ตอนที่ 39
“ ส่วนวิว นี่ข้าว.. แฟนเก่ากู ”
คนโดนแนะนำหันมามองหน้าผมหลังจากที่สบตามองกับคนข้างตัวอยู่สักพัก ใบหน้าน่ารักที่ยิ้มแย้มของเธอดูสวยหวานในความรู้สึก และทั้งๆที่ควรยกมือขึ้นไหว้แนะนำตัวผมกลับนิ่งไป ใบหน้าที่ควรจะยิ้มรับนั่นก็ด้วย มันแค่แสดงสีหน้าเรียบเฉยด้วยนิสัยเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน ‘ ผมเก็บอาการไม่เก่ง รู้สึกยังไง ก็แสดงสีหน้าอย่างงั้น ’ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างมันก็แปลออกมาได้อย่างเดียวเลยว่า ‘ไม่ชอบใจ ’
“ วิว ” เสียงที่เอ่ยเรียกผม เหลือบมองพี่ชายตัวเองที่ก็มองหน้าแล้วส่งสายตาเหมือนจะบอกกันว่าให้ยกมือไหว้เธอสักหน่อย
“ อ้อ.. สวัสดีครับ ” ยกมือขึ้นไหว้เธอก่อนจะยิ้มนิดๆ สีหน้าเปลี่ยนไปของคนที่ยกมือรับไหว้กันนั้น เธอหันไปมองพี่เจเหมือนจะถามว่าผมไม่พอใจในตัวเธอรึเปล่ารอยยิ้มเจื่อนๆที่ส่งไป แต่นั่นก็ไม่มีคำตอบอะไรทั้งนั้น จนพี่อาฟที่นั่งอยู่ตรงนั้นหันไปพูดกับพี่เมด ซึ่งผมก็รู้ว่าเค้าคงไม่ได้ตั้งใจอธิบายพี่เมด แต่เค้าตั้งใจอธิบายให้ผมฟัง
“ ข้าวเพิ่งกลับมาจากอังกฤษเลยเอาของฝากมาให้ไอ้เดย์ไอ้อัยย์ ”
“พอดีข้าวเรียนดนตรีอยู่ที่อังกฤษน่ะ แล้วช่วงนี้กลับมาเยี่ยมที่บ้านพอดี ” เธอบอกเสริมพี่เมดก็ยิ้มก่อนจะเหลือบมองผมอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพูดคุยกับอีกคนตามมารยาท
“ แล้วข้าวเรียนเอกดนตรีอะไรเหรอ ”
“ เรียนเปียโนค่ะ ”
“ เก่งระดับเล่นวงออร์เคสตร้าเลยนะพี่เมด คนนี้น่ะสุดยอดไปเลย ” พี่เดย์บอกก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ทั้งสองนิ้ว
“ ไม่ขนาดนั้นหรอก ” คนโดนชมส่ายหน้าไปมา แต่พี่เจที่นั่งอยู่ก็แค่ยิ้มแล้วย้ำกับเธอ
“ ขนาดนั้นแหละ ไม่ต้องมาถ่อมตัวหรอก ”
“ แล้วนี่ได้กลับบ้านบ้างรึเปล่า ” คำถามที่เอ่ยถามขึ้นเป็นคำถามส่วนตัวที่ทำให้ทุกคนที่นั่งตรงนั้นเหลือบมองผมสลับกับพี่เจพี่ข้าวที่นั่งคุยกัน คนโดนถามไม่ได้ตอบอะไรแล้วตอนนั้นพี่ข้าวก็ระบายยิ้มออกมา
“ ไม่ใช่เด็กแล้วนะเจ อย่างอนไปหน่อยเลยน่า กลับบ้านไปหาท่านบ้าง แม่บ่นคิดถึงนะรู้มั้ย ”
“ ไปมาแล้ว แล้วจะถามทำไมวะข้าว ”
“ ก็แค่แวะเอาของฝากไปให้อาจารย์น่ะ ” ถ้อยเสียงที่อ่อนโยนมือเล็กที่เอื้อมไปจับแก้มอีกคนก่อนที่เธอจะใช้เกลี่ยเบาๆแล้วยิ้ม
“ เจอกันกี่ครั้ง ข้าวก็ไม่เคยเห็นเจพ้นสภาพค้างคาวเลย ใต้ตาดำไปหมดแล้ว ดูแลตัวเองดีๆสิ ”
“ ไม่ต้องแคร์กูก็ได้นะ ” คำพูดของผมที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ระวังปาก ไม่ใช่คนสองคนที่สนทนากันอย่างส่วนตัวจะหันมามองแต่มันคือทุกคนที่อยู่ตรงนั้น หัวใจของผมมันเต้นแรงตอนที่มองพี่เจที่หันมามองผม
“ ถามจริงมึงกับพี่ข้าวกำลังปั่นกูอยู่ถูกมั้ย”
“ พูดอะไรของมึง ” อีกคนตอบ “ แล้วข้าวเกี่ยวอะไรด้วย ”
“ ไม่รู้สิ บางทีพวกมึงอาจจะกำลังแสดงฉากห่วงใยกันหวานซึ้งเพื่อให้กูคิดขึ้นมาก็ได้ว่า ถ้าไม่รีบจับจองสถานะอะไรไว้ สักวันอาจจะไม่ทันคงเป็นอะไรทำนองนั้น ” แววตาของเราสบกัน ผมเผลอกัดริมฝีปากด้านในของตัวเองจนเจ็บไปหมด
‘ ทำเป็นปากดีทั้งๆที่ใจจริงตอนมองภาพนั้นก็เจ็บไปหมด ’ ก็ไม่ใช่คนที่ปากเก่งอย่างที่แสดงออกไปจริงๆหรอก ประโยคพูดอวดเก่งราวกับไม่สนใครพวกนั้น เป็นแค่กำแพงกั้นตัวตนที่กำลังร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่งก็เท่านั้น
เพราะในความเป็นจริง ถ้าทำได้ก็อยากจะทำมากกว่าที่พูด อยากเดินไปกระชากมือนั้นออกจากหน้าของอีกคน ยืนบังสายตาห่วงใยที่เค้าส่งถึงกัน แล้วตะโกนออกไปว่า อย่ามายุ่งกับคนของผม แต่กลับทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในสถานะที่ทำได้ ผมไม่ใช่แฟนพี่เจ มันจริงอย่างที่เค้าแนะนำ ผมเป็นแค่คนรู้จัก
“ กูไม่เคยบังคับมึงสำหรับสถานะของเรา แล้วมึงเองก็เป็นคนพูดว่าต้องการแบบนี้กูพูดถูกมั้ย ” ผมเงียบไม่ได้ตอบ เราได้แต่มองกันอยู่แบบนั้น
“ สถานะมันไม่สำคัญสำหรับมึงไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้มึงจะแคร์อะไรกับแค่ข้าวที่มีสถานะเป็นแฟนเก่ากูละ ”
“ พี่เจ ”
“ กูกับข้าว เราไม่ได้รู้สึกอะไรแบบที่มึงกำลังคิด แต่มึงเองมากกว่าที่กำลังรู้สึกแล้วคิดไปเอง ”
“ คิดไปเองอะไร ? ”
“ ไม่รู้สิ ” พี่เจยิ้ม “ อาจจะกำลังกลัวว่าแฟนเก่าจะขึ้นมาเป็นเป็นแฟนใหม่ละมั้ง ”
“ แล้วทำไมกูต้องคิดอะไรแบบนั้นด้วย ” เสียงของผมสั่น ไม่ได้เก่งจริงอย่างที่พูดออกไปเลยสักนิด น้ำตาที่กำลังไหลผมพยายามกั้นเอาไว้เพราะไม่อยากจะให้ใครมองว่าตัวเองกำลังรู้สึกเจ็บอย่างที่สุด มันเจ็บเพราะคำพูดตรงใจ มันเจ็บเพราะกลัวว่า มันจะเป็นแบบนั้น แบบที่อีกคนพูด
“ นั่นน่ะสิ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน จะมาคิดอะไรแบบนั้นต่อกันทำไม มันไม่ได้หรอก ”
ก็แปลกดีอยู่เหมือนกัน ทั้งๆไม่มีคำพูดรุนแรงสักคำแต่น้ำตากลับไหลออกมา
แล้วแม้จะพยายามฝืนยังไงก็ปิดบังความรู้สึกเจ็บจุกนี้ไว้ไม่อยู่ อาจเพราะมันทำให้ผมคิด คิดถึงเรื่องราวเมื่อเช้าของเรา คำถามที่อีกคนถามผม ‘ แล้วกูหึงมึงได้มั้ย ถ้ากูไม่ชอบมันกูหึงมึงได้รึเปล่า ’ แล้วก็อีกประโยคที่ผมคิด จนต้องร้องไห้ออกมาหนักกว่าเก่า คือคำพูดที่ผมเคยไม่เข้าใจมันเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจ
มันแล้ว ‘ บางทีการที่ตัวกูไม่ได้เป็นอะไรกับมึงเลย มันก็เหมือนกูไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาชีวิตไปตั้งอยู่ตรงไหนในพื้นที่ของมึง กูไม่รู้ว่ากูเป็นใครสำหรับมึง แล้วตอนนี้มันก็กลายเป็นว่า กูไม่รู้เลยว่า ขอบเขตที่จะทำได้หรือรู้สึกกับมึงได้ มันคือแค่ไหน ’
“ มึงมันใจร้าย มึงแม่งโคตรใจร้ายเลยไอ้สัดลุง ” ใจร้ายที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เอาแต่ตามใจกันมาตลอด ใจร้ายที่ปล่อยให้ผมทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจโดยคิดถึงแต่ตัวเองเพียงคนเดียว
“ กูไม่ได้ใจร้าย ” พี่เจบอกแบบนั้น
“ มึงถามตัวเองสิวิว ว่าทำไมมึงใจร้าย ” นั่นนะสิ.. ทำไมใจร้ายได้ขนาดนี้วะวิว
รอบตัวตรงนั้นมีแต่ความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทั้งนั้น ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง ไม่ได้อายที่น้ำตาของตัวเองไหลออกมาหนักขนาดนั้น มันคงเป็นเหมือนเรื่องบางเรื่องที่ถ้าห้ามไม่ได้เราก็แค่ต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไม่ต่างอะไรกับความเสียใจที่เกิด ก็เลือกให้มันเป็นแบบนี้เอง ก็ต้องยอมรับ
ฝ่ามืออุ่นสอดเข้าจับกับมือของผม ตอนที่หันไปพี่ชายตัวเองที่กำลังยิ้มให้กันนั้น เค้าพูดเสียงเบาๆ
“ ออกไปหาอะไรกินอร่อยๆกันดีกว่านะ ” ในความคิดพี่เมด ก็คงอยากจะพาผมให้เดินออกไปจากตรงนี้ ถ้าจะพูดอะไรก็จะได้พูด เค้าจะปลอบอะไรก็จะปลอบ เราจะได้ตอบโดต้ทุกความรู้สึกทั้งหมดแบบส่วนตัว มันดีกว่าตรงนี้ที่ใครต่อใครต่างกำลังมองมาทางผม
“ งั้นข้าวขอตัวกลับก่อนดีกว่า คืนนี้มีนัดกินข้าวกับเพื่อนสมัยม.ปลายด้วย ” คนที่นั่งนิ่งอยู่นานลุกขึ้นจากเก้าอี้เธอหันมายิ้มให้ผมจางๆแต่ตอนนั้นผมกลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรทั้งนั้น มันเรียบเฉยเสียจนเธอต้องหันไปมองทางอื่น
“ ขอบคุณนะครับพี่ข้าวที่แวะเอาน้ำหอมของเดย์กับอัยย์ที่ฝากซื้อมาให้ ” พี่เดย์พูดแบบนั้นเธอก็หันไปพยักหน้ารับแบบยิ้มๆ
“ ไม่เป็นไรหรอก ไว้เดี๋ยวรอบหน้าพี่กลับ จะบอกอีกทีนะ ฝากซื้ออะไรก็บอกอมาได้เลย ”
“ น่ารักใจดี ขอบคุณนะครับ ” พี่อัยย์ที่ยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้น เธอก็ยิ้มก่อนจะหยิบเอากระเป๋าผ้าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสะพาย
“ ไว้เจอกันนะน้องเดย์น้องอัยย์ ” กล่าวคำอำลาก่อนจะหันมามองพี่อาฟ
“ เจอกันนะอาฟ ” แล้วตอนที่หันมามองพี่เจเธอยิ้มให้ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ โชคดีนะเจ ”
น่าแปลก ไม่รู้ด้วยอคติหรือว่าอะไร ผมรู้สึกมีความห่วงใยอยู่ในสายตานั้นอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเบื้องหลังความสัมพันธ์นี้คือคนสองคนที่ยังรักกัน แต่ก็มีอะไรสักอย่างมาให้รู้สึกว่าต้องแยกออกจากกัน
“ แล้วจะกลับยังไง เอารถมาเหรอ ” อีกถามเธอก็ส่ายหน้าไปมา
“ เอามาได้ไง กลับมารอบที่แล้วก็เพิ่งขับไปชนข้างทางมา พ่อคงให้ขับหรอก ”
“ งั้นเดี๋ยวไปส่ง จะไปกินข้าวกับเพื่อนร้านไหนละ ”
“ เอ่อ..” พี่ข้าวเหลือบมองผมก่อนจะหันกลับมามองอีกคน “ ไม่ต้องหรอกเจ เดี๋ยวข้าวเรียกแท็กซี่เองก็ได้ เกรงใจ”
“ ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงเจก็ต้องไปส่งวิวที่คอนโดอยู่แล้ว ข้าวก็ไปด้วยกันเลยจะไปเรียกแท็กซี่ทำไม ”
“ แต่วิวจะไป.. ” พี่เมดที่ยืนอยู่ข้างผมหันไปพูดอีกคนที่ตอนนั้นผมก็ขัดขึ้น
“ ไว้วิวมาหาพี่เมดพรุ่งนี้นะ ” ผมบอกพี่ชายที่ก็หันมามองกันทันทีด้วยสายตาห่วงใย คงรู้สึกอยากจะปลอบผมก่อนแล้วพอไม่ได้ทำก็เป็นห่วงอยู่ลึกๆ ผมที่ทำได้แค่ยิ้มให้ไปก่อนจะพยักหน้ารับ
“ วิวจะกลับแล้วพี่เมดเพราะอีกไม่นานผับก็เปิด แล้วพี่เจต้องรีบกลับมาทำงานด้วย ”
“ แต่ว่ามึงกำลัง.. ”
“ วิวโอเค ไม่ต้องห่วงนะ ”
ก็มีความรู้สึกที่ไม่อยากไปเหมือนกัน แต่สิ่งที่รู้สึกมากกว่าคือ ‘ ผมแค่ไม่รู้จะหนีไปทำไม ’ ประวิงเวลานั่งคำปลอบใจทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไรก็เหมือนกับการเสียเวลาเปล่า สู้เดินเข้าหาความจริง แล้วเคลียร์กับทุกอย่างคงจะดีกว่า ในเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องร้องไห้ จะร้องในอีกสามสิบนาที หรือ จะร้องในอีกสามชั่วโมง ถ้ามันต้องร้องไห้ยังไงก็ต้องร้องไห้อยู่แล้ว
ไม่อยากเป็นเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว เพราะผมรู้แล้วว่า สำหรับความเสียใจยิ่งปล่อยไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่า มันยิ่งเจ็บเท่านั้น และสิ่งเดียวที่ตอนนี้ถ้าย้อนกลับไปทำได้ก็คงมีแค่อย่างเดียว ‘เมื่อเช้าเราน่าจะพูดกันให้รู้เรื่อง ไม่ปล่อยไว้เลย’
อย่างน้อยก็น่าจะบอกเค้าไปสักหน่อยว่ารักเค้าเหมือนกัน แล้วมีความสุขแค่ไหนกับการได้อยู่กับเค้า
“ มึงมานี่มาเมด อย่าไปเสือกเรื่องคนอื่น ” พี่อาฟเรียกคนข้างผมที่ก็หันไปขมวดคิ้วใส่คนพูดทันที ผมหลุดยิ้มออกมาตอนที่เห็นว่าพี่เมดมองกันมาอีกครั้งด้วยสายตาเป็นห่วง ในฐานะพี่ชายเค้าคงอยากเป็นพี่พึ่งพิงให้ เหมือนผมที่เป็นที่พึ่งพิงให้เค้าเวลามีปัญหา
“ เดี๋ยวถึงคอนโดแล้วจะโทรมาหา ” ผมบอกก่อนจะดึงตัวเองขึ้นกระซิบ “ วิวอยากพูดกับพี่เจให้รู้เรื่องก่อน ขอไปพูดกับพี่เจอก่อนนะ ”
“ โอเค ” พอพูดแบบนั้นอีกคนถึงยอมพยักหน้ารับตามใจกัน “ ถึงแล้วก็โทรมาบอก ”
“ อื้ม ”
“ งั้นกูไปก่อนเดี๋ยวมา ” พี่เจหันไปบอกทุกคนในผับ ตอนนั้นพี่อาฟก็แค่ยิ้ม
“ อย่าช้ามากแล้วกัน งานวันนี้หน้าที่มึงต้องรับผิดชอบ ”
“ กูรู้น่า ” อีกคนบอกแต่ตอนที่เรากำลังเดินออกมา เท้านั้นก็ชะงักตอนที่พี่อาฟพูดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่แค่พี่เจหรอก ทั้งผมทั้งพี่ข้าวก็ชะงักไปเหมือนกันกับประโยคนั้น
“ คนรักกัน มันจะสบายใจอยู่คนเดียวไม่ได้นะ ”ไม่มีเสียงตอบรับของใครทั้งนั้น เหมือนเราแค่ฟังก่อนจะก้าวเดินต่อไป
พี่เจกับพี่ข้าวเดินอยู่ข้างหน้าผม มองจากข้างหลังจะว่าไปก็ดูเหมาะสมกันดี แต่ด้วยความที่อีกคนไม่ใช่ผู้ชายที่สูงมากอยู่แล้วการที่เค้าคบกับพี่ข้าวที่ตัวเล็กๆมันเลยดูเหมาะสมกันมาก แต่ทว่าในความคิดผมตอนนี้ เธอดูไม่เหมาะสมสักนิดเดียว และก็ใช่ ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมาะสมกว่า แล้วถึงใครจะไม่มองอย่างงั้น แต่ผมก็จะคิดแบบนั้น อย่างเอาแต่ใจที่สุด
“ น้องวิวไปนั่งหน้ามั้ยคะ เดี๋ยวพี่ข้าวนั่งข้างหลังเอง ” สาวที่ยืนข้างกันเสนอพูดเสนอขึ้น ผมหันมองเธอก่อนจะยิ้มให้
“ ก็คงต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วครับ ”
“ อ่าจ๊ะ ” เธออ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่านั่นคือคำตอบที่คิดว่าจะได้ฟัง พี่ข้าวยิ้มจางๆตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งตรงที่นั่งด้านหน้า หันมองพี่เจที่ก็เข้ามานั่งพร้อมกันอีกฝ่ายสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนจะเอียงตัวมากระซิบผม
“ คำพูดของมึงไม่ได้น่ารัก ”
“ ในสายตามึง กูก็ไม่ได้น่ารักอยู่แล้วจะแคร์ทำไม ” ผมหันไปบอกก่อนที่เราจะหันกลับไปมองข้างหน้าตอนที่ประตูด้านหลังถูกเปิดออก พี่ข้าวเข้ามานั่งภายในรถ เธอนั่งเงียบๆอยู่ด้านหลังตั้งแต่ที่พี่เจขับรถออกจากผับ ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความอึดอัดคงเพราะไม่มีใครคุยอะไรกัน ผมเหลือบมองคนด้านหลังที่เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง
ทุกอย่างเงียบ แม้แต่เพลงเราก็ไม่ได้เปิด บนถนนที่รถค่อนข้างติดแล้วในตอนนั้นคนขับก็ชวนคนข้างหลังพูดขึ้น “ ร้านที่ไปนี่ สุขุมวิท 38 ใช่มั้ย ”
“ ใช่ ร้านเดิมนั่นแหละ ” พี่ข้าวตอบทั้งๆที่สายตายังมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ ชอบจริงๆเลยนะ ร้านนี้ ”
“ เพื่อนๆในกลุ่มก็ชอบด้วยละ ” เธอบอกก่อนจะหันมายิ้มให้อีกคนผ่านกระจกมองหลัง “ เจก็ชอบไม่ใช่เหรอ ไว้ว่างๆพาน้องวิวมากินสิ ”
“ อร่อยเหรอครับ ” ผมพูดขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ก่อนจะหันไปมองคนพูด พี่ข้าวยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ
“ ไม่ได้กินมานานแล้วไม่รู้อร่อยเหมือนเดิมรึเปล่า ”
“ ก็ยังอร่อยเหมือนเดิม ทุกครั้งที่ไปข้าวยังสั่งกินทุกครั้งเลยนะ ของที่เจชอบ ” เธอพูดขึ้นก่อนจะเงียบไปในตอนที่หลุดท้ายประโยคนั้นออกมา
“ หมายถึงเมนูเด็ดของร้านน่ะ ”
“ จำได้ว่าเป็นไก่ทอดแล้วก็ราดซอสอะไรสักอย่างเค็มๆหน่อย อร่อยดี ”
“ อื้ม อันนั้นแหละ ”
“ ไว้เดี๋ยวว่างๆกูพามึงไปกิน ” พี่เจหันมาบอกผมที่ก็นิ่งไปเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะหันมาพูดกันแบบนั้น พยักหน้ารับไปอย่างว่าง่าย คงเพราะไม่อยากให้ผมรู้สึกไม่ดีที่ตอนนี้ทุกคำพูดที่ได้ยิน มันเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างคิดถึงอดีต ที่เคยมีความสุขร่วมกัน ความสุขที่ในช่วงเวลานั้น มันไม่มีผม
“ ขนมที่นั่นก็อร่อยนะน้องวิว ไปแล้วก็อย่าลืมกินละ ”
“ ได้ครับพี่ข้าว ” ผมตอบรับเธอที่ก็ส่งยิ้มมาให้ผ่านกระจกมองหลัง “ แล้วพี่ข้าวไปเรียนอังกฤษนานแล้วเหรอครับ ”
“ ก็ตั้งแต่ได้ทุนเลย ช่วงปีสองน่ะ ”
“ งั้นก็ไปเรียนต่อปีสองที่นู้นเลยเหรอครับ ”
“ เปล่าค่ะ ” เธอตอบก่อนจะส่ายหน้า “ ต้องไปเริ่มเรียนปีหนึ่งใหม่เลย ”
“ แล้วไม่เสียดายเวลาเหรอครับ ” คำถามที่ทำให้ทุกคนนิ่งไป ผมไม่เข้าใจว่าคำถามนั้นเป็นคำถามที่ไม่ควรถามรึเปล่า เพราะเธอหันมองพี่เจที่ก็นิ่งไปส่วนพี่ข้าวที่ก็ก้มหน้ายิ้มก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ มันก็เสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเพื่อความฝันแล้ว พี่ก็อยากทุ่มเทให้มันมากกว่า ถึงจะต้องดูเป็นคนเห็นแก่ตัวมากๆก็ตาม ”
“ ไม่มีใครมองว่า ความฝันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวหรอกครับ ” ผมบอกเธอ
“ ถ้าใครมองว่าความฝันเป็นเรื่องไร้สาระ ผมมองว่าคนนั้นคงไม่ได้รักพี่ข้าวจริงๆหรอก เพราะคนที่เค้ารักพี่ข้าวจริงๆ ต้องสนับสนุนพี่ข้าวอยู่แล้ว ”
“ ใช่ มันต้องเป็นแบบนั้น ” พี่เจพูดขึ้นแล้วตอนนั้นในรถของเราก็เงียบไปอีกครั้ง ผมมองคนสองคนที่ยิ้มจางๆให้กันผ่านกระจกหลัง บางประโยคที่ผมพูดคงไปย้ำเรื่องราวในอดีตของทั้งสองคน ที่ซึ่งตัวผมไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าความรู้สึกในใจนั้นเป็นยังไง จะรักอยู่ หรือหลงเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำ
ผมถอนหายใจออกมาตอนที่เบือนหน้าหนีออกจากภาพนั้นตัดสินใจหันไปมองนอกหน้าต่างรถ แล้วตอนที่สัญญาณไฟสีแดงฉายขึ้น คนที่ขับรถอยู่ก็เอื้อมมือข้างนึงมาจับมือผมไว้ หัวใจมันพองโตขึ้นกะทันหันหัน ผมหันมองพี่เจที่ไม่ได้หันมามองผมแต่อย่างใดเค้าที่แค่มองตรงไปข้างหน้าแต่กลับทำให้รู้สึกว่าตัวเองก็สำคัญเหมือนกันแม้ไม่ต้องพูดอะไรมาก
มันมีคำถามมากมายที่ผมอยากรู้ และเหนือความอยากรู้ก็ยังมีสิ่งที่อยากบอก ผมกระชับกุมมือนั้น ‘ ไม่อยากจะปล่อยไปไหนนะ ’ แต่ไม่รู้อีกฝ่ายจะเข้าใจรึเปล่า
“ ขอบคุณที่มาส่งนะเจ ” พี่ข้าวที่พูดขึ้นคนข้างตัวผมก็ยิ้มก่อนจะหันไปพยักหน้ารับ หันไปมองด้านนอก รถจอดเทียบหน้าร้านอาหารที่มีดีไซน์ผสานระหว่างไม้กับอิฐสีแดงผสมปูนเปลือย ดูไปก็คล้ายๆกับอาคารในฟาร์มตามหนังฝรั่ง
“ ไม่เป็นไรครับ ”
“ พี่ไปก่อนนะน้องวิว ” เธอบอกผมที่ก็หันไปยกมือไหว้ลา
“ แล้วจะกลับอังกฤษเมื่อไหร่ ” พี่เจถาม
“ อีกสามอาทิตย์ก็ต้องกลับแล้ว ต้องกลับไปซ้อมรวมวง แล้วก็คงไม่ได้กลับมาอีกนานเลย ” ผมเห็นคนสองคนยิ้มให้กัน ก่อนที่พี่เจจะพูดขึ้น
“ โชคดีนะข้าว ”
“ เจเองก็ด้วย โชคดีนะ ”
“ ครับ ” ประตูถูกเปิดออก ผมเห็นพี่เจมองเธอลงไปจากรถแล้วมองตามอยู่แบบนั้นจนร่างเล็กของผู้หญิงคนนั้นหายไป
สิ่งหนึ่งที่ผมไม่แน่ใจคือ ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มองใครคนนั้นที่เป็นรักครั้งเก่า ผมไม่รู้ว่าพี่เจกำลังรู้สึกอะไร ผมไม่รู้ว่าเค้าอาลัยอาวอนต่อสิ่งที่จากไปแล้วนั่นมากแค่ไหน แต่ที่ผมมั่นใจ คือหัวใจของผมกำลัง
เจ็บปวด มันเจ็บที่เห็นว่าเค้ากำลังเสียใจอยู่กับคนรักเก่า ซึ่งผมที่มาใหม่ยังไม่มีสถานะ และไม่สามารถทำอะไรได้เลย ยกเว้นยอมรับ
รถเคลื่อนออกจากที่จอด ขับมุ่งตรงไปที่คอนโดของเรา พี่เจจอดรถตรงที่จอดประจำ เค้าปรับเกียร์ขยับขึ้นไปให้รถหยุดนิ่งก่อนจะดึงเบรคมือขึ้น ผมได้ยินเสียงถอนหายใจออกมา เบื้องหน้าของผมเป็นเพียงแค่ชั้นจอดรถที่ตอนนี้มีคู่รักคู่นึงกำลังหัวเราะมีความสุขผ่านหน้าเราไป … บรรยากาศนั้นช่างแตกต่างกับในรถที่กำลังเป็น
“ วิว ”
“ ช่วยเล่าเรื่องมึงกับพี่ข้าวให้กูฟังหน่อยได้มั้ย ” มันเป็นคำถามแรกที่ผมถาม พี่เจที่นิ่งไปผมก็หันไปมองอีกคน