็หันมาชวนคุย “ เดี๋ยวเราจะไปกินข้าวกันที่นู้นมื้อเย็นทีเดียว หรือว่าจะหาอะไรกินกันไปก่อน ”
“ หาอะไรกินก่อนสิ ตอนเที่ยงยังไม่กินอะไรเลย ”
“ งั้นหาไรกินแถวนี้นะ จะได้ขับรถออกไปเลย ”
“ ผ่านร้านไหนน่ากินก็แวะเอา ” ผมบอกอีกคนก็พยักหน้ารับก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาแล้วเอาแต่ขมวดคิ้ว
“ ทำไมช้าจังวะ อยากไปหัวหินแล้วเนี้ย ” เมดเริ่มบ่นก่อนจะส่งข้อความไปหาเพื่อนคนที่นัด
“ มากันแล้วเหรอ ” เสียงที่ดังมาจากประตูไม่ใช่คนที่นัดแต่เป็นเพื่อนอีกคนของเมดที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จิงปิดประตูห้องลง แล้วเดินตรงเข้ามาหาเราทั้งสี่คนที่ตอนนี้นั่งอยู่เป็นคู่ ฝั่งขวาเป็นไอ้บินไอ้ยีนส์ ส่วนฝั่งซ้ายเป็นผมกับเมด “ ทำไมพาแฟนมาด้วยวะ จะเย้ยกูเหรอ ”
“ อะไรวะ ” ยีนส์สบถออกมายิ้มๆตอนที่เพื่อนของตัวเองพูดแบบนั้น
ห้องเลคเชอร์เล็กๆมีประตูทางออกเดียว ทำให้พวกเราไม่ได้อยู่ห่างกันเท่าไหร่ จิงเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางนั้นมันยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น ก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วผมก็รู้สึกในตอนนี้ ว่าผม ช้าเกินไป
“ ก็พวกมึงเล่นพาแฟนมาเป็นคู่ ทั้งๆที่กูนัดมาคนเดียวแบบนี้ ถ้าไม่เย้ยกันมันจะอะไรวะ จะมาข่มกูที่แฟนทิ้งเหรอ ”
“ แล้วฝ้ายละ ” ไอ้บินพูดดักขึ้นมาในตอนนั้นจิงก็ยกยิ้ม
“ รีบปัดเชียวน้า ”
“ เดี๋ยวนะกูงง มึงบอกว่าแฟนทิ้งมึงเหรอ มึงมีแฟนแล้ว ? ” ยีนส์ถามเพื่อนตัวเองก่อนจะยิ้มกว้างพลางมองไปเชิงล้อ “ ไม่บอกเลยนะสัด เขินเหรอวะ ถึงไปคบกันเงียบๆแบบนั้น ใครอะไรยังไง ไม่เล่าเลย ”
“ กูพูดไปมึงก็เสียใจสิวะ ” คำพูดที่คนโดนแซวแค่ยิ้มออกมาให้คนถามก่อนจะหันมามองเมด “ เมดเองก็คงเสียใจเหมือนกัน ”
“ กูเหรอ ” คนโดนพาดพิงอย่างเมด เอียงหน้างง
“ กลับเถอะ กูว่าแบบนี้ ฝ้ายไม่น่ามาแล้วละ ” ผมพูดขึ้นตอนที่ลุกขึ้นจากนั่งก็ดึงแขนคนตรงหน้าให้ลุกขึ้นตามด้วย แต่เมดที่ยังงงๆมันหันมามองผมด้วยสายตาไม่เข้าใจเท่าไหร่
“ ใช่ ฝ้ายไม่มีทางมาหรอก ” จิงพูดขึ้นก่อนจะพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้ผม ก่อนจะลองไปทางเมด “ เพราะกูเป็นคนเอามือถือส่งข้อความไปหามึงเองแหละ ด้วยการบอกแบตหมดแล้วก็ต้องใช้มันโทรหาไอ้ยีนส์ ” ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องเงียบลงไปอย่างรู้ตัวแล้วว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น จิงเองที่ยังคงยิ้ม “ แต่แน่ใจเหรอเมดว่ากลับ กูว่ามึงอยู่ฟังความจริงดีกว่า เดี๋ยวมารู้อะไรทีหลังแล้วจะเสียใจอีก ”
“ กลับเถอะ ” ผมบอกแต่เมดก็ยังนิ่ง เราสบตากันในแววตานั้นของคนตรงหน้ามันบอกผมว่า ‘ อยากฟัง ’
“ กูว่ามึงพอเถอะ ” บินพูดสวนขึ้นทันทีแล้วนั่นก็ทำให้คนโดนห้ามหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ มึงกลัวเหรอบิน ” จิงยิ้มถาม “ มึงกลัวสิ มึงกลัวว่าความจริงมันจะถูกเปิดเผยออกมาก็เลยบอกให้กูหยุด มึงคิดจะกลับตัวเป็นคนดี กูจะบอกอะไรให้นะ ตัวเปื้อนโคลนอย่างมึงใส่เสื้อผ้าใหม่ยังไงมันก็สกปรก แล้วต่อให้มึงอาบน้ำ กลิ่นเหม็นโคลนมันก็ยังติดตัวมึงอยู่ดีจำไว้ ”
“ มึงจะพูดอะไรกันแน่วะจิง ” ยีนส์ถามก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ กูก็จะพูดว่าทั้งๆที่ตอนนั้นยังเป็นแฟนไอ้เมดอยู่ แต่กลับมาแอบเอากับมึงที่เป็นเพื่อนไอ้เมด แล้วนอกจากนั้นก็ยังมาเอากับกูที่ก็เป็นเพื่อนด้วยไง ”
“ นี่มึง..หมายความว่า ”
“ พวกเราน่ะครั้งหนึ่งก็เคยมีผัวคนเดียวกันนะรู้มั้ย เราทั้งสามคนเลย สมเป็นเพื่อนรักกันเลยเนอะ ”
ได้แต่ถอนหายใจออกมาตอนที่ได้ฟัง คิดไว้แล้วว่าประโยคนั้นต้องหลุดออกมา ในที่สุดอีกคนต้องมารู้แบบที่ไม่ได้ตั้งตัวอะไรเลยสักนิด ไม่น่าเลี้ยวรถกลับมาเลยกู ผมถอนหายใจออกมาในตอนที่หันไปมองหน้าเมดที่ยังยืนนิ่งไม่ไปไหน แต่ทว่าคนที่คิดเอาไว้ว่าจะเสียใจ กลับไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจอะไรทั้งนั้น เมดไม่แม้จะร้องไห้ มันแค่ยืนมองคนสามคนนั้นนิ่งๆ ต่างกับยีนส์ที่พูดออกมาจากปากสั่นๆด้วยคำพูดซ้ำๆ
“ ไม่จริง ไม่จริงใช่มั้ย ”
“ จริง ไม่เชื่อก็ถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆมึงสิ ว่าไงบิน บอกเลย ความจริงเรื่องของเราน่ะ ” ยีนส์มองบินในตอนนั้นอีกคนก็ไม่พูดอะไร มันก้มหน้าลงแล้วนั่นก็คือคำตอบของทุกอย่าง
“ นี่พวกมึง ”
“ มึงไม่มีวันจะได้รักกันหรอก ทำเหี้ยก็ต้องได้รับผลกรรมสิวะ จะมาบอกว่า ขอเลิกกับกู ไม่อยากจะเอากูลับๆไอ้ยีนส์ จะปรับตัว จะเป็นคนดี มึงเหี้ยมาหลายปีแต่มาบอกกูว่าจะเป็นคนดี ฝันไปเถอะ กูไม่มีทางให้พวกมึงเสวยสุขอยู่กันสองคนหรอก จำไว้ เพราะกูจะไม่มีวันเสียใจคนเดียว ”
“ แบบนี้นี่เอง ” คำตอบที่หลุดออกมาจากคนข้างกายผมทำให้จิงหันมามองด้วยความรู้สึกแบบขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่คิดว่าต้องเสียใจอย่างมันถึงไม่ได้ร้องไห้อะไรทั้งนั้น
“ อย่าแสดงทำเป็นเข้มแข็งไปหน่อยเลยเมด กูรู้ว่ามึงช็อคแล้วก็เสียใจ นึกไม่ถึงละสิว่ากูเองก็จะเป็นหนึ่งในเพื่อนที่ทรยศมึงด้วย ”
“ ก็ตกใจ แต่ไม่ได้เสียใจนะ ” เมดตอบ “ ก็มึงทรยศกูมาตั้งแล้วนานไม่ใช่เหรอ มันก็ไม่ได้ต้องเสียใจอะไรนี่ ” คำอธิบายที่เพิ่มเติมที่พูดออกมายิ้มๆ ร่างเพรียวคนมองตรงหน้า “ กูไม่รู้สึกอะไรนะ ก็บินโกหกกูเรื่องที่บอกว่าให้นมกู ยีนส์แอบเอากับบินหลับหลังกู ส่วนมึงที่ตอนแรกเก็บความลับให้ไอ้ยีนส์ไอ้บิน ตั้งแต่ที่กูรู้ว่าพวกมึงเป็นแบบนี้ พวกมึงแม่งก็ตายไปจากชีวิตกูแล้ว คือพวกมึงไม่ใช่คนที่กูเรียกว่าเพื่อน ไม่ใช่คนรัก ไม่ใช่คนที่กูให้ค่าให้ความสำคัญอะไร อีกอย่างตั้งแต่วันนั้นกูก็ไม่เคยมองมึงเป็นคนดีเลยจิง ” มันส่ายหน้าไปมาตอนที่พูด “ อย่างที่กูเคยบอกไง เพื่อนที่ดีเค้าจะไม่ทำให้เพื่อนต้องเสียใจหรอก เพื่อนที่ดีคือเพื่อนที่ต้องเคอยเตือนกันเวลาที่รู้ว่าเพื่อนจะทำไม่ดี หรือกำลังเดินทางผิด แต่เพื่อนแบบมึง คือเพื่อนที่ปล่อยให้กูเดินหลงอยู่ในทางโง่ๆนั้น ทั้งๆที่มึงก็รู้ว่ายีนส์คบกับบินอยู่ แล้วต่อให้วันนี้กูรู้ว่ามึงก็คือคนที่ได้กับบินด้วย กูก็ไม่ตกใจ เพราะถ้าเป็นคนแบบมึง ก็ว่ามันก็ไม่เห็นแปลก ”
“ เมด ” จิงเอ่ยชื่ออีกคนเสียงเบา
“ แต่ยีนส์ก็น่าสงสารหน่อย เพราะมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้เลนว่าว่าจริงๆ เพื่อนที่อยู่ข้างมันมาตลอด ก็แค่อยากจะปกปิดสิ่งที่ตัวเองก็ทำอยู่ก็เท่านั้น นั่นคือการแอบกินกับไอ้บิน ไม่ใช่เพราะว่าเข้าข้างมันอย่างที่มันเข้าใจ ”
“ มึงเข้าใจผิดแล้วเมด ” จิงพูดสวนขึ้นก่อนจะยกยิ้ม คนโดนเรียกก็หันไปมอง “ มึงเข้าใจผิดทั้งหมด มึงคิดว่าคนแบบไอ้ยีนส์มันจะกล้าเอากับไอ้บินเหรอ ถ้ากูไม่พูด ไม่บอกว่าทำได้ ไม่ยุยงมัน ไอ้ยีนส์คนรักเพื่อนก็คงไม่กล้าเอากับไอ้บินหรอก แล้วทุกอย่างที่มันทำ กูเองนี่แหละที่เป็นคนบอกให้มันทำ เพราะว่ากูอยากให้มึงไม่มีเพื่อนที่ดีสักคนไง ”
“ หมายความว่าไงวะ ”
“ เรียนก็ดี หน้าตาก็ดี ทำอะไรใครๆก็มอง ชมกันไม่ขาดปาก จนกูอยากจะอ้วก พ่อแม่กูเองก็พูดกรอกหูกูทุกวัน ตั้งแต่วันแรกที่กูเข้าโรงเรียนมาแล้วเจอมึง ‘ ไม่ว่ายังไงก็ต้องคบกับเด็กคนนั้นให้ได้นะเพราะว่าพ่อสมัยเด็กๆก็เคยแข่งเรียนกับพ่อเค้ามา แล้วก้ต้องเอาชนะให้ได้นะ ’ แล้วพอได้เป็นเพื่อนกัน สอบทีไรนอกจากคะแนนของกูเค้าก็จะถามถึงคะแนนของมึง คะแนนของเมดเป็นยังไงบ้างละ เป็นยังไงชนะมั้ย แล้วสุดท้ายกูก็คือคนแพ้ทุกที ‘ ทำไมไม่เรียนให้เก่งได้เท่าน้องเมดละ ’ กูฟังคำนี้เป็นร้อยรอบ ‘ ขยันเข้าสิ ’ ‘ ไปเรียนพิเศษให้เยอะๆเลยนะ ’ ‘ ลองเอาชนะน้องเมดให้ได้สักครั้งสิ ’ แต่คนอย่างกูจะไปชนะอะไรมึงได้วะ ตั้งแต่เด็กจนโต มึงเรียนเก่งกว่าใคร เป็นที่หนึ่งของห้อง ไม่ว่าจะวิชาอะไรก็ถนัด หน้าตาก็ดีได้ทำกิจกรรมเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนตลอด แถมชีวิตครอบครัวก็มีความสุข ทั้งๆที่แม่ตาย แม่เลี้ยงก็ต้องเหี้ยหน่อย แต่เสือกมีแม่เลี้ยงดี น้องบุญธรรมก็ดี ชีวิตที่มีดีไปหมดของมึง ทำไมถึงมีความสุขได้ทั้งๆที่กูแม่งรวยกว่า ทุกอย่างพร้อมกว่า แต่กลับไม่ได้มีอะไรเหมือนมึงเลย ”
“ ประสาท ” ผมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้นอีกคนก็หันมาจ้องหน้ากัน
“ แล้วมึงจะทำไม มึงไม่เข้าใจชีวิตที่ถูกกดดันของกูหรอก กูที่อยากจะทำลายไอ้เพื่อนเหี้ยคนนี้ให้มันเจอเรื่องเลวร้ายบ้าง ให้มันเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้กู เรื่องกดดันแบบนี้ เรื่องที่ทำให้ต้องร้องไห้ ” จิงยิ้ม “ แล้วอยู่ๆ นรกแม่งก็ส่งไอ้เชี้ยบินให้เข้ามาจีบไอ้เมด ไอ้ยีนส์ตอนนั้นก็ดูท่าทางจะชอบไอ้สัดนั่นสุดๆ ทุกอย่างแม่งก็เลยเข้าทางกู แล้วไอ้บินแม่งก็โคตรเหี้ย ทำร้ายจิตใจไอ้เมดตลอด สารพัดความเหี้ย แต่กูก็ชอบบอกให้มึงทน จะได้ทรมานนานๆไง แม่งเอาคนนู้น คนนี้ไปทั่ว กูรู้หมดแหละ ที่เอามาบอกมึงทุกครั้ง ที่ให้คนอื่นมาบอกมึงบ้าง นั่นก็กูจ้างทั้งนั้น รู้มั้ยกูเคยภาวนาขอให้มึงติดเอดส์ด้วยนะ ชีวิตจะได้ล่มจมแบบกู่ไม่กลับไง ตายแบบหมาทุเรศๆ ที่สุดท้ายยังโดนเพื่อนรักหักหลังอีกถึงสองคน ”
“ จิง มึงคิดถึงขนาดนี้เลยเหรอ ”
“ ถามจริงๆ มึงคิดเหรอ ว่ายีนส์มันจะกล้าไปเอากับไอ้บินในห้องมึงถ้ากูไม่ได้เป็นคนบอกว่า ให้ไปเอากันให้ห้องมึงแล้วกูจะเป็นคนดึงตัวมึงไว้ให้เอง เพราะทุกอย่างมันก็คือแผนของกูเอง แผ่นที่จะทำให้มึงเสียใจจนจะเป็นบ้า กูบอกให้มึงกลับไปเอาหนังสือทั้งๆที่มันไม่ต้องใช้ กูจงใจให้มึงเห็น ให้มึงเสียใจ กูอยากให้ชีวิตมึงแม่งบัดซบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กูอยากให้คนอย่างมึง ต้องสูญเสียทุกอย่าง กูหมั่นไส้มึง หมั่นไส้คนอย่างมึงที่มันดีไปหมด กูเกลียดมึงเมด กูเกลียดที่ใครๆก็เอาแต่เปรียบเทียบกูกับมึง แล้วกูก็อยากให้คนพวกนั้นพูดว่า ดีแล้วที่ไม่มีชีวิตแบบคนอย่างมึง แล้วจำไว้นะ กูไม่เคยอยากจะเป็นเพื่อนกับคนอย่างมึงเลยสักครั้ง ”
“ อื้ม ” เป็นแค่เสียงตอบรับสั้นๆที่ออกมาจากปากคนฟังพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาจากแววตาแดงกล่ำนั่น เมดที่ยังคงยิ้มมันพยายามกลั้นน้ำตาแต่มันก็ยาก เวลาจริงใจกับใครแล้วเค้าไม่จริงใจด้วยมันก็เหี้ยแบบนี้ เหี้ยจนบรรยายความรู้สึกไม่ออก ผมเข้าใจมันว่าตอนนี้อึดอัดแค่ไหน คงเสียใจกว่าการที่แฟนเอากับเพื่อน เสียใจกว่าทุกอย่าง นั่นเพราะความเป็นเพื่อนที่เคยให้กัน ที่เคยคิดว่า มันไม่เคยมีอยู่จริงเลยแม้แต่น้อย “ แต่ตอนนั้นกูอยากเป็นเพื่อนกับมึงจริงๆนะ ”
“ เหรอ ”
“ ตั้งแต่เด็กที่เรารู้จักกัน วันที่มึงเข้ามาทักกูตอนเปิดเทอมวันแรก กูดีใจมาก ตอนที่บอกว่าจะเป็นเพื่อนกับกู ตอนนั้นคิดว่ามึงคือเพื่อนรัก แล้วก็ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นเลย ไม่เคยรู้สึกอะไรนอกจากอยากให้เราเป็นเพื่อนรักกันไปตลอด กูไม่เคยคิดอยากจะทำร้ายมึง ไม่เคยเลย ”
“ เพราะมึงมันโง่ไง มันไม่มีใครอยากจะเป็นเพื่อนกับมึงไปตลอดหรอก คนอย่างมึงเป็นเพื่อนไปก็มีแต่ทำให้เพื่อนโดนลดคุณค่า เหมือนโดนกดอยู่ตลอดเวลาใครมันจะไปอยากมี เพื่อนที่ทำอะไรก็เด่นไปหมด เชิดหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรตอนที่โดนนอกใจน่ะ กูแม่งโคตรสะใจเลยรู้มั้ย ”
“ มึงสิโง่ ” ผมพูดตอกกลับอีกคนไป “ ที่ทิ้งเพื่อนที่จริงใจที่สุดในชีวิตไป มึงโง่มากๆ ที่ทำแบบนั้น เพราะต่อจากนี้ไปทั้งชีวิต มึงจะไม่มีวันมีใครที่เรียกเค้าได้ว่าเพื่อนอีก เพื่อนที่อยู่ข้างมึงเวลาที่มึงมีปัญหา เพื่อนที่ช่วยเหลือมึง ” จิงมองหน้าผม มันก็แค่อยากจะเอาชนะอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งๆที่มันก็รู้อยู่แก่ใจว่าเมดเป็นเพื่อนที่ดีแค่ไหน “ กูว่ากูไม่ต้องอธิบายหรอก ว่าเมดมันดีกับมึงยังไง มึงคงรู้คำตอบ แต่กูจะบอกอะไรให้ฟังนะ สิ่งเดียวที่ทำให้เมดโดดเด่นคือความเหี้ยๆของมึงที่คิดกับมันแบบนั้น เมดที่สว่างท่ามกลางความมืดในใจมึง เมดที่ทำดีกับมึง มันก็เลยโดดเด่นสำหรับมึงที่คิดแต่จะทำร้ายมันก็เท่านั้นเอง ”
“ หึ ”
“ ยิ้มไปเถอะ ถ้าความโดดเดี่ยวทำให้มึงรู้สึกชนะ มึงก็ยิ้มต่อไป ” ผมยิ้มให้มัน “ เพื่อนน่ะ มันต้องจริงใจต่อกัน มันถึงจะเรียกว่าเพื่อน ส่วนมึงน่ะ มันไม่ใช่ มึงมันเป็นแค่คนขี้อิจฉาที่ไม่ว่าจะทำยังไงสุดท้าย มึงก็ได้แค่อิจฉา แล้วจำไว้นะว่าต่อไปนี้เมดจะมีแต่ความสุขมากกว่ามึงไม่ว่าจะด้วยเป็นเรื่องอะไรก็ตาม จำคำกูไว้ ”
แววตาโกรธที่จ้องมองผมไม่ได้หลบสายตาไปไหน จิงมีความโกรธอยู่ในใจเต็มร้อยแบบชนิดที่ถ้าเป็นไฟมันก็ร้อนจนขีดสุด เพราะสิ่งเดียวที่ขัดขวางมันตอนนี้คือผม ผมที่ทำให้เมดคนที่มันเกลียกมีความสุข อย่างที่มันไม่อยากจะให้เป็น
“ อาฟ ” เมดก็เอื้อมมือมาจับมือผมแล้วส่ายหน้าไปมาราวกับจะบอกให้หยุด “ กลับเถอะวะ คงไม่มีอะไรแล้วละ ” ดึงมือผมให้เดินออกมาในตอนที่ปาดน้ำตาแล้วสูดน้ำมูกเข้าไปนั้น มันที่ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะยิ้มให้ผมอย่างเข้มแข็งที่สุด ตอนนั้นมันเอียงหน้าไปมองยีนส์ “ ยีนส์ กุรู้ว่ามึงคงเจ็บมาก แต่มันจะหายไปนะมึง เพราะงั้นรักตัวเองให้มากๆนะ แล้วสุดท้ายในตอนที่มึงหลุดออกมาจากขุมนรกนั่น มึงจะรู้ว่า สิ่งที่กูพูดมันจริงที่สุด ”
ยีนส์ไม่ได้พูดอะไร มันแค่มองอีกคนด้วยสายตาสั่นไหว ว่ากันว่า เรื่องบางเรื่อง ถ้าไม่เจอกับตัวเราจะไม่มีทางรู้ว่ามันเจ็บปวดยังไง
“ เมด กูขอโทษ ”
“ ไม่เป็นไร กูขอให้มึงโชคดีแล้วกัน ”
“ จะไม่เสียใจหน่อยเหรอวะ ” พูดคำที่ทำให้ขาที่กำลังเดินไปของเราสองคนหยุดชะงัก เมดหันกลับมามองจิงที่ก้มหน้าพูดออกมาแบบนั้นทั้งน้ำตา คนที่ทำให้ผมถอนหายใจออกมาเพราะรู้สึกว่ามันเหมือนคนบ้าที่กำลังเสียสติ กับเรื่องที่ไม่เป็นไปอย่างที่วางแผนไว้ “ ทำไมมึงถึงไม่เสียใจในสิ่งที่ได้ยินจากกูบ้าง กูเป็นคนที่โกหกมึงไงเมด กูที่เคยเป็นเพื่อนที่แสนดีของมึงไง คนที่มึงเคยไว้ใจแล้วเล่าทุกอย่างมาตลอดชีวิตแต่กลับไม่เคยจริงใจกับมึงเลย ทำไมมึงไม่เสียใจบ้างวะ มึงจะมาร้องไห้แค่นี้ แล้วตัดใจไม่ได้ มึงต้องเสียใจให้ได้แบบที่กูอยากจะให้มึงเสียใจ มึงต้องเสียใจกับชีวิตบัดซบของมึง มึงต้องเสียใจที่มึงต้องมาเจอกับเรื่องพวกนี้ ทำไมมึงไม่เสียใจ..”
“ กูคงผ่านมันมาแล้วมั้ง ความเสียใจพวกนั้นน่ะ อีกอย่างพวกมึงเองก็ไม่มีค่าอะไรในชีวิตกูแล้ว แบบนั้นกูจะไปเสียใจไปทำไมวะ กูเองก็เต็มที่กับฐานะเพื่อนมาตลอด แต่มึงไม่เห็นค่างั้นก็ช่างมันเถอะ กูมีเพื่อนอีกเยอะแยะ ปล่อยให้คนที่เค้าเห็นมึงมีค่าเสียใจเถอะ ” มันเชิดหน้าไปทางยีนส์แล้วในตอนที่หันกลับมา ปลายกระบอกโลหะก็จ่อมาทางคนข้างตัวผมในระยะประชิด
“ เมด! หลบ! ปืนปากกา ” คว้าเอาตัวคนที่เอ่ยเรียกชื่อเข้ามาอยู่ในวงแขน แล้วใช้แผ่นหลังของตัวเองบังเอาไว้ด้วยความรู้สึกว่าต้องปกป้องไว้เป็นอย่างแรก
ปัง!
อ้อมกอดผมกอดรัดเมดไว้แน่นในตอนที่ได้ยินเสียงนั้น ทุกอย่างมันเงียบไปหมด ผมไม่แน่ใจว่าเสียงของปืนชวนให้มีอาการหูอื้อหรือเปล่า แต่ภาพของคนในอ้อมกอด ณ วินาทีนั้นมันช่างเลือนลางจนแทบจะไม่เห็นรูปร่างใดชัดเจน ผมเห็นเพียงแค่แววตาใสนั้นที่เงยขึ้นมองกันตอนที่ผมก้มลงไปดู น้ำตาที่เริ่มไหลของเมด ผมได้ยินเสียงของอีกคน
“ อาฟ ไม่นะ ไม่นะ อาฟ ไม่นะ ไม่ๆ อย่าเป็นอะไรนะ ”
“ เมด มึงเป็นอะไรมั้ย ” มันเป็นคำถามแรกที่ผมอยากรู้ในตอนที่เอื้อมมือไปจับใบหน้านั้น แล้วลูบไปตามตัวของอีกคนเพื่อตรวจเช็ก แต่คนตรงหน้าก็แค่ส่ายหน้าไปมา
“ ไม่ กูไม่ได้เป็นอะไร ”
“ งั้นก็ดีแล้ว ” คำพูดสุดท้ายของผมเอ่ยออกไป ก่อนความเจ็บหน่วงที่ช่วงท้องจะแล่นขึ้นแกนสมองราวกับสั่งให้รับรู้ว่าเสียงปืนเมื่อครู่ที่ได้ยินนั้น ตอนนี้ลูกกระสุนนั้นมันฝากฝังอยู่ในตัวผมแล้วและกำลังมีเลือดอุ่นที่เริ่มซึมออกมาพร้อมกับเสียงร้องไห้ของคนตรงหน้าที่กำลังลนไปกับทุกสิ่งมันจะค่อยๆชัดเจนขึ้น มือของแมดจับที่แผลของผม มันที่พยายามหาอะไรบางอย่างที่ผมคิดว่าคงเป็นมือถือ
“ ช่วยด้วย ช่วยด้วยมีคนโดนยิง ช่วยด้วยมีคนโดนยิง ช่วยด้วย ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย ” ประโยคที่วนไปวนมาแบบนั้นก่อนที่มือถือจะถูกดึงไปจากมือมัน ก่อนจะรายละเอียดที่จำเป็นจะถูกพูดออกไปตามสายโดยไอ้บินเป็นคนพูดให้ เมดหันมามองผมมือที่จับกันไว้แน่น มันหอมไปบนมือ หน้า และริมฝีปากของผมทั้งน้ำตา “ หมอกำลังจะมานะ มึงจะไม่เป็นอะไรหรอก ไม่เป็นอะไรหรอกนะ อดทนนะอาฟนะ บอกกูว่าจะพากูไปเที่ยวหัวหินไง เราต้องได้ไปกันนะ เข้าใจมั้ย ห้ามทิ้งกูไปไหน นี่คือคำสั่ง เข้าใจรึเปล่า ”
“ ยิ้มให้ดูหน่อย ” ผมบอกอีกคนก็ยิ้มกว้างออกมาตามที่บอก ในตอนนั้นผมยิ้ม “ ห้ามร้องไห้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ก็อย่าร้องไห้เด็ดขาด เพราะกูเกลียดนน้ำตาของมึงที่สุด ” แล้วนั่นคือคำพูดและรอยยิ้มสุดท้ายของผม ก่อนสติทั้งหมดมันจะดับวูบไป
...........................................................
พี่อาฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
คิดว่าตอนหน้าน่าจะจบเนื้อเรื่องหลัก แต่ไม่เป็นไรนะ ตอนพิเศษมีให้อ่านอีกเพียบ #บีบมือให้กำลังใจน้องเมดต่อไป
ฝากแท็ก #ผับชั้นสาม ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า