Ch. 19 : บาดเจ็บ & ความรู้สึกใหม่ ๆ
(พี่หมอ...♥)
♥
♥
up 100%
....................................................♥
ผมขับโดยไม่สนใจอะไร กระทั่งมือเล็ก ๆ ที่กอดผมไว้ตบมาที่อกในลักษณะร้อนรน ผมตบไฟซ้าย เพื่อชะลอความเร็ว พารถเข้าจอดข้างทาง รถจอดยังไม่ทันสนิทดี มันก็กระโดดลง วิ่งย้อนกลับไปทางเดิม ผมขมวดคิ้วมองตาม
ทำของตกระหว่างทางรึไง
ผมแอบขัดใจอยู่ไม่น้อย เพราะคนที่ผมอยากให้นั่งมาด้วยเป็นฟ้ามากกว่ามันแบบนี้ ผมรู้ว่าไผ่จงใจพาฟ้าหนีผมไป และให้เดาสองคนนี้น่าจะร่วมมือกันเพื่อกีดกันผมไม่ให้จีบฟ้าติดด้วย แค่ฝนคนเดียวไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้ามีไผ่อยู่ด้วย อาจทำให้ผมจีบฟ้ายากขึ้นก็ได้
แต่ผมก็ไม่คิดจะยอมแพ้หรอก
สักพัก คนที่วิ่งหายไปเมื่อกี้ก็วิ่งกลับมาอีกครั้งพร้อมลูกหมาตัวเล็ก ๆ ในมือ มันร้องหงิง ๆ ตลอดเวลา
“พี่หมอ ตรวจที สงสัยจะโดนรถชน ไม่รู้บาดเจ็บตรงไหน”
“ฉันเป็นหมอคนไม่ใช่หมอสัตว์”
“คนหรือสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน ดูก่อน เผื่อช่วยได้” มันเร่งมาด้วยสีหน้าร้อนรน ผมมองมันหงุดหงิด แต่จรรยาบรรณแพทย์ยังมี ผมจับหมาน้อยตัวนั้นเช็กดู มันร้องหงิง ๆ แล้วก็แหกปากลั่นตอนผมจับขาหลังมัน
“สงสัยขาจะหัก”
“ทำไงดี พี่หมอรักษามันที” มันร้องขอ
“ฉันบอกว่าฉันเป็น…”
“รักษามันก่อน!!” มันสั่งขัด ผมมองหน้ามันอึ้ง ๆ
“ฉันรักษาไม่เป็น คนกับหมามันต่างกันนะ”
มันมองหน้าผม ก้มมองลูกหมาที่มันกอดไว้ หันซ้ายหันขวา แถวนี้ไม่มีบ้านคนหรอก ไม่รู้ลูกหมาตัวนี้หลงมาจากไหน
“ทำไงดี พามันไปหาหมอก็ได้”
“ทิ้งมันไว้ที่นี่แหละ” ผมบอกตัดภาระ มันน้ำตาคลอ ผมอึ้งไป
“นะ พี่หมอ ผมขอร้อง”
“เสียเวลา ฉันจะรีบไปหาฟ้า”
“ขอร้องล่ะ ให้ผมทำอะไรให้ก็ได้ ช่วยพาเด็กนี่ไปหาหมอที” มันร้องขอมาอีกรอบ ผมมองมัน
“แน่ใจนะ”
มันพยักหน้า
“งั้นต้องยอมให้ฉันคบกับฟ้า”
มันนิ่งไป กัดปากเบา ๆ
“ไม่เป็นไร ผมพามันไปหาหมอเองก็ได้” แล้วมันก็เดินดุ่ม ๆ เลยรถผมไป
“ตามใจ จะเดินไปเองก็ได้” ผมไม่สน ก้าวขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง ขับผ่านมันไป แต่ขับไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุด
ถ้าเจอฟ้า แล้วฟ้าถามล่ะ ผมจะตอบว่ายังไง
“โธ่เว้ย!!” ผมสบถใส่อากาศ ผมไม่ได้ห่วงมัน แต่เป็นห่วงว่าฟ้าจะมองยังไงมากกว่า ผมรีบตีโค้ง ย้อนศรกลับไปที่เดิม ไม่รู้ว่าทิ้งห่างมันมานานแค่ไหนแล้ว
ผมขับกลับไปเรื่อย ๆ จนเห็นมันเดินกะเผลก ๆ มาตามทาง มันถอดหมวกกันน็อกมาห้อยไว้ที่แขนแล้ว ผมจอดรถตรงหน้ามัน
“ทำไมเดินแบบนั้น”
มันช้อนตามองผมค้อน ๆ
“บางจุดมันมืด ไม่เห็นว่ามีหลุมอยู่ ตกลงไป ข้อเท้าคงพลิก แต่ไม่เป็นไร ผมยังไม่ตาย แล้วย้อนกลับมาทำไม” มันถามกลับงอน ๆ ผมไม่สนใจอาการแบบนั้น ก้าวลงจากรถไปจับต้นแขนมันหวังลากขึ้นรถ มันร้องโอ๊ยออกมาทันที ผมชะงัก ก้มมอง มันเบ้หน้าน้ำตาคลออย่างเห็นได้ชัด
ผมจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิด จับมันดันเบา ๆ ให้พิงหลังไว้กับรถ ย่อตัวลงไปถอดรองเท้าผ้าใบแบบเซอร์ ๆ ของมันออก ตรวจเช็กดู มันยังกอดลูกหมาที่ยังครางหงิง ๆ อยู่
“อื้อ...” ก่อนมันจะครางตามลูกหมาไป
“ข้อเท้าแพลง คงต้องหาคลินิกหรือไม่ก็ร้านขายยาเพื่อรักษาขานายก่อน”
“พาเด็กนี่ไปหาหมอก่อนดีกว่า ของผมเอาไว้ทีหลังก็ได้”
“หมามันจะไปสำคัญเท่ากับตัวนายได้ยังไงกันเล่า!” ผมตะคอกกลับ
“พาเด็กนี่ไปหาหมอก่อน!!” มันตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
อยากบีบคอมันจริง ๆ!
ผมไม่พูดอะไร ก้าวขึ้นรถ หันไปมองเพื่อให้มันขึ้นตาม ยังไงผมก็เป็นคนขับ จะพามันไปที่ไหนก็ได้ มันก้มสวมรองเท้า เบ้หน้าเพราะความกระทบกระเทือน ปลดหมวกกันน็อกที่คล้องแขนไว้มาสวมหัว เขย่งขาเดียวก้าวขึ้นนั่ง ทุลักทุเลขนาดไหนก็ยังไม่ยอมทิ้งลูกหมา มันโอบเอวผมไว้ด้วยมือเดียว
ผมสตาร์ทเครื่อง ออกรถเบา ๆ ขับเคลื่อนไปด้านหน้า ไม่ได้เร็วมาก สอดส่ายสายมองหาสิ่งที่น่าจะเป็นคลินิก โรงพยาบาล หรือร้านขายยาเล็ก ๆ ก็ยังดี แต่แถวนี้ไม่มีเลย ผมขับต่อไปอีกสักพักถึงได้เจอชุมชน คนด้านหลังตบหน้าท้องผมเบา ๆ เป็นสัญญาณให้จอด ผมจอดตาม มันก้าวลงไป เดินกะเผลกไปถามคนข้างทาง แล้วเดินกะเผลก ๆ กลับมา
“เลี้ยวเข้าซอยหน้าไปเลย”
“มีคลินิกเหรอ”
มันพยักหน้า ผมแอบดีใจ เพราะถ้าปล่อยไว้นาน ๆ มันอาจจะบวมมากจนหายช้าก็ได้ ผมรีบเลี้ยวรถเข้าซอยตามที่มันบอก สักพักมันก็สั่งให้จอด ผมขมวดคิ้ว เงยหน้ามองป้ายคลินิก เพราะแทนที่จะเป็นคลินิกสำหรับคนกลับกลายเป็นคลินิกสำหรับสัตว์ไปได้ ร้านปิดแล้วด้วย
มันล้วงหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก ดีว่าหมอพักอยู่ชั้นบน เขาเลยเปิดร้านฉุกเฉินให้ ผมแอบหงุดหงิดที่มันเห็นลูกหมาสำคัญกว่าตัวเอง
หมอรุ่นคุณลุงในชุดนอนคนจีนเดินออกมาพร้อมภรรยา คุณหมอยกลูกหมาเข้าไปในห้องตรวจ บอกให้ผมกับมันรอกันอยู่ข้างนอก มันเดินไปนั่งยังเก้าอี้สำหรับรอผู้ป่วย ก้มดูข้อเท้าตัวเอง บวมอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย
ผมเข้าไปหาภรรยาคุณหมอ พูดคุยกับท่านสักพักก็ออกมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นและแผ่นประคบเย็น ผมเดินไปหามัน คุกเข่าลงตรงหน้า ถอดรองเท้าออก ถลกขากางเกงขึ้นสูง มันไม่ขัดขืนหรือพูดจาอะไรตอบกลับ
ผมเองก็ผิดที่ปล่อยให้มันเดินในที่มืด ๆ แบบนั้น(ไฟทางหลวงมีครับ แต่มันก็อ่อน ๆ แถมบางจุดไฟก็เสียอีก) ฟ้าถามจะว่ายังไง แต่มันเองก็ดื้อ แค่หมาตัวเดียวก็ต้องเอาชีวิตเข้าแลก
ผมเอาแผ่นประคบเย็นประคบลงบนข้อเท้าที่กำลังบวมตุ่ยนั้น อยู่ ๆ ก็มีน้ำอะไรสักอย่างหยดแหมะลงมาบนหลังมือ ผมเงยหน้ามอง เห็นมันกัดกรามแน่น น้ำตาร่วงเผาะลงมาเป็นทาง
“เจ็บก็บอกสิ”
มันไม่ตอบ กัดกรามแน่นเหมือนเดิม ผมเบามือลง ประคบแผ่นเย็นนั้นไปรอบ ๆ ทิ้งไว้สักพักก็เอาออก หยิบผ้ายืดมารัดรอบข้อเท้ามันไว้แทนเพื่อลดความบวมต่อ
“พยายามอย่าใช้งานขาข้างนี้เยอะละกัน”
มันพยักหน้าตอบรับ น้ำตายังคงไหลอยู่ มันก้มหน้ามองข้อเท้าตัวเองในขณะที่ผมมองหน้ามันอยู่
ตั้งแต่เจอมัน ผมเห็นน้ำตามันบ่อยมาก และส่วนมากก็เป็นเพราะผมทั้งนั้น ทุกครั้งผมตั้งใจ แต่ครั้งนี้ไม่ ผมถอนหายใจแรง เผลอตัวยื่นมือออกไปเกลี่ยน้ำตาออกให้ มันชะงักมองหน้าผม ผมรีบชักมือกลับทันที ลุกขึ้นยืน
ผมไม่พูดอะไร มันเองก็เหมือนกัน ปาดน้ำตาด้วยหลังมือ ดึงขากางเกงลง สวมรองเท้า หมอเดินออกมาพอดีพร้อมลูกหมาที่ยังคงครางหงิง ๆ ดีว่ามันไม่ได้ขาหักอย่างที่คิด แต่แค่ขาแพลง เหมือนคนที่ช่วยมันไว้นั่นแหละ
“ลูกหมาอายุแค่เดือนเดียว น่าจะเป็นโกลเด้นผสมไทย” หมอยื่นลูกหมามาให้ ฝนรับไว้ในอ้อมแขน ลูบหัวมันเบา ๆ ปลอบใจ ผมทำหน้าที่จ่ายเงิน มันบอกจะออกเอง แต่ผมไม่สน ก่อนออกมา มันขออาหาร ยาบำรุง เครื่องมือดูแลลูกหมาและคำแนะนำจากหมออีกนิดหน่อย
“นี่คิดจะเลี้ยงรึไง”
“ยังไงก็ต้องดูแลจนกว่าจะหาเจ้าของมันเจอนั่นแหละ”
มันหิ้วถุงอาหารหมาข้างหนึ่ง อีกข้างอุ้มลูกหมาไว้แนบอก เดินกะเผลกยิ่งกว่าเดิม ผมกลัวมันล้ม เลยตัดสินใจช้อนอุ้มมันไว้ในอ้อมแขน มันร้องเหวอทันที
“พี่หมอ! ผมเดิน…”
“เงียบ!!” ผมสั่งตัดบท เดินตรงไปที่รถ วางมันคร่อมบนเบาะ สวมหมวกกันน็อกให้ ล็อกให้เสร็จสรรพ หันหลัง ก้าวขึ้นประจำตำแหน่ง สตาร์ทเครื่องแล้วออกรถทันที
....50%...
ฟ้าโทรตามระหว่างทางเพราะทุกคนไปครบหมดแล้ว ฝนไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังกระทั่งไปถึง พวกนั้นตกใจใหญ่กับสภาพของฝน แถมยังมีลูกหมาอุ้มติดมือมาด้วยอีกต่างหาก มันก็เล่าให้ฟังตามจริง ยกเว้นไม่ได้เล่าว่าถูกผมทิ้งให้มันเดินคนเดียวท่ามกลางความมืดจนบาดเจ็บ
ไปถึงก็ดึกพอควร พวกเราพากันอาบน้ำอาบท่า ออกไปรวมตัวกันด้านนอก ที่พักเราเป็นแบบบังกะโล หญิงหลังหนึ่ง ชายอีกหลัง ยกเว้นผม ไผ่ ฟ้าและฝนที่แยกออกมาอีกหลัง ผมกับไผ่ได้คนละห้อง ส่วนฟ้ากับฝนนอนห้องเดียวกัน
ตอนแรกทางเจ้าของที่พักไม่อนุญาตให้นำหมาเข้ามา แต่ฝนกับฟ้า(รวมถึงไผ่และเพื่อน ๆ ของมันด้วย) ช่วยกันขอร้อง โดยให้เหตุผลว่าเพิ่งช่วยเหลือมันได้ระหว่างทาง จะให้ทิ้งก็ใจร้ายเกินไป จะให้ย้ายออกก็ดึกมากแล้ว จ่ายเงินค่าที่พักไปหมดแล้วด้วย เจ้าของเขาเลยอนุญาต ขออย่างเดียวว่าอย่าให้หมาออกมาเดินเพ่นพ่านอึฉี่จนเลอะก็พอ
เรานัดรวมพลกันตอนสี่ทุ่มที่ลานกิจกรรมหน้าหาด ทุกคนมาถึงกันหมดแล้วยกเว้นฝนและฟ้า สักพักก็เห็นฟ้าเดินประคองฝนที่อุ้มลูกหมาไว้ในอ้อมแขนออกมา ไผ่รีบวิ่งเข้าไปประคองน้ำฝนแทนทันที ฟ้าจึงรับลูกหมาไปอุ้มแทน
“อ้าวฝน เป็นไงบ้าง ยังเจ็บขาอยู่เหรอ” หินทักคน แต่ลูบหัวหมาในอ้อมแขนฟ้า
“กูอยู่ทางนี้”
ฝนบอกกลับเสียงขุ่น หินละสายตาจากลูกหมาไปมองหน้าฝน แล้วมองกลับมายังลูกหมาใหม่
“อ้าวเหรอ โทษที กูเห็นหน้าเหมือนกันเลยคิดว่าเป็นตัวเดียวกัน”
“กวนตีน”
ฝนด่ากลับ ยกขาข้างที่แพลงใส่ทำท่าจะถีบ หินแกล้งหลบนิดหน่อย พอนั่งได้มันก็รับลูกหมาไปอุ้มเอง
พวกเรานั่งล้อมกันเป็นวงกลม ไม่มีกองไฟหรอกครับ นั่งล้อมกันไว้เฉย ๆ ตรงหน้าเป็นของกินซะส่วนใหญ่ มีกีตาร์ตัวหนึ่งเป็นพระเอก คนที่ถือคือหิน ไม่น่าเชื่อว่าเด็กนั่นจะเล่นเป็น ผมนั่งอยู่บนเตียงผ้าใบ ข้างกันเป็นฟ้า ถัดจากฟ้าเป็นฝนแล้วก็ไผ่ ตา น้ำหวาน น้ำตาล หิน พีม แล้วมาจบที่ตันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมอีกที ฟ้า ฝน ไผ่และน้ำหวานนั่งเตียงผ้าใบ นอกนั้นเป็นเก้าอี้ไม้สีขาวกันหมด
“น่ารักดีเนอะ” ฟ้าชม เกาหัวลูกหมาเบา ๆ “ขอบคุณนะคะคุณหมอ ที่ช่วยทั้งลูกหมาแล้วก็น้ำฝนด้วย” ฟ้าหันมาขอบคุณผมอีกรอบ ผมยิ้มรับ
ฝนมองตาผมนิดหนึ่ง ก่อนหันไปสนใจลูกหมาต่อ ทุกคนเฮฮากินไปพูดจาสนุกสนานเฮฮาไป ถือเป็นมื้อเย็นของทุกคนเลย เพราะยังไม่มีใครได้กินข้าวเย็นกันสักคน ผมด้วย ของพวกนี้ส่วนใหญ่ทุกคนจะแวะซื้อมาจากข้างทางและมินิมาร์ท พื้น ๆ ครับ ลูกชิ้น ไก่ย่าง หมูปิ้ง ผลไม้ทั้งสดทั้งดอง ขนมขบเคี้ยว
หินเกากีตาร์ร้องคลอ ไม่ใช่แค่เล่นเก่ง ยังร้องเก่งด้วย ผมนั่งฟังเงียบ ๆ ผมผ่านช่วงชีวิตแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่เรียนจบ เพื่อนฝูงก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน จะมีสนิทมากหน่อยก็ไม่กี่คน สนิทมากสุดก็นู่นแหละ ไอ้หมอนนท์นที
ผมนั่งเอนหลังด้วยท่าทีสบาย ๆ นึกไปถึงช่วงชีวิตเก่า ๆ ที่เคยผ่านมาสมัยเรียน กลุ่มเพื่อนที่เฮฮามาด้วยกัน ยกเว้นไอ้นนท์แล้ว คนอื่นก็มีแฟนหรือแต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้ว เหลือแค่ผมกับมันนี่แหละที่เรื่องมากหาคู่ชีวิตกันไม่ได้สักที
แต่อย่างน้อย ผมก็มีเป้าหมายแล้ว
ผมมองไปทางฟ้าที่นั่งเล่นลูกหมาอยู่กับฝน
เพื่อน ๆ มันก็ร้องเพลงเฮฮากันไป แต่ตัวร้องหลักจะเป็นหิน ผมก็นั่งฟังเพลิน มองคนสองคนที่กำลังเล่นลูกหมา ฟ้านั่งมองฝนเล่นเฉย ๆ แล้ว มันวางลูกหมาไว้บนตัก จับขาหน้าโยกไปโยกมาตามจังหวะเสียงเพลง ก่อนยกขาหน้ามาทำท่าเย้ ๆ และยกลูกหมาไปสะกิดไผ่ที่นั่งอยู่ข้างมัน บอกลูบหัวผมหน่อย ไผ่หันมามอง ไม่ได้ลูบหัวหมา แต่ลูบหัวเจ้าของหมาแทน ฝนด่ากลับ ไผ่หัวเราะ ลูบหัวหมาอีกที ฝนยิ้มแป้นยกลูกหมาไปซบ ๆ อกไผ่มัน ไผ่หัวเราะ โยกหัวฝนไปแนบอกตัวเองขยี้หัวเพื่อนมันเบา ๆ
ทันใดนั้นก็มีตัวหงุดหงิดตัวหนึ่งกระโดดเกาะผม มีแค่ตัวเดียว แต่ผมรู้สึกว่ามันจะมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่จนผมไม่สามารถแกะมันออกจากตัวได้ ผมกระดกเครื่องดื่มเข้าปากอึกใหญ่ เบนสายตากลับมาที่ฟ้า
แต่ไม่นานสายตาผมก็หันกลับไปมองฝนเหมือนเดิม และบางจังหวะ ผมก็เห็นมันมองมาที่ผมด้วย พอสบตากันมันก็รีบหลุบตาหรือเสมองไปทางอื่น
พวกเรานั่งเล่นกันจนถึงเที่ยงคืน ฟ้าหลับคอพับไปแล้ว ไม่ต่างกับฝนที่นั่งหลับหันหน้าเข้าหากัน ลูกหมาในอ้อมแขนก็หลับด้วย
“อ้าว พี่ฟ้ากับฝนหลับแล้ว มึงร้องเพลงยังไงของมึงวะหิน คนฟังรีบลาโลกไปตั้งสองชีวิตแน่ะ” ตันหันไปต่อว่าเพื่อนมันเอง
“ใครบอก กูร้องเพราะจนสองคนนั้นเคลิ้มหลับต่างหาก”
ช่วงแรก ๆ จะร้องเพลงจังหวะสนุก ๆ กัน แต่หลัง ๆ เป็นเพลงชวนเคลิ้มครับ เพราะ ๆ เนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ฟังสบาย ผมยังฟังเพลินเลย
“กูว่าพอแค่นี้เหอะ ดึกแล้ว” หินเก็บกีตาร์ลุกก่อนคนแรก เพื่อน ๆ ของมันลุกตาม ลากเก้าอี้ไปเก็บพอ ๆ กับพากันก้มเก็บพวกถุงที่กินเอาไปทิ้งถังขยะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะเด็ก ๆ ทำให้หมด ฝนกับฟ้ายังไม่ตื่น
“เอ้าไผ่ ปลุกพี่ฟ้ากับฝนดิ” ตันเตือน ไผ่พยักหน้า จับแขนฟ้า ทำท่าจะเขย่าปลุก แต่เปลี่ยนใจ ขยับเข้าไปใกล้ ช้อนอุ้มฟ้าไว้ในอ้อมแขนอย่างเบามือ ผมมองมันอึ้ง ๆ ไม่ต่างกับเพื่อนมันคนอื่น
“ทำไมไม่ปลุกเอาวะ” ตันมันถามเสียงเบา
“นางฟ้ากำลังหลับ ไม่อยากรบกวน” มันพูดแค่นั้น เดินเท่ตรงไปยังที่พัก เพื่อนมันส่งเสียงแซวไปตามหลัง ผมมองตาม แอบหงุดหงิดที่มันทำแบบนี้ข้ามหน้าข้ามตาผมไป
แต่ก็นั่นแหละ มันคงไม่เหมาะถ้าผมทำ เพราะไงก็คนนอกมากกว่ามันที่เคยเข้านอกออกในบ้านหลังนั้นเยอะกว่า
ดีว่าเป็นไผ่ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่ยอม ผมหันมามองคนที่ยังนั่งคอพับหลับอยู่ โดยมีลูกหมาซุกอยู่ที่แขน ผมถอนหายใจ ผมไม่ยอมให้ไผ่ทำตัวเป็นพระเอกมาอุ้มฝนเข้าห้องด้วยอีกคนแน่ ๆ
ตันทำท่าจะเดินผ่านหน้าผมไปหาฝน แต่ผมปราบไว้ด้วยหลังมือเบา ๆ ที่อก ตันมองงง ๆ ผมไม่พูดอะไร เดินเข้าไปใกล้ ก้มลงช้อนอุ้มไว้ในอ้อมแขน ทำอย่างเบามือที่สุดเพราะไม่อยากให้มันตื่นขึ้นมาโวยวาย
รำคาญเสียงมันครับ
หรือไม่…
ผมก็ไม่อยากให้มันขัดขืนด้วย
คนไม่ตื่นแต่หมาตื่นแล้ว มันมองหน้าผมนิดหนึ่ง ครางหงิง ๆ ออดอ้อน ผมทำเสียงชู่เบา ๆ ให้มันเงียบ ซึ่งมันก็เงียบตาม
“ปลุกมันก็ได้มั้งพี่หมอ” ตันบอกด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ผมพยักหน้าไปยังข้อเท้าที่ถูกพันไว้ เพื่อนมันพยักหน้าเข้าใจ ผมไม่ได้บอกราตรีสวัสดิ์ใคร หันหลังเดินกลับเข้าที่พัก คนหลับซบหน้ากับอกผมเบา ๆ ลูกหมาก็นอนหลับปุ๋ยในอ้อมแขนมันเหมือนกัน
ผมเดินสวนทางกับไผ่ที่เปิดประตูห้องฟ้ากับฝนออกมาพอดี มันมองหน้าผมอึ้ง ๆ แล้วมองหน้าฝนที่ยังหลับสนิทอยู่
“ทำไมไม่ปลุก” มันถามเสียงเบา คงกลัวฝนตื่น ผมไม่ตอบ เดินเลี่ยงเข้าห้องไป เห็นฟ้านอนหลับปุ๋ยอยู่ มีผ้าห่มคลุมขึ้นมาถึงเอว ผมยิ้มนิดหนึ่ง วางคนในอ้อมแขนลงบนที่นอนเคียงข้างกันเบามือ ฟ้าบนที่นอนสีขาวแบบนี้มีสภาพไม่ต่างกับนางฟ้าอย่างที่ไผ่มันบอกจริง ๆ
คงเป็นสัญชาตญาณระหว่างพี่น้องละมั้ง ฟ้ากับฝนขยับตะแคงข้างหันหน้าเข้าหากัน โดยมีลูกหมาตื่นขึ้นมาหาวหวอดปากกว้าง เดินไปมุด ๆ กับหน้าท้องฝนแล้วหลับต่อ ไผ่เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ผม ไม่พูดอะไร ก้มดึงผ้าห่มที่ผมวางน้ำฝนทับไว้นิด ๆ มาห่มให้ฝนจนถึงหัวไหล่พอ ๆ กับดึงผ้าห่มผืนเดียวกันที่เอวฟ้าให้สูงขึ้นมาเสมอกันด้วย สองพี่น้องยังหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
เราสองคนมองตากัน ไม่มีใครพูดจาแขวะอะไรใส่กัน มันเดินนำผมออกจากห้อง ผมเดินตาม กดล็อกประตูให้เรียบร้อย ไผ่เดินกลับเข้าห้องตัวเองในขณะที่ผมก็เดินเข้าห้องตัวเองด้วยเหมือนกัน ห้องเราขนาบสองพี่น้องนั้นไว้ ผมปิดประตูลง เดินไปทิ้งตัวลงนอน
สัมผัสจากผิวเนื้อนุ่ม ๆ เมื่อกี้ยังติดตรึงอยู่ ผมหลับตาลง ภาพใบหน้าที่กำลังหลับพริ้มฉายชัดเข้ามาในมโน ไล่ย้อนไปถึงใบหน้าที่กำลังขึงโกรธ ใบหน้าเจ็บปวด ใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา ใบหน้ากวน ๆ ใบหน้าที่กำลังหัวเราะ และใบหน้าที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้ม
ภาพพวกนั้นฉายชัดเข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งสติผมดับหายไป
To be Con..
เอามาหย่อนให้อ่านกลางดึก พรุ่งนี้วันจันทร์ ขอให้ทุกคนสนุกกับการทำงานนะคะ ^^