โหยย งานเข้า งานยุ่ง เน็ตเจ๊งฮะ
แต่เอาตอนใหม่มาต่อให้แล้วครับ
ขอบคุณ คุณ Mist ที่ลงเรื่องให้นะฮะ เดี๋ยวถ้าเน็ตเดี้ยงจะรบกวนอีกนะคับบ จุ๊บๆ
ตอนที่ 7 ตัดสินใจ ปิงไม่ตอบคำถาม แต่กระโดดขึ้นเตียงมาฟุบอยู่ข้างๆ ผม
กลิ่นเหล้าอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก ปิงคงกินเหล้ามาไม่มากก็น้อย
“มึงมาทำอะไรป่านนี้วะ” ผมถามเบาๆ
“กูมาเพราะกูเข้าใจแล้วว่ามึงหึงกู” ปิงทำหน้าระรื่น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ดีๆ ทำไมมันถึงคิดแบบนั้น แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม แต่ผมก็ยังงงๆ อยู่ว่าปิงเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ยังไง
“อ..อะไร ใครหึงใคร อย่ามามั่วนิ่ม” ผมกระอึกกระอั่กตอบ ไม่รู้ว่าหน้าตัวเองแดงหรือเปล่าแต่คงแดงมั้งเพราะแม้ว่าจะมืดแต่ใบหน้าของผมก็รู้สึกร้อนผ่าว
“ใช่ป่ะล่ะ ที่มึงทำขัดกันก็เพราะประชดกู” (กูว่ามันต้องผีเข้าแน่ๆ)
“..อย่ามาเดามั่ว”
“สัด จะปากแข็งทำไมวะ มึงสนิทกับกูมาตั้งกี่สิบปีแค่นี้ทำไมกูจะไม่รู้” (ไอ้ตอแหล กูงอนมึงเรื่องแบบนี้มาล้านครั้งแล้วมั้ง ไม่เห็นมึงจะล่วงรู้ อมอุโบสถมาพูดกูก็ไม่เชื่อว่ามึงจะตรัสรู้ชอบด้วยตัวเองว่ามึงรู้ว่ากูหึง)
“ตอนที่มึงแหกปากเอ็ดตะโรที่ร้านนั้นไงล่ะที่มึงไม่รู้” ผมสวนกลับ หุหุ ใครจะยอมให้มันรุกฝ่ายเดียววะ
ปิงเด้งขึ้นมานั่งจ้องหน้าผม ผมจ้องหน้าหล่อๆ ของมันกลับ (ที่บอกว่าหล่อเพราะว่ามันมืดหรอกน่า มึงไม่ต้องดีใจนักไอ้ปิง)
“นี่กวนตีนกูอยู่เหรออออ” ไอ้ปิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“เออออออ”
“ตายซะเถอะมึง” แล้วมันก็มาจี้เอว ผมบ้าจี้อ่ะ แล้วปิงก็รู้หมดว่าผมจั๊กกะจี้ตรงไหน (ก็มีเอว แล้วก็คอ) ผมหัวเราะใหญ่ แต่ปากก็ด่ามัน “ไอ้เวร หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
พวกเราปล้ำกันพักใหญ่ ก่อนที่ตีนผมจะถีบอกไอ้ปิงลงไปกองก่ะพื้นได้ก็เกือบจะขาดใจตาย
อยู่ดีๆ ไอ้ปิงก็ดึงผ้าห่ม แล้วก็มานอนหนุนตัก
ไม่บ่อยที่ไอ้ปิงจะทำแบบนี้ ผมว่าอาจจะเป็นฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ก็ได้ สมัยมัธยมไอ้ปิงแต๊ะอั๋งผมเสมอ เวลาอยู่ด้วยกันก็เอาหลังมาพิงบ้าง เดินกอดคอบ้าง อย่างไรก็ตามนอนตักนี่ นานๆ มันจะทำสักที และทำทีไรใจผมก็เต้นโครม โครม ทุกทีรวมทั้งตอนนี้ด้วย
“มึงจำเรื่อง ใครสักคนที่จะหยุดกูได้ป่ะ”
“อะไรนะ!?” ผมปรับอารมณ์ไม่ทัน เมื่อกี้ยังหัวเราะจะขาดใจอยู่เลย
“อ้าว พูดเองทำไมลืมวะ ที่มึงบอกให้กูหาไปเรื่อยๆ ถ้ากูเจอคนที่ใช่มันก็จะหยุดเองน่ะ”
“อ๋อ อื้ม ทำไมเหรอ”
“ถ้ากูหาไม่เจอล่ะ หรือไม่กูขี้เกียจหาต่อล่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ ไม่รู้ดิ ทุกวันนี้กูก็มีความสุขดีอยู่แล้ว กูไม่รู้ทำไมต้องออกไปตามหาคนที่ใช่”
“เจ้าชู้ตัวพ่ออย่างมึงนี่นะจะไม่คบใคร”
“เอ๊าา ไอ้นั่นก็ขำๆ มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้จริงจัง”
“ไอ้เลว...”
“นั่นไง กูไม่อยากเป็นไอ้เลวแล้ว กูว่ากูอยู่นิ่งๆ ก็ดี ไม่ต้องคบใคร ไม่ต้องวิ่งตามหาใคร กูว่าแค่กูก่ะมึงก็โอเคแล้วนะ มีมึงเป็นเพื่อนไปตลอดแบบนี้”
ใครเคยเจ็บใจไหมครับ
แปลกที่คำบางคำทำให้ความเจ็บปวดแล่นผ่านตรงหน้าอกได้ หลังจากเจ็บแล้วใจก็จะหวิว เหมือนส่วนหนึ่งของหัวใจมันโดนบั่นทอนออกไป แล้วน้ำหนักของใจก็น้อยลงไปเรื่อยๆ
‘เพื่อน’ ‘ตลอดไป’ งั้นเหรอวะปิง... กูก็อยากเป็นเพื่อนให้มึงได้นะ... กูก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ
“ปิง... แล้วถ้ากูไม่อยู่ให้มึงแล้วล่ะ”
“.... ทำไมมึงพูดแบบนี้วะ มึงจะไปไหน”
“ก็... สมมุติกูมีแฟนแล้ว กูต้องไปดูแลเขาอะไรแบบนี้”
“เฮ้ย!!!! มึงจีบใครอยู่คายออกมาเดี๋ยวนี้ไอ้โฟน”
“สมมุติ เว้ย สมมุติ นี่มึงโง่ขนาดไม่รู้จักคำว่าสมมุติเหรอวะ”
“.. กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่กูไม่อยากให้มึงมีแฟนเลยนะ”
“ไหนมึงบอกว่าให้กูหาแฟน”
“ไม่รู้อ่ะ กูหึงงงงงมึง”
“กวนตีนและๆ ไปๆๆๆ ไปนอนเลยมึง ห้ามแย่งข้างในนะ” ผมกระโดดไปนอนชิดผนังก่อน ไอ้ปิงกับผมต่างคนต่างชอบนอนข้างใน โดยเฉพาะผม ไม่ใช่อะไรหรอกนะต่างคนต่างนอนดิ้น ไอ้ปิงเคยละเมอถีบผมกระเด็นตกเตียง ส่วนผมก็เคยตื่นมาแล้วก็เจอไอ้ปิงลงไปนอนกองกับพื้นเหมือนกัน
ผมปิดตาลงแต่ทำยังไงก็ไม่หลับ ส่วนปิงนั้นนอนกรนคร่อกๆ ไปนานแล้ว แถมขโมยหมอนข้างผมไปกอดเสียแน่น แสงแรกของวันใหม่เปลี่ยนผ้าม่านที่ดำมืดให้เรืองรองขึ้นมา ผมค่อยๆ เลื้อยออกจากเตียงเพราะไม่อยากให้ปิงตื่น หยืบกางเกงบอลมาสวมทับบ๊อกเซอร์แล้วก็ลงไปชั้นล่าง เสียงคลิ๊กคอมพิวเตอร์กับเสียงคีย์บอร์ดยังดังก๊อกแก๊กออกมา ผมโผล่หัวเข้าไปในห้องพี่สาว
“เจ้ฟิว ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“จะเสร็จแล้วหว่ะ แล้วนี่เคลียร์ก่ะปิงมันเรียบร้อยแล้วเหรอ”
“เหมือนจะเคลียร์หว่ะเจ้ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮ่ะๆๆ”
“เออๆ เข้าใจ แล้วนี่จะไปไหน”
“ไปเดินเล่น เอาไรป่ะ”
“ไม่เอาหว่ะ จะนอนแล้ว”
ผมสวมร้องเท้าแตะแล้วก็เดินออกจากบ้าน ดวงอาทิตย์สีส้มเพิ่งตื่นนอนลุกขึ้นจากขอบฟ้า อากาศเย็นจากตอนกลางคืนที่ต้องแสงแดดทำให้อบอุ่นอย่างประหลาด คนค้าคนขายเริ่มตั้งร้านเตรียมรับความวุ่นวายของตลาดวันเสาร์กันแล้ว ผมเดินผ่านร้านขายปาท่องโก๋ที่สมัยเป็นเด็กประถมต้องซื้อกินเป็นประจำทุกวัน ตอนนั้นมีอาแปะคนนึงใจดีมากขายอยู่ ถ้าผมมาซื้อกับปิง แปะจะแถมให้อีกหลายตัวบอกว่ากินกันตั้งสองคนแค่สิบบาทจะอิ่มยังไง ตอนนี้แปะแก่ลงมากแล้วมาขายตอนเช้าไม่ไหว เลยให้ลูกชายแกมาขายแทน
อะไร อะไร มันก็เปลี่ยนไป ผมซื้อปาท่องโก๋ มานิดหน่อยพร้อมกับหยิบเข้าปาก รสชาติเปลี่ยนไปนิดหน่อยแต่ก็อร่อยดีเหมือนกัน ผมก้าวขาเดินต่อไปเรื่อย คุณป้าแถวนั้นบางคนก็ร้องทัก พร้อมกับแปลกใจที่วันนี้ผมตื่นเช้าแถมยังมาโผล่แถวตลาด ส่วนใหญ่ก็ทักว่าโตขึ้นเยอะ หรือไม่ก็ถามข่าวของเจ้ฟิว
อย่าแปลกใจนะครับถ้าผมไม่เคยพูดถึงเรื่องพ่อแม่ของผมเลย พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมโตมาได้อีกไม่เท่าไหร่แม่ผมก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ส่วนพ่อนั้นผมเจอหน้าแบบนับครั้งได้ ยังไงก็ตามผมไม่เคยรู้สึกเป็นปมด้อยแต่ใด ผมอยู่ได้ โตมากับพี่สาว มีญาติสนิทๆ คอยช่วยเหลือเรื่องเงินทองไม่เคยขาด และก็มีเพื่อนชื่อปิง...
ปิงอยู่กับผมมานานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของผมไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหนผมก็คงขาดปิงไปไม่ได้ ผมกับมันผูกพันธ์กันเกินกว่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหายไปได้ ผมรู้ถึงข้อนี้ดี ผมเลยไม่กล้าบอก ผมคิดภาพตัวเองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีมันไม่ไหว
ปาท่องโก๋ อร่อยจริงๆ และแม้ว่าผมจะชื่นชอบกลางคืนแต่แสงแดดยามเช้าก็ไม่เลวนักหรอก
ผมตั้งสติแล้วก็หายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด
โทรศัพท์มือถือถูกกดเบอร์ของใครสักคนที่ทำให้ผมหวั่นไหว
“เป้ เหรอตื่นหรือยัง”
“อือออ โฟนเหรอ ตื่นแล้ว.. เอ่อ จริงๆ ก็เพิ่งตื่นตอนนายโทรมาอ่ะ”
“นอนต่อเถอะ เราแค่จะโทรมาบอกว่าเรื่องเมื่อคืน เราจะรับไว้พิจารณานะ”
“จริงเหรอ แปลว่านายอนุญาตให้จีบได้นะ” เสียงของเป้สดใสขึ้นมาเลย
ผมเขินมาก แต่ก็ตอบเสียงเบาๆ ไป “อ.. อือ”
บางทีผมก็ควรจะให้โอกาสตัวเองเสียบ้างนะ