Chapter XXV Kanticha
คุณแม่เจิ้นบอกว่าพ่อผมรู้เรื่องเจิ้นขอผมแต่งงานแล้วนะ คุณแม่บอกว่าถึงยังไงก็ต้องบอกไว้ให้พ่อผมได้เริ่มเตรียมตัวเตรียมใจ หัวใจผมเต้นแรงเป็นกลองรัวอยู่สองสามวันแรกแต่กลายเป็นว่าพ่อไม่โทรมาเลย แล้วผมก็ไม่กล้าโทรหาพ่อด้วย พ่อทำใจได้ในวันที่ห้า...พ่อก็ตัดสาย พอโทรย้ำๆกลายเป็นลุงหยางรับแทน
“ตองน้อยใจหนีออกจากบ้านไปแล้ว”
ใครเชื่อก็บ้าแล้ว!
พ่อโกรธไม่ก็งอนหรือน้อยใจผมเรื่องเจิ้น...คุณแม่เจิ้นบอกว่าต้องให้เวลาพ่อทำใจเพราะพ่อมีผมคนเดียวก็ต้องมีความรู้สึกหวงลูกหรือต่อต้านกันบ้าง เพราะถ้าผมแต่งกับคนอื่นที่ไม่ใช่เจิ้นคนทั้งเยว่ก็ต้องหวงผมเป็นอย่างมากอยู่ดี
ผมพยายามให้เจิ้นพาไปหาพ่อ ไปปรับความเข้าใจแต่เจิ้นกลับไม่ทำอะไรทั้งนั้น คุณแม่ก็บอกอีกว่าเจิ้นกับพ่อผมกำลังทำสงครามประสาทกัน ให้ผมอย่าไปเครียด
ก็อยากจะไม่เครียดหรอกแต่คนหนึ่งก็พ่อคนหนึ่งก็...ก็แฟน เอ้ะ เราเป็นแฟนกันแล้วหรือเปล่าอ่ะ...แต่ก็จะแต่งกันก็ต้องเป็นแฟน...หรือว่าเป็นสามีภรรยากันไปเลย
เรื่องสถานะผมกับเจิ้นทำเอาผมหน้าร้อนฉ่า พอเจิ้นมาหาวันเสาร์ก็เลยอารมณ์ดีน้วยเจิ้นไปน้วยเจิ้นมาจนเจิ้นห้ามผมเข้าใกล้เพราะเขาไม่อยากยุบยิบผมในบ้านพ่อแม่ตัวเอง
อีกเรื่องที่เจิ้นทำเนียนไม่พูดถึงคือแหวนเพชร...ที่ผมอยากได้เพชรเม็ดใหญ่ๆ อันที่จริงก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่แต่พอแกล้งพูดถึงแล้วเจิ้นชวนเปลี่ยนเรื่องทุกทีก็ขำอ่ะ
เจิ้นไม่ได้ไม่อยากซื้อให้หรอก พี่เอ็มบอกว่ากลัวอันใหญ่ๆมันเกะกะผมแล้วถ้าเกิดเพชรมันหลุดจะกลายเป็นว่าผมเสียใจอีก...แล้วก็กลัวว่าเพชรอันใหญ่มันจะล่อโจรด้วย ถึงผมจะคิดว่าชีวิตผมโคตรจะมีความปลอดภัยสูงก็เถอะ แต่ความเป็นห่วงของเจิ้นผมก็ไม่ควรมองข้าม
ยิ่งอายุเยอะขึ้นเจิ้นก็ยิ่งเป็นปลาหมึกแก่ขี้กังวล ผมว่าคนบ้านผมทุกคนมีนิสัยนี้สืบทอดตามกรรมพันธุ์ ทั้งปู่ ทั้งพ่อผม คุณพ่อคุณแม่เจิ้นทุกคนเวอร์เรื่องผมกันหมดเลย
ผลกระทบของการแยกบ้านกันอยู่แล้วพ่อผมกับเจิ้นงอนกันก็คือ...ผมต้องแบ่งเวลาไปให้ทุกคนโอ๋อย่างเท่าเทียม เดี๋ยวไปกินข้าวกับปู่ เดี๋ยวต้องไปให้เจิ้นยุบยิบ เดี๋ยวต้องไปข้างนอกกับคุณพ่อคุณแม่ ก่อนพ่อจะไม่หลบหน้าผมก็ต้องไปกินข้าวกับพ่อกับลุงหยาง
คือลองสำรวจตัวเองกี่รอบต่อกี่รอบก็พบว่าชีวิตผมเหมือนจะ...ไม่ต้องท้าทายอะไรเลย ทุกคนตามใจผมกันหมด อยากได้อะไรก็ได้ อยากเรียนอะไรก็ได้เรียน อยากกินก็ได้กิน อยากดรอปก็ได้ดรอป ผมเป็นลูกรัก หลานรัก คนรักของเยว่บวกลุงหยางสุดๆ
ตอนโทรไปบ่นให้คิวฟังคิวก็บอกว่าผมรู้ตัวช้ามาก ตอนเจอผมแรกๆคิวบอกว่านึกว่าตัวเองเลี้ยงลูก เขาบอกอีกว่าชีวิตผมมันหน่อมแน้ม เครียดสุดก็แค่ไม่มีขนมให้กิน ไม่จริงสักหน่อยเหอะ
“แล้วทำไงดีอ่ะ”
“ก็...หาอะไรท้าทายทำมั้ง? ชีวิตก็ต้องแข่งขันกันบ้างถึงจะสนุก”
คิวยกตัวอย่างเรื่องงานของตัวเองให้ฟัง ตอนนี้คิวต้องสู้กับสังคมการทำงานอย่างมาก เขาเรียนจบแล้วต่างจากผมที่กำลังรอวันเปิดเทอมสองแล้วจะกลับไปเรียนอีกครั้ง
“แต่จันทร์ไม่ต้องคิดมากหรอก จันทร์ไม่ได้ถูกตามใจจนเป็นเด็กใจแตกหรือเด็กแสบอะไรหรอก พีคสุดก็แค่หมกมุ่นเรื่องชมรมวิจัยกระต่ายอะไรนั่นอ่ะ คนอื่นหนีเรียนไปกินเหล้า ไปเที่ยว ส่วนจันทร์หนีไปดูกระต่าย”
จะว่าไปช่วงน้องนุ่มท้องผมก็หนีเรียนไปดูน้องนุ่มจริงๆนั่นแหละ ช่วงสถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่ผมยังเข้าหน้าพ่อไม่ติด ตะแง้วเจิ้นก็ไม่ได้ผมเลยเอาเรื่องความท้าทายในชีวิตที่คิวบอกมาลองคิดเล่นๆ
ผมจะหาอะไรท้าทายทำดีอ่ะ? เรื่องเรียนไม่ต้องแข่งผมก็แพ้อยู่แล้ว เกรดต่ำเตี่ยเรี่ยดินเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่เด็กยันเข้ามหาวิทยาลัย เรื่องงานทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยจะได้ทำงานเพราะเจิ้นชอบมาแอบดักผมตามมุมตึกอยู่เรื่อย...ทำอาหารก็ได้แค่ทำในบ้านตัวเองไม่ได้ไปทำร้านอะไร
กลายเป็นว่า...ผมไม่ได้ทำอะไรสำเร็จสักอย่าง! ขนาดไปเรียนภาษาผมยังหนีกลับก่อนเพราะมาหาเจิ้นเลย คิดแล้วก็ได้แต่เอาหัว
โขกสินเชื่อ
“จันทร์ทำไงดีอ่ะ...จันทร์เป็นคนล้มเหลวร้อยเปอร์เซ็นต์เลยอ่ะ”
การที่อายุยี่สิบเอ็ดแล้วแต่ยังทำอะไรไม่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างถือว่าน่าเศร้ามากเลย ผมไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตอะไรชัดเจนมากนักด้วยนอกจากเรื่องเจิ้น...แต่เจิ้นก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากผมมากนักอยู่ดีก็เขามีเลขาตั้งสี่คนแล้ว
ผมโทรไปบ่นกับคิวอีก คิวก็บอกว่าเพราะชีวิตผมมันง่ายดายไปหมดเลยขาดความกระตือรือร้น ให้ผมลองทำอะไรแบบตั้งใจสุดๆดู...และย้ำด้วยว่าที่ไม่ใช่เรื่องเจิ้น
หัวสมองผมมืดแปดด้านไปหมดเลย ก็เลยโทรหาลุงหยาง...ทนฟังลุงบ่นอีกรอบเรื่องทำพ่อนอยด์ถึงได้ขอคำปรึกษาจากลุง
“เดินด้วยเท้าตัวเอง ลงมือทำงาน ก่อร่างสร้างตัว”
“ยังไงอ่ะ”
“ก็หางานทำที่ไม่ใช่ของเยว่ ไปเป็นลูกน้องคนอื่น”
“แต่ยังเรียนไม่จบเลยอ่ะ”
“ก็เป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานพาร์ทไทม์ไปซะ สตาร์บัค แมคโดนัลด์ เคเอฟซี”
มันก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่พอเล่าให้คุณแม่เจิ้นฟังคุณแม่กลับไม่ยอม แถมโทรไปบ่นลุงหยางอีก ผมคิดว่าจริงๆองค์ประกอบหนึ่งที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะพวกผู้ใหญ่นี่แหละ ตัวอย่างที่ชัดเจนก็เช่นเรื่องเจิ้น
คนบ้านเราอาจจะไม่ค่อยปกติ... พ่อก็เป็นวัยรุ่นตัวแสบ พอมาเจิ้นก็เป็นคนซับซ้อน ส่วนผมก็เป็นคนหน่อมแน้ม หรือว่าที่บ้านเรากิจการเติบโตเป็นเพราะดวงชะตาฟ้าลิขิตจริงๆ ดวงล้วนๆแบบว่าอาจจะฟ้าเห็นใจที่บ้านเราเพี้ยนๆก็เลยให้ความโชคดีมาเยอะหน่อย
ผมเล่าเรื่องแม่เจิ้นโทรไปบ่นลุงหยางให้คิวฟัง ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่กลับมา คิวเลยสรุปว่าผมควรจะหาความท้าทายในงานของตัวเองแทน เช่น...จากการถ่ายเอกสารแบบเชื่องช้าก็เพิ่มสปีดให้ตัวเอง เหมือนเป็นจุดมุ่งหมายของแต่ละวัน หรือทำมิชชั่นเล็กๆอย่างการทักทายคนให้ได้อย่างน้อยวันละยี่สิบคนอะไรแบบนั้น
แต่พอผมจะทำจริงๆก็กลายเป็นเจิ้นไม่ชอบใจที่พนักงานบางคนคุยกับผมนานเกินไปอีก...คือชีวิตผมคงไม่ได้เอียงซ้ายเอียงขวาอะไรแน่ๆเลย ได้แต่หยุดนิ่งอยู่ตรงกลางเพราะคนรอบข้างไม่ให้กระดุกกระดิก
ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาได้ยังไงนะตั้งยี่สิบเอ็ดปี อาจจะยี่สิบปีกว่าๆไม่นับตอนอยู่อเมริกาที่ผมชอบไปปาร์ตี้ก็ได้ คิวรับรู้ถึงความห่อเหี่ยวของผมเพราะผมโทรไปบ่นกับคิวบ่อยมาก คิวเลยเสนอว่าให้ผมไปหาคอร์สเรียน การออกไปเรียนอาจจะดีขึ้น ผมอาจจะฟุ้งซ่านเพราะอยู่ว่างๆ
ก็เลยได้ไปเรียนขับรถที่ตั้งใจไว้ตอนแรก...แต่ผู้ใหญ่บ้านผมก็เวอร์อีก เจิ้นจะซื้อรถให้ทั้งๆที่บ้านเราก็มีรถตั้งสามคันแล้ว เจิ้นมีรถสปอร์ตของเขา มีเบนซ์สำหรับรับส่งผมไปเรียน แล้วยังมีรถตู้ที่ทำเบาะเป็นกึ่งๆเตียงนอนได้อีก
คุณแม่เจิ้นก็อยากให้ผมขับมินิคูเปอร์คันเล็กๆ ปู่ก็จะให้เอาสีถูกโฉลก จะเอาทะเบียนประมูลอะไรก็ไม่รู้ ลุงหยางยิ่งแล้วใหญ่บอกว่าเป็นผู้ชายแมนๆต้องขับกระบะหรือจะลองเป็นเด็กแว๊นขี่บิ๊กไบค์...พ่อก็ด่าลุงหยางหาว่ายุให้ผมไปเสี่ยงชีวิต
การเป็นคนหน่อมแน้มของทุกคนทำเอาผมเริ่มหงุดหงิด...ทุกอย่างมันช่างอึดอัดไปหมด ผมก็แค่อยากทำอะไรแปลกใหม่ ได้ลองทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง...
การกลับไปอยู่หออาจจะดีที่สุดแต่มันก็อีกตั้งเป็นเดือนกว่าจะเปิดเทอม ผมคิดว่าตัวเองเริ่มเป็นมูนนี่ขี้โมโหไปแล้ว ผมบ่นกับพี่เอ็มบ้างคราวนี้เพราะกลัวคิวเบื่อซะก่อน
“เข้าสู่วัยต่อต้านหรือเปล่าครับ? เหมือนเวลาเข้าสู่วัยรุ่นที่อยากจะเป็นตัวเอง ใจร้อน แล้วก็ไม่ชอบให้ผู้ใหญ่ยุ่งเรื่องส่วนตัว แต่ส่วนมากจะเป็นกันตอนอายุสิบสี่สิบห้านะครับ คุณจันทร์อาจจะ...โตช้าไปนิดหน่อย”
วัยต่อต้าน? เข้าสู่วัยรุ่น?
“มูนนี่ของพี่กำลังโตขึ้นนี่เอง”
เจิ้นขำการเข้าสู่วัยต่อต้านของผม แต่ผมงอแงที่เขาทำเหมือนล้อเลียนเขาก็เลยยอมเลิกแกล้งแล้วบอกว่าจะให้พื้นที่กับผมมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่เจิ้นก็ดูตกใจปนขำ ปู่ก็ขำ ลุงหยางก็ขำ ยิ่งพ่อยิ่งตื่นเต้นใหญ่เลย
แต่เพราะทุกคนทำเหมือนมันแปลกนี่แหละผมเลยยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ก็แค่โตช้าอ้ะ! แล้วทำไมต้องตื่นเต้นกันด้วยก็ไม่รู้
“ก็จันทร์น่ารัก...”
“แต่จันทร์หงุดหงิดมากเลย”
“ทุกคนรักจันทร์...ก็เลยอยากเห็นทุกการกระทำของจันทร์ไงครับ ทำให้จันทร์อึดอัดเพราะพวกเราดูจะเป็นห่วงจันทร์มากเกินไป จันทร์เป็นความรักของทุกคนนะ...ไม่อยากให้ทุกคนรักจันทร์หรอ”
เจิ้นยิ้มแล้วดึงมือผมไปหอม วันนี้วันเสาร์เขาได้รับอนุญาตมานอนกลิ้งหน้าทีวีกับผมที่บ้านคุณพ่อคุณแม่
“ก็เข้าใจ...แต่จันทร์อายนี่...แล้วจันทร์ก็อยากทำอะไรด้วยตัวเองด้วย จันทร์จะแต่งงานแล้วนะแต่ทำไมเหมือนตัวเองยังไม่โตเลย”
“แล้วจันทร์อยากทำอะไรหืม”
พอเจิ้นถามแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะเป้าหมายเดียวในชีวิตของผมก็แบบว่า To be with เจิ้นอ่ะ แบบ Only เจิ้น เอฟวรี่เดย์เลยแบบพี่เอ็มอ่ะ พี่เอ็มรู้เรื่องเจิ้นทุกอย่างเลยนะ ความลับนั่นนี่โน่น แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เจิ้นจะบอกผมสักหน่อย
“ว่าไงครับ...อยากทำอะไร”
“จันทร์....อยากเป็นพี่เอ็ม”
เจิ้นชะงักแล้วขมวดคิ้ว เขาทำหน้าเหมือนผมบังคับให้กินผักขม
“จะอยากเป็นเอ็มทำไม ไม่เห็นน่ารักเลย...สู้จันทร์ของพี่ก็ไม่ได้”
“ก็พี่เอ็มดูเป็นคนพิเศษของเจิ้นนี่”
“พี่ไล่มันออกทุกวันมันก็ไม่ไป จันทร์อยากโดนไล่หรอ?”
ผมเบิกตากว้างเพราะรู้สึกสงสารพี่เอ็ม ทั้งๆที่ดูแลเจิ้นดีขนาดนี้เจิ้นยังจะไล่พี่เอ็มออกอีกหรอ แล้วถ้าผมไปทำงานกับเจิ้นผมไม่โดนเจิ้นไล่ออกนอกประเทศเลยหรอ
“จันทร์...คิดอะไรอยู่ พี่แค่จะบอกว่าจันทร์เป็นคนพิเศษของพี่ในแบบที่เอ็มก็ทำไม่ได้ พี่รักจันทร์ไม่ได้รักเอ็ม จันทร์จะไปอยากเป็นเอ็มทำไม...เป็นมูนนี่ของพี่คนเดียวก็พอแล้ว”
เจิ้นดึงผมไปกอด ผมสบายใจขึ้นนิดหน่อยที่ตัวเองสำคัญกว่าพี่เอ็ม จริงๆก็รู้แหละว่าตัวเองต้องสำคัญสุดๆอยู่แล้วแต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย
“จันทร์แค่...แค่กังวล”
“จันทร์เก่งในแบบของจันทร์...มูนนี่ของพี่เก่งจะตาย”
“จันทร์ทำอะไรไม่สำเร็จเลยสักอย่าง ไม่เห็นเก่งเลย”
“สำเร็จสิ...พี่เป็นสมบัติของจันทร์ไปแล้ว จันทร์ให้พี่ทำอะไรแทนทุกอย่างได้หมดเลย จันทร์ไม่ต้องทำอะไรเอง หน้าที่ของผู้บริหารก็คือวานแผนและใช้คนให้เหมาะกับงานไม่ต้องลงมือทำเองสักอย่าง”
“เจิ้นเป็นลูกน้องจันทร์หรอ?”
“ก็...อาจจะ”
คำอธิบายของเจิ้นทำให้ผมพอจะเห็นภาพ เจิ้นเป็นเจ้าของธนาคารแต่เจิ้นก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของพนักงานทุกอย่างนี่นา เจิ้นก็นั่งอยู่ห้องทำงาน ประชุม ออกงาน วางแผนอะไรยุบยิบๆกับพี่เอ็ม
“งั้นจันทร์ก็เก่งกว่าเจิ้นใช่ไหมอ่ะ เพราะจันทร์ไม่ต้องหาเงินเองเลยให้เจิ้นหาให้อย่างเดียว”
เจิ้นเริ่มขมวดคิ้วอีกรอบ ผมพอจะเข้าใจสิ่งที่เจิ้นจะสื่อแล้ว...เขาก็แค่อยากให้ผมสบายใจแต่มันเข้าทางผมพอดีเลย ทำไมเกมต้อนเจิ้นเข้ากรงของผมมันถึงเหมือนจะกลับมาอีกรอบทั้งๆที่ผมเลิกเล่นไปแล้ว
“เก่งสิ มูนนี่ของพี่เก่งที่สุด”
“งั้น...ถ้าจันทร์ใช้ชีวิตแบบของจันทร์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ไม่เป็นไรใช่ไหม แบบว่าจันทร์ไม่ต้องเครียดไรเลย ไม่ต้องเป็นพี่เอ็มด้วย”
“พี่สร้างทุกอย่างให้จันทร์ได้ จันทร์จะไปสร้างเองอีกทำไม เรามีกันแค่สองคนนะจันทร์ แค่ช่อฟ้า...ก็เหลือเฟือ ไม่ต้องเป็นเอ็มหรอก เป็นจันทร์ของพี่ มูนนี่ของพี่ก็พอ”
“เป็นมูนนี่แล้วช่วยงานเจิ้นได้ไหม มีประโยชน์กับเจิ้นหรือเปล่า จันทร์อยากเป็นคนที่เจิ้นพึ่งพาได้เหมือนที่จันทร์ก็พึ่งพาเจิ้นได้ แบบว่าช่วยคิดช่วยทำอ่ะ เป็นคนที่เจิ้นภูมิใจจะอยู่ด้วย”
เจิ้นดึงผมไปกอดบนตัก อ้อมกอดของเจิ้นอบอุ่นสำหรับผมเสมอ ผมชอบเวลาที่ตัวเองจมไปในอ้อมแขนเจิ้นแบบนี้ที่สุดเลย
“จันทร์ก็อยู่ข้างพี่มาตลอด...พี่มีทุกอย่างแล้วจันทร์ แต่มีสิ่งเดียวที่พี่ยังขาดแล้วมีแค่จันทร์ที่ให้พี่ได้...ความรัก แค่จันทร์รักพี่ไปทุกวัน ไม่ทิ้งพี่ไป ดูการ์ตูน กินอิ่ม นอนหลับ อยู่ในที่ๆพี่มองเห็น”
“อันนั้นจันทร์ทำอยู่แล้วทุกวันเลย”
“แล้วจันทร์เบื่อหรือเปล่าถึงอยากจะทำอะไรอย่างอื่นเพิ่ม?”
“ไม่ ไม่เบื่อ จันทร์แค่คิดว่ามันน้อยไปไหมอ่ะ ดูมีประโยชน์น้อยจัง”
เจิ้นหัวเราะที่ผมพูดแบบนั้น
“มีสิ...จันทร์เป็นกระปุกความสุขของพี่ไง ขาดจันทร์ไปพี่ไม่มีความสุขเลย หัวใจพี่เจ็บปวด พี่นอนไม่หลับ...แล้วพี่ก็ไม่สบาย พอจะเห็นประโยชน์ของตัวเองหรือยังหืม มูนนี่?”
“งื้อ จันทร์เป็นพลังงานสำรองของเจิ้นใช่ไหม แบบว่าเป็นพาวเวอร์แบงค์อันใหญ่”
“ผิด เป็นพลังงานหลักต่างหาก ไหน...วันนี้โรงงานมูนนี่ผลิตพลังงานให้พี่หรือยัง?”
“โหย ผลิตทุกวันเลยยยย ให้เจิ้นคนเดียว”
แล้วหน้าที่ของโรงงานผลิตความสุขให้เจิ้นอย่าผมก็โดนสูบพลังจนเบลอไปหมด เพราะเรายังอยู่บ้านคุณแม่เจิ้นเลยไม่ได้ทำอะไรนอกจากจูบ จูบสูบวิญญาณที่ทำผมเกือบตาย
“เจิ้น...เมื่อไหร่จะไปคุยกับพ่อจันทร์หรอ จันทร์...ไม่อยากให้พ่อโกรธนานเลย”
ผมอาศัยช่วงเวลาเจิ้นอารมณ์ดีถามเขาอีกครั้งเพราะผมกังวลเรื่องพ่อจริงๆนะ คือทำแบบนี้เหมือนผมแฮปปี้คนเดียวแต่พ่อไม่ได้แฮปปี้ด้วยอ่ะ พ่องอนผมแน่ๆ ถึงพ่อจะยอมคุยด้วยแล้วแต่ก็แบบยังดูงอนๆอ่ะ ต้องไปง้อพ่อนะ พ่อมีผมเป็นลูกคนเดียวด้วย เดี๋ยวพ่อรักลุงหยางมากกว่าผมอ่ะถ้าผมไม่ง้อ
“เดี๋ยวดูวันว่างๆก่อน”
เขาตอบแบบ...แบบไม่ชัดเจนให้ผมอ่ะ แต่ผมก็ไม่อยากตื้อเจิ้นเยอะเท่าไหร่
“งื้อ จันทร์กังวลจัง”
“ไม่ต้องห่วง...พี่จะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกัน”
อยู่ด้วยกันในความเข้าใจของผมก็คือ อยู่ด้วยกันแบบแฮปปี้ทั้งบ้านนะ เพราะผมเป็นมูนนี่ญาติเยอะไปแล้ว ถึงเจิ้นจะเบื่อญาติทุกคนเลยก็เหอะ
เจิ้นพาผมมาหาพ่อที่คอนโดลุงหยางในอาทิตย์ต่อ จริงๆเจิ้นไม่ได้อยากมาแล้วพ่อก็ไม่ยอมหายงอนง่ายๆ ซึ่งมันทำให้ผมอึดอัดมากคุณแม่เลยบอกให้เจิ้นเลิกทิฐิได้แล้ว ถึงเจิ้นจะชอบเล่นสงครามประสาทกับพ่อผมแค่ไหนก็ต้องเห็นใจผมด้วย
คุณแม่บอกว่าเจิ้นกับพ่อชอบเล่นอะไรแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ชอบเอาชนะกัน ทำเป็นสร้างสงครามเย็นแต่จริงๆโกรธกันไม่นานหรอก...แต่ แต่ผมก็อึดอัดอยู่ดีอ่ะ
คุณพ่อกับคุณแม่บอกให้เจิ้นไปตกลงกับพ่อผมก่อนให้เรียบร้อยพวกท่านถึงจะพาเจิ้นมาสู่ขอตามธรรมเนียมอีกที ผมตื่นเต้นหน่อยๆตอนที่ลิฟต์เรามาถึงชั้นลุงหยาง
“ไม่เป็นไร พี่จัดการเอง”
มือที่กุมมือเจิ้นชื้นเหงื่อหัวใจผมเต้นรัว แต่เจิ้นดูสบายๆมากเลย แถมมีรังสีออร่าของการเอาชนะเต็มเปี่ยม หรือจะเป็นอย่างที่คุณแม่เจิ้นบอก....เจิ้นกับพ่อผมชอบแข่งกัน
“เชิญครับ”
คนที่รออยู่หน้าลิฟต์ไม่ใช่ลุงหยางหรือพ่อ แต่เป็นผู้ชายในชุดสูทสีดำสนิททรงผมเปิดหน้าที่มีเอกลักษณ์ของคนจีนชัดแจ๋ว แถมพูดสำเนียงไทยแปร่งหูนิดหน่อย
“ไม่เจอนานนะ”
“มีงานด่วนของหยางครับ”
“เมื่อไหร่หยางจะกลับ?”
“ไม่ทราบครับ”
หยาง...เจิ้นกับคุณคนนี้เรียกลุงหยางว่าหยางเฉยๆ บางทีลุงหยางอาจจะเป็นคนชื่อเยอะแบบผม แบบที่มีทั้งศศิมณฑล เจ้าจันทร์ จันทร์ มูนนี่ เจ้าลูกกระต่ายอะไรทำนองนั้น ส่วนลุงหยางก็เป็นคอลเล็คชั่นพระอาทิตย์ สุริยะ หยาง มิสเตอร์หยาง ลุงหยาง พี่ซันที่พ่อเรียก แล้วก็หยางเฉยๆ
จริงๆเจิ้นนี่ก็ดีเนอะ แค่เจิ้นเฉยๆ ไม่ต้องคิดมากเพราะผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองจะมีชื่อเยอะแยะไว้ทำไม พ่อก็ยังมีแค่ตองเฉยๆเลยอ่ะ ทำไมพ่อเป็นใบตองแล้วผมไม่เป็นกล้วย?
“จันทร์?”
ผมกระพริบตาเรียกสติเมื่อเห็นว่าเจิ้นเดินนำไปก่อนแล้วหันมามองผมที่หยุดชะงัก
“จันทร์คิดอะไรนิดหน่อย”
“เรื่องนี้หรอ? พี่บอกว่าอย่าคิดมากไง”
“ไม่ใช่ จันทร์แค่คิดว่าทำไมจันทร์ชื่อจันทร์ ทั้งๆที่พ่อก็ชื่อตอง จันทร์อาจจะเป็นกล้วยก็ได้ แบบว่าใบตองกับน้องกล้วย ก้านกล้วย ต้นกล้วยอะไรแบบนี้อ่ะ มูนนี่ก็เปลี่ยนเป็น...บานานา”
ผมทิ้งหางเสียงให้เหมือนเพลงของมินเนี่ยน บาน๊าน่ะ เจิ้นขมวดคิ้วแล้วทำหน้าแปลกๆ ทำให้ผมขำ ชื่อกล้วยก็ดีจะตาย กล้วยอร่อยด้วย แบบว่าบานาน่ามิลค์เชค
“สงสัยกลับไปต้องขอหอมหน่อย...ว่าพระจันทร์ของพี่หอมกลิ่นกล้วยไหม”
เจิ้นทำตาวิบวับ...เขาคิดอะไรยุบยิบอีกแล้วแน่เลย ฮึ่ยย คนทะลึ่ง!
เราเจอลุงหยางที่ห้องทานข้าว แต่ไม่เจอพ่อ ลุงบอกว่าพวกเรามาเช้าไปพ่อยังไม่ตื่นทั้งๆที่ตอนนี้มันก็จะเที่ยงแล้ว คือผมกับเจิ้นนัดแค่ลุงหยางไว้กะว่ามาเซอไพรส์พ่อไปเลย เพราะช่วงนี้พ่องอนไม่ยอมคุยกับผมตั้งแต่รู้เรื่องเจิ้นมาขอผมแต่งงาน
“กินไรหน่อยไหมลูกกระต่าย? มีคุ้กกี้อยู่ เอาชามาด้วย”
คนจีนที่รู้จักเจิ้นด้วยคนนั้นไปจัดการมาให้ ชงฉากาใหม่ให้เจิ้นแล้วก็มีนมอุ่นของผม ท่วงท่าการเดิน การหยิบจำของต่างๆเขาดูดีมากเลยเหมือนในหนัง
“มองอะไร?”
“เขาดูดีอ่ะ”
เจิ้นบีบแก้มผมแบบไร้สาเหตุ แต่ลุงหยางดันหัวเราะชอบใจ ส่วนคุณคนที่ผมชมแค่ยกยิ้มมุมปากนิดหน่อยเท่านั้น
“เจ้าลูกกระต่ายถูกใจชิวซีหรือไง? ยกให้ไม่ได้หรอกนะคนนี้”
“เปล่าสักหน่อย ลุงขี้หวง!”
“ยกให้ก็ได้ แต่ไปอยู่จีนด้วยกันนะ”
“มิสเตอร์หยาง”
เสียงเจิ้นเข้มขึ้นมาเลย ลุงหยางคงกะจะกวนประสาทเจิ้นเล่นๆแล้วเจิ้นก็คงหงุดหงิดที่ผมทำท่าเหมือนสนใจพ่อบ้านของลุงหยางเป็นพิเศษ
“พี่ซัน หิว...”
“ตื่นแล้วหรอ?”
ผมหันขวับไปมองพ่อที่เดินเข้ามา เสียงเอื่อยๆ ตาปรือ ผมฟูและ....ทั้งตัวพ่อมีแค่กางเกงขาสั้นกับเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่ไม่ติดกระดุม และ และ.........
“พ่อ!”
“จันทร์?....จันทร์!”
พ่อดึงสาบเสื้อตัวเองปิดแต่มันไม่ทันแล้ว ผมเห็นชัดแจ๋วเลยว่าพ่อมีรอยจูบกับรอยฟันบนตัว เหมือน...เหมือนที่เจิ้นทำกับผมเลย! เหมือนมาก มากมากเหมือนเห็นตัวเองเลยอ้ะ
แล้วใครจะไปทำอะไรแบบนั้นบนตัวพ่อได้ถ้าไม่ใช่ลุง!
พ่อหันตัวเดินหนีออกไป ส่วนผมช็อคไปแล้ว....ก็ ก็รู้ว่าลุงกับพ่อก็คงหนุบหนับกันแต่...แต่พอมาเห็นตรงๆแล้วผมก็ค่อนข้างตกใจ ละ แล้ว แล้วผมก็หน้าร้อนผ่าวไปหมด
“ตามสบายนะ เดี๋ยวมา”
ลุงหยางลุกออกไป ส่วนผมกระพริบตาปริบๆมองเจิ้น แล้วก็ยิ่งเขินเพราะเจิ้นยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ตกใจทำไม...ออกจะปกติ”
จะเถียงว่าไม่ปกติก็ไม่ได้เพราะผมก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ
“งื้ออออทำไมพ่อรุนแรงจัง”
ผมเอียงตัวไปซุกหน้ากับไหล่เจิ้น เขาหัวเราะเบาๆแล้วดึงผมไปนั่งตัก
“จันทร์ก็รุนแรง....สำเนาถูกต้องเลย”
“ง่ะ...จันทร์อายจัง”
“ไม่ต้องอาย...พี่ชอบให้จันทร์รุนแรง”
(ต่อด้านล่าง)