‘ แล้วกูไม่มีสิทธิ์จะมีความรักดีๆกับเค้าบ้างเลยเหรอวะ ’
ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในสมองของผมที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องทำงาน ผมไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่แบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เก้าอี้ที่ถูกถีบระบายอารมณ์เมื่อตอนที่เมดเดินออกไปไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะลูบหน้าลูบตาตัวเองแรงๆด้วยความหงุดหงิด
‘ สุดท้ายก็เป็นคนที่ทำให้ร้องไห้ซะเอง ทั้งๆที่เคยบอกว่าไม่ชอบเห็นน้ำตางี่เง่านั่น ’ สุดท้ายคนที่ทำให้เมดร้องไห้ก็คือผมที่ก็ไม่ดีไปกว่าไอ้เชี้ยบินเท่าไหร่ วาดฝันว่าตัวเองจะเป็นคนที่ดีกับเค้าไปก็เท่านั้น ตัวตนยังไงมันก็คือตัวตนอยู่แล้ว น่าสมเพชสิ้นดีที่ตัวเองกลับคิดว่า ‘ ไม่ใช่แค่ดี แต่ต้องดีที่สุด ดีกว่าใครทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเมด ’ แต่สุดท้ายมันกลับไม่ต่างอะไรกันเลย ไม่ต่างอะไรกับไอ้เหี้ยนั่นที่ทำให้เมดเสียใจมาตลอด
ก้าวเท้าเดินออกไปที่ประตูห้องมือที่เอื้อมจับลูกบิดประตู ผมไม่รู้หรอกว่าถ้าเจอใครอีกคนนั่งร้องไห้อยู่ผมจะทำยังไง หรือคำพูดแรกที่พูดออกไปควรจะเป็นอะไร ผมไม่ได้คิดอะไรเผื่อไว้ทั้งนั้น เพราะสิ่งที่คิดมันมีแค่ว่า ‘ ไม่ว่ายังไงก็เสียไปไม่ได้ ’ แต่ทว่าเมดก็ไม่ได้นั่งอยู่อย่างที่คิด หน้าห้องไม่มีใครอยู่ มันว่างเปล่า
ผมเดินลงไปชั้นล่างเดินตรงไปที่ห้องพนักงานที่มีแมวอ้วนอย่างไอ้หมูตุ๋นอยู่ เพราะทุกวันเวลาทำงานเสร็จอีกคนจะมานั่งเล่นกับลูกแมวที่นี่ แต่ว่าในห้องนั้นก็ไม่มีเหมือนกัน
“ ไอ้เจ ไอ้เมดอยู่ไหน ” เดินออกมาเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ที่บาร์ มันที่หันมามองผมก่อนจะยกยิ้มแล้วก็พูดสั้นๆ
“ จนได้นะมึง ”
“ กูถามว่าไอ้เมดอยู่ไหน ”
“ ไม่ต้องบอกพี่เจ “ น้องชายผมที่อยู่ด้านในของบาร์บอก “ คนปากแบบสัดพี่บอกว่าพี่เมดอยู่ไหน แม่งก็ตามไปทำร้ายความรู้สึกพี่เมดอีกนั่นแหละ ”
“ เสือก ” ผมจ้องอีกคนก่อนจะพูดสั้นๆ เหลือบมองเพื่อนสนิทอีกครั้ง “ บอกกูมา ”
“ บอกก็ได้ แต่มึงต้องบอกกูก่อนว่ามึงทำผิดอะไรกับไอ้เมด ” ถอนหายใจออกมาผมหันไปทางอื่นตอนที่ได้ยิน
“ ทำไมกูต้องบอก นี่มันเรื่องของกู แฟนกูไม่ใช่แฟนมึง ”
“ งั้นกูก็ไม่บอก เพราะนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของกูเหมือนกัน ”
“ ไอ้เจ ” ผมเรียกเพื่อนสนิทเสียงเรียบ เสียงที่จะบอกกับมันว่า อย่ากวนตีนคนอารมณ์ไม่ดีอย่างผมไปมากกว่านี้
“ บอกมึงไป มึงแน่ใจเหรอว่าจะไปพูดกับมันด้วยเหตุผล กูถามจริงๆ ตอนนี้มึงรู้รึยังว่า เมดมันโกรธมึงเรื่องอะไร หรือแค่คิดว่า มึงทำมันร้องไห้ เมดโกรธ เลยต้องไปง้อ เพราะเสียไปไม่ได้ “ ไม่ได้ตอบอะไรอีกคน เรามองหน้ากันนิ่งๆก่อนไอ้เจเชิดหน้ามาที่เก้าอี้ตัวข้างมัน “ นั่งลงก่อนมั้ยสัด มีสติแล้วค่อยไป เพราะถ้าไปแล้วทำให้แย่ลง มึงอยู่นิ่งๆที่นี่เถอะ อย่าไปทำร้ายเค้าเลย ”
“ มองอะไรกูไอ้เชี้ยเดย์ ” ผมถามน้องชายตัวเองตอนที่นั่งลงตรงเก้าอี้ตัวที่ไอ้เจบอกอย่างช่วยไม่ได้ คงจริงอย่างที่มันบอก นั่งให้มีสติแล้วค่อยไป
“ มองไอ้เหี้ยตัวนึงที่ทำให้พี่เมดของกูต้องเสียใจ ”
“ เหล้าหน่อยมั้ย ” ไอ้เจถามผมก็ส่ายหน้า
“ กูอยากจะคุยกับเมดให้รู้เรื่อง อารมณ์กูตอนนี้แดกไปก็เมา ”
“ มึงหึงไอ้เมดกับเซลล์ที่ชื่อต่อถูกมั้ย ” คนข้างๆถามผมก็หันไปมองหน้ามัน “ ที่กูรู้เพราะกูเห็น ตอนที่เมดเดินลงมาเซลล์คนนั้นมันก็เดินมาคุยกับเมด ”
“ มึงว่าไงนะ..”
“ ใจเย็นๆ มึงแม่งพอเรื่องไอ้เมดแล้วโคตรใจร้อน เบาๆหน่อยเถอะสัด ฟังกูก่อน ” ถอนหายใจออกมาอีกครั้งผมนิ่งไปเจก็พูดต่อ “ เซลล์คนนั้นมันเดินมาขอโทษไอ้เมด ที่เหมือนมันจะพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้มึงกับไอ้เมดทะเลาะกัน มึงพูดอะไร ” เจหันมาถามผมในท้ายประโยคที่ก็นิ่งไปก่อนจะพูดเสียงเรียบๆ
“ ร่าน ” ผมบอกมัน “ ประมานว่า งั้นคนของกูก็ร่านไปคุยกับมึงเองงั้นสิ กูด่ามันต่อหน้าไอ้เชี้ยนั่น ”
“ สมเป็นมึงไอ้สัดอาฟ ”
“ ก่อนหน้านั้นกูเดินขึ้นไปชั้นสอง กูได้ยินไอ้เหี้ยนั่นพูดกับเมดว่า เพื่อนมันลืมบอกว่าเลขาผับนี้น่ารัก แล้วก็ถามต่อว่า มีแฟนรึยัง ” ผมหลุดยกยิ้มออกมาตอนที่คิดถึงภาพที่เห็นแล้วก็เสียงที่ผมได้ยิน ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นที่มองเมดด้วยสายตาชื่นชอบ และที่ผมเกลียดที่สุดก็คือ มันคนนั้น คือคนในแบบที่เมดชอบ เป็นท่าทางคนใจดีที่ช่างพูด แถมยังดูอบอุ่น คนที่ไม่ใช่คนในแบบผม
“ สติมึงก็เลยขาดเพราะเกิดอาการหึงหวงสินะ ”
“ มันควรรู้ว่าข้อห้ามของผับนี้คือ ห้ามยุ่งกับเลขากู ”
“ ทำไวนิลมาติดเลยมั้ย ขึงป้ายเอาตัวใหญ่ๆ ตรงระเบียงชั้นสอง ด้วยสโลแกน รักชีวิตอย่าคิดยุ่งกับเมียพี่อาฟ ” เจหันมาบอกผมก่อนจะยกเบียร์ที่อยู่ตรงหน้ามันขึ้นกิน “ ช่วยเล่าให้กูฟังตั้งแต่ต้นจนจบหน่อยเรื่องมันเป็นมายัง ขอละเอียดๆนะ แล้วอย่าเล่าข้ามละไอ้สัด ”
“ เพื่อ ? “
“ เพื่อให้ตอนที่มึงพูดออกมา มึงจะได้นั่งคิดว่าสิ่งที่มึงทำมันเหี้ยแค่ไหน ” ผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คนข้างๆอย่างจำยอม พร้อมกับไอ้เดย์ที่ก็ไม่ยอมเดินไปไหนเพราะความอยากรู้
“ ด่าเหี้ยยังสงสารเหี้ยเลย ” น้องชายผมบอกตอนที่ผมเล่าจบ “ มึงด่าพี่เมดของกูต่อหน้าคนอื่นอะ ทั้งๆที่เค้าไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยอะสัดพี่ แล้วเค้าก็พูดกับมึงด้วยเหตุผลด้วยซ้ำอะ แต่มึงไม่ฟังอะไรเค้าเลย แถมยังไปดูถูกเค้าอีก มึงแม่งแบบ กูจะสรรหาคำไหนมาด่ามึงดีวะ ”
“ งั้นก็เงียบปากไป ” บอกปัดน้องชายตัวเอง ก่อนจะนั่งเงียบๆแล้วก็คิดทบทวน
หงุดหงิดตัวเองที่ตอนนั้นขาดสติไปทุกอย่าง ทำไมถึงได้พูดเหี้ยอะไรแบบนั้นออกมาวะ ยิ่งคำพูดที่บอกออกไปว่า ทำไมพอเป็นผมถึงไม่ทน มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากแค่ไหน เหมือนกับช่วงเวลานั้นผมไม่ได้แคร์มัน คิดแค่ว่า อยากจะให้ยอมกันเหมือนอย่างที่มันเคยยอมให้ไอ้บิน ทั้งๆที่ก็บอกตัวเองตลอดว่าไม่อยากจะเป็นแบบนั้น
“ มึงทำเหมือนไอ้เมดเป็นตุ๊กตาอะ ” เจหันมาพูดกับผม “ ตุ๊กตาที่มึงเคยอยากได้มาก แต่มึงไม่เคยได้ตอนเด็กๆ พอวันนึงมึงไปเจอมันโดนทิ้งอยู่ สภาพไม่ดี แต่เพราะมึงชอบมากก็เลยเก็บกลับมา มึงเอามันมาซักทำความสะอาด ดูแลทุกอย่างให้อย่างดี จนมันสวยเหมือนเดิม แล้วมึงก็คิดว่า ตุ๊กตาตัวนี้ต้องทำตามความต้องการของมึงทุกอย่าง เพราะมึงก็ไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร แต่มึงลืมไปรึเปล่า เมดมันก็มีหัวใจนะมันไม่ใช่ตุ๊กตา ” ผมนั่งฟังอีกคนพูดแบบเงียบๆ “ มึงด่ามันแบบนั้นด้วยอารมณ์โกรธทั้งๆที่มันพยายามจะทำให้มึงใจเย็น แต่มึงก็ยังบอกให้มันคิดอย่างที่มึงต้องการ มึงบอกให้มันยอมมึงทั้งๆที่มึงก็รู้ว่ามันเคยเจ็บกับการยอมไอ้เชี้ยบินมา แล้วมึงยังจะมาทำร้ายมันอีกเหรอวะ .. ไอ้อาฟ กูถามจริงๆ มึงกลัวอะไรรึเปล่า ”
“ กลัวอะไร ” ผมหันไปมองอีกคนที่ก็หมุนเก้าอี้มามองหน้าผม
“ กลัวว่ามึงจะไม่ดีพอในความรู้สึกเมด กลัวว่าเมดจะไปจากมึงถ้าเจอคนที่ดีกว่า ”
“ จะกลัวทำไม กูก็ไม่ได้ดีอะไรอยู่แล้ว ” ตอแหลสิ้นดี ทั้งๆที่ทั้งหมดมันก็เป็นแบบนั้น
ผมกลัวการที่ไม่มีเมดอยู่ข้างกัน มันคงเหมือนกับเสือตัวนึงที่เผลอไปเจอลูกแมวตัวนึงเข้า ในใจที่อยากจะได้แมวตัวนั้นมาอยู่ด้วย แต่จะดูแลยังไงก็รู้ ก็เลยลองทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ลูกแมวตัวนั้นดูชอบสิ่งที่ผมทำ แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังกลัว ว่าถ้าลูกแมวตัวนี้ไปเจอแมวอีกตัวที่ถูกใจเข้า มันก็คงไป และเพราะไม่อยากจะให้เป็นแบบนั้น ก็เลยขู่คำรามกับทุกคนที่เข้ามาใกล้ รักและหวงแหนมากเกินไป จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นความอึดอัด
“ สิ่งที่มึงทำกับเมดแบบที่มึงไม่เคยทำให้ใคร มันดีอยู่แล้ว แต่บางอย่างมันมากเกินไป อย่างเรื่องที่มึงหึงมันจนพูดด่ามันต่อหน้าคนอื่น แล้วก็ไปพูดดูถูกมันว่าเหมือนมันชอบเค้า ทั้งๆที่มันไม่ได้คิดอะไร กูถามจริงๆ จากใจเลยนะ มึงคิดว่าไอ้เมดชอบเค้า หรือมึงแค่กลัวไปว่าไอ้เมดจะชอบเค้าจนโมโหแล้วด่ามัน ”
“ อย่างหลัง ” เจถอนหายใจออกมาตอนที่ผมตอบ
“ มีสติหน่อยสัด ถ้าเมดมาหึงมึงแบบปัญญาอ่อนมึงก็ไม่ชอบหรอก เอาใจเค้ามาใส่ใจเราซะบ้าง วันนี้ถ้ามึงเป็นเมดมึงจะรู้สึกยังไง หัวร้อนไม่เข้าท่า มึงเป็นเจ้าของผับนะเวลางานก็ช่วยจริงจังหน่อยสิวะ มึงก็บอกมันไปแล้วว่าเมดมีแฟนแล้วนั่นก็จบแล้ว มึงจะพาลไปถึงเรื่องซื้อเหล้า ด่าไอ้เมด คือมึงแบบขาดสติชิบหาย มึงรักไอ้เมดจนขาดสติไปแล้วอะสัดอาฟ ”
“ อื้ม ” ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นอย่างที่เพื่อนพูด รักจนขาดสติไปแล้ว “ แล้วอะไรคือความรักแบบที่มันพอดีวะ ” อยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นยังไง ผมไม่รู้จักอะไรพวกนั้น สิ่งที่รู้มีแค่ ผมรักเมดและถ้ามีอะไรผมจะให้มันทั้งหมด ผมรู้อยู่แค่นั้น
“ มึงต้องหันเรียนรู้ที่จะรักอย่างพอดี มีเหตุผล แล้วก็มีสติ ควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ถ้าไม่เข้าใจก็คิดให้มากๆเวลาโมโห เมดจะเสียใจ เมดจะเสียใจ ท่องไว้จะได้ใจเย็นๆ ” ไอ้เจส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดเหมือนบ่น “ มึงมีเหตุผลกับทุกเรื่องทำไมพอเป็นเรื่องไอ้เมดนิดๆหน่อยๆมึงเหมือนผีเข้าขนาดนั้น ”
“ เพราะนั่นคือเมดไง ” หันบอกอีกคนสั้นๆ “ มันคือคนที่อยู่อีกฝากนึงของถนนสำหรับกูมาตลอด ” เป็นคนที่ไม่เคยเอื้อมถึงแต่พอวันนี้ได้มีมันมาอยู่ใกล้ๆ ทุกอย่างมันก็มากไปหมดจนทำให้อีกคนเสียใจ
“ แต่วันนี้เมดมันยืนอยู่ข้างมึงแล้วไงอาฟ รักษาไว้ให้ดีสิวะ อย่าขาดสติบ่อย ไม่มีใครชอบที่โดนดูถูกหรอก ยิ่งมันมาจากคนที่รักก็ยิ่งไม่ชอบ ”
“ มึงว่ากูดีพอสำหรับเมดรึยังวะ ”
“ ตอบไม่ได้ไม่ใช่ไอ้เมด ” เพื่อนผมบอกก่อนจะยกเบียร์ขึ้นกิน “ แต่ที่กูพอจะบอกได้ก็คือ เมดมันมีความสุขเวลาที่อยู่กับมึงมากๆ ดูจากแววตามันตอนมองมึงก็รู้ ”
“ แล้วกูกับไอ้บินใครดีกว่ากัน ”
“ มึงจะลดตัวเองลงไปเทียบกับเหี้ยทำไมวะ ”
“ ก็ถ้าไอ้เมดมันยังรักเหี้ยกูก็ต้องเทียบรึเปล่า ” หันไปมองอีกคนที่ก็เงียบไปตอนที่ผมพูด เจถอนหายใจออกมา มันคงรู้สึกไม่ต่างอะไรจากผม ก็พอรู้ว่ามันไม่ได้รักแล้ว แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ดี และไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกแบบไหนที่อีกคนคิดถึง ผมก็รู้สึกไม่ชอบใจทั้งนั้น แต่ที่เหี้ยยิ่งกว่าคือ ผมไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไงเพื่อให้มันหายไปจากความคิดของเมด
“ แล้วทำไมมึงต้องแคร์วะสัดพี่ ” ไอ้เดย์ที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้น “ มึงแม่งโคตรไม่ใช่มึงเลยอะ กูจะบอกให้นะมึงแม่งอ่อนด๋อยมากอะที่มีความคิดแบบนี้ ความมั่นใจของมึงมันหายไปไหนหมด พี่ชายกูแม่งเคยเท่ห์กว่านี้อะ ถามหน่อยมึงคนที่มั่นใจว่าต้องทำได้แน่นอนกับทุกเรื่องหายไปไหนแล้ววะ ไอ้เหี้ยนั่นมันมีอะไรดีให้พี่เมดกลับไปคิดถึงยกเว้นความเหี้ยวะ แล้วตัดภาพมาเทียบกับมึงที่เป็นเจ้าของผับ ขับ GTR คันละเป็นสิบล้าน ที่บ้านพ่อสะสมรถยุโรป ทำธุรกิจอสังหา มีน้องชายที่หล่อและน่ารักแถมยังเข้ากันได้แบบสุดๆ แล้วมันจะมีอะไรให้พี่เมดต้องกลับไปคิดถึงไอ้เหี้ยนั่นวะกูถามหน่อย ”
“ อยากยืนปรบมือให้มึง แต่ต้องหยุดความคิดตอนที่มึงบอกว่า มีน้องชายหล่อ ” เจบอกแซว ไอ้เดย์ก็ถอนหายใจมันที่ยังจ้องหน้าผม
“ แล้วที่ตอนนี้พี่เมดก็อยู่กับมึงอะสัดพี่ มึงที่แม่งรักพี่เมดมากๆอะ แต่แค่ปากหมามากไปหน่อย ไม่นับรวมนิสัยเหี้ยอื่นๆอีกเป็นร้อยแต่ก็โอเคอะ อันนั้นมึงแค่ต้องปรับมั้ยวะ กูไม่คิดว่าพี่เมดจะใจร้ายขนาดไม่ทนมึงที่กำลังปรับตัวอะ เค้าก็รู้อยู่แล้วมั้ยว่ามึงก็เหี้ยอะ ขนาดมึงด่าเค้า เค้ายังใจเย็นเลย นั่นมันก็เพราะว่าเค้าไม่อยากจะเสียมึงไปแล้วเค้าก็รักมึงไม่ใช่เหรอ ทำไมโง่วะ คิดแค่นี้ก็ไม่ได้ พี่เมดมีความสุขจะตายตอนอยู่กับมึงยังมาคิดว่าตัวเองเหมือนไม่ดีพออีก กูจะอ้วก ไอ้สัด เก็บความคิดพระเอกแบบน้ำเน่าของมึงลงโถส้วมไปเถอะ ถ้าเราดีจริงไม่มีอะไรที่เราจะไม่ได้มาเว้ย จำไว้ ”
“ เดย์ มึงแม่งมาว่ะ ”
“ ตอนที่มึงบอกว่าจะคบกับพี่เมด ตอนที่มึงบอกกูว่า มึงจะจริงจังกับเค้าทั้งๆที่ตลอดเวลามึงแม่งไม่เคยจริงจังกับใครเลย มึงในตอนนั้นสำหรับกูมันเท่ห์มากเลยนะ แล้ววันนี้มึงจะเท่ห์มากกว่านั้นอีก ถ้ามึงยอมไปขอโทษพี่เมดแล้วฟังเรื่องที่เค้าต้องการเพื่อปรับตัวมึงให้อยู่กับเค้าให้ได้ ”
“ งั้นกูคงต้องไปแล้วว่ะ ” ผมลุกขึ้นยืนตอนที่พูดคำนั้น “ เพราะนานๆทีน้องชายกูจะมีสาระแล้วเห็นว่ากูเท่ห์เหมือนคนอื่น ”
“ เมดอยู่กับไอ้วิวนะ ที่คอนโดของพวกมัน ” พยักหน้ารับคำพูดของเพื่อนที่ตะโกนไล่หลังมา ผมหันหลังเดินออกมาจากผับทันทีในตอนนั้น เหมือนอย่างที่ไอ้เดย์พูด ‘ ถ้าเราดีจริงไม่มีอะไรที่เราจะไม่ได้มา ’
จอดรถอยู่ที่หน้าคอนโดของอีกคน ผมมาถึงได้สักพักแล้วแต่ไม่รู้จะเข้าไปยังไง หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา หน้าจอที่ถูกปลดล็อคฉายโปรแกรมมากมายบนนั้น แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะโทรศัพท์มากกว่าจะพิมพ์คุยกันแบบไม่ได้ยินเสียง
“ ฮัลโหล ” เสียงปลายสายที่ตอบรับชวนให้ผมนิ่งไป เดาอารมณ์ได้จากเสียงสั้นๆนั้นว่าอีกฝ่ายยังคงตึงแต่คงไม่โกรธมากเพราะอย่างน้อยมันก็รับโทรศัพท์ “ ถ้าไม่พูดกูจะวางนะ ”
“ อยู่ข้างล่าง ”
“ มาทำไม ”
“ มีอะไรจะคุยด้วย ขอ..” ผมรู้สึกตื่นเต้นจนต้องกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ไม่เคยง้อใครเลย นี่เป็นครั้งสองที่ผมง้อเมด และครั้งแรกก็คือมันนั่นแหละที่ผมง้อ “ ขอคุยกับมึงหน่อย ”
“ พูดคราวนี้ มึงจะมีเหตุผลใช่มั้ย ”
“ อื้ม ”
“ งั้นเดี๋ยวลงไป ” สายสนทนาถูกตัดลง ผมเดินออกไปยืนรอนอกรถ แล้วไม่นานนักประตูคอนโดก็ถูกเปิดออก เมดยังใส่ชุดเดิมตัวที่เราทะเลาะกัน แววตาที่ดูไม่สดใสเหมือนก่อนของมันชวนให้ผมนิ่งค้าง ก่อนที่เมดจะทักขึ้น “ เข้ามาสิมึง ”
“ อื้ม ” เดินตรงเข้าไปหาอีกคน ผมเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปจนถึงลิฟต์ เราเงียบไม่ได้พูดอะไรกันเลยระหว่างรอลิฟต์ที่ขึ้นไปให้ลงมา แม้แต่ตอนที่เดินเข้าไปด้านใน เมดกดชั้นที่ไม่ใช่ชั้นห้องของมันแต่ก่อนที่ผมจะถามอะไรอีกคนก็บอก
“ วิวอยู่บนห้อง กูว่าคุยไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ไปคุยที่สวนของคอนโดแล้วกัน ”
ประตูถูกเปิดออกมันเป็นสวนลอยฟ้าของคอนโดที่ฝั่งนึงถูกแต่งเป็นสระว่ายน้ำ ส่วนอีกฝั่งเป็นสวนแบบทำที่นั่งไว้ล้อมรอบต้นไม้ เมดเดินนำไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งที่หันออกไปเห็นวิวเมืองทั้งหมด ส่วนตัวผมกลับยืนอยู่ตรงหน้ามันแล้วเลือกที่จะพิงตัวเองเข้ากับระเบียง อยากจะมองหน้าของอีกคนตอนที่เราพูดเรื่องนี้
“ มีอะไรก็พูดมา ” เมดที่เงยหน้าขึ้นมาถามกันแต่ผมกลับทำได้แค่นิ่งไปเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นประโยคยังไง ทั้งๆที่ตอนด่าออกไปไม่เห็นจะเคยคิดอะไรแบบนี้ ด่าเสร็จถึงจะมานั่งคิดว่าไม่ควรทำแต่ถึงอย่างงั้นความรู้สึกของอีกคนมันก็เสียไป คำพูดเป็นสิ่งที่เมื่อพูดไปแล้วเราเอามันกลับคืนมาไม่ได้ “ อาฟ ”
“ ขอ.. ขอโทษ ” ผมบอกมันก่อนจะถอนหายใจแล้วหันไปมองทางอื่นอยู่สักพัก ผมพยายามทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เวลาง้อเมดมันยากทุกครั้งที่แค่คิดว่าทำยังไงให้อีกคนหายโกรธ “ ขอโทษที่พูดแบบนั้น ” หันไปพูดแบบนั้นด้วยเสียงจริงจังตอนที่หันมองหน้าเมด แต่อีกคนก็แค่นิ่งฟังและท่าทางแบบนั้น มันก็ยิ่งทำให้ผมต้องเม้มริมฝีปากระงับความตื่นเต้นที่ทำให้ใจเต้นแรง “ กู กูไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษนะ คือ ขอโทษ ขอโทษจริงๆ กูขอโทษ ”
“ รู้แล้ว ” เมดบอก “ แต่มึงไม่มีอะไรที่จะพูดมากกว่าคำว่าขอโทษเหรอวะ ” คำถามที่ทำให้คนถามหันไปมองทางอื่นอยู่สักพัก มันถอนหายใจก่อนจะหันมามองหน้าผม ” ถามจริงมึงรู้รึเปล่าว่าตัวเองผิดเรื่องอะไร ”
“ ขอโทษที่พูดแบบนั้น ขอโทษที่ด่ามึงออกไปต่อหน้าคนอื่น ขอโทษที่ตอนนั้นกูไม่ได้ฟังอะไรเลย ขอโทษที่เอาแต่ดูถูกมึงทั้งๆที่มึงก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น กูขอโทษที่มันคงมากเกินไปสำหรับความรู้สึกที่กูมี แต่กูจะพยายามทำให้มันพอดี กูหมายถึงเรื่องของเราทั้งหมด ”
“ มันจะมีครั้งหน้าอีกมั้ยมึง ”
“ กูไม่รู้ ” บอกมันออกไปตามตรง แต่คนฟังก็ได้แต่ก้มหน้าลงแล้วถอนหายใจ “ อยากจะบอกมึงเหมือนกันว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก แต่กลัวว่าพอถึงตอนที่โมโหมากๆ กูจะเผลอทำไป แล้วจะทำให้มึงยิ่งเสียใจไปอีก เพราะเคยสัญญากันไปแล้วว่าจะไม่ทำ แต่กู..จะพยายามนะ จะพยายามไม่พูดอะไรแบบนั้น แล้วจะมีสติมากกว่าเดิม ”
“ กูจะทำยังไงกับมึงดีวะ ” เมดถามผม “ กูแม่งนึกหงุดหงิดตอนที่ฟังมึงพูดว่ามึงไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเผลอหลุดปากด่ากูอีกมั้ย แต่พอฟังมึงพูดจบ กูกลับรู้สึกว่า เออ ก็จริงของมึง สัญญากันไปก็ไม่มีความหมายถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องสัญญาดีกว่า คนฟังอย่างกูมันคาดหวัง ”
“ แต่กูจะพยายาม ” ผมย้ำบอกมัน “ ถึงจะเปลี่ยนสันดานไม่ได้ แต่จะพยายามให้มันมีสติกว่านี้ ”
“ กูรู้ว่ามึงรู้สึกยังไงนะอาฟ กูรู้ว่ามึงไม่ชอบที่มีคนเข้ามาคุยกับกู มึงจะหึงกูก็ได้กูไม่ว่าหรอก แต่อาฟอย่าหึงเหมือนวันนี้อีกนะ กูเข้าใจว่าเวลาหึงมันไม่มีสติหรอก แต่มึงกูเจ็บมากเลยนะ ตอนที่มึงด่ากู กูในตอนนั้นถามตัวเอง มึงแม่งเป็นคนคนเดียวกันกับเมื่อเช้าที่ทำให้กูมีความสุขรึเปล่า มันเหมือนคนละคนกันเลยกูจะบอกให้ ” เมดบอกก่อนจะถอนหายใจออกมา “ กูรู้ว่ามึงปากไว แต่ด่าคำอื่นได้มั้ย ทำไมต้องร่านว่ะ กูไม่ได้ไปอ่อยใครสักหน่อย กูก็คุยปกติ ถ้ามึงรู้สึกว่าไม่ชอบคำพูดของคนที่ชมกู มึงด่าเค้าแทนได้มั้ยวะ แบบ อย่าชมแฟนกู แต่อย่าด่ากูร่านได้มั้ย กูไม่ชอบเลย เพราะกูไม่ได้เป็นแบบนั้น กูไม่เคยมีใครนอกจากมึง ”
“ ขอโทษ ”
“ แล้วที่มึงบอกว่ากูชอบคนท่าทางแบบพี่ต่อเพราะเค้าดูอบอุ่นเป็นผู้ใหญ่อะไรพวกนั้น มึงคิดผิดแล้วอาฟ กูไม่ชอบคนแบบนั้น ตอนนี้กูชอบคนแบบมึง ” แววตาเรียวที่เงยหน้าขึ้นมามองกันถึงกับทำให้ผมปั้นสีหน้าไม่ถูกกับอารมณ์ที่อยู่ๆก็เปลื่ยนไปฉับพลัน
ริมฝีปากที่เหมือนกับกำลังจะยิ้มแต่ก็ต้องกลั้นไว้ ทำทีเป็นหันไปทางอื่น ก็พอเข้าใจอีกคนเวลาผมแกล้งให้มันเขินแบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว อาการมันก็คงประมานนี้หัวใจที่เต้นแรงนั่นก็ด้วย
“ หันหน้าหนีกู มึงเข้าใจที่กูรึเปล่าวะ กูไม่ได้บอกว่าห้ามหึงนะ ก็หึงได้แต่มีสติหน่อย ไม่ใช่มาด่ากูแบบนั้น กูไม่ชอบเวลากูดูถูกกู มันเหมือนกูไม่มีค่าเลย ”
“ เมด ” ผมเอ่ยเรียกมันตอนที่อีกคนพูดจบ ผมรู้สึกผิดจนมีแค่คำว่า ขอโทษเป็นพันๆคำลอยไปมาอยู่ในสมอง รวมถึงคำด่าทอตัวเองที่ทำให้อีกคนต้องรู้สึกอย่างงั้น “ อาฟขอโทษเรื่องวันนี้นะเมด” เอื้อมมือไปจับมือของอีกคนเมดก็เอาแต่นิ่งมองหน้าผม “ กูก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไรได้นอกจากคำนี้ เพราะกูย้อนเวลากลับไปแก้ไขในสิ่งที่กูพูดหรือทำไม่ได้ กูเลยได้แต่บอกมึงว่ากูขอโทษ ขอโทษที่พูดดูถูกมึงต่อหน้าคนอื่น แล้วก็พูดว่ามึงชอบคนอื่นทั้งๆที่มึงไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ขอโทษที่เห็นแก่ตัว ที่กูพูดเรื่องที่ให้มึงอดทนทั้งๆที่กูก็รู้ว่ามึงเจอเรื่องอะไรมาก็มาก ขอโทษที่พูดถึงไอ้เหี้ยนั่นกับมึง ขอโทษนะเมด อาฟขอโทษจริงๆ ”
“ กูให้อภัยมึงก็ได้อาฟ แต่อย่าพูดบ่อยนักนะ คำว่าขอโทษของมึงน่ะ ไม่ใช่ว่าวันนี้ขอโทษ แล้วอีกไม่กี่วันมึงก็ทำผิดอีก แล้วมึงก็มาขอโทษอีก ความอดทนของกูมันมีจำกัด ให้อภัยมึงไม่ได้ทุกรอบหรอกนะ ”
“ กูจะพยายามไม่ทำแบบนั้นอีก ”
“ อื้ม ” เมดพยักหน้ารับก่อนจะกำมือผมที่จับมือมันอยู่ไว้แน่น “ แล้วอีกอย่างที่วันนี้กูให้อภัยมึง เพราะกูเชื่อที่มึงพูดนะว่ามึงจะพยายาม แล้วเหตุผลที่กูเชื่อแบบนั้น ก็เพราะความดีของมึงที่ทำให้กูเห็นมาตลอดตั้งแต่ที่เรารู้จักกันมา ”
“ ขอบคุณครับ ” ถอนหายใจโล่งออกมา ตอนเดินไปนั่งลงข้างอีกคนเมดก็หันมามอง
“ แล้วมีอีกอย่างที่กูอยากจะบอกมึง ”
“ อะไร ” หันไปมองหน้าอีกคนที่ก็หันมามองผมเหมือนกัน
“ ที่กูพูดว่าถ้ามึงเป็นแบบบินกูไม่ไหวหรอก ถ้าต้องเจ็บแบบนั้นกูขอเดินออกมาตอนนี้ดีกว่า ที่กูพูดแบบนั้น กูขอโทษนะ กูไม่รู้ว่ามึงจะคิดไปถึงว่า กูยังคิดถึงไอ้บินอยู่มั้ย แต่กูก็อยากจะยืนยันกับมึงนะอาฟ ว่ากูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับมันแล้ว และความรู้สึกที่กูให้มันได้ตอนนี้ ก็มีแต่ความเกลียด ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ”
“ อื้ม ” พยักหน้ารับอีกคนที่พูดเรื่องนั้นออกมา เหมือนกับรู้ว่าผมรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้
หันไปมองวิวตรงหน้า รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกภาพที่เห็นมันเป็นอะไรที่แตกต่างจากตอนที่ขับรถมาอย่างสิ้นเชิงทั้งๆที่มันก็เป็นวิวเดียวกัน แต่ตอนนี้มันไม่ได้ดูเหงาและเคร่งเครียดกลับกัน ผมรู้สึกว่ามันสวยยิ่งกว่าตอนไหนที่เคยมอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศโล่งใจ หรือมุมวิวที่แตกต่างไปจากที่เคยมองกันแน่
“ มาพยายามปรับตัวไปด้วยกันนะมึง ” ยกคิ้วเป็นคำตอบให้อีกคน เมดที่ถอนหายใจออกมามันมองไปยังวิวข้างหน้าเหมือนผม “ รู้สึกว่าวิวคืนนี้แม่งสวยกว่าตอนที่มองมาจากบีทีเอสเยอะมากๆ ”
“ มึง ” ผมเอ่ยเรียกอีกคนตอนที่ยื่นนิ้วก้อยไปให้เมดก็ได้แต่ขมวดคิ้วมองผมยิ้มๆ
“ อะไรของมึง ”
“ อย่าถามทั้งๆที่รู้ ” บอกมันแบบนั้นด้วยความรู้สึกร้อนๆที่หน้าแต่ก็ไม่ดึงมือกลับไปไหน “ ดีกันแล้วเกี่ยวก้อยกัน ”
“ มึงแม่งเล่นอะไรเป็นเด็กๆ ”
“ อย่าทำให้กูต้องอายไปมากกว่านี้ ” มือที่ยื่นเข้าไปใกล้มันอีกนิดเชิญชวนให้อีกคนเกี่ยวนิ้วก้อยของตัวเองกลับ “ ตอนเด็กๆไม่เคยทำเหรอ กูตอนเด็กๆเวลาทะเลาะกับไอ้เดย์ แม่ให้เกี่ยวก้อยคืนดีกันประจำ มาสิ เราดีกันแล้ว ต้องเกี่ยวก้อยคืนดีกันนะ ”
“ ปัญญาอ่อน “ พูดแบบนั้นแต่ก็ยอมยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับผม
“ มึงชอบไม่ใช่เหรอ เวลาที่กูทำอะไรแบบนี้ ”
“ นั่นเพราะกูชอบมึงตังหาก ” ทุกอย่างในตอนนั้นเงียบไปหมด ผมรู้สึกเหวอมันเหมือนจะได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงจนกลัวว่ามันจะดังจนคนที่นั่งข้างกันได้ยิน
“ วันนี้มึงแม่งท๊อปฟอร์มว่ะ ” ตั้งแต่ที่ทำให้โมโหแทบบ้าจนมาถึงทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก ความรู้สึกที่เหวี่ยงให้ตัวผมมีทั้งความสุขและความทุกข์แบบชนิดที่ขึ้นสุดและลงสุด ดูเหมือนจะมีแค่เฉพาะคนที่นั่งข้างกันเท่านั้นที่จะได้ “ กูยอมแพ้มึงแล้วเมด จากใจเลย ”
.......................................................................
ตอนแรกกังวลมากว่าคนอ่านจะเข้าใจมั้ย เพราะตอนที่แล้วหลายๆคนคิดว่า อาฟผิดคนเดียว แต่หนมมองว่ามันมีส่วนที่เมดผิดนะ แต่มันไม่ใช่ความผิดแบบอาฟ คือเราว่าเมดคาดหวังกับอาฟแบบที่วิวพูด ส่วนอาฟก็ผิดแบบที่เจพูด อยากให้ความรักของคู่นี้ไปในทิศทางที่ค่อยๆเข้าใจ มันผิดบ้างถูกบ้างก็ปรับๆกัน
สุดท้ายนี้ ขอมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้น้องวิวและพี่เจ ส่วนน้องเดย์เอาใจพี่ไปนะลูก
เกี่ยวก้อยแล้วเนอะ ดีกันๆ ดีกันๆ
ฝากแท็ก #ผับชั้นสาม ในทวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า