สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung0209
File : 12
สุริยันจันทราหมุนเวียนเปลี่ยนผันจวบหลายเพลาแล้ว อาการของอดีตพระสมุทรเทพก็ดีวันดีคืน ด้วยยาใจตำหรับนภนต์นั้นคอยดูแลไม่ห่างกาย ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นทั้งสองจะไม่ค่อยพูดจาดีๆ กันเสียเท่าไหร่ เทพนภาถึงจะรู้แก่ใจตัวเองว่ารักคนงามมากแค่ไหน กลับยังปากแข็งมิยอมเอื้อนเอ่ยความในใจ แต่มักแสดงออกด้วยการกระทำ ชลันธรเองนั้นก็เง้างอนน้อยใจนภนต์ที่ชอบเหย้าแหย่ตนเอง คิดแต่ในแง่ดีที่ว่าเป็นแบบนี้ก็อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่พูดจาอะไรกันเลย
“ตื่นได้แล้ว...จะนอนให้ถ้ำถล่มหรือไร” นภนต์ปลุกร่างบางขี้เซาที่นอนอยู่ข้างกาย ชลันธรหน้านิ่วเปลือกตายังคงปิดอยู่ก่อนจะหันมาซุกตรงอกอุ่น นภนต์เห็นพฤติกรรมก็อดที่จะระบายยิ้มออกมาไม่ได้
“ฟอด…จะตื่นหรือไม่เล่า หากเจ้าไม่ตื่นข้าจะหอมแก้มเจ้าจนกว่าเจ้านั้นจักตื่นขึ้นมา” นภนต์โน้มหน้าหอมแก้มใส ก่อนจะกระซิบข้างใบหูนิ่มส่งผลให้ชลันธรตื่นขึ้นมาทันที
“หยุดล่วงเกินเราได้แล้ว เราตื่นแล้ว!!” ชลันธรเอ่ย พร้อมฝ่ามือบางที่ค้ำยันใบหน้าที่หล่อเหลา ก่อนที่นภนต์จะหอมแก้มตนจนช้ำ
“ตื่นแล้วก็รีบไปจัดแจงสรงน้ำแต่งกายเสียให้พร้อมสรรพ วันนี้พวกเราจักต้องเดินทาง” นภนต์เอ่ย
“เราไม่ไปกับท่านหรอก” ชลันธรสวนทันควันไม่คิดจะฟังว่านภนต์จะพาตนไปแห่งหนใด
“เจ้าจะทำตัวเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณหรือ…ชลันธร ข้าจะพาเจ้าไปกราบขอบพระคุณฤาษีวิทู พระอาจารย์ที่ช่วยเหลือเจ้าให้รอดจากพิษนาคา” นภนต์แสร้งพูดว่า ชลันธรที่พอรู้จุดประสงค์ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท...ใช่แล้วควรที่จะไปกราบชอบพระคุณท่านฤาษีสักครั้ง...
“ถ้าเป็นการที่ท่านว่า...เช่นนั้นก็ได้ เราจักไป เราก็อยากกราบเท้าขอบพระคุณท่านฤาษีวิทูที่ได้ช่วยชีวิตเราไว้” ชลันธรเอ่ย นภนต์ก็ทำนิ่งเฉยทั้งที่ในใจนั้นอดเอ็นดูท่าทางทำนิ่งขรึมของชลันธรเสียไม่ได้
“ทีข้านั้นทั้งช่วยชีวิตเจ้า รักษาเจ้า ใยเจ้าถึงมิกราบแทบบาทาข้าบ้างเล่า” นภนต์เอ่ยเย้าคนงาม ใบหน้าสวยบ่งบอกว่าไม่พอใจในคำพูดของเทพนภา
“ได้ หากท่านนั้นประสงค์ที่จะให้เรากราบแทบบาทาของท่านแล้วไซ้ เราก็ยินดี...” ชลันธรพนมมือขึ้นมาแล้วก้มลงกราบแทบเท้าของนภนต์ ในเมื่ออยากให้กราบตนก็จะกราบแต่ก็ใช่การกราบที่ตนนั้นยินดีไม่ ในระหว่างที่โน้มลงก้มกราบฝ่ามือใหญ่ก็รวบมือพนมคู่เล็กเอาไว้เสียก่อน ชลันธรมองใบหน้าของนภนต์อย่างไม่เข้าใจ
“เหตุใดท่านถึงมารวบข้อมือของเราเสียเล่า ท่านอยากให้เรากราบท่านมิใช่หรือ” ชลันธรเอ่ยถาม
“เจ้าคงอยู่โลกมนุษย์มายาวนาน จึงลืมประเพณีของเราชาวสวรรค์เสียสิ้นแล้วกระมัง การที่เทพยดาหรือนางอัปสรจะก้มกราบบาทผู้ใดนั้น ก็จะต้องกราบหนึ่งผู้ที่เราเคารพ สองผู้ที่เราจักขอโทษและสามผู้ที่จะมีศักดิ์เป็นภัสดา ส่วนที่ข้าหยุด...เจ้าข้าเพียงอยากจะรู้ให้แจ้งแก่ใจว่าเจ้านั้นกราบข้าด้วยเพราะเหตุใด…” นภนต์เอ่ยโดยเน้นเสียงที่ข้อสามก่อนจะยิ้มร้ายออกมาเหย้าแหย่ให้ชลันธรหน้ามุ่ยเสียอย่างนั้น
“เราไม่กราบท่านแล้ว ท่านชอบทำให้เราไม่พอใจ” เอ่ยแล้วก็นอนหันหลังให้กับอีกฝ่าย ทำเหมือนงอนแต่ภายในใจนั้นคิดอะไรก็มิอาจจะคาดเดา
“กระนั้นหรือ ตอนแรกข้าคิดเสียว่าเจ้าจะกราบข้าผู้ที่เป็นดั่งภัสดาของเจ้าเสียอีก” นภนต์เอ่ยออกมาพร้อมกับสรวลเล็กน้อย
“เราไม่กราบท่านเพราะเหตุผลนี้เป็นแน่”
“แล้วเจ้าจะกราบข้าด้วยเหตุผลใดหรือว่าจะกราบขอโทษเรื่องที่เจ้าทำร้ายมารดาข้า”
“นั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่ เราไม่ผิดเราจะกราบขอโทษทำไม เราไม่เคยคิดที่จะทำร้ายท่านน้ากวินตา ถ้าเราจะวางยาใครสักคน คนนั้นก็คือท่าน…ท่านนภนต์” ตอบกลับไปด้วยอารมณ์ประชดประชันแต่ คำพูดของคนงามก็หาได้ทำให้นภนต์โกรธเคืองแต่อย่างใด
“ถ้าเจ้าไม่ได้ทำก็จงพิสูจน์ให้ข้าเห็นสิชลันธร ไม่ใช่มัวนอนยั่วยวนข้าบนเตียงเช่นนี้” นภนต์แหย่แมวน้อยให้กลายเป็นเสือ ชลันธรพลิกตัวกลับมาแล้วใช้มือใช้เท้า ทั้งผลักทั้งถีบให้นภนต์ตกลงเตียงไป
“เราพิสูจน์แน่ ถึงครานั้นท่านจะเสียใจที่ไม่เชื่อใจเราและหมดรักในตัวเรา” ชลันธรเอ่ยใส่ร่างสูงที่พลัดตกเตียงไปเมื่อครู่
“ฤทธิ์เยอะเสียจริง...ข้าบอกไว้เลย ข้าไม่เสียใจ!!!... อืม นี่ก็สายมากแล้วเจ้ารีบไปจัดแจงสรงน้ำและพลัดผ้าได้แล้ว ข้าจะไปรอเจ้าที่นอกถ้ำแก้วนี้ อย่าให้ช้าเสียล่ะ” นภนต์พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปแต่ก็ไม่วายหยิบผ้าห่มคลุมกายชลันธรจนมิด จนร่างบางโวยวาย
…‘ข้าเองก็อยากเสียใจที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า…แต่ข้านั้นไม่นึกเสียใจที่หมดรักเจ้า...เพราะข้ายังคงรักเจ้าอยู่มิได้ลดลงเลย…ชลันธรน้องพี่’...
เมื่อจัดแจงสรงน้ำและแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่ที่นภนต์ตระเตรียมไว้ให้ เนื้อภูษาอาภรณ์นั้นงามชั้นเลิศแลลวดลายวิจิตรพิศดานยิ่งนัก แต่ทว่ากว่าจะเรียบร้อยก็กินเวลาไปเสียพักใหญ่ ทำเอาคนที่ยืนรอหน้าถ้ำลุกลี้ลุกลนเดินวนไปมาไม่ยอมหยุด ด้วยอาภรณ์ที่ว่างามแล้วและคนงามที่สวมใส่ยิ่งทำให้กายนั้นดูมีสง่าราศีมากขึ้นทั้งที่ยังคงกายมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเทพเทวาหรือมนุษย์โลกหากได้ยลเพียงเสี้ยวเดียวของใบหน้าคนงามในยามนี้ ก็จำเป็นต้องมนต์เสน่หาซึ้งตรึงใจ หลงรักใคร่ในเพียงครั้งเดียวเป็นแน่แท้
“ท่านนภนต์…” เสียงเรียกเทพหนุ่มที่กำลังยืนคุยกับพญาอินทรีเผือกตัวใหญ่ที่เข้ามาเกาะท่อนแขนแกร่ง นภนต์หันหน้าไปมองตามเสียงเรียกนั้น ทันทีที่ได้ชมกายเจ้าของเสียงก็แทบจะตกอยู่ในภวังค์ ดั่งเมื่อครั้งแรกที่ได้ยลกายงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงใจนั้นจำต้องผูกสมัครภิรมย์รักใคร่โดยมิทันตั้งตัว ซ้ำยังเกี่ยวพันผูกดวงใจมิมีคิดว่าจะร้างลา ยิ่งได้เห็นเต็มตาก็ยิ่งพาให้รำพึงถึงยามที่คนึงหาแนบด้วยกายอยู่ด้วยเสียทุกครั้งไป แม้อาภรณ์งามที่สวมใส่บนกายนั้นจะไม่ได้ประดับด้วยยศฐา แต่ชลันธรก็ดูงามเสียเทพหนุ่มมิอยากผู้ใดได้ยลโฉม
“เจ้ากลับไปก่อน” พอตื่นสติ นภนต์ก็ไล่พญาอินทรีเผือกนั้นให้โผบินกลับไปเสีย ส่วนตนก็ทำตีหน้านิ่งขรึมแสร้งว่าทำเป็นไม่พอใจชลันธร
“ช้า…มาช้ายิ่งนัก” นภนต์พูดบ่น ทำเอาชลันธรหน้าถึงกับเสียทันทีทันใด
“เราขออภัยที่ล่าช้า” ชลันธรรีบขอโทษอีกฝ่ายง่ายๆ เพราะรู้ดีว่าตนนั้นมาสายจริงๆ
“อืม อย่าทำบ่อยก็แล้วกัน” นภนต์พูดจบก็เดินเข้าหาแล้วช้อนกายอีกคนขึ้นมาอุ้ม เล่นเอาจนชลันธรที่กำลังเผลอนั้นร้องตกใจ แต่ก็รีบโอบรอบคอเทพหนุ่มไว้เพราะกลัวเทพหนุ่มจะแกล้งปล่อยให้ตกลงพื้น
“ท่านอุ้มเราทำไมเล่า ปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้”
“ก็ข้าจักพาเจ้าไปหาฤาษีวิทูน่ะสิ เข้าใจหรือไม่...หรือว่าเจ้าจะเดินไป...” นภนต์เอ่ยจบ ชลันธรเพียงพยักหน้ารับตามคำกล่าว เทพเวหาพอเห็นว่ามนุษย์ในอ้อมแขนไม่ขัดขืนอะไรก็สยายปีกสีทองออกแล้วโบยบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
กลุ่มเมฆาสีขาวล่องลอยผ่านร่างทั้งสอง มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับชลันธรที่ไม่ได้เหาะเหินเยี่ยงนี้มาแสนนาน พาลคิดถึงอดีตที่นภนต์มักจะพาตนเหาะเที่ยวเล่นอยู่บ่อยครั้งในยามที่ตนว่าง นภนต์เองก็ก้มมองชลันธรที่อมยิ้มก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้…
‘...ข้าคิดถึงความสุขในครั้งอดีตยิ่งนัก ท่านนภนต์...’
“ข้าแปลกใจยิ่งนัก เพลานี้ข้าอุ้มเจ้าอยู่เหตุใดเจ้าจึงไม่ร้องบอกให้ข้าปล่อยเจ้า” นภนต์พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ ชลันธรที่ได้ฟังก็หุบยิ้มทันที... ‘ใครจะกล้าร้องกันเล่า ขืนร้องออกมาโดนปล่อยกลางอากาศ ตกลงไปเบื้องล่าง คงเจ็บหนักเป็นแน่...’
“เจ้าคงคิดว่าข้าจะโยนเจ้าเฉกเช่นที่ข้าเคยทำกับเจ้าตอนสรงน้ำใช่หรือไม่ เจ้าอย่ากังวลเลยข้าไม่ปล่อยเจ้าลงไปดอก” คำพูดของนภนต์ทำให้ชลันธรนั้นหวั่นไหวไปกับประโยคหากไม่มีประโยคอื่นตามหลัง
“ถ้าเจ้าตกลงไปข้าเกรงว่าจะไปทับเหล่าสรรพสัตว์ที่อยู่เบื้องล่างจมดินตายไปเสียน่ะสิ” นภนต์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง นานมากแล้วที่เทพท้องนภาจะยิ้มหรือหัวเราะออกมาเช่นนี้
“ท่านช่างกวนประสาทเรานัก กายเรานี้ก็นิดเดียว จะไปทับตัวอะไรได้อย่างไรกัน ...เราจักไม่คุยกับท่านแล้ว...” ชลันธรเอ่ย ใบหน้าสวยบูดบึ้งไม่พอใจ นภนต์เองไม่คิดจะง้อคนรักเพราะ ด้วยตนนั้นชอบแกล้วกวนประสาทให้คนงามงอนเล่นอยู่เสมอ เสมือนเป็นประจำวันเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ ผู้ใดเล่าจะได้เห็นคนงามยามเง้างอนเยี่ยงนี้จะมีก็แต่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เมื่อล่วงเข้าสู่เขตขัณฑ์คันทมาศคีรี ไม่นานนภนต์ก็บินลงมายังหน้าอาศรมของฤาษีวิทูผู้เป็นพระอาจารย์แล้ววางชลันธรลงให้ยืนอยู่เคียงข้าง ฤาษีวิทูนั้นรู้ว่าศิษย์จะมาพร้อมกับคนรักจึงออกมาจากอาศรมเพื่อต้อนรับ
“ท่านนภนต์ ท่านชลันธรเชิญนั่งก่อน” ฤาษีวิธูเชิญทั้งสองให้ประทับลงบนแคร่ไม้ใกล้ๆ
“อย่าได้เรียกเราว่าท่านเลยท่านฤาษีวิทู เพลานี้เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น” ชลันธรถ่อมตน รู้ดีว่าสถานะของตนตอนนี้เป็นมนุษย์สองกรหาใช่เทพมหาสมุทรสี่กรไม่
“ถ้าท่านประสงค์เช่นนั้นก็ย่อมได้ ว่าแต่มาหาข้านั้นมีเรื่องอันใดเล่า” ฤาษีวิทูถาม
“ข้ารู้ว่าท่านอาจารย์รู้ดีว่าเราทั้งสองมาเพราะเหตุใด” นภนต์ตอบ เนื่องจากเป็นศิษย์จึงรู้ว่าพระอาจารย์ของตนมีความสามารถหยั่งรู้อนาคต
“คือข้าจักมาขอบคุณท่านฤาษีวิทูที่ช่วยเหลือข้าให้รอดชีวิตไม่ให้เหลือไว้เพียงชื่อ” ชลันธรกล่าวออกมาจากใจที่ซาบซึ้งในพระคุณของฤาษีผู้นี้
“ทีข้าเจ้าไม่เห็นขอบคุณบ้าง ชลันธร” นภนต์เอ่ยออกมา ชลันหันขวับมองค้อนใส่…’คนบ้า ท่านพูดเยี่ยงนี้ท่านฤาษีวิทูก็รู้กันพอดีว่าท่านช่วยรักษาข้าด้วยวิธีใด’
“ท่านฤาษีวิทู เรามีเรื่องอยากจะขอให้ท่านช่วย” ชลันธรเปลี่ยนเรื่องคุย ทำเป็นไม่สนใจที่นภนต์ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเมื่อครู่
“ว่ามาเถิด มีการใดจะให้ข้าช่วยเล่า”
“ความทรงจำของข้านั้นกลับคืนมาแล้วและข้านั้นต้องพิสูจน์ตัวเองให้หลุดพ้นจากข้อครหาเสียที ท่านฤาษีวิทูพอจะชี้แนะให้ข้าจะได้หรือไม่” ชลันธรบอกถึงสิ่งที่จะให้ฤาษีผู้เก่งกล้ารับรู้ในระหว่างที่พูดก็มองใบหน้าของชลันธรไปด้วย
“ถ้าอยากรู้ว่าเกิดเหตุอันใดเมื่อกาลก่อน มีทางเดียวคือ...ต้องย้อนเวลากลับไปยังอดีต”
“ย้อนเวลาอย่างนั้นหรือ แล้วจักต้องทำอย่างไรเล่าจะย้อนเวลาให้ข้าได้” ชลันธรเริ่มหมดหวังเพราะตัวเขานั้นไม่มีกำลังพอที่จักทำการนี้ได้หรือต่อให้เป็นเทวาอย่างนภนต์เองก็ไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
“อย่าทำหน้าเศร้าโศกเช่นนั้นเลยชลันธร ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ หากคิดที่จะย้อนเวลา ก็ต้องไปหาเทพที่เกี่ยวข้องกับเวลา”
“เทพกาลเวลา...” นภนต์เอ่ยนามเทพผู้ลึกลับที่ไม่มีใครได้เห็นมานานนับสหัสวรรษ
“ใช่แล้วท่านนภนต์ เทพกาลเวลานี้เป็นผู้เดียวที่จะสามารถนำพาท่านทั้ง 2 ย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้” ฤาษีวิทูกล่าวเสริม
“แล้วท่านเทพกาลเวลาอยู่ที่ใดกันเล่า ตั้งแต่เราจำความได้เราก็ไม่เคยเห็นเทพกาลเวลาเลยสักครั้ง” ชลันธรเอ่ยเสียงเครียด ถึงจะรู้วิธีพิสูจน์ตัวเองหากมันช่างยากเย็นเหลือเกิน
“เทพกาลเวลานั้นเพลานี้ได้ถูกสาปให้นิทราอยู่ในวิมานซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาจิราดร”
“เหตุใดกันเทพกาลเวลาจึงได้ถูกสาป” ชลันธรถามต่อ
“เรื่องราวนั้นเกิดขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน…”
โลกได้ถือกำเนิดมาเป็นหมื่นล้านปี พระผู้สร้างองค์ก่อนรวมถึงเหล่าทวยเทพและนางฟ้าทั้งหลายต่างช่วยกันสร้างโลกให้สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ เทพบางองค์ใช้คราบไคลสร้างเป็นดินปั้นเป็นหินผา เทพธิดาที่สระเกศาจากสระอโนดาตก็บิดมวยผมให้เกิดแหล่งน้ำบนผืนโลก บ้างก็หว่านเมล็ดพืชพันธุ์ เนรมิตสรรพสัตว์ทั้งหลายและท้ายที่สุดพระผู้สร้างก็สร้างมนุษย์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีความเฉลียวฉลาด สติปัญญา ให้อาศัยบนพื้นพิภพจนเกิดโลกาที่สมบูรณ์แบบ
เวลาผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบเรียบร้อยไร้ซึ่งความทุกข์ ทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งเทพแห่งความตายละเหล่าอสูรกายในมหาอเวจีนรกที่ไม่พอใจเหล่าทวยเทพ เพราะพวกตนไม่มีส่วนร่วมในการนี้ จึงคิดจะทำลายสิ่งที่พระผู้สร้างได้สร้างเอาไว้นั้นก็คือโลก กระนั้นหากลงมือเองก็คงจะสู้ไม่ได้ จึงได้คิดใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือเพราะคิดว่าพระผู้สร้างและเหล่าทวยเทพคงจะไม่ทำลายสิ่งที่ตนสร้างมากับมือ
ตามบัญชาเทพแห่งความตาย เหล่าอสูรกายได้แปลงร่างเป็นต้นไม้ปีศาจหยั่งรากลึกแผ่กิ่งก้านสาขาและออกผลเป็นอัญมณีนพเก้า เหล่ามนุษย์ผู้มีกิเลสหนานั้นได้เห็น ต่างก็อยากที่จะได้มาครอบครองจึงคิดจะปลิดผลหากแต่ต้นไม้ปีศาจนั้นกลับพูดขึ้นมา
...“พวกเจ้าไม่สามารถเก็บผลของข้าได้ ผลไม้เหล่านี้เป็นของเทพบนสวรรค์”... เสียงอสูรร้ายเอื้อนเอ่ย
… “แล้วเหตุใดต้นไม้นี้จึงได้กำเนิดบนพื้นโลก ไยไม่อยู่สรวงสวรรค์เล่า”... มนุษย์ขี้สงสัยคนหนึ่งเอ่ยถามต่อ ซึ่งเข้าทางอสูรกายยิ่งนัก
“ก็เพราะเหล่าเทวานั้นถือว่าเป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง จึงเอาแต่ใจจักทำอะไรก็ได้ นึกอยากจะเสกฝน เสกลมมายังโลกมนุษย์เวลาไหนก็ได้ เจ้าว่ายุติธรรมหรือไม่ ทั้งที่พวกเจ้าเองมีสมองอันชาญฉลาดมิต่างจากเหล่าเทพยาดาเลยแม้แต่น้อย...แต่วันนี้ข้านั้นใจดี หากพวกเจ้าหมายอยากจะได้ผลไม้อัญมณีนพเก้าแล้วล่ะค่ะ ข้าจะยอมให้ปลิดไปได้คนละหนึ่งผล”...ต้นไม้ปีศาจเริ่มปลุกเร้ากิเลสที่ซ่อนอยู่ภายในใจของมนุษย์ แสร้งไหวกิ่งไม้ให้กลิ่นไอปีศาจจากผลไม้นั้นลอยลมทั่วบริเวณเพื่อกล่อมประสาทสะกดให้มนุษย์ไม่สนใจถึงคุณงามความดี
“ที่สำคัญพวกเจ้าเองก็รักษาประพฤติด้วยศรี ซ้ำยังสร้างคุณงามความดี เจริญสมาธิบำเพ็ญเพียร แล้วไยถึงมิได้ขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ ก็ด้วยเพราะเหล่าเทวดาพวกนั้นล้วนอิจฉาไม่อยากให้มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้าได้ดี เจ้ามนุษย์เอ๋ย...พวกเจ้านั้นช่างโง่เขลายิ่งนักที่ถูกหลอกมานานแสนนาน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เหล่ามนุษย์พอได้ฟังก็สดับคิดบวกกับกลิ่นอายปีศาจจากผลไม้นพเก้า และคำยั่วยุที่คอยสร้างความเกลียดชัง ปลุกกิเลสให้ลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ในเมื่อทำความดีแล้วไม่ได้ดีก็ทำความชั่วก็คงจะดีเสียกว่า
ดั่งคำที่ว่าความชั่วนั้นทำง่าย…ไม่นานมนุษย์ก็เลือกเดินทางผิดสร้างความวิบัติให้กับโลกและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คุณธรรมที่เคยจรรโลงใจต่างดับสูญมีเพียงมนุษย์บางกลุ่มที่ยึดมั่นในความดีก็พาลต้องถูกตามล่าและหนีกันหัวซุกหัวซุน
โลกที่งดงามกำลังจะกลายเป็นเพียงอดีต เหล่าทวยเทพทั้งหลายต่างประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ทั่วทั้งสภาต่างถกเถียง จนแล้วสุดสรุปผลได้ว่าจักต้องทำการล้างโลกให้สิ้นนั่นก็คือสร้างอุทกภัย หน้าที่นี้จึงตกเป็นของเทพมหาสมุทร
เทพมหาสมุทรใช้พลังสร้างคลื่นยักษ์ขึ้นมาโดยมีวายุเทพคอยช่วยสร้างพายุพัดคลื่นสีครามไปยังทิศทางต่างๆ หากในเวลานั้นเทพกาลเวลากลับสงสารเหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์อื่นๆที่ไม่รู้เรื่องราว จึงได้ทำการหยุดเวลาแล้วนำมนุษย์ พืชพันธุ์ และสิ่งมีชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องใส่ในเรือสำเภาทองจากนั้นก็ปล่อยเวลาให้ดำเนินตามปกติ วารีก็ท่วมผืนปฐพีกวาดล้างมนุษย์ชั่วหมดแผ่นดิน ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากการหยุดเวลาของเทพกาลเวลาทำให้การหมุนตัวของโลกในระบบสุริยะแปรเปลี่ยน ทั้งยังทำโดยพลการโดยไม่ปรึกษาหารือ จึงถือว่าเทพแห่งกาลเวลานั้นขัดเทวราชโองการของพระผู้สร้าง
...“ณิชรันดร ความผิดของเจ้านั้นช่างใหญ่หลวง หยุดเวลาโดยพลการส่งผลให้ระบบสุริยะต้องแปรปรวน ข้าขอสาปเจ้าให้หลับใหลในวิมานของเจ้าเป็นเวลาสามพันปีมนุษย์!!!”...
“แล้วนับแต่นั้นเป็นต้นมา เทพณิชรันดรหรือเทพแห่งกาลเวลาก็นิทราไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย” ฤาษีวิทูเล่าเรื่องราวของเทพแห่งกาลเวลา ทั้งนภนต์และชลันธรต่างสดับฟังก็พาลหน้าเสียเพราะถึงจะเจอตัวเทพกาลเวลาก็ไม่สามารถจะร้องขอให้ช่วยได้
“ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังกังวล แต่นับตั้งแต่น้ำท่วมโลกครั้งนั้นมาจนถึงบัดนี้ก็ใกล้ครบกำหนดสามพันปีแล้ว” คำพูดของฤาษีวิทูทำให้ชลันธรใจชื้น
“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นแล้วข้าขอกราบลาท่านอาจารย์ก่อน ข้าคงต้องพาชลันธรบินไปยังเขาจิราดร ถ้าเดินทางเพลานี้วันพรุ่งก็คงถึง”
“ช้าก่อนท่านนภนต์การจะเดินทางไปถึงเชิงเขาจิราดร หากเดินทางทางอากาศเห็นทีจะไม่รอด เพราะเหนือยอดไม้บนผืนป่ากันติทัตนั้นมีกระแสลมแรงพัดวนอยู่ กล่าวกันว่าแรงมากขนาดพญาครุฑผู้มากด้วยกำลังยังไม่สามารถบินผ่านได้ และถูกกระแสลมนั้นพัดออกไปไกลอีก มีเพียงวิธีเดียวคือต้องเดินผ่านป่ากันติทัตเท่านั้นและอีกอย่างท่านนภนต์...ท่านเองหมดหน้าที่ที่จักต้องดูแลชลันธรแล้วมิใช่หรือ อย่าลืมว่าตอนนี้ชลันธรก็จำเรื่องราวทุกอย่างได้หมดสิ้นแล้ว...” นภนต์ได้แต่นั่งเงียบเป็นอย่างที่ฤาษีวิทูได้กล่าว เพลานี้ก็หมดหน้าที่ของตนแล้ว ทางด้านชลันธรเองก็หันไปมองหน้านภนต์คนรักด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“มีเรื่องอันใดจักถามข้าอีกหรือไม่ พอดีข้าต้องไปถือศีลภาวนายังเชิงเขาไกรลาสต่อ”
“เราไม่มีเรื่องไรจะรบกวนท่านฤาษีแล้ว ขอขอบพระคุณที่ช่วยชี้แนะให้กับเรา” ชลันธรพนมมือไหว้อย่างนอบน้อมพร้อมกับนภนต์ พลันฤาษีวิทูก็หายไป ชลันธรสีหน้าไม่สู้ดีนักเพราะถึงความทรงจำกลับมาตนก็ยังเป็นมนุษย์การเดินทางไปคนเดียวย่อมเสี่ยงอันตรายดีไม่ดีก็อาจจะตายกลางทางเสียได้ก่อนจะได้พิสูจน์ความจริง
“อ๊ะ!!” ชลันธรร้องออกมาที่ถูกนภนต์อุ้มทีเผลอเป็นครั้งที่สอง
“ท่านอุ้มเราทำไม ท่านนภนต์” ชลันธรเอ่ยถาม
“ข้ารู้ว่าข้าหมดหน้าที่แล้วแต่ข้าจะช่วยสงเคราะห์ส่งเจ้าที่ทางเข้าป่ากันติทัตเป็นการเอาบุญ” นภนต์ผู้แสนปากแข็งเอ่ย อยากช่วยแต่ก็ดันพูดวาจาชวนให้คนฟังนั้นเกิดโทสะ ชลันธรมองค้อนแต่ก็ไม่พูดอะไร นึกถึงว่าเมื่อถึงป่ากันติทัตแล้วคงตั้งจำจากนภนต์และอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าเทพหนุ่มจะพูดจายียวน หรือล่วงเกินเพียงใด ถึงตอนนี้ตนอยากจะอยู่ในอ้อมแขนของนภนต์ให้นานที่สุดเพราะอาจจะไม่มีโอกาสนี้แล้วก็เป็นได้
นภนต์กระชับอ้อมแขนให้ชลันธรแนบร่างกว่าปกติแล้วทะยานสู่ท้องฟ้าไปยังป่ากันติทัต ใจของนภนต์อยากจะวอนขอพรสักประการให้กาลเวลาหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ ตลอดสองร้อยเก้าสิบเก้าชาติที่ทิ้งคนรักเพราะทิฐิ พอรู้ตัวว่าตัดใจไม่ขาดเทพหนุ่มก็ไม่อยากทิ้งให้ชลันธรต้องเดินทางเพียงลำพัง แต่จักทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อเวลานี้นภนต์หมดหน้าที่ดูแลชลันธรแล้ว
อกใดไหนเล่าจะอบอุ่นเท่าอกภัสดาตน ด้วยแอบอิงใบหน้าแนบอกแกร่ง ทิ้งสิ้นความเขินอายใดๆ กายบางอยากจดจำและสัมผัสกายนภนต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
...เราต้องห่างเขามาแล้วสองเก้าสิบเก้าชาติ ...เมื่อกลับมาเจอกันแล้วจำต้องห่างกันอีกแล้วกระนั้นหรือ... แต่...รักเขามิใช่หรือ... ก็ต้องทำให้แม่เขายอมรับด้วย...อย่างไรเสียเราก็เป็นผู้บริสุทธิ์ และเราจักทำการนี้สำเร็จให้จงได้...ท่านนภนต์...ที่เราทำไปนั้นก็เพื่อ...เราทั้งสอง...
...............................
คัมแบ็กแล้วจ้า มาแล้ว มาแบบหวานๆเนอะ อาจจะไม่ถูกใจใครเพราะมันไม่มีอะไรพีค หรือมาม่ารสเข้ม ส่วนน้ำท่วมโลกนี่อ้างมาจากตำนานที่เราได้ยินกันซึ่งท่านยุ่งก็ได้ดัดแปลงมานะคะ
เรามาเอาใจช่วยหนูลันให้พิสูจน์ตัวเองกันดีกว่า ส่งแรงใจให้ด้วยเนอะ อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกคำติชมนะคะ อันไหนที่ยุ่งพลาดยุ่งแก้ไข อันไหนที่ชมมาก็เก็บเป็นพลัง รักนะคะ