นิยายรักของขวัญ 7 ปี <หนุ่ม IT กับ DJ สุดหล่อ>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: นิยายรักของขวัญ 7 ปี <หนุ่ม IT กับ DJ สุดหล่อ>  (อ่าน 540989 ครั้ง)

sarin

  • บุคคลทั่วไป
 :serius2:.ทิ้งท้ายแบบให้คิดอีกแระ...
คงม่ายช่ายข่าวร้ายนะค้าบ... o7
ปล....ฝากถึงอ้อฟด้วยอ่ะ :เตะ1: เง้อ.ล้อเล่น..อิ.อิ.

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2
ง่าตอนหน้าจาเปงอย่างงายอ่ะ  อย่าให้เกิดเรื่องรายขึ้นเลยนะ

แต่ยางงายก็ร๊ากอาอี้ :laugh: :laugh:

enDLesS_Loves

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งมาใหม่  มาลงชื่อรอเจ้าของเรื่องจ้า

ออฟไลน์ ~NeMeSiS_PURE~

  • 행 복 하 길 바 래 ...
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2009
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +196/-2

กิ่งก้านใบ

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25

วันนี้ เลิกเรียน เร็ว    :oni2:

เรยมานั่ง รอ ตั้ง แต่ เย็น   :oni1:


รอ    :a4:

ร้อ    :a3:

รอ    :a11:


 :bye2: :L2: :bye2:

P_love

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามารอน้อง เอ  :m13:


ทำไมตอนนี้มันเศร้าจังเลย :sad2:


 :serius2: :serius2:  ค้างอย่างแรง น้องเอรีบ ๆ มาต่อน้า









ออฟไลน์ imon

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 902
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-10
แหม๋เอารูปที่๋ผมใช้มาแทนที่รูปเดิมเลยนะ้
ว่าแต่รูปนายคนนี้อะ คือนายเอหรอ
ผมมีรูปนายคนนี้ชุดที่ไปเที่ยวทะเลด้วยนะ
รูปแบบ....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ไปกับเพื่อนๆๆ
 :oni1: :oni1: :oni1:ว่าแล้วก้อเปลี่ยนรูปหนีดีกว่า

ออฟไลน์ zandwizz

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +148/-7
 :laugh: :laugh: :laugh:  ค้าง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ


 :oni3: :oni3: :oni3: จงมา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆๆ


ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
รอ นาน  แล้วน้า     :serius2:



แต่ก็ยังรอ ต่อ ไป    :sad2:


 :bye2: :L2: :bye2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






RaMin

  • บุคคลทั่วไป

BABY_CHICK

  • บุคคลทั่วไป
ยังไม่เม้น จนกว่าจะได้อ่าน 55 :o8:

ออฟไลน์ A-ram 70

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 765
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
ขณะนี้ เวลา  21.29      :o12:

ยางม่ามา เรย    :serius2:


 :sad2:


ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
อันเนื่อง มาจาก      :o

แม่ด่า  บอกว่า พ่ง นี้ ม่า ไป โรงเรียนรึ   :angry2:

เรยต่อง ปิด com และ ไปนอน 


แวะเข้ามาดู อีกที    :sad2:


พี่เอ ก็ยัง  ม่ามาต่อ        :m15:


*ฝันดีค่ะ     :o8:


 :bye2: :L2: :bye2:

ออฟไลน์ ~@มาวินฮับ@~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1

A_wAy_G_mAn

  • บุคคลทั่วไป
บทที่สิบเจ็ด --- สูญเสีย


“พี่เอ.......พี่เอ.......ทำใจดีๆ....นะ”เสียงโอ๊ตบอกกลับมาเบาๆ ใจผมไม่ดีเลย ผมกลัวประโยคถัดไปจากเสียงปลายสาย
 
 “อะไรนะ.................”เสียงผมพูดกลับไปในโทรศัพท์  เสียงผมดังจนทุกคนที่อยู่ใกล้ๆหันมามองผมเป็นตาเดียว

“คุณพ่อ.....คุณ.....พ่อ   ......เสียแล้ว”เสียงโอ๊ตบอกกลับมา  ความรู้สึกผมตอนนั้นไม่มีคำพูดอะไรต่อไปอีกแล้ว  ผมที่ยืนอยู่หมดแรงลงทันที ผมปล่อยตัวลงบนโซฟาชุดรับแขกที่จัดไว้สำหรับพิธีปิดในวันนี้  น้ำตาผมไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว  หัวผมคิดอะไรไม่ออก มันสับสบ วุ่นวาย งุนงง กับสิ่งที่ได้ยิน

“คุณ...............พ่อ อือ.....อื้อ......คุณพ่อ”ผมครางออกมาน้ำตา  ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ผมปล่อยตัวอย่างหมดแรง  ปล่อยน้ำตาให้ไหล  ปล่อยเสียงร้องไห้ออกมา   ผมปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือในโทรศัพท์ยังมีเสียงจากเจ้าโอ๊ตเรียกผมอยู่ตลอด “พี่เอ......พี่เอๆๆ.......” แล้วผมก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  เหมือนทุกอย่างวูบดับหายไป

...

ผมลืมตาขึ้น ยังมีน้ำตาไหลออกมาจากตาผมไม่หยุด ตอนนี้เหมือนผมนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ผมมึนหัว แล้วพยายามลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้น (ใช่ตอนนี้เราไม่มีพ่อแล้ว  พ่อเราไม่อยู่แล้ว  เราจะไปหาคุณพ่อ  ผมคิดได้แล้วค่อยๆพูดออกมาอีกครั้งพร้อมน้ำตา)

“คุณพ่อ เอ จะไปหาคุณพ่อ  คุณพ่อ......”ผมนอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล มีสายเกลืออยู่ที่แขน ผมดูได้แค่นั้นก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก ในตอนนี้มีแต่ความคิดที่จะกลับชลบุรีให้ได้  จะกลับไปหาคุณพ่อให้เร็วที่สุด  

“เอ ..... เอ”เสียงป่านเรียกผม ผมไม่ได้หันไปมอง  แต่ผมหันไปดูสายน้ำเกลือแล้วพยายามจะดึงมันออก

“น้องเอ...อย่าเพิ่งครับ”พี่หมอทีจับมือผมไว้ทันที

“ไม่  เอ จะกับบ้าน  จะกลับไปหาคุณพ่อ  คุณพ่อ....คุณพ่อ.....อื้อๆๆ.....”ผมร้องไห้พร้อมพยายามดิ้นปัดมือออกจากการจับของพี่หมอที แต่ไม่เป็นผล เหมือนผมไม่มีเรี่ยวแรง

“น้องเอ ใจเย็นๆนะครับ น้องเอนอนลงก่อนนะครับ”พี่หมอทีบอกด้วยเสียงสั่นๆเหมือนเพิ่งร้องไห้มา ดวงตาก็ดูแดงๆ

“เอ เอนอนก่อนนะ คุณแม่เอ  อื้อ...ๆอื้....อ..... โทรมาบอกว่าให้ดูแลเอด้วย ฮื้อๆ...”ป่านพูดไปร้องไห้ไป

“ป่าน...ฮื้อๆๆ......โทรกลับบ้านให้เราที ...อื้....อๆๆ.....  จะอยากคุยกับคุณแม่”ผมบอกด้วยเสียงที่เบาปนไปด้วยเสียงสะอื้น

ป่านหยิบโทรศัพท์ผมขึ้นมา  แล้วกดไปที่เบอร์แม่ของผม  พอติดแล้วก็ส่งมาให้ผม

“คุณแม่....อื้อ...ๆ........ๆ”พอมีคนรับสาย ผมพูดออกไปพร้อมร้องไห้มากกว่าเก่า

“พี่เอ โอ๊ตเอง  เลิกร้องไห้ได้แล้ว ที่นี่ไม่มีใครเขาร้องไห้กันแล้วนะ”เสียงโอ๊ตน้องชายผมบอกกลับมาเหมือนกับให้กำลังใจผม แต่เสียงโอ๊ตเองก็ไม่ดีไปกว่าผมเท่าไหร่เลย

“โอ๊ต อื้...อๆ .....คุณแม่ล่ะ.... ขอคุยกับคุณแม่หน่อย”ผมบอกแล้วพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้

“คุณแม่กำลังเซ็นใบจากทางโรงบาลอยู่  คอยก่อน  พี่เอห้ามร้องไห้..........”โอ๊ตบอกผมแล้วเหมือนเงียบหายไป ผมได้ยินเสียงโอ๊ตแอบสะอื้น

“เอ นี่คุณแม่นะ”เสียงคุณแม่ดังมาจากโทรศัพท์ คุณแม่พยายามทำเสียงให้เป็นปกติเพราะคงไม่อยากให้ผมเป็นห่วง

“คุณแม่  คุณแม่ต้องเข้มแข็งนะ......คุณแม่ยังมีเอ....กับโอ๊ต...ฮื้อๆ....ๆ...นะ”ผมบอกทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะไม่ร้องไห้แต่พอได้เสียงคุณแม่ก็อดไม่ได้

“แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว  คุณพ่อเขาไปดีแล้วลูก  เอทำใจให้สบายนะ”ผมจะเป็นฝ่ายปลอบแม่ กลับมาเป็นว่าคุณแม่มาปลอบผมแทน

“ตอนนี้กำลังจะเอาศพคุณพ่อออกจากโรงพยาบาล”เสียงคุณแม่บอกต่อมาเรื่อยๆ ผมได้ยินคำว่า ศพ เหมือนหัวใจผมหลุดออกจากขั้ว มันหนาวสะท้านไปทั้งทรวงแล้วผมก็ปล่อยโฮอีกชุดใหญ่ ผมไม่อยากให้คุณแม่ได้ยินเสียงผมร้องไห้ เพราะยิ่งจะทำให้คุณแม่เป็นห่วง  ผมเลยขอคุยกับโอ๊ตแทน

“โอ๊ต ดูแลคุณแม่ด้วยนะ  อี้อๆ..ๆ.. ๆ...แล้วเอาเข็ดขัดที่พี่เอซื้อให้คุณพ่อใส่ให้คุณพ่อด้วยนะ”ผมบอกกับโอ๊ต (เข็มขัดเส้นนั้นผมซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดของคุณพ่อ แล้วส่งไปให้เมื่อผ่านมาไม่กี่เดือนนี้เอง คุณพ่อได้รับยังโทรมาแซวผมเลยว่าจะเก็บเส้นนี้ไว้ใส่ตอนผมรับปริญญา)

“พี่เอ เลิกร้องไห้ได้แล้ว  หยี่อี๊รู้เรื่องแล้วบอกว่าคอยพี่เอกลับขอนแก่นอยู่”โอ๊คบอกผม (หยี่อี๊ ก็คืออาอี๊ที่ขอนแก่นครับ หยี่ เหมือนเป็นลำดับครับ หยี่อี๊ คือป้าคนที่สอง เพราะอาอี๊ขอนแก่นเป็นป้าคนที่สอง ป้าคนโตเราจะเรียก ตั่วอี๊   ป้าคนที่สามเรียก ซาอี๊   น้าคนเล็กเรียก โซ้ยอี๊)

“อืม....โอ๊ต ดูแลคุณแม่ด้วยนะ แล้วพี่เอจะรีบกลับไป”ผมวางสายแล้วก็ปล่อยโฮอีกรอบหลังพยายามกลั้นไว้ระหว่างคุยกับเจ้าโอ๊ต

ป่านกับพี่หมอทีจับมือผมคนละข้าง ป่านก็ปล่อยโฮไม่แพ้ผม พี่หมอทีน้ำตาคลอเบ้าบีบมือผมเบาๆ ซักพักพวกเพื่อนผมก็เดินเข้ามามีไอ้เอ็กซ์ ไอ้โจ้ ต้าร์ อ๊อฟ น้ำ น้อย  บอย ปอนด์ ทราย ปูเป้ แล้วก็หนึ่ง ทุกคนล้วนหน้าซึมหน้าเศร้าตาแดงกันทุกคน ขนาดว่าไอ้ปอนด์ที่หน้าตายยังซึมไปด้วยเลย  พวกนั้นมายืนล้อมเตียงผม พยายามพูดปลอบใจให้กำลังใจผม  แต่ตอนนี้หัวผมไม่รับอะไรเลย มันมึนมันอื้อไปหมด น้ำตาก็ไหลไม่ยอมหยุดไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตาก็ไหลออกมา  ใจผมอยากจะรีบกลับชลบุรีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เอ กู...เอ๊ยเรา โทรหาอาซิ้มแล้วนะ  อาซิ้มบอกว่าถ้านายกลับถึงขอนแก่นก็จะขึ้นเครื่องไปทันทีเลย”ไอ้เอ๊กซ์เพื่อนสนิทที่อยู่ข้างบ้านผมบอก มันพยายามรักษาน้ำใจผมโดยไม่พูดกูมึงกับผมในเวลานี้

“อือ...พูดเหมือนเดิมก็ได้....กูอยากกลับตอนนี้ กู...กู....ฮื้อๆ...ๆ....”ผมพาลจะพูดอะไรไม่ออกอีกเพราะมันมีแต่จะร้องไห้

“เอ พวกเราคุยกันแล้วว่าจะไปที่ชลบุรีกับเอนะ”อ๊อฟบอก ผมพยักหน้านิด

“พี่หมอทีครับ ถอดสายน้ำเกลือให้ผมหน่อยครับ  ผมอยากกลับบ้าน”ผมพูดปนสะอื้น

พี่หมอทีไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไป แล้วกลับมาพร้อมกับหมอ คุณหมอมาถามผมว่าตอนนี้เป็นยังไง  ปวดหัวไหม  มีแรงหรือยัง   แล้วก็อะไรสองสามก่อนที่จะวัดไข้  วัดความดัน แล้วค่อยถอดสายน้ำเกลือออก พร้อมบอกให้มีคนไปรับยา น้ำก็เสนอตัวไปกับน้อย  พอถอดสายน้ำเกลือได้ผมก็จะลุกลงจากเตียงท่าเดียว แต่เหมือนไม่มีแรงเลย

“นอนอีกเดี๋ยวนะครับ พี่ดูหมอเขาวัดความดันของน้องเอ ความดันยังต่ำอยู่เลยนะครับ ให้เพื่อนไปรับยากลับมาก่อนค่อยออกไป”พี่หมอทีบอก

ผมทำตามที่พี่เขาบอก แล้วบอกให้ไอ้เอ็กซ์ต่อสายหาอาอี๊

“อาซิ้มเหรอครับ ผมเอ็กซ์นะครับ เอจะคุยด้วยครับ”เอ็กซ์ส่งโทรศัพท์มาให้ผม

“อาอี๊...เอ...ฮื้อ...ๆ....ๆ....”ผมแค่ได้ยินเสียงอาอี๊ก็พูดอะไรไม่ออกอีก ได้แต่ร้องไห้ออกมา

“อาเอ อาเอของอาอี๊ ต้องเข้มแข็งซิ  ม่ายต้องร้องไห้แหล้วน่า เดี๋ยวอาป๊าอีเป็นห่วงน้า  อาป๊าอีไปซาบายแหล้ว แหล้วอาเอเป็นยางงาย ถึงกับต้องเข้าโรงบาลเลยเหรอ”อาอี๊ถาม

“ไม่..อื้อ..ๆ...ไม่เป็นไรแล้วอี๊...ฮื้อๆ....อี๊ เพื่อนเอจะไปชลด้วย”ผมบอก

“ล่ายๆ กี่คน เดี๋ยวอี๊ให้อาแก้วอีจองตั๋วเพิ่ม”

“หลายคนอี๊ อี๊หารถตู้ให้ดีกว่า แล้วอี๊ไปเครื่องก่อน เอกำลังจะออกจากโรงบาลแล้วกลับขอนแก่นพร้อมเพื่อน”ผมฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้อีก กลัวทำให้คนอื่นเป็นห่วง  โดยเฉพาะดวงวิญญาณของคุณพ่อคงต้องเสียใจแน่ เพราะคุณพ่อจะสอนให้ผมเข็มแข็งและอดทนเสมอต่อไปจะได้เป็นหลักแทนคุณพ่อได้  แล้วผมก็วางสายจากอาอี๊

“เอ ที่จริงพวกเราไปรถทัวร์กันเองก็ได้ เอไปเครื่องกับอาอี๊เถอะ ลำบากเปล่าๆ เอจะได้ไปถึงเร็วๆไง”ป่านบอกผม

“ไม่เป็นไรหรอก ไปถึงช้าหรือเร็วยังไง คุณพ่อก็ไม่ได้คอยเราแล้ว...คุณพ่อเขาไปแล้ว..ฮื้อๆ”พูดถึงตรงนี้ผมก็อดร้องไห้ไม่ได้อีก  เพื่อนก็ร้องตาม จนน้ำกับน้อยกลัจากเอายามา ผมก็ทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียงอีก

“แล้วเราจะไปขอนแก่นกันยังไง”ปูเป้ถามขึ้น

“ถ้าไปรถประจำทางก็มีอยู่นะแต่ต้องคอยอีกชั่วโมง เพราะตอนนี้มันสิบโมงกว่า รถออกทุกต้นชั่วโมง”น้อยคนในถิ่นพื้นที่บอก ผมลืมคิดข้อนี้ไปเลยว่าเราอยู่ที่ชัยภูมิ มาออกค่ายที่ชัยภูมิ ตอนมาก็มีรถบัสของทางมหาวิทยาลัยมาส่ง แล้ววันกลับถึงจะมารับ ผมคิดว่ามีแต่จะกลับท่าเดียว

ติ๊ด.....ติ๊ด............เสียงโทรพี่หมอทีดังขึ้น

“พี่ว่ากำลังจะโทรหาอยู่พอดีเลย.............น้องเอไม่เป็นไรแล้ว...........ก็ว่าจะพากันกลับขอนแก่นเลย........แหววช่วยติดต่อรถที่มาส่งน้องเอมาที่โรงพยาบาลหน่อยซิ  พี่ว่าจะให้ไปส่งพวกน้องๆที่ขอนแก่น  คอยรถประจำทางมันจะนาน ถ้ากลับไปที่ค่ายก็คงไม่สะดวก กว่าจะปิดค่ายแล้วได้กลับก็บ่ายๆ....ขอบใจมากเลย...ได้ๆ .....เดี๋ยวพี่บอกให้”แล้วพี่หมอทีก็ว่างสาย

“ได้รถแล้วนะ เป็นรถกระบะคันที่มาส่งน้องเอมาโรงบาลนี่แหละ  อีกสิบกว่านาทีคงมาถึง  พี่แหววกับทุกคนในค่าย ฝากความเป็นห่วงถึงน้องเอด้วย เดี๋ยวพวกเรากลับขอนแก่นพร้อมน้องเอเลยก็ได้นะ  เสื้อผ้าข้าวของที่ค่ายพี่จัดการให้เอง เพราะพี่คงจะกลับไปที่ค่ายแล้วจะตามไปทีหลัง  พี่ว่าระหว่างคอยรถมาเราไปหาอะไรรองท้องดีไหมครับ ยังไม่ได้ทานอะไรกันเลยนี่ ตั้งแต่เช้าแล้ว”พี่หมอทีบอก

ตั้งแต่เช้าตอนนั้นผมรับโทรศัพท์ประมาณหกโมงเห็นจะได้แล้วนี่จนสิบโมงกว่า ผมหมดสติไปถึงสี่ชั่วโมงเลยเหรอนี่  ทำไมผมไม่เข็มแข็งเลย  ไม่สมกับเป็นลูกชายคนโตของคุณพ่อที่ฝากฝังทุกอย่างไว้กับผม แถมยังต้องมาเข้าโรงพยาบาลทำให้หลายคนต้องเป็นห่วงอีก ถ้าเราไม่หมดสตินานขนาดนี้เราคงคงขอนแก่นหรือไม่ก็ชลบุรีไปแล้ว  

ทำไมเราอ่อนแออย่างนี้  คุณพ่อสอนให้เราเข็มแข็งและอดทนนะ  คุณพ่อ....คุณพ่อ......เอ คิดถึงคุณพ่อ.....คุณพ่อทำไมไม่คอยเอ  ......ก็ที่คุยโทรศัพท์กันไง  เอบอกคุณพ่อว่ากลับจากค่ายที่ชัยภูมิแล้วจะกลับบ้านที่ชลบุรีไปหาคุณพ่อ  คุณพ่อยังบอกเลยว่าถ้ากลับมาจะพาไปเที่ยวด้วยกัน เราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันทั้งครอบครัวตั้งแต่เอเข้ามหาวิทยาลัย แล้วทำไมคุณพ่อไม่คอย  คุณพ่อทิ้งคุณแม่ ทิ้งเอ ทิ้งโอ๊ตไป  คุณพ่อ............ผมคิดแล้วก็ปล่อยโฮออกมาอีกให้กับความอ่อนแอของตัวเองและความคิดถึงคุณพ่อ

ทุกคนที่กำลังจะออกไปหาซื้ออะไรมารองท้อง ก็ไม่มีใครออกไปเลยเดินกลับเข้ามาปลอบใจผมอีกจนรถมาถึง เพื่อนๆพยุงผมขึ้นจากเตียง ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรง เดินแต่ละก้าวอยากล้มลงเสียให้ได้(ทำไมเราไม่เข็มแข็งเลย ทำไมเราอ่อนแอ  ยังมีอีกหลายคนคอยเราอยู่นะ เราจะล้มไม่ได้  ผมคิดบอกตัวเอง) พอมาถึงรถเป็นรถกระบะ(เป็นตอนเดียวไม่มีแค็ป) พวกนั้นให้ผมนั่งข้างหน้า ส่วนพวกที่เหลือทั้งหมดนั่งกระบะหลัง พวกเราแยกกับพี่หมอทีตรงนี้ พี่หมอทีนั่งรถประจำทางกลับไปที่ค่าย

รถวิ่งประมาณครึ่งชั่วโมง(ผมหลับตลอดทาง)ก็มาถึงหน้าบ้านอาอี๊ ผมเห็นไอ้เอ็กซ์กับไอ้โจ้มันรวมเงินกันแล้วส่งให้ลุงชาวบ้านคนที่ขับรถมาส่งเรา  ลุงคนนั้นปฏิเสธบอกว่าแค่มีนักศึกษามาในหมู่บ้านเขาก็ดีใจแล้ว แต่ไอ้โจ้ก็ยัดเงินลงในกระเป๋าเสื้อของลุงแกบอกว่าค่าน้ำมันแล้วรีบเดินหนี ลุงทำท่าเดินตามผมบอกว่าให้ลุงรับไว้ แล้วลุงก็บอกกับผมว่าลุงเสียใจด้วยแล้วก็ปลอบใจผม

ผมลงจากรถโดยมีต้าร์กับบอยมาประคอง ป่านรายงานว่ามีใครโทรมาแล้วว่ายังไงบ้าง บอกบอกกลับไปว่ายังไงบ้าง (ผมให้ป่านถือและคอยรับโทรศัพท์แทนผมเพราะตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลยยังมึนงง สมองยังเบลอๆไม่เข้าที่) ไอ้อ๊อฟไปกดกริ่งหน้าบ้าน ผมเห็นป้าต้อยวิ่งมาอย่างเร็ว

“คุณเอ  ฮื้อ...ๆ....คุณเอของป้า”ป้าต้อยรีบเปิดประตูแล้วมากอดผมอย่างแรงพร้อมปล่อยโฮทั้งๆที่ต้าร์กับบอยยังประคองผมอยู่

“คุณพ่อเขาไปสบายแล้วนะป้า”ผมพูดได้แค่นั้น เพราะกลัวถ้าพูดไปกว่านั้นผมจะร้องไห้อีก

“ทำไม ๆ ทำไมไม่มาเอาป้าไปแทน ทำไมคนดีๆถึงไปเร็วนัก”ป้าต้อยร้องห่มร้องไห้ปนพูดไป

“ป้า..คุณพ่อ..ฮื้....อ.....”ผมไม่พูดอีกแต่เริ่มสะอื้นแทน  อ๊อฟเห็นท่าไม่ดีกลัวผมร้องไห้จนหมดสติไปอีกเลยไปสะกิดบอกป้าต้อยให้หยุดร้องไห้แล้วปล่อยตัวผมออก  ไอ้เอ็กซ์ ไอ้โจ้ ไอ้ปอนด์เข้ามาช่วยพยุงผมอีก

เพื่อนๆพยุงผมเข้ามานั่งในบ้าน ป้าต้อยเดินตามนั่งลงร้องไห้ไม่ทันหยุด ลุงชัยก็เดินเข้ามา

“ลุงแล้วอาอี๊ล่ะ”ผมถามแบบเหนื่อยๆแทบไม่มีแรงพูด เพราะว่าถ้าถามป้าต้อยเอาแต่ร้องไห้คงไม่ได้เรื่องแน่

ลุงชัยตาแดงกล่ำไม่บอกก็รู้ว่าร้องไห้มา แต่ลุงพยายามทำเสียงให้เป็นปกติเวลาตอบผม “อาเนี๊ยะขึ้นเครื่องไปกับแก้วแล้วครับ ตอนแรกจองไว้ให้คุณเอ แต่คุณเอจะไปรถตู้ผมเลยให้แก้วตามไปดูแลอาเนี๊ยะ รถตู้มาคอยแล้วนะครับ ลุงหาแบบรถตู้พิเศษนั่งได้ 15 ที่นั่งพอไหมครับ ถ้าไม่พอลุงจะไปติดต่อมาเพิ่ม แต่ลุงดูคุณเอแล้ว จะไหวเหรอครับ  ลุงว่าพักที่บ้านก่อนสักคืนค่อยไปพรุ่งนี้ก็ได้นิ่ครับ เดี๋ยวลุงนัดรถให้ใหม่ก็ได้ ถ้าคุณเอเป็นอะไรไปอีกคนจะแย่นะครับ”ลุงชัยบอกด้วยความหวังดีเพราะสภาพผมตอนนั้นคงแย่เอามากๆ

“ไปได้ เดี๋ยวเก็บเสื้อผ้าก่อนนะ”ผมทำท่าจะลุกไปบ้านผมเพื่อเก็บเสื้อผ้า

“เอ เดี๋ยวเราไปเก็บให้ เอนั่งอยู่นี่แหละ”หนึ่งบอกแล้วลุงชัยก็พาไป

โทรศัพท์ผมดังขึ้นเป็นระยะๆ ป่านก็รับสายแล้วมารายงานว่าใครโทรมาว่าอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกพี่เพื่อนๆที่ไปออกค่ายด้วยกันแล้วรู้เหตุการณ์ของผมก็โทรมาแสดงความเสียใจ ญาติพี่น้องของผมที่เป็นห่วงผม อยากรู้อาการของผมเพราะรู้ว่าผมถึงกับเข้าโรงพยาบาลเลยพอทราบข่าวการจากไปของพ่อ อยากรู้ว่าตอนนี้ผมเดินทางถึงไหนแล้ว ฯลฯ

“เอ คุณแม่ของเอโทรมา”ป่านบอกพร้อมยื่นโทรศัพท์มาให้ผม

“ครับ คุณแม่”ผมรับ

“ตอนนี้ถึงไหนแล้ว  หยี่อี๊มาถึงแล้วนะ  กำลังจะออกไปวัดกัน  บ่ายสามจะรดน้ำให้คุณพ่อ เอจะมาทันไหม”คุณแม่พูด

ผมมองนาฬิกาจะเที่ยงแล้ว จากขอนแก่นไปชลบุรีถ้ารถตู้ก็ประมาณ 5 ชั่วโมงกว่า “กำลังจะออกจากขอนแก่น เอคงไปไม่ทัน ฝากให้โอ๊ตรดแทนเอด้วย  บอกให้โอ๊ตกราบที่เท้าคุณ....ฮื้อๆ....ฮือ......พ่อให้เอด้วย.....ฮื้....อๆๆ.......”ผมพูดแล้วก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่อีก ส่งโทรศัทพ์คืนให้ป่าน ป่านคุยกับคุณแม่ต่ออีกนิดหน่อยแล้ววางสาย พร้อมบอกว่าอาเตี๋ยวกำลังออกจากกรุงเทพเดี๋ยวคงจะมาถึงแล้ว

“คุณเอทานข้าวต้มก่อนนะคะ อาเนี๊ยะสั่งให้ป้าทำไว้ กำชับด้วยว่าให้ทานก่อนออกเดินทาง แล้วของเพื่อนๆคุณเออยู่ที่โต๊ะทานข้าวนะคะ”ป้าต้อยยกข้าวต้มมาให้ผมแล้วบอกเพื่อนๆผมด้วยเสียงที่ยังสะอื้นอยู่ผมพยักหน้ารับ แล้วก็ได้แต่มองชามข้าวต้ม  แม้แต่น้ำตอนนี้ยังกลืนไม่ลงเลย เพื่อนๆเห็นอย่างนั้นเลยพากับไปยกข้าวต้มออกมานั่งที่ห้องรับแขกกะว่าจะกินเป็นเพื่อนผม  

“กินกันเลยนะ เรายังไม่หิว เราว่าจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ไปถึงโน่นจะได้เข้าไปที่วัดเลย จะได้ไม่ต้องแวะบ้าน”ผมบอก ทุกคนมองหน้าผมแล้วก็ไม่มีใครกิน ตอนนี้ผมยังอยู่ในชุดนอนสีฟ้าอ่อนตั้งแต่เมื่อคืนอยู่เลย

“เออ....เราก็น่าจะอาบแล้วเปลี่ยนชุดเลยนะ ไปชุดนี้  สีพวกนี้คงไม่เหมาะ”อ๊อฟพูดขึ้น เพราะทุกคนเรียกได้ว่ายังอยู่ในชุดนอนและมีสีสันเป็นส่วนใหญ่ หนึ่งเก็บเสื้อผ้าผมมาถึงพอดี

“เดี๋ยวป้าเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะคะ  มีกันกี่คนคะ”ป้าถาม

“12 คนครับ”อ๊อฟนับแล้วบอก

“เสื้อผ้าของเราเลือกใส่เลยนะ ป้าต้อยครับช่วยหาเสื้อของแก้วให้เพื่อนผู้หญิงใส่ได้ไหมครับ”ผมถาม

“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าหามาให้ แก้วมีเสื้อสีขาว สีดำเยอะค่ะ”ป้าต้อยบอกพร้อมเดินออกไป

“เดี๋ยวกูกับไอ้ต้าร์ ไอ้โจ้และมึงด้วยไอ้อ๊อฟไปอาบน้ำบ้านกู  จะได้ไปแบ่งใส่เสื้อผ้าของกู”ไอ้เอ็กซ์บอก เพราะบ้านมันถัดออกไปอีกไม่กี่หลัง ผมเข้าใจเหตุผลที่มันเลือกสามคนนี้เพราะเป็นเพื่อนเก่าสนิทใจกันแล้ว

กว่าพวกเราจะออกเดินทางกันได้ก็เที่ยงกว่าๆ ทุกคนอยู่ในชุดขาวดำ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าของบางคนจะใหญ่ไปบ้าง เล็กไปบ้างเพราะไม่ใช่เสื้อผ้าของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไร ลุงชัยกับป้าแก้วออกมาส่งที่รถตู้แล้วบอกว่าจะนั่งรถทัวร์ตามไปวันพรุ่งนี้ อาเนี๊ยะจองตั๋วไว้ให้แล้ว  

ระหว่างทางที่ไปส่วนใหญ่ผมก็หลับ คงเป็นเพราะผมเหนื่อยและเพลียมาก (ทั้งร่างกายและจิตใจ ร่างกายที่เข้าค่ายนอนดึกตื่นแต่เช้าทำงานหนักมาห้าวัน จิตใจที่ยังยอมรับการสูญเสียในครั้งนี้ยังไม่ได้)  ผมตื่นขึ้นมาเป็นระยะๆเห็นเพื่อนๆคนอื่นก็คุยกันบ้าง  หลับกันบ้าง  พอเพื่อนๆเห็นผมตื่นก็พยายามที่จะยิ้มให้ พูดปลอบใจให้กำลังใจ ไม่พยายามพูดถึงเรื่องพ่อผม  ชวนผมคุยดูวิวข้างทาง ชวนผมคุย ผมก็ได้แต่พยักหน้า ชวนผมแวะปั๊มซื้อของกิน ผมก็ส่ายหน้า ในใจตอนนี้ขอให้ได้ไปถึงชลบุรีเป็นพอ ผมมานั่งคิดๆดู ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณพ่อเป็นอะไรถึงเสีย  แล้วเหตุการณ์หลังรับโทรศัพท์จากโอ๊ต ทำไมผมถึงมาฟื้นที่โรงพยาบาลได้ ผมตัดสินใจถามป่าน เพราะป่านคุยโทรศัพท์กับคุณแม่และเจ้าโอ๊ตเยอะที่สุดน่าจะรู้เรื่อง

“ป่าน คุณแม่ได้บอกหรือเปล่าว่าทำไมคุณพ่อถึงเสีย”ผมถามขึ้นอย่างอ่อนแรง  ทุกคนในรถเงียบทันที  ป่านหันมามองหน้าผมมองหน้าเพื่อนๆประมาณว่าจะบอกดีไหม

“ป่าน บอกมาเถอะ เราทำใจได้แล้ว”ผมบอกขึ้นเบาๆ

“คือเห็นโอ๊ตน้องเอ บอกว่า คุณพ่อ..จมน้ำ”ป่านบอกแล้วเงียบ  (คุณพ่อจะจมน้ำได้ยังไง  คุณพ่อออกจะว่ายน้ำเก่ง  คุณพ่อยังเคยเอาเหรียญทองตอนสมัยหนุ่มๆที่แข่งว่ายน้ำมาให้ดู --- ผมคิด)

“แล้วเราไปอยู่โรงบาลได้ไง”ผมถามต่อ

“ก็ตอนนั้นเอ กับพวกเรากำลังจัดสถานที่อยู่  แล้วก็ได้ยินแอ พูดเสียงดังว่า อะไรนะ  หันกลับไปดูอีกที เอก็ล้มลงแล้วก็ร้องไห้อยู่บนโซฟา มือก็ปล่อยโทรศัพท์ทิ้ง  พี่แหววที่อยู่ใกล้ที่สุดก็รีบวิ่งเข้าไปดู จับตัวเอ แต่เอเหมือนไม่รู้สึกตัว มีแต่ร้องไห้แล้วก็เพ้อเรียกคุณพ่อตลอดเลย  ตอนแรกพวกเราก็คิดว่า เอคงเหนื่อยเป็นลมเฉยๆ แต่สักพักตัวเอเริ่มซีด เรียกยังไงก็ไม่ได้สติ  แล้วก็น้ำตาไหลเพ้อไม่หยุด ขนาดพี่หมอทีมาปฐมพยาบาลให้ยังไม่ฟื้นเลย  พี่นิคเห้นท่าไม่ดีเลยไปบอกชาวบ้านให้เอารถออกไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ แล้วพวกเราก็ขอพี่นิคตามไปด้วย เราก็หยิบเอาโทณศัพท์เอไปด้วย โอ๊ตก็โทรมาเล่าเรื่องให้ฟัง เราเลยบอกว่าเอรู้เรื่องแล้วหมดสติกำลังไปส่งโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลหมอก็พาเอเข้าห้องฉุกเฉินตั้งนานกว่าจะออกมา แล้วคุณแม่ของเอก็โทรมาเช็คเป็นระยะๆเพราะว่าห่วงเอมาก  บอกให้พวกเราช่วยดูเอด้วย”ป่านเล่าแล้วน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา

“เอ ตอนนั้นแกไม่รู้สึกตัวเลยเหรอ”ไอ้อ๊อฟถาม เพื่อนทุกคนหันไปมองหน้าแบบประมาณว่าถามทำไม

“ไม่อ่ะ มันมึนไปหมดเลย แต่ตอนนี้เราทำไมถึงเจ็บที่ก้นข้างซ้ายจังแล้วก็ง่วงอย่างเดียวเลย”ผมตอบ

“เห็นพี่หมอบอกว่าหมอที่โรงบาลฉีดยาให้เอ ได้นอนหลับมากๆเพราะว่าร่างกายอ่อนเพลียมาก”ปูเป้อธิบาย

“ตายแล้วเพื่อนชั้น  ถูกเขาจับฉีดยายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”อ๊อฟพูดขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนคลายเศร้าลงไปบ้าง แต่เพื่อนทุกคนมองไปประมาณว่า ไม่ใช่เวลานี้  ไอ้โจ้เลยเอามือปิดปากมันไว้   ผมเห็นอย่างนั้นเลยยิ้มออกมานิดๆ  เพื่อนๆเห็นผมยิ้มก็ดีใจพากันยิ้มออกมาบ้าง  แล้วผมก็ให้คนขับรถแวะปั๊ม

พวกเพื่อนๆลงจากรถไปเข้าห้องน้ำหาซื้อของกินกัน ผมนั่งคิดอยู่คนเดียวบนรถ เรายังมีอีกหลายคนคอยเป็นห่วง  เราจะมาเป็นแบบนี้ไม่ได้  เราต้องอดทนและเข้มแข็งเข้าไว้  เพื่อนๆคนลำบากใจซินะที่เห้นเราเป็นแบบนี้ คงวางตัวกันไม่ถูก  เราต้องเป็นเอคนเดิมนะ  ถึงมันยังจะไม่ได้ในตอนนี้แต่เราก็ต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้เพื่อนเห็นอีก  แล้วพวกเพื่อนๆพากันขึ้นรถมาครบ เราก็ออกเดินทางต่อ เพื่อนๆพยายามเอาใจผมสารพัด เอาโจ๊กคัพที่ซื้อมาให้กินผมก็รับไว้ เอาไอติมลูกอมรสโปรดมาให้ ผมก็รับไว้ เอาช็อคโกแลตของชอบมาให้ผมก็รับไว้ เอาน้ำผลไม้สดเย็นมาให้ผมก็รับไว้ ผมพยายามจะฝืนกินเพื่อทำตัวให้เป้นเอคนเดิมเพื่อเพื่อนๆจะไม่ได้เป็นห่วงกันมาก  แตผมก็กินอะไรไม่ลงเลย จนโจ๊กคัพอืดเย็นเต็มถ้วย  ไอติมละลายเป็นน้ำ น้ำผลไม้ที่เย็นๆจนหายเย็น ในใจผมคิดแต่ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงแล้ว  เราจะได้เจอกับคุณพ่อแล้ว  ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณก็ตาม

...
 


A_wAy_G_mAn

  • บุคคลทั่วไป
                                              บทที่สิบเจ็ด --- สูญเสีย(ต่อ)

รถวิ่งเข้ามาจอดที่ศาลาใหญ่ภายในวัด ผมมองออกไป ใจผมมันหวิวๆยังไงชอบกล เป็นความรู้สึกที่ได้กลับบ้านแล้วไม่สุขใจดีใจเหมือนทุกครั้ง ผมได้แต่บอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้ อย่าทำให้ใครเป็นห่วง เราต้องเข้มแข็ง เราต้องอดทน แล้วคนขับรถตู้ก็มาเปิดประตูรถให้หนึ่งที่นั่งติดประตูลงไปก่อน ถัดมาก็เป็นผม แล้วเพื่อนๆค่อยๆทยอยลงจากรถจนครบ  หนึ่งเข้ามาจับมือผมไว้แล้วมองหน้าเชิงให้กำลังใจกับสิ่งที่จะต้องเจอบนศาลา ผมเดินจากที่ลานจอดรถมองไปที่ศาลาใหญ่เห็นผู้คนมากมายดูคึกคักเหมือนมีงานมหกรรมอะไรซักอย่าง ผิดตรงผู้คนพวกนั้นล้วนแต่งชุดสีขาวหรือไม่ก็สีดำ สีหน้าทุกคนบ่งบอกถึงความเศร้าสลด ไม่เหมือนงานมหกรรมทั่วไปที่มีรอยยิ้มสนุกสนาน

“เอ......”คุณแม่วิ่งมาพร้อมกับเจ้าโอ๊ตตามหลังกลางทางระหว่างที่ผมกำลังจะเดินขึ้นไปศาลาใหญ่

“คุณแม่.....”ผมรีบโผเข้าไปกอดคุณแม่ทันที เพื่อนที่เดินตามหลังมายืนมองเห็นภาพนั้นแล้วก็น้ำตาร่วงไปตามๆกัน

“เอ  เราอยู่กันได้นะ  เราอยู่กันสามคนได้”นั้นคือคำพูดที่คุณแม่บอกแล้วเอาเจ้าโอ๊ตเข้ามากอดด้วย

“ครับ  คุณแม่อยู่ได้ เอก็อยู่ได้”ผมบอกพยายามฝืนน้ำตาแต่สุดท้ายก็ปล่อยโฮออกมาพร้อมกับคุณแม่

“คุณแม่ยังมีพี่เอ กับโอ๊ตนะครับ”เจ้าโอ๊ตน้องชายผมที่เพิ่งเรียนม.สี่บอกแล้วก็ร้องไห้ออกมา  เราสามแม่ลูกกอดกันร้องไห้กัน  พยายามพูดให้กำลังใจกันเพราะตอนนี้ครอบครัวเราเหลือกันแค่สามคนแล้ว  จะไม่มีคุณพ่ออีกต่อไปแล้ว  คุณพ่อที่เคยเป็นผู้นำครอบครัว  คุณพ่อที่คอยดูแลพวกเราในทุกๆเรื่อง  จากนี้ไปจะไม่มีแล้ว  ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่มีใครคาดคิด  เราสามแม่ลูกจะอยู่ต่อไปกันยังไง คิดแล้วก็ได้แต่ร้องไห้กอดกันอยู่อย่างนั้น ทุกคนในงานเห้นภาพนั้นก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ เพราะเหล่าญาติหรือคนที่รู้จักครอบครัวผม จะรู้ดีว่าครอบครัวเราจะรักกันมาก จะเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันสี่คนตลอดตั้งแต่ผมยังไม่อยู่ที่ขอนแก่น  ถึงผมไปแล้วก็ยังพูดถึงและเหมือนมีผมไปด้วยเสมอ

“เดี๋ยวให้อาเอไปเปลี่ยนชุดขาวแล้วขึ้นไปไหว้อาป๊าบนศาลาก่อน”อาโซ้ยกู๋(ลุงคนเล็ก)เป็นคนบอกขึ้น  ผมเงยหน้าออกจากอ้อมกอดของคุณแม่กับโอ๊ต เห็นเหล่าญาติพี่น้องมายืนล้อมตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วผมก็รับเอาชุดขาวไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำก่อนขึ้นศาลาใหญ่ ให้เพื่อนๆขึ้นกันไปก่อนพร้อมกับเหล่าญาติที่มาพาคุณแม่ผมกลับขึ้นไปโดยมีเจ้าโอ๊ตเป้นคนประคองอยู่ข้างๆตลอด หนึ่งขอตามไปเป็นเพื่อนผมที่ห้อง

“เอ เราเข้าใจนะว่าเอรู้สึกยังไง  แต่เอตอนนี้เอต้องเป็นห่วงคุณแม่ให้มากนะ  เราว่าคุณแม่เอเข้มแข็งมากเลย  เอต้องเข้มแข็งให้ได้เหมือนคุณแม่นะ  อย่าทำให้คุณแม่เป็นห่วง”หนึ่งบอกผมหลังจากที่ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดขาวเสร็จแล้ว

“ใช่ซินะ ตอนนี้เราเหลือแค่คุณแม่กับโอ๊ต  ขอบใจมากนะหนึ่ง”ผมบอกหนึ่งแล้วส่งชุดที่ใส่มาให้หนึ่งเก็บให้ (ตามประเพณีคนจีนถ้าเป็นลูกหลานหรือคนสนิทของผู้ตายจะต้องแต่งชุดขาวล้วนไปไหว้ศพ ชุดขาวนี้เป็นชุดเหมือนที่ใส่ทำกงเต็กแต่ไม่ได้มีชุดกระสอบคลุม)

ผมเดินขึ้นไปบนศาลาใหญ่ ญาติพี่น้องหลายคนเห็นผมก็จะเดินเข้ามาหา (เพราะผมเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวและเป็นหลานชายคนโตของตระกูล ญาติๆจะให้ความสำคัญและเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ) แต่ได้อาตั่วกู๋(ลุงคนโต)เคลียร์ทางให้บอกว่าให้ผมได้ไปคาราวะศพอาป๊าก่อน

ผมกวาดตามองบนศาลาใหญ่ ผมเห็นเหล่าญาติๆที่สนิทกันนั่งอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด คุณแม่นั่งอยู่กับเจ้าโอ๊ตและพี่น้องของคุณแม่ ห่างออกไปเป็นกลุ่มเพื่อนผม  ที่ชุดโซฟารับแขกมีแขกผู้ใหญ่คนหลักคนโตนั่งอยู่  ส่วนพวกพนักงานบริษัทของคุณพ่อและแขกที่มาร่วมส่วนใหญ่อยู่ด้านล่างศาลา 

แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดอยู่ที่โลงศพสีขาวที่มีผ้าลูกไม้ลายบางๆสีทองประดับ ก่อนที่จะคลุมด้วยผ้าแพรสีน้ำเงินเข้มที่ปักด้วยไหมจีนเป็นรูปมังกรเขียวกับเสือขาว ข้างๆกันมีของทำกงเต็กอยู่มากมาย อีกข้างเป็นรูปคุณพ่อ และเรียงรายเต็มไปด้วยพวงหรีดไล่ลงมา  ที่หน้าโลงศพมีการจัดดอกไม้เป็นเหมือนสวนมีการทำน้ำตกไหลลงมา ดอกไม้ที่ใช้มีแต่สีขาวล้วนไม่มีสีอื่นเลย  ถัดออกมามีโต๊ะตั้งไหว้คาราวะศพ สองข้างของโต๊ะมีผ้าแพรขาวดำประดับมีการเขียนอักษรจีนไม่ให้ชงกับปีเกิด (ชงแปลว่าไม่ถูกกัน คนจีนเชื่อว่าแต่ละปีเกิดจะมีปีเกิดที่ไม่ถูกกัน  ถ้ามางานศพกันจะทำให้ดวงไม่ดี  ดังนั้นเจ้าภาพจะต้องเขียนป้ายนี้ไว้เป้นการแก้เคล็ด)  เหนือขึ้นไปก็แขวนเต็งรั้ง(โคมกระดาษลูกใหญ่)สีขาวสองข้าง มีตัวอักษรจีนสีน้ำเงินเขียนที่เต็งรั้งสองลูกนั้น ลูกหนึ่งเขียน แซ่ชื่อสกุลของคุณพ่อไว้ อีกลูกหนึ่งเขียนอายุและปีเกิดของคุณพ่อ  ผมเดินตรงเข้าไปนั่งลงตรงเบาะกลมๆสีน้ำเงินเข้มแล้วก็มีอาเจ็กที่เป็นคนคอยจัดการด้านพิธีการจุดธูปหนึ่งดอกส่งให้ผม

ผมรับธูปมาไหว้แล้วมองที่โลงศพสลับกันไปกับรูปของคุณพ่อ ผมนึกในใจ  เอมาแล้วนะครับ 
คุณพ่อเอมาแล้ว  คุณพ่อไม่ต้องห่วงอะไรนะครับ  คุณพ่อไปให้สบายนะครับ  คุณแม่ เอ โอ๊ตเราสามคนอยู่กันได้ครับ  ขอให้คุณพระและบุญที่คุณพ่อเคยทำช่วยนำพาให้ดวงวิญญาณ คุณพ่อไปสู่สุคตินะครับ  แล้วผมก็ส่งธูปให้อาเจ๊ก อาเจ๊กก็บอกว่าให้ผมคาราวะศพ 3 ครั้ง  ผมเลือกที่จะกราบมากกว่าคาราวะ  ผมเลยก้มลงไปกราบแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา  ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา  ผมก้มกราบจนหนึ่งต้องเดินเข้ามาสะกิดผมเบาๆแล้วพาไปนั่งข้างๆคุณแม่ แล้วพระก็ขึ้นมาสวดอภิธรรม หลังจากนั้นก็มีการเลี้ยงแขกคืนแรกด้วยข้าวต้มกระเพาะหมูตุ๋นยาจีนของโปรดคุณพ่อที่สั่งมาจากโรงแรมหลายหม้อใหญ่  พวกเพื่อนๆผมก็ลงไปช่วยกันเสิร์ฟให้กับแขกที่มาร่วมงาน หยี่อี๊บอกว่าไม่ต้องก็ได้พวกแม่บ้านที่บริษัทก็มาตั้งเยอะ  แต่ผมเข้าใจผมนั้นว่าอยากช่วยเลยบอกหยี่อี๊ว่าไม่ต้องห้าม

หลังจากแขกส่วนใหญ่ทยอยกลับกันหมด ก็เหลือเพียงญาติสนิทก็เกือบๆห้าสิบคนได้ แล้วก็พวกเพื่อนๆของผม พวกญาติๆกับผมเลยประชุมกันเรื่องการจัดงานศพกันว่าจะเอาแบบไหน ยังไง
ตั้งศพกี่วัน  หลังจากคุยกันอยู่นานก็ได้ข้อสรุปว่าพิธีศพจะทำแบบทั้งของไทยและของจีนผสมกัน ตั้งศพไว้7วัน ให้พระมาสวดทุกคืนเวลาทุ่มครึ่ง ถวายอาหารพระเณรทุกรูปในวัดตอนเช้า-ตอนเพลทุกวัน  คืนสุดท้ายทำพิธีกงเต็ก  แล้วก่อนออกศพก็ให้มีพิธีคาราวะศพ  แล้วค่อยเผา  ตอนแรกก็มีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องจะฝังหรือจะเผา เพราะคุณพ่อไม่เคยสั่งเรื่องนี้ไว้เลย ผมเลยบอกว่าให้เผาเพราะก่อนกลับคุณพ่อบอกว่าจะพาไปเกาะล้าน  เผาเสร็จจะเอาอังคารไปลอยที่นั่น  ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโตถึงแม้ผมจะเป็นเด็กอายุ 17ย่าง18 (เรียนก่อนเกณฑ์) ทำให้ทุกคนยอมทำตามผมทุกอย่าง

พอประชุมเสร็จก็สี่ทุ่มกว่าๆ ญาติบางส่วนก็กลับ ส่วนญาติที่มาจากต่างจังหวัดก็ให้พักที่บ้านสวน
 (ที่ชลบุรีผมมีบ้านสองหลัง บ้านหลังที่อยู่ประจำอยู่ในบริษัทเลยเป็นบ้านสองชั้น สี่ห้องนอนผมเรียกว่าบ้านใน  และอีกหลังหนึ่งเป็นบ้านเรือนไทยทรงประยุกต์หลังใหญ่อยู่กลางสวนห่างจากหลังแรกออกไปชานเมืองประมาณสิบกิโล ผมเรียกที่นี่ว่าบ้านสวน เพราะที่บ้านหลังนี้ตั้งอยู่กลางสวนมะม่วง ขนุน ฝรั่ง ผลไม้พื้นถิ่นทั่วไป  บ้านหลังนี้ส่วนใหญ่จะพากันมาพักผ่อนในวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุด หรือเวลามีการชุมนุมญาติๆ เพราะว่ามีหลายห้องรองรับคนได้ประมาณสามสิบกว่าคน) คุณแม่บอกว่าให้ผมกับเพื่อนๆไปพักที่บ้านใน ให้เอกับโอ๊ตมานอนห้องคุณแม่ ห้องโอ๊ตห้องเอและห้องรับแขกให้เพื่อนๆนอน

“คุณแม่เอขอนอนที่นี่”ผมบอก

“กลับไปนอนที่บ้านก็ได้ ที่นี้มีพวกอากู๋กับอาเจ๊กเขาคอยดูให้แล้ว”คุณแม่บอก (ที่ต้องมีคนนอนเฝ้าเพราะว่าจะต้องคอยต่อธูป เทียนและเติมน้ำมันในตะเกียงหน้าศพห้ามหมดห้ามดับจนกว่าจะเผาศพ เชื่อว่าเสียงแสงสว่างพวกนี้จะพาดวงวิญญาณของผู้ตายให้ไปดี ถ้าดับผู้ตายจะหลงทาง)

“เออยากอยู่กับคุณพ่อให้นานที่สุด นะคุณแม่”ผมบอกเชิงขอร้อง คุณแม่พยักหน้า ไปๆมาๆทั้งคุณแม่ทั้งเจ้าโอ๊ตกับกลุ่มเพื่อนผมไม่มีใครไปนอนที่บ้านเลย พากันนอนที่ศาลาหมด

ผมนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเพื่อนๆผมไม่ได้มีเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวมากันเลย  ผมเลยไปบอกคุณแม่  คุณแม่บอกว่าพรุ่งนี้ให้พาเพื่อนๆไปหาซื้อพร้อมหยิบบัตรเครคิตให้ผมใบหนึ่ง  ผมปฏิเสธที่จะไป บอกให้โอ๊ตพาพวกเพื่อนผมไปแทน  แล้วพวกก็เดินไปบอกเพื่อนๆว่าพรุ่งนี้หลังถวายอาหารเช้าพระเสร็จแล้วจะให้โอ๊ตพาไปซื้อเสื้อผ้ากับของใช้ พวกนั้นออกอาการเกรงใจทันทีแต่ทำไงได้ต้องอยู่อีกตั้งหลายวัน

“เนี๊ยะที่ยอมไปเพราะน้องโอ๊ตสุดหล่อจะพาไปหรอกนะ  ไม่งั้นไม่ไปหรอก”อ๊อฟพูดติดตลก ผมยิ้มให้นิดๆ เพื่อนบางคนก็ยิ้มๆบางคนก็หันไปค้อน

“เอ ค่าใช้จ่ายเราออกเองได้นะ”ทรายบอกเมื่อผมบอกว่าคุณแม่เป็นคนออกให้

“ไม่ต้องเกรงใจ  เราซิที่ต้องเกรงใจพวกนายที่ทำไม่ให้ได้กลับบ้านตอนปิดเทอม  ต้องมางานศพพ่อเรา”ผมบอก

“กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ได้อีกตั้งสามอาทิตย์กว่าจะเปิดเทอม”น้ำบอก

“เอ เราใส่เสื้อผ้าของเอก็ได้ จะได้ไม่ต้องซื้อให้เปลือง”หนึ่งเสนอ พวกผู้ชายทั้งหมดมีโจ้ เอ็กซ์ ต้าร์ อ๊อฟ บอย ปอนด์เห็นด้วย

“ไม่เป็นไรหรอก  เสื้อผ้าขาวดำเรามีไม่เยอะ”ผมบอกแล้วห้ามพวกนั้นปฏิเสธอะไรอีก 

“เออ....เอ ตอนที่พระสวดอยู่พี่นิคโทรมาบอกว่าพวกองค์การจะมาในวันเผานะ  เอารถตู้ขององค์การมา  แล้วบอกให้พวกเราดูแลเอให้ดีๆด้วย”ป่านบอกผม  ผมพยักหน้าน้อยๆเป็นการรับรู้

“เอ ว่าตาเอไม่กินอะไรหน่อยเหรอ  เราเห็นเอยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ออกจากโรงบาลแล้ว”ปูเป้บอก

“เราไม่หิว  เรากินไม่ลง”ผมบอก

“ไม่หิวก็ต้องกินนะ เดี๋ยวร่างกายไม่มีแรง”น้อยบอก  ผมพยักหน้าแล้วบอกให้พวกนั้นเข้านอน
พวกนั้นก็นอนเรียงกันยาวบนศาลาวัด ผมหันไปทางคุณแม่เห็นนั่งคุยอยู่กับพวกอาอี๊ทั้งหลาย  ในใจก็คิดถึงว่าคุณแม่กับเจ้าโอ๊ตจะได้กินอะไรบ้างหรือเปล่านะ  ว่าแล้วก็จะเดินลงไปหาพวกแม่บ้านที่ทำงานในบริษัทให้ไปหาซุปไก่สกัดมาอุ่นร้อนๆให้คุณแม่กับเจ้าโอ๊ต

ผมเดินลงมาเจอแม่บ้านคนหนึ่ง ไม่ทันเอ่ยปากบอก เขากลับถามขึ้นก่อนว่ามีอะไรให้ช่วยไหม  ผมเลยบอกเขาไป เขารีบไปทำทันที แล้วผมก็มองไปที่ลานจอดรถ เห็นเจ้าโอ๊ตกำลังเก็บชุดขาวที่ใส่ไว้หลังรถ ผมเดินไปหาทันที

“อ้าวพี่เอ ยังไม่นอนเหรอ”โอ๊ตถามผม

“ยัง แล้วโอ๊ตยังไม่นอนเหรอ”ผมถามคืน

“ว่ากำลังจะไปนอน เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จ  พี่เอไม่เปลี่ยนเหรอ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ใส่อีก”โอ๊ตตอบ (ชุดขาวต้องใส่ทุกคืน แขกกลับแล้วก็ใส่ขาวดำได้)

“อืม เดี๋ยวเปลี่ยน พรุ่งนี้พาเพื่อนพี่ไปซื้อเสื้อผ้า ซื้อชุดขาวแบบนี้มาเพื่ออีกสองชุดด้วยนะ  ของตัวเองด้วยล่ะ”ผมบอก

“ครับ”โอ๊ตรับคำ

“โอ๊ต คุณพ่อเป็นอะไรถึงจมน้ำ”ผมถามพร้อมเดินนำไปนั่ง

“หมอที่ชันสูตรศพเขาบอกว่าเป็นตะคริวที่ขา”โอ๊ตเล่าไม่เต็มเสียง

“แล้วไม่มีคนช่วยเหรอ เป็นตะคริวมันก็ต้องมีคนช่วยซิ”ผมถาม

“เลขาคุณพ่อบอกว่า หลังเสร็จประชุม เห็นคุณพ่อนั่งดื่มอยู่ที่ริมสระคนเดียวตอนสี่ทุ่ม พอสี่ทุ่มครึ่งเดินมาก็ไม่เจอแล้ว  แต่เห็นเห็นชุดคลุมก็นึกว่าคุณพ่อลงไปว่ายน้ำ เพราะเห็นบอกว่าเสาร์อาทิตย์จะไปเกาะล้าน  จะไปว่ายน้ำแข่งกับลูกๆเดี๋ยวไม่ฟิตต้องซ้อมไว้ก่อน”โอ๊ตเล่ามาถึงตรงนี้แล้วก็หยุด น้ำตาเริ่มไหล  ผมตบบ่าน้องเบาๆ

“แล้วเขาก็ไปดูที่ริมสระมองไปเห็นคุณพ่อจมอยู่ในน้ำ เขาเลยเรียกคนของโรงแรมมาช่วยเพราะเขาเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น แต่พอเอาคุณพ่อขึ้นมาได้ก็..ฮื้อ..ฮื้........อ....ไม่ทันแล้ว”โอ๊ตเล่าจบพร้อมปล่อยโฮ

“คุณพ่อไปสบายแล้วโอ๊ต .....”ผมก็พูดได้แค่นั้น เพราะกลัวน้ำตามันจะไหลออกมาอีก

“ถ้าคุณพ่อไม่ดื่ม  คงมีสติกว่านี้ คุณพ่อออกจะว่ายน้ำเก่งเป็นตะคริวแค่นี้คงไม่เป็นไรหรอก”โอ๊ตพูด

“ใช่ พี่เอก็คิดว่าอย่างนั้น แต่มันเป็นอดีตแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วนี่ ตอนนี้เรายังมีคุณแม่นะ เราต้องช่วยกันดูแลคุณแม่  ห้ามร้องไห้ให้คุณแม่เห็นนะ”ผมบอก

“ครับ พี่เอก็เหมือนกัน ชอบร้องไห้ให้คุณแม่เห็น ขี้แยกว่าโอ๊ตอีก”โอ๊ตบอกผมคืน แล้วเราสองพี่น้องก็พากันเดินขึ้นไปบนศาลาใหญ่


A_wAy_G_mAn

  • บุคคลทั่วไป
                                     บทที่สิบเจ็ด --- สูญเสีย(ต่อ)

เช้าวันต่อมาหลังจากถวายอาหารเช้าพระเสร็จ เจ้าโอ๊ตก็พาเพื่อนผมไปหาซื้อเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวโดยไปรถตู้ที่นั่งมาจากขอนแก่น  ตอนแรกผมคิดว่าถ้าไม่มีเพื่อนๆอยู่ด้วยผมจะเหงา แต่ไม่เลยพอเพื่อนออกไปได้ซักพักก็มีอาแปะที่มาจากสมาคมไตรคุณธรรม บอกว่ามีคนไปติดต่อให้มาช่วยดูในเรื่องพิธีแบบจีนกับพิธีกงเต็ก  แล้วอาแปะก็เดินไปคาราวะศพก่อนที่จะเดินดูนั่นดูนี่แล้วบอกว่ายังขาดอะไรอีก  จัดตรงไหนไม่ถูกแล้วต้องทำอะไร ผมจดไว้แล้วให้คนไปงานไปซื้อมาเพิ่มตามที่อาแปะแกบอก  แล้วแกก็บอกว่าผมในฐานะลูกชายคนโตต้องทำอะไรบ้าง

ตั้งแต่เอาข้าวให้คุณพ่อ(จัดใส่ถาดแล้วตั้งที่โต๊ะไหว้หน้าศพ)มื้อเช้าต้องเอาให้ก่อนเจ็ดโมง  มื้อเย็นต้องให้ก่อนห้าโมงเย็น ห้ามเกินนี้ เวลาเอาให้ ให้ตักข้าวให้พูนๆชามเป็นภูเขาสูงๆจะได้มีเหลือกินเหลือใช้ แล้วให้เอาเต้ากัว (เต้าหู้แผ่นสีขาว) วางทับบนชามข้าวแล้วให้เอาตะเกียบหนึ่งอันปักไว้ตรงกลาง ห้ามใช้ตะเกียบคู่ห้ามใส่ช้อน  กับข้าวให้ใส่เป็นถ้วยห้ามเป็นจาน ให้ใส่เป็นเลขคี่  ห้ามผลไม้ที่มีสีแดงและรถหวานทุกชนิด (บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าต้องทำไปทำไมเพราะอะไร เขาบอกให้ทำก็ทำตามเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย)

ต่อมาก็ต้องเอาคนรับใช้ (ตุ๊กตากระดาษชายหญิงคู่หนึ่งที่ใช้ในพิธีกงเต็ก) มาทำการตั้งชื่อและเจาะตาเจาะบอกแล้วบอกให้ไปรับใช้คุณพ่อ การตั้งชื่อการห้ามตั้งชื่อซ้ำกับญาติพี่น้องของเรา ผมเลยให้ชื่อว่า นายร่ำ กับนางรวย แล้วก็เอาธูปมาทำท่าเป็นเขียนชื่อให้เขาที่หน้าอกของตุ๊กตาทั้งสองตัว พร้อมกับเอาธูปจี้ที่ตา ที่หู ที่ปาก แล้วบอกว่าให้เห็นให้ได้ยินให้พูดเพื่อไปรับใช้คุณพ่อ แล้วก็เอาไปตั้งข้างๆโลงข้างละตัว

จากนั้นก็ให้เอาของที่จะเผาไปให้คุณพ่อทั้งหมดในพิธีกงเต็กมาเปิดออกดู ถ้าเห็นว่ามีช่องว่างหรือรูให้พับกระดาษเงินกระดาษทองยัดใส่ไปจนเต็ม อย่างเช่นบ้านกระดาษมันจะมีช่องว่างอย่างนั้นก็ต้องพับกระดาษเงินกระดาษทองใส่ให้เต็มห้ามมีพื้นที่ว่าง  แล้วของกงเต็กทุกชิ้นจะต้องติดใบส่งของที่เป็นใบเหลืองๆยาวๆ ให้เขียนชื่อคุณพ่อลงไป แล้วให้ผมเอานิ้วโป้งด้านซ้ายไปประทับหมึกพิมพ์สีดำแล้วมากดทับชื่อคุณพ่อที่เขียนไป

นอกจากนี้ยังมีงานและรายละเอียดปลีกย่อยอีกแยะแยกมากมายที่ผมต้องทำ  ทำให้ผมไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องคุณพ่อมากนัก ผมเลยคลายความเศร้าไปได้บ้าง ยิ่งมีเพื่อนๆตั้งเยอะอยู่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้มีกำลังใจ  ผมเองดูคุณแม่กับเจ้าโอ๊ตก็เข้มแข็งเกินกว่าที่ผมคาดไว้  งานศพของคุณพ่อผ่านไปด้วยดีจนมาถึงก่อนวันสุดท้ายที่จะมีการฌาปนกิจศพ วันนี้จะมีการทำพิธีกงเต็กตอนบ่ายโมงยาวไปถึงหกโมงเย็น แล้วทุ่มครึ่งมีพระมาสวดศพ หลังจากนั้นก็ทำพิธีกงเต็กกันต่อ (เนื่องจากเป็นกงเต็กพิธีใหญ่เลยใช้เวลาเยอะ) วันนี้ตั้งแต่เช้าผมและญาติๆที่จะร่วมพิธีต้องใส่ชุดกระสอบ  ทำให้ผมเดินเหินไม่คล่องตัวเลย ดูขัดๆแปลกตัวเอง

“เอๆ พวกพี่ๆองค์การมากันแล้ว”เสียงป่านบอกผมหลังแต่งชุดกระสอบเสร็จ

“อ้าวไหนว่าจะพากันมาวันเผาไง”ผมถามแล้วเดินตามออกไป เห็นคุณแม่กำลังรับพวงหรีดขององค์การนักศึกษาจากพวกพี่ๆ มีพี่นิค  พี่หมอที  พี่เก่ง พี่แป้ง พี่ปอ  พี่ริช พี่แหวว พี่คิม พี่ตี๋ แล้วก็พี่ที่รู้จักกันอีกสามคนที่ทำงานในองค์การ ผมยกมือไหว้พวกพี่แล้วทักทายกันนิดหน่อยแล้วพาเข้าไปไหว้ศพคุณพ่อ พี่ปอถามขึ้นว่าต้องไหว้ยังไง ไหว้แบบจีนหรือเปล่า  ผมบอกว่าไหว้แบบที่พี่สะดวกนั่นแหละ แล้วพวกพี่ๆก็พากันไปนั่งพับกระดาษเงินกระดาษกับกลุ่มเพื่อนๆผม  ผมเลี่ยงออกมาเพื่อจะไปห้องน้ำ ไปถึงห้องน้ำผมก็เจอกับพี่นิค

“เอ พี่เสียใจด้วยนะครับเรื่องคุณพ่อ”พี่นิคบอก

“ครับ ขอบคุณครับ”ผมตอบกลับไป

“เอครับ พี่อาจจะยังไม่รู้นะครับว่า ความรู้สึกที่เอรู้สึกอยู่ตอนนี้เป็นยังไง  แต่พี่รู้ได้ว่ามันต้องหนักมากสำหรับเอ  ถ้าเอแบกรับมันคนเดียวไม่ไหวบอกพี่ก็ได้นะครับ  พี่ยินดี”พี่นิคบอกพร้อมจับที่ไหล่ผมบีบเบาๆ

“ขอบคุณครับ”ผมบอก แต่ในใจตื้นตันจะร้องไห้

“ผอมไปนะเราน่ะ หรือเป็นเพราะชุดนี้”พี่นิคพูกแล้วเอามือออกจาไหล่ผมมาจับชุดกระสอบที่ผมใส่

“ทานอะไรไม่ค่อยลงครับพี่”ผมบอก

“เอ เอฟังพี่ดีๆนะครับ สิ่งที่สูญเสียไปแล้วเราเอากลับคืนมาไม่ได้  แต่สิ่งที่เรามีอยู่ต้องทำให้มันดีที่สุดรู้ไหมครับ  เอยังมีคุณแม่ มีน้องอย่างทำให้เขาทั้งสองเป้นห่วงเอนะครับ อีกอย่างเอก็ยังมีพี่ด้วย”พี่นิคบอก

“ครับ ขอบคุณครับ”ผมบอกแล้วชวนพี่เขาขึ้นไปบนศาลา

“พี่แหววทำไมถึงพากันมาวันนี้ล่ะ เห็นป่านบอกกับเอว่าจะพากันมาวันสุดท้าย”อ๊อฟถามขึ้นในวงที่กำลังนั่งพับกระดาษเงินกระดาษทองกัน

“ก็ถามคุณนายก กับคุณอุปนายกหมายเลขสองดูซิคะ  เร่งพวกพี่ทำรายงานสรุปค่ายให้เร็วๆ จะได้มาไวๆ สองคนนั้นเขาทำกันทั้งวันทั้งคืนเลยแทบไม่ได้หลับได้นอน”พี่แหววหมายถึงพี่นิคกับพี่หมอที

“แล้วนี่จะฟังสวดคืนนี้แล้วกลับเลยหรือว่ายังไงครับ”ผมถามขึ้น

“พวกพี่ว่าจะเผาเสร็จแล้วค่อยกลับ เพราะว่าทำเรื่องขอรถมาได้สองวัน”พี่นิคบอก

“งั้นคืนนี้พวกพี่ไปนอนที่บ้านผมนะครับ เดี๋ยวผมให้น้องพาไป”ผมบอก

“เห็นพวกเพื่อนๆเอบอกว่านอนกันที่นี่ไม่ใช่เหรอ  แป้งขอนอนที่นี่ด้วยคนนะ”แป้งเสนอตัว  แล้วทุกคนก็ไม่มีใครไปนอนที่บ้านอีกตามเคย ไม่รู้ว่ากลัวคุณพ่อผมไปหาที่บ้านหรือติดเพื่อนกันแน่

หลังทานข้าวเที่ยงก็เริ่มทำพิธีกงเต็ก ผมกับญาติๆเข้าร่วมในพิธี  ผมต้องคอยถือกระถางธูปกับตะเกียงน้ำมันเพราะถือว่าเป็นตัวแทนคุณพ่อ โดยมีคนคอยถือโคมที่มีเสื้อขาวของคุณพ่อที่เคยใส่เอามาหุ้มโคมอันนั้นไว้อยู่ข้างๆ เจ้าโอ๊ตถือรูปคุณพ่อ (ที่จริงอาแปะแกถามหาลูกสาวหรือลูกสะใภ้แต่ไม่มีเลยได้ให้เจ้าโอ๊ตแทน) พิธีเป็นไปอย่างเรื่อยๆ เดี๋ยวกราบ เดี๋ยวโค้ง เดี๋ยวคำนับ ก้มๆเงยๆเป็นว่าเล่น แล้วก็ตั้งขบวนเดินไปเดินมาอยู่บนศาลานั้นแหละโดยสมมติว่าพาดวงวิญญาณของผู้ตาย ไปส่งตามที่ต่างๆก่อนที่จะข้ามสะพานไปเมืองปรโลกแล้วไปแดนสุขาวดี พวกพี่กับเพื่อนๆผมแปลกตากับพิธีนี้มาก พี่เก่งถ่ายรูปไม่หยุดเลย กว่าจะเสร็จพิธีในช่วงแรกทำเอาผมเหนื่อยหอบเลย
ชุดกระสอบทั้งร้อนทั้งหนักจนผมคิดว่าจะทำไม่ตลอดลอดฝั่งซะแล้ว แต่คิดว่าถ้านี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้คุณพ่อผมก็กัดฟันทำจนแล้วจนรอดจนได้  ผมมานั่งพักก่อนที่จะไปอาบน้ำเพื่อมาฟังพระสวด แล้วทำพิธีกงเต็กหลังพระสวดอีก

“ดื่มนี่หน่อยซิครับ น้องเอ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย”พี่หมอทีพูดพร้อมส่งแก้วมาให้ผม

“อะไรอ่ะครับ”ผมถาม

“เป็นผงกลูโคสชงน่ะ ดื่มแล้วจะได้มีแรง น้องเอยิ่งน้ำตาลในเลือดน้อยอยู่”พี่หมอทีบอก

“ขอบคุณครับ”ผมรับแก้วมาดื่ม

คืนนี้เป้นคืนสุดท้าย แขกมามากเป็นพิเศษ เรียกว่าที่นั่งสำหรับจัดไว้ไม่พอเลย พวกพี่ๆกับเพื่อนๆผมก็รู้งานช่วยกันหาเก้าอี้มาเสริม ชวนแขกขึ้นมานั่งข้างบนศาลาบ้าง ส่วนผมหลังพระสวดเสร็จก็เข้าพิธีกงเต็กต่อ เสร็จพิธีก็ห้าทุ่มเห้นจะได้  ผมรีบถอดชุดกระสอบออกแล้วนั่งลงอย่างหมดแรงทันที

“เอ ดื่มเก็กฮวยเย็นๆนะ จะได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง”พี่เก่งส่งน้ำเก็กฮวยให้ผม แล้วก็เดินไปถ่ายรูปต่อ ผมดื่มแล้วก็นั่งหลับตากะว่าหายเมื่อยแล้วจะไปดูแขก

“เอ ทานนี้หน่อยนะ เอยังไม่ทานอะไรเลยนี่”พี่แป้งเดินเข้ามาพร้อมถ้วยกระเพาะปลาน้ำแดง อาหารที่เลี้ยงแขกคืนนี้

“ขอบคุณครับ แป้งวางไว้เลย เดี๋ยวเอทาน”ผมบอกแล้วหลับตาต่อ

“ไม่ได้ เพื่อนๆบอกว่าเอไม่ค่อยทานอะไรเลย อ่ะอ้าปาก”พี่แป้งตกกระเพาะปลาน้ำแดงขึ้นมาเป่า แล้วมาป้อนผม 

“ไม่เป็นไร เอทานเองได้”ผมหันไปดูรอบๆข้าง เห็นคุณแม่ที่นั่งอยู่กับเจ้าโอ๊ตมองมาทางผมแล้วยิ้มออกมา  เป็นยิ้มแรกของคุณแม่และโอ๊ตที่ผมเห็นตั้งแต่กลับบ้านมา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นยิ้มบางๆน้อยๆก็ผมก็มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะ ผมเลยหันไปให้พี่แป้งป้อนอีกห้าหกคำแล้วผมก็บอกว่าพอแล้ว

...

แล้วเช้าวันสุดท้ายก็มาถึง  เช้าวันที่ผมจะได้อยู่กับร่างอันไร้วิญญาณของคุณพ่อ หลังจากถวายอาหารเพลเสร็จ เวลาประมาณบ่ายสองโมงก็มีพิธีออกศพ คาราวะผู้ตาย ในพิธีนี้จะให้ญาติและคนสนิทมาร่วมพิธี โดยคนที่มาจะต้องมีผลไม้ห้าอย่างพร้อมกับธูปหนึ่งห่อและตั่วกิม(กระดาษทองใบใหญ่) ผลไม้ที่นำมานั้นจะถูกจัดเรียงเพื่อตั้งไหว้หน้าศพ ถัดจากของที่เจ้าภาพจัดไว้โดยมีซาแซ(เป็ด ไก่ หมูต้มอยู่ในถาดเดียวกัน) น้ำชา ข้าวเปล่า ซาลาเปา ขนมคดก้วย ใช้ก้วย ฯลฯ

พอได้เวลาอาแปะก็จะเรียกชื่อ(เป็นภาษาจีน)ไปที่ละสายเครือญาติ เริ่มจากลูกก่อนแล้วไปพี่ชายน้องชายของคุณพ่อ พี่ชายน้องชายของคุณแม่ พี่สาวน้องสาวของคุณพ่อ พี่สาวน้องสาวของคุณแม่ สลับอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนหมดแล้วค่อยเป็นแขกที่มาร่วม

“ตั่วตี๋..................โซ้ยตี๋..............ไล้........เหลี่ยว.......”อาแปะคนทำพิธีเรียกผมกับโอ๊ตด้วยเสียงที่ยานครางแต่ดูขลัง ทำให้บรรยากาศสงบเศร้าๆชอบกล (ตั่วตี๋ = ลูกชายคนโต  โซ้ยตี๋ = ลูกชายคนเล็ก) ผมกับโอ๊ตเดินไปที่หน้าโต๊ะตั้งหน้าหน้าศพ แล้วคุกเข่าสูงแบบจีน

“อิ๊............โค่ว...........คำนับ”เสียงอาแป๊ะบอก ผมกับโอ๊ตก็คำนับ จะเป็นไปด้วยบรรยากาศต่างหรือเปล่าไม่รู้ที่ทำให้ผมใจหวิว หรือเป็นเพราะว่านี่เป้นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะเห็นคุณพ่อ แล้วน้ำตาผมก็ค่อยไหลออกมา

ไจ้...........โค่ว........คำนับ         ซา................โค่ว..............คำนับ  พอคำนับครบสามครั้งแล้วก็ลุกขึ้นยืนแล้วก็โค้งคาราวะ  เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ที่มาจากสมาคมเดียวกับอาแปะก็ส่งธูปให้ผมกับโอ๊ตคนละสามดอก (คนจีนเชื่อว่าถ้าออกศพแล้ววิญญาณจะไปเป็นเซียนให้ไหว้ด้วยธูปสามดอกไม่ใช่ดอกเดียว เหมือนที่ผ่านมา) แล้วก็ส่งของไหว้ต่างๆมาให้ผมกับโอ๊ตส่วย (ส่วย เป็นกิริยา เหมือนกับถือแล้วยกขึ้นไปที่หน้าผากสามครั้ง) ก่อนที่จะเอาไปวางที่เดิม แล้วผมกับโอ๊ตก็โค้งคำนับอีกหลายรอบ จนเสร็จก็ไปนั่งลงกับพื้นข้างๆ ถัดจากโต๊ะตั้งไหว้ออกมา แล้วลำดับญาติต่อไปก็มาทำคล้ายๆกับผมที่ทำไปแต่พิธีน้อยกว่า พอเสร็จแล้วผมก็ต้องคอยพูดว่า “กำเซี่ยะๆ”ให้กับคนที่มาเคารพศพเป็นชุดๆก่อนพาออกไปทานของหวาน กว่าจะเสร็จทั้งหมดก็สิบกว่าชุด ตลอดพิธีผมนั่งฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้ตลอด ถึงแม้มันจะมีซึมๆออกมาบ้าง  หลังจากนั้นก็เอาของกงเต็กทั้งหมดไปเผาโดยให้ญาติยืนรอบไว้ห้ามขาดจากกัน แล้วก็ให้ผมถือไม้ไผ่ทำท่าไล่พวกผีไม่มีญาติที่จะมาแย่งขอกงเต็กของคุณพ่อไปอยู่ภายในรอบๆวงนั้น

พอเสร็จพิธีทางจีนต่อไปก็เป็นพิธีทางสงฆ์ พระสงฆ์เทศนา สวดมาติกาบังสุกุล เสร็จแล้วก็เคลื่อนศพจากศาลาใหญ่มาไว้ที่เมรุ  ตอนเคลื่อศพนี้เหมือนหัวใจผมมันจะขาดออกให้ได้  เหมือนว่าคุณพ่อต้องจากเราไปแล้วจริงๆอย่างไม่มีวันกลับมา  ผมถือกระถางธูปกับตะเกียงเดินตามคนที่คอยโปรยใบเบิกทางและกระดาษเงินกระดาษ พร้อมเศษเงินเหรียญไปตามทาง หลังผมมีเจ้าโอ๊ตถือรูปคุณพ่อ ตามมาด้วยพระสงฆ์ที่โยงสายสิญจน์มาจากโลง ตามด้วยบรรดาญาติๆและแขกที่มาร่วมงาน

พอเคลื่อนศพขึ้นสู่บนเมรุเรียบร้อย พิธีกรก็ทำหน้าที่ (วันนี้ได้พี่นิคเสนอเป็นพิธีกรให้ ยังจำได้ว่าญาติๆชมเปราะว่าเสียงดีพูดได้ลื่นหู หน้าตาก็ดี) ไปเรื่อยๆ จนมาถึงอ่านประวัติคุณพ่อ ซึ่งผมขอเป็นคนอ่านเอง ผมอ่านไปได้ซักหน่อยก็กลั้นน้ำตาไม่ไหวปล่อยโฮออกมาแต่ก็พยายามอ่านออกไป  เหล่าญาติและแขกที่มาร่วมงานก็ปล่อยโฮพร้อมกับผม พอผมอ่านจบพี่แหววก็ขึ้นมาขับกลอนไว้อาลัยเรียกน้ำตาไม่หยุด (พี่แหววนี่ญาติๆก็ชมว่าแต่งได้เพราะ เสียงก็ดี) ตอนนี้ผมฝืนไม่อยู่แล้ว  น้ำตาผมไหลพรากๆออกมา หันไปมองเจ้าโอ๊ตแค่ตาแดงๆเหมือนฝืนไว้อย่างมาก ส่วนคุณแม่ญาติๆไม่ให้มาเผา (เป็นความเชื่อว่าภรรยาห้ามเผาสามีเดี๋ยวตัดกันไม่ขาด)  ผมเดินเข้าไปหาโอ๊ตที่กำลังแจกของชำร่วยให้แขกหลังจากขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์

“โอ๊ต เราไม่มีพ่อแล้ว  โอ๊ต...เราไม่มีพ่อแล้ว.....ฮื้อๆ....”ผมกอดคอเจ้าโอ๊คร้องไห้  โอ๊ตก็ร้องออกมาแต่พยายามกลั้นไว้ พวกญาติกับแขกที่มาร่วมงานเห็นผมกับโอ๊ตกอดกันร้องไห้ก็อดสงสารไม่ได้ พวกเพื่อนๆบอกว่าจะพาผมกลับไปที่ศาลา ผมบอกว่าไม่ไป จะคอยดูหน้าครั้งสุดท้ายของคุณพ่อ

ผมร้องไห้ไม่หยุดร้องจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  พี่หมอทีเห็นว่าผมท่าจะไม่ดี เพราะอาการเริ่มจะเป็นเหมือนตอนอยู่ที่ค่าย เลยรีบเข้ามาหาผมแล้วบอกทุกคนว่าอย่ามามุงดู พร้อมถามหายาหม่องยาดม

“ผมไม่..ฮื้อ....เป็นไร....ฮื้....อๆๆ....ผมจะไป.......ดู....อื้.อ...คุณพ่อ”ผมบอกเพราะพี่หมอทีจะญาติกับเพื่อนผม พาผมออกไปจากตรงเมรุ  “ปล่อย...ฮื้อ....บอกให้ปล่อย.....ฮื้...อๆ.......”ผมบอกพร้อมสะบัดตัวอย่างแรง  แต่ก็ไม่หลุด  “ผมไหว้นะครับ...ฮื้อๆๆ.....ปลอ่ยผม...ฮื้...อ....ผมจะไปหาคุณพ่อ”

พี่หมอทีบอกให้ทุกคนปล่อยผม แล้วเข้ามาบอกว่าให้ผมหายใจลึกๆ ผมทำตาม ตัวผมเริ่มหยุดสั่นแต่น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด แล้วผมก็มีคนพยุงล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมดกลับไปที่เมรุ  เป็นช่วงเวลาที่พอดีสัปเหร่อ เปิดฝาโลงก่อนที่จะเอาเข้าในเชิงตะกอนของเมรุ ผมเห็นหน้าคุณพ่อครั้งสุดท้าย เหมือนคุณพ่อนอนหลับไปเฉยๆ ผมไม่มีคำพูดอะไร ผมก้มลงกราบที่โลงศพฝั่งปลายเท้า แล้วก็ไม่มีแรงลุกขึ้น จนหลายๆคนที่ตามมาต้องช่วยกันพยุง สัปเหร่อเอาโลงศพเข้าไปในเตาแล้วก็มีพระมาจุดไฟ ไฟค่อยๆลามไปทั่ว แล้วสัปเหร่อก็ปิดประตูเหลือแต่ช่องเล็กๆ ที่เปิดออก  ผมมองช่องนั้น  ในใจคิดว่าเราคงไม่มีวันได้เห็นคุณพ่ออีกแล้ว  คุณพ่อจากเราไปแล้วจริงๆ  คุณพ่อที่ผมรักที่ผมเคารพเชิดชูในเป็นบุคคลในดวงใจหมายเลขหนึ่ง ถึงแม้ว่าร่างคุณพ่อจะไม่อยู่แต่คำสอนและภาพความทรงจำต่างๆของคุณพ่อจะอยู่กับเอตลอดไป แล้วผมก็หมดสติลง


ผมฟื้นขึ้นมาอีกที ก็อยู่บนศาลาใหญ่มีคุณแม่นั่งอยู่ข้างๆกับเจ้าโอ๊ต อีกข้างมีพี่หมอที พี่แป้ง  ผมโผกอดคุณแม่กับโอ๊ตอย่างไม่อายใคร ผมร้องไห้อยู่อีกนานแต่คุณแม่ไม่มีน้ำตาเลย มีแต่คำปลอบผมต่างๆนานา (ตอนนั้นทำให้ผมรู้ว่าคุณแม่เป็นผู้หญิงที่แกร่งและเข้มแข็งมาก)

“เอ คุณพ่อคอยให้เอ พาคุณพ่อกลับบ้านอยู่นะลูก”คุณแม่บอก ผมรู้ว่าหมายความว่าอะไร เพราะมันเป็นหน้าที่ของลูกชายคนโตที่จะต้องเอารูปคุณพ่อเข้าบ้าน โดยกลับไปที่บ้านแล้วห้ามกับมาที่วัดอีกเป็นอันขาด ระหว่างทางก็ให้เอารูปหันด้านหน้าคุณพ่อใส่อกตลอดเวลาพร้อมเรียกให้คุณพ่อกลับบ้านตลอดทาง 

เมื่อไปถึงหน้าบ้านพวกญาติๆก็จะต้องพากันเอากระด้งมาปิดศาลพระภูมิและตี่จูเอี่ยะ(เจ้าที่จีน)ก่อนที่ผมจะเดินผ่านเข้าไปในบ้าน  แล้วต้องจุดธูปที่ประตูหน้าบ้านข้างละดอกบอกว่าขอพาคุณพ่อเข้าบ้าน แล้วตั้งรูปคุณพ่อไว้พร้อมไหว้ด้วยขนมอี๋(เหมือนขนมบัวลอย แต่เป็นสีแดง ใส่แต่น้ำเชื่อมไม่ใส่กะทิ)กับน้ำชา  อย่างละ 3 ถ้วย  เสร็จแล้วก็เอาเต็งรั้ง(โคมสีขาวที่แขวนอยู่งานศพ)ขึ้นแขวนหน้าบ้านพร้อมเอากระดาษสีขาวยาวสี่ฟุต กว้างเท่าไม้บรรทัดปิดเป็นแนวเฉียงๆไว้เหนือประตูบ้าน และที่ป้ายบริษัทก็ต้องทำเหมือนกัน ติดเอาไว้จนกว่าจะครบสี่สิบเก้าถึงมีไหว้ส่งวิญญาณแล้วค่อยเอาทั้งกระดาษที่ติดและเต็งรั้งลงมาเผา
 
ผมเดินกลับเข้ามาได้ยินเสียงพี่นิค พี่หมอที พี่ปอ คุยกันเรื่องเลื่อนกำหนดวันกับว่าจะกลับไปวันพรุ่งนี้แทนหลังไปลอยอังคาร

“นิค มันซิบ่เป็นปัญหาติ่ เฮาขอรถเพิ้นมาสองมื้อเด่”พี่ปอบอก (นิค มันจะไม่เป็นปัญหาเหรอ เราขอรถเขามาสองวันนะ)

“เราถามคนขับรถแล้ว เขาบอกว่าถ้ารองอธิการบดีฝ่ายกิจกรรมนักศึกษาอนุญาตก็ไม่มีปัญหา”พี่นิคบอก

“แล้วนิคจะทำยังไง”พี่หมอทีบอก

“เดี๋ยวเราจะให้แหววต่อสายหารองฯแล้วเราจะขอเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้น เรารับผิดชอบเองทั้งหมด นายสองคนช่วยไปบอกพรรคพวกด้วยว่ามีการเปลี่ยนแผนเราจะกลับพรุ่งนี้หลังลอยอังคารเสร็จ”พี่นิคบอก แล้วพี่หมอทีกับพี่ปอก็เดินไปบอกทุกคนที่มาด้วยซึ่งก็ไม่มีใครขัด

“พี่นิคกลับก็ได้ครับ แต่พี่มาร่วมงานผมก็ขอบคุณมากแล้วครับ”ผมเดินเข้ามาหลังจากพี่นิคอยู่คนเดียว

“พี่ไปไม่ได้หรอก  พี่เห็นเอเป็นแบบนี้แล้ว  จะให้ทิ้งเอไปได้ยังไง  พี่รู้ว่าเอต้องการกำลังใจในการต่อสู้ปัญหานี้ ให้พี่เป็นกำลังใจของเอนะ”พี่นิคบอก

“ขอบคุณครับ”ผมบอกแล้วพี่แหวว ก็เดินเข้ามาหาพี่นิคบอกว่าต่อสายติดแล้ว พี่นิครับโทรศัพท์ ผมเดินเข้ามาในบ้านซึ่งบัดนี้ดูแคบแทบไม่มีที่เดิน เพราะมีพี่ๆเพื่อนๆของผม ส่วนญาติๆให้ไปพักที่บ้านสวนหมด แล้วพี่หมอทีก็จัดสรรแบ่งห้องนอน ให้พวกพี่ผู้หญิงทั้งหมดไปนอนห้องโอ๊ต พวกน้องผู้หญิงทั้งหมดนอนห้องรับรองแขก พวกพี่ผู้ชายนอนที่ห้องผม พวกเพื่อนผู้ชายของผมได้ออกมานอนที่ห้องนั่งเล่นเพราะว่าที่นอนไม่พอ  ส่วนผมกับโอ๊ตนอนห้องคุณแม่ แล้วพี่นิคก็เดินเข้ามาบอกว่าเรื่องรถเคลียร์แล้วไม่มีปัญหา

เช้าวันต่อมาเราไปเก็บกระดูกคุณพ่อแล้วถวายอาหารเช้าแก่พระ เสร็จแล้วก็พากันไปที่พัทยาเพื่อไปลงเรือไปที่เกาะล้าน เอาเถ้าอังคารของคุณพ่อไปลอย  คณะของผมไปเยอะมากเพราะมีทั้งพี่ๆเพื่อนๆของผม ไหนจะวงศาคณาญาติอีก คุณแม่เลยเหมาเรือลำหนึ่งไปเลยกะว่าลอยอังคารเสร็จจะได้ไม่ต้องรีบนั่งทานข้าวเที่ยงบนเกาะก่อน

หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้พวกเพื่อนๆพี่ๆผม ที่ไหนๆก็มาแล้วลงไปเล่นน้ำกันเลย เดี๋ยวจะว่ามาถึงชลบุรีแล้วไม่ได้เล่นทะเล  ส่วนผมขอตัวไปเดินเล่นริมหาดไปเรื่อยๆ คุณพ่อครับ 
เอกับคุณแม่แล้วก็เจ้าโอ๊ตพาคุณพ่อมาเที่ยวแล้วนะครับ  เราได้มาเที่ยวด้วยกันแบบสี่คนครบแล้วนะครับ คุณพ่อเที่ยวให้สนุกนะครับ แล้วน้ำตาผมก็ไหลออกมา  ผมนั่งลงตรงชายหาดที่เงียบมองดูคลื่นที่กระทบฝั่งเข้ามาบนพื้นทรายที่ขาวสะอาด แล้วมันก็กวาดเอาทรายลงไป ผิดกับเมื่อมันเจอโขดหินคลื่นทะเลมันกับเป็นฝ่ายแตกไปเสียงเอง  เปรียบเหมือนกับชีวิตคนเรา ถ้าเจอปัญหาที่โถมเข้ามาใส่เปรียบเป็นคลื่นทะเล คนที่อ่อนแอก็จะถูกซัดหายไปกับปัญหานั้น แต่ถ้าเป็นคนที่เข้มแข็งอดทนเหมือนโขดหินปัญหาที่ถาโถมก็มีอันแตกไป  เอเข้าใจแล้วครับว่าทำไม คุณพ่อถึงสอนให้เอเข้มแข็งและอดทน ผมยกมือปาดน้ำตาแล้วสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ขี้แยง่ายๆอีก แล้วผมก็ปล่อยอารมณ์ให้มันทอดไปตามสายลมที่พัดมาและไม่รู้ว่าจะพัดไปจบลงที่ใด

+++ จบบทที่สิบเจ็ด +++

*** ข้อคิดคำคมประจำบท ***
-   สิ่งที่สูญเสียไปแล้วเราเอากลับคืนมาไม่ได้  แต่สิ่งที่เรามีอยู่ต้องทำให้มันดีที่สุด
-   ผมนั่งลงตรงชายหาดที่เงียบมองดูคลื่นที่กระทบฝั่งเข้ามาบนพื้นทรายที่ขาวสะอาด แล้วมันก็กวาดเอาทรายลงไป ผิดกับเมื่อมันเจอโขดหินคลื่นทะเลมันกับเป็นฝ่ายแตกไปเสียงเอง  เปรียบเหมือนกับชีวิตคนเรา ถ้าเจอปัญหาที่โถมเข้ามาใส่เปรียบเป็นคลื่นทะเล คนที่อ่อนแอก็จะถูกซัดหายไปกับปัญหานั้น แต่ถ้าเป็นคนที่เข้มแข็งอดทนเหมือนโขดหินปัญหาที่ถาโถมก็มีอันแตกไป

paulla

  • บุคคลทั่วไป
รออยู่นะค๊าบ....จะลงแดงอยู่แล้ว  :serius2:  :serius2:  :serius2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






A_wAy_G_mAn

  • บุคคลทั่วไป
 :m5:ขอโทษอย่างแรงครับ ที่ทำให้คอยนาน และนานแบบอารมณ์ค้าง  (แต่คิดว่าความยาวของบทนี้คงชดเชยกันได้นะครับ)

อย่างที่บอกครับ บทนี้เขียนยากจริงๆ  

ผมจด(บันทึก)จำ(ในหัวสมอง)ได้ดีไม่มีวันลืมครับ

เนื้อหารายละเอียดค่อนข้างเยอะหน่อยนะครับ เพราะอยากถ่ายทอดออกมาจริงๆ

บทนี้อาจจะมีคำผิดเยอะหน่อยนะครับ เพราะว่าไม่ได้อ่านทวนซ้ำ  (ไม่กล้าอ่านทวนซ้ำ แค่นั่งพิมพ์ไปก็ร้องไห้ไปจนน้ำตาจะไม่มีแล้วครับ :o12: ถ้าอ่านทวนซ้ำอีกมีหวังน้ำตาหมดตัวแน่ๆ)  

...........มาถึงบทนี้อยากบอกว่า เอ ยังคิดถึงคุณพ่อตลอดถึงแม้ว่าคุณพ่อจะจากไปหลายปีแล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์ทุกอย่างเอยังจำได้ดีเหมือนเพิ่งผ่านไปเอง เอทำอะไรหลายๆอย่างให้คุณพ่อได้ภูมิใจแล้วนะครับ ปริญญาเกียรตินิยมที่คุณพ่อต้องการ เอก็ทำให้แล้ว  งานที่บริษัทเอก็มาช่วยคุณแม่  เอติวให้โอ๊ตจนได้ที่เรียนมหาลัยที่ดีและตามคณะที่คุณพ่ออยากโอ๊ตให้เรียนเอก็ทำให้แล้ว  หวังว่าคุณพ่อที่คอยดูอยู่บนสวรรค์คงภูมิใจในตัวเอนะครับ :m2:...........


...........เหตุการณ์ตอนนั้นเราต้องขอบใจเพื่อนๆทุกคน ถ้าไม่มีพวกนายเราคงเศร้ากว่านี้เยอะ..............

...........เหตุการณ์ตอนนั้นผมต้องขอบคุณพี่ๆทุกคน ที่คอยเป็นกำลังใจให้(โดยเฉพาะพี่นิค)...............

...........เหตุการณ์ตอนนั้นผมต้องขอบคุณคุณแม่และเจ้าโอ๊ตที่เป็นตัวอย่างเข้มแข็งให้ผมดู...............

...........เหตุการณ์ตอนนั้นผมต้องขอบใจตัวเอง ที่ผ่านมันมาได้และสอนให้ผมเข้มแข็งอดทน...............




ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เศร้าจริงๆค่ะ เป็นสิ่งที่ลูกทุกคนไม่อยากเจอ..เเต่..  :sad2:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
 :impress: :impress: :impress:

อ่าครับผมเสียใจด้วยครับพี่เอ

เป็นกำลังใจให้ครับผม

มาลงให้วะยาวเลย อ่านสะใจมากครับ อิอิ

:impress: :impress: :impress:

ออฟไลน์ Otaku

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 792
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-1
เสียใจด้วยนะคับพี่เอ

ถือว่าพี่เอเข็มแข็งมากนะ :L2:

เศร้าจริงๆค่ะ เป็นสิ่งที่ลูกทุกคนไม่อยากเจอ..เเต่..  :sad2:


เห็นด้วยนะ ไม่อยากเจอเลยยยยย  กลัวทำใจไม่ได้อ่ะ :sad2:

ออฟไลน์ Joobperman

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 648
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
พี่ขอแสดงความเสียใจย้อนหลังนะจ๊ะ...น้องเอ
คุณพ่ออยู่บนสวรรค์คงดีใจที่น้องเอ....
ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างสมตามเจตนารมณ์ของคุณพ่อ
และทำได้อย่างดีที่สุดด้วย....

เป็นกำลังใจให้น้องเอนะคะ...
   :L2: :L1: :กอด1:

meawmeaw

  • บุคคลทั่วไป

กิ่งก้านใบ

  • บุคคลทั่วไป

VaRinTr

  • บุคคลทั่วไป
หวัดดีคับคุณเอ ติดนิยายคุณเอแล้วอะ จนไม่ได้อ่านหนังสือเรียนเลย 555
ชอบมากๆเลยคับ ทั้งนิยายทั้งคนแต่ง (ได้ข่าวว่าเค้ามีเจ้าของแล้ว...อดคับ อด)
555
ไว้จะติดตามผลงานต่อไปนะคับ
ผม ม่อน นะคับ เรียนอยู่ปี 3 จะให้เรียก คุณเอ ว่าไรดีอะ พี่ หรือน้องดี บอกด้วยนะคับ

BABY_CHICK

  • บุคคลทั่วไป
 :กอด1:เสียใจด้วยนะครับ สำหรับเรื่องคุณพ่อ ไม่มีใครอยากสูญเสียในสิ่งที่ตัวเองรักหรอกครับ

แต่มันคือกฎธรรมชาติครับ ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ตอนที่มีชีวิตอยู่

เราก็ทำแต่สิ่งดีๆ ทั้งต่อตัวเรา และคนรอบข้าง ให้ดีแล้วกันนะครับ

เป็นกำลังใจให้ ถึงตอนนี้ เอคงเข้มแข็ง และเป็นผู้นำที่ดี ตามที่คุณพ่อบอกแล้วล่ะ

วันนี้มาชวนดูบอลรอบชิงครับ แมนยูฯกะ เชลซี ครับ ผมเชียร์ผีครับ 55

รอตอนต่อไปครับ สู้ สู้ :L2: :L2:

Electrolyte

  • บุคคลทั่วไป
 :o12:นายเออ่ะ....เราเสียใจด้วยนะ...เสียใจกับนายย้อนหลัง....นายทำให้เราเสียน้ำตาเลยอ่ะ...ทำให้เราคิดถึงพ่อทำให้เราอยากกลับบ้านเพราะเราไม่มีวันหยุดเลยและไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว....อยากกลับบ้านอ่ะ o7


รอให้กำลังใจนายเอนะ..................นายเอคุงเอง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด