เพ้อ บทที่ 31 ของที่ไม่ใช่ของเรา
ตลอดเวลาที่เดินทางกลับนั้น พวกเราไม่ได้ พูดคุยหรือส่งยิ้มอะไรให้กัน แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกดีเหลือเกิน ดีจนคิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ดีจนเหมือนราวกับฝันไป
"ส่งผมแค่ข้างหน้านี้ก็พอ" ผมพูดเบาๆ ผ่านความเงียบ ข้างหน้านั้นเป็นรั้วบ้านหลังใหญ่ที่ผมอาศัยอยู่ ผมควรจะต้องตื่นจากฝันได้แล้ว เพราะว่าพี่หมอก ไม่ได้เป็นของผม แต่เป็นของเจ้าของบ้านหลังนั้น
"อิน" พี่หมอกจอดรถตามที่ผมขอ ผมหันมองคนที่เรียกผมด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างออกไป ความอบอุ่น แผ่ออกมาจากแววตา และน้ำเสียงนั้น พี่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เหรอ ทำไมกัน
ผมจ้องมองพี่หมอก เฝ้ารอคำพูดที่พี่เขากำลังจะเอ่ยออกมา ผมยังคงหวังได้ใช่ไหม หวังว่าพี่จะพูดอะไร ที่ทำให้ผม...
"ฝันดี" ราวกับมีผีเสื้อนับล้านๆ ตัวบินวนไปในอากาศ ผมที่พยายามเก็บทุกอย่างไว้ ซ่อนเอาไว้ในหัวใจ ในที่สุดก็ไม่อาจต้านทานความหวังครั้งใหม่ได้
ผมเริ่มยิ้มออกมาอีกครั้ง และไม่รู้ตัวเลยว่า ทุกการกระทำของพวกเรานั้น อยู่ในสายตาของใครบางคน
"วันนี้อารมณ์ดีจังเลยนะลูก" ผมที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาหลับไม่ลงสักทีก็โดนแม่แซวทักจนได้
ผมรีบลุกขึ้นจากที่นอน เปลี่ยนจากกอดตุ๊กตาตัวนั้นเป็นกอดแม่แทน
"ให้ทาย วันนี้อินไปไหนมา" ผมพูดและกอดแม่อย่างมีความสุข
"หืม ถ้าให้แม่เดา อินมีแฟนแล้วใช่ไหมลูก" ผมชะงักเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินแม่พูด
"ไม่ใช่เลยแม่ มั่วแล้ว" ผมพูดกลบเกลื่อน และบอกอีกเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุขเช่นกัน
"วันนี้ อินได้ถ่ายละครด้วยนะ"
"จริงเหรอลูก" แม่ทำเสียงตื่นเต้นยินดีด้วยกับผม
"แต่ว่าอินเป็นแค่ตัวประกอบนะ" ผมรีบพูดต่อ แต่แม่ก็ยังคงยิ้มและลูบหัวผม
"ถือว่าเป็นก้าวแรกของอินนะลูก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้ อีกไม่นานเขาจะเห็นเอง ว่าลูกแม่เก่งแค่ไหน"
"ครับ อีกไม่นานหรอก อินจะปลูกบ้านใหม่ให้แม่ เอาให้ถูบ้านเหนื่อยไปเลย" ผมพูดและกอดแม่ให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม ผมสัญญากับตัวเอง ว่าผมจะทำให้ได้ เพื่อเราสองคน เพื่อแม่ที่ผมรักยิ่งกว่าสิ่งใด
ในรุ่งเช้าที่แสนสดใส ผมตื่นแต่เช้าเหมือนทุกวัน และช่วยแม่ทำงานบ้านเล็กน้อย ก่อนที่จะแต่งตัวเพื่อเตรียมไปมหาวิทยาลัย
และเมื่อเดินทางมาถึงแล้ว ผมก็หาที่นั่งพักข้างๆ ตึกเรียน เพราะว่าผมมาเช้าจนเกินไป ทำให้มีเวลาเหลือเฟือที่จะหาอะไรกินรองท้อง หรืออ่านหนังสือรอ
ผมมองเหล่าผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ ถึงจะยังเช้า แต่นักศึกษาก็ต่างเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามาเพื่อเตรียมเรียนในตึกคณะต่างๆ ทำให้บรรยากาศของที่นี่ดูคึกคักเหลือเกิน หรืออันที่จริงอาจเป็นเพราะผมที่ดีดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ผมที่คิดแบบนั้นก็นึกถึงใบหน้าของคนที่เป็นสาเหตุ ยิ่งผมพยายามปิดกั้นหัวใจตัวเองมากเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งคิดถึงคนคนนั้น ผมพยายามไม่ยิ้ม ไม่แสดงออกว่าผมชอบพี่มาก แต่ว่าเมื่อพี่ทำดีกับผม มันก็ยากเหลือเกินที่จะซ่อนทุกสิ่งไว้ ในเมื่อผมแทบไม่เคยลืมพี่ไปจากหัวใจ ผมจะทำยังไง ผมไม่อาจต้านทานหัวใจตัวเองได้เลย
และอยู่ๆ โชคชะตาก็ราวกับจะแกล้ง ผมหัวใจสั่นไหว จ้องมองคนสองคนที่กำลังเดินมาช้าๆ พี่หมอกเดินมากับเพื่อนคนหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเห็นหน้า ผมลุกลี้ลุกลนสับสน ผมควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี ผมควรจะเอ่ยทักพี่เขาดีไหม ก็เพราะเมื่อวานพวกเรา...
แต่ผมที่กำลังยิ้มและคิดว่าควรจะเอ่ยทักพี่หมอกนั้น ก็ค่อยๆ ลดแขนลงช้าๆ มีความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นในหัวของผม เป็นความทรงจำอันแสนเศร้า ผมนั้นเคยทำแบบนี้มาก่อน และผลลัพธ์ ก็ทำให้ผมต้องผิดหวัง พี่หมอกใจร้ายมากกว่าที่ผมคิด แค่พี่เขาทำดีนิดหน่อย ผมไม่ควรจะชะล่าใจไป
"เป็นอะไรไป ทำไมไม่เข้าเรียน" แต่เสียงที่ดังขึ้นนั้น ทำให้ผมต้องค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ หัวใจของผมเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก
นี่ผมฝันไปอีกแล้วงั้นเหรอ ทำไมพี่ถึง...
ผมมองพี่หมอกที่หยุดยืนตรงหน้า และถามผมด้วยสีหน้าสงสัย เพื่อนพี่หมอกก็ทำสีหน้างงๆ เช่นกัน
"ไปเหอะไอ้หมอก อาจารย์ใกล้เข้าแล้ว"
"เออ ไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป" พี่หมอกบอกเพื่อน และหันมาสนใจผมเหมือนเดิม
"ไม่สบาย หรือมานั่งอ่อยเหยื่อ" ไม่รู้ทำไม ผมหัวเราะในลำคอเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้น นี่สิถึงจะเป็นพี่หมอก
"อาจจะเป็นอย่างหลัง" ผมพูดและมองพี่หมอกที่เริ่มทำคิ้วชิดกัน แต่ว่านะ วันนี้พี่หมอกก็หล่อมากๆ อีกแล้ว ผมเผลอจ้องมองพี่หมอกที่อยู่ในชุดนักศึกษาค่อนข้างเรียบร้อย ผิวขาว ตัวสูงสง่า พี่รู้ไหมว่าพี่กำลังทำให้ผมดูหม่นหมองมากๆ เมื่ออยู่ใกล้พี่
"ปากดี" พี่หมอกพูดและทำหน้ามุ่ยๆ แต่แบบนั้นมันดู น่ารักมากกว่า นี่ผมเป็นเอามากนะ ผมพยายามนึกถึงความร้ายกาจของพี่หมอกที่ผมได้เคยประสบมา ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงนึกไม่ออกเลย ผมลืมสิ่งเหล่านั้นไปได้ยังไง
"กลางวันลงมากินข้าวด้วย มีเรื่องจะบอก" พี่หมอกบอกผม ก่อนจะเริ่มเดินห่างออกไปตามเพื่อน ไม่สิ น่าจะเป็นคำสั่งมากกว่า
ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็คิดสงสัย ว่าเรื่องที่พี่หมอกอยากบอกผมนั้น มันคือเรื่องอะไรกันแน่
เมื่อถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ผมลุกจากโต๊ะหินอ่อน สะพายกระเป๋า และเริ่มเดินขึ้นไปที่ตึกเรียน ไม่รู้ว่าวันนี้หมี่จะมาเรียนไหม ช่วงนี้ผมไม่ค่อยเห็นเขาเข้าเรียนเท่าไหร่
แต่เมื่อผมเดินไปเรื่อยๆ สายตาของผมก็สะดุดเข้ากับใครคนหนึ่ง ที่ตรงสุดทางเดินตรงหน้าของผม
ถึงแม้ว่าค่อนข้างจะไกลมาก แต่ผมก็จดจำคนคนนั้นได้ทันที พี่เปอร์ในชุดเสื้อช็อปสีกรม กำลังมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ พี่เปอร์ยกมือขึ้นทำท่าเหมือนทักทายผม ไม่ได้เข้ามาใกล้ๆ เพราะว่าผมได้ขอพี่เขาไว้ ว่าให้พวกเราอยู่ห่างกัน และพี่ก็ทำมันได้ดีจริงๆ
ในคาบเรียนนั้น สมองของผมที่เหมือนจะปลอดโปร่ง แต่จริงๆ เริ่มหนักอึ้งและเคร่งเครียดอีกครั้ง พี่หมอกทำให้ผมรู้สึกดี ทุกอย่างที่ผมเคยฝันเอาไว้ราวกับกลายเป็นจริง ผมมีความสุขมาก ที่พี่หมอกเริ่มคุยกับผม และทำดีกับผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมพี่เขาถึงได้ดูสนใจผม ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน ผมแทบไม่ได้อยู่ในสายตาของพี่เขาเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นเหมือนกับเรื่องมหัศจรรย์ที่มันไม่มีทางเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว มันเกิดขึ้นจริงๆ จนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน
แต่ว่าเมื่อผมอยากจะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่นั้น ผมกลับทำมันไม่ได้ หัวใจผมยังคงจดจำเรื่องราวบางสิ่งที่ทำให้ผมต้องเจ็บปวด พี่เปอร์นั้น เป็นคนแรกที่ผมนึกถึง ผมดึงตัวพี่เขามาพัวพันในเรื่องที่มันไม่ควรเลย พี่เขาจะต้องเจ็บปวดเพราะผม ยิ่งเห็นสายตาของพี่เขาเมื่อกี้นี้ ผมยิ่งเสียใจเหลือเกิน
"อิน วันนี้กินข้าวด้วยกันนะ" ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็สะดุ้งน้อยๆ ผมมองหมี่ที่เพิ่งเข้าเรียนในช่วงกลางคาบ และตรงดิ่งมาหาจนผมแปลกใจ "นะ แล้วก็กลับบ้านด้วยกัน" หมี่พูดต่อ ทำเอาผมได้แต่อึกอักเพราะยังไม่ได้ตัดสินใจ
"อืม ได้สิ" ผมบอกเธอ และมองดูเธอที่เดินไปนั่งกับเพื่อน ผมเผลอตอบรับเธออัตโนมัติ ทั้งๆ ที่อยากจะบอกว่าไม่เหลือเกิน
และในช่วงกลางวันนั้น สิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้ผมนั่งอยู่ท่ามกลางบุคคลที่ล้วนทำให้ผมอึดอัดใจเหลือเกิน
ที่ตรงข้ามผม ผมพยายามหลบสายตาพี่หมอกที่คอยแต่จะเหลือบมองมา และข้างๆ ผมนั้น คือพี่เปอร์ ที่นั่งเว้นระยะห่างนิดหนึ่งระหว่างเรา
"ไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วยกันสักพักเลยนะคะ" หมี่ที่นั่งข้างพี่หมอกนั้นพูดขึ้นทำลายบรรยากาศแปลกๆ รอบตัว
ผมได้แต่จ้องมองจานข้าวตรงหน้า และเขี่ยไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร
"คนก็เยอะ ร้อนก็ร้อน ไม่แปลกหรอกที่ไม่มากินน่ะ" พี่เปอร์พูดเอื่อยๆ แบบรำคาญๆ พลางเหลือบมองผม "อินเอาน้ำอะไรไหม พี่ซื้อให้"
"ไม่ครับ" ผมพูดเบาๆ และรู้สึกยิ่งอึดอัดมากขึ้นทุกที
"พี่หมอกคะ ช่วงนี้พี่กลับมาถ่ายละครใช่ไหม หมี่อยากไปนั่งเล่นด้วยจังเลยค่ะ" หมี่เลิกสนใจพี่เปอร์และหันไปอ้อนพี่หมอกแทน
แต่พี่หมอกกลับไม่พูดอะไรเลย และทำสีหน้าน่ากลัวจนผมหายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งสองคนมีอะไรกันหรือเปล่านะ แต่ว่าหมี่ก็ดูปกติดี ถ้าทะเลาะกันหมี่ก็ไม่น่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ได้นาน
"อินเอาไข่ต้มไหม" ผมเหลือบมองพี่เปอร์ที่ตักกับข้าวของตัวเองใส่จานผม พี่เปอร์ก็เป็นคนแบบนี้แหละ
"ผมอิ่มแล้วครับ พี่กินเถอะ" ผมตักคืนพี่เปอร์ทันที ไม่ใช่อะไร แต่เพราะกินไม่ลงจริงๆ
"ก็ได้ แต่วันนี้อินเลิกเรียนกี่โมง พี่ไปส่งได้ไหม..."
"อินจะขับรถพาหมี่ไปส่งค่ะ" หมี่พูดแทรกขึ้นมาทำเอาพี่เปอร์เริ่มหน้าตึง และไม่ใช่แค่พี่เปอร์ เพราะพี่หมอกก็ขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน
"มีอะไร จะไปไหนกัน" พี่หมอกที่นั่งเงียบอยู่นาน อยู่ดีๆ ก็ถามหมี่ ซึ่งไม่รู้ทำไม ผมมองหมี่ที่หัวเราะขึ้นมาเบาๆ
"ทำไมคะ พี่ถามเหมือนเป็นเรื่องแปลกอะไร ก็หมี่กับอินอยู่บ้านเดียวกันนี่คะ" หมี่พูดขึ้นและจ้องมองพี่หมอก
"ไอ้หมอกถามน่ะไม่แปลกหรอก เพราะพี่ก็เห็นช่วงหลังๆ มาเราก็ขับรถกลับเองประจำ" พี่เปอร์พูดสนับสนุนความคิดพี่หมอก แต่ผมก็ว่าแปลกเหมือนกัน
"เหอะ ไอ้ที่แปลกน่ะพวกพี่สองคนต่างหาก" หมี่พูดเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเอง แต่สายตาตอนนี้จับจ้องมองมาที่ผมเพียงผู้เดียว
หลังจากกินข้าวเสร็จนั้น ผมและหมี่ไม่มีเรียนในตอนบ่าย ผมจึงถูกหมี่ลากกลับบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าผมเป็นคนขับ
"เฮ้ออออ" ทันทีที่ขึ้นมาบนรถ หมี่ถอนหายใจยาวเหยียดและนั่งพิงพนักอย่างเซ็งๆ
"มีเรื่องอะไรเหรอ" ผมถามเธอ เพราะผมไม่ค่อยเห็นเธอเป็นแบบนี้เท่าไหร่
"ก็จะเรื่องอะไรล่ะ เรื่องพวกหน้าไม่อายที่ชอบแย่งผัวชาวบ้าน" ผมหน้าชาขึ้นน้อยๆ มือที่กำพวงมาลัยก็เผลอกำแน่นอย่างลืมตัว
"ใครเหรอ" ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจกลับเต้นแรงเหลือเกิน
"ทำไม อยากรู้จริงๆ เหรอ" หมี่พูดและหันมามองผม มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้นเล็กๆ ผมเดาอารมณ์ของเธอไม่ถูกเลยจริงๆ
"ก็ถ้าอยากบอก" ผมพูดและขับรถต่อไป
"อืม ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่พวกหน้าด้าน น่าขยะแขยง รู้ว่าเขามีเจ้าของก็ยังจะพยายาม แต่มันก็แค่ช่วงหลงผิดเท่านั้นแหละ เพชรกับขี้โคลน แกว่าจะมีใครอยากเล่นกับของสกปรกโสโครกได้นานกัน เดี๋ยวเวลาผ่านไป มันก็ไร้ค่าไปเอง" หมี่พูดด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ผมได้แต่รับฟังและหวังอยู่ข้างในลึกๆ ว่า คนที่เธอพูดถึงนั้น คงไม่ใช่ผม
ในช่วงหัวค่ำ ผมยังคงคิดทบทวนทุกอย่างอยู่ในหัว ความหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นในหัวใจของผม หมี่ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ให้ผมฟังกัน หรือเธอกำลังสงสัยอะไร แต่ว่านิสัยของหมี่นั้นผมก็รู้ดี ถ้าเธอรู้ แน่นอนแม่ผมป่านนี้คงรู้ไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ หมี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นเกย์ เป็นไปไม่ได้ ผมควรจบทุกอย่างที่ไม่ถูกต้อง ก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้
ผมค่อยๆ เลื่อนมือไปอุ้มตุ๊กตาตัวโตที่อยู่บนหัวเตียง ความรู้สึกนุ่มละมุนทุกครั้งที่สัมผัส ทำให้หัวใจของผมผ่อนคลาย และยิ่งรู้ว่าใครเป็นเจ้าของมันแล้วนั้น มันก็ยิ่งล้ำค่าสำหรับผมเหลือเกิน
แต่ว่ามันผิด ผมในตอนนี้ไม่ควรที่จะเก็บมันเอาไว้ ถึงแม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ว่ามันไม่ควรเป็นของผม เหมือนกับพี่ที่ไม่ควรมายุ่งกับผม ทั้งๆ ที่พี่ก็มีคนของพี่อยู่แล้ว และผมเองก็เช่นกัน
ผมคิดและตัดสินใจ กอดมันให้แน่นที่สุด สูดดมความหอมของมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะไม่ได้เป็นของผมอีกแล้ว