ตอนที่ 27
“กลับมาแล้วเหรอ”
คำถามดังขึ้นทีหลังเมื่อร่างเล็กถลามาหาทันทีที่เปิดประตู แรงปะทะทำให้คนไม่ทันได้ตั้งตัวเซไปด้านหลังเล็กน้อย ท่อนแขนที่โอบรัดเอวของแฟนตามสัญชาตญาณเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวการทรงตัวชั้นดี
“คิดถึงกูอะไรขนาดนั้น”
“คิดถึงมาก”
ปลายหางเสียงถูกลากยาวจนรู้ว่าเป็นการประชดประชันมากกว่าจะรู้สึกแบบในคำพูด
“พอรู้ว่ากูจะพาไปกินข้าวข้างนอกนี่ตื่นเต้นใหญ่เลย?”
ท่าทางเริงร่ากว่าปกติและดวงตาที่ทอประกายวิบวับอย่างไม่เก็บอาการ บ่งบอกให้รู้ว่าแฟนกำลังตื่นเต้น
“ก็นานแล้วนี่ที่เราไม่ได้ออกไปดินเนอร์นอกบ้านกัน” เอ่ยพูดขณะใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม
หินโทรมาบอกก่อนเลิกงานว่าจะพาไปทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารด้วยเหตุผลว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ และแน่นอนว่าแฟนไม่มีทางปฏิเสธ ทั้งยังดีใจเสียจนเสียงที่เอ่ยตอบรับสั่นไหว
หินไม่ค่อยชอบคนเยอะ ที่ผ่านมาจึงไม่ได้ออกไปทานข้าวนอกบ้านบ่อยนัก กระทั่งวันนี้ที่จะได้ไปเปิดหูเปิดตาและถือว่าได้ผ่อนคลายไปในตัวจึงอดตื่นเต้นไม่ได้
“กินข้าวอยู่ห้องก็สบายดี อยากทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทางด้วย” เหตุผลของคนชอบอยู่ติดห้อง
“มันไม่เหมือนกัน กินข้าวข้างนอกได้บรรยากาศ ช่วยให้เราผ่อนคลาย มีความสุข”
คนฟังโคลงหัวน้อยๆ ให้กับคำอธิบายของคนชอบสังสรรค์ แต่เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับประเด็นนี้อีกเลยพูดถึงเรื่องที่สำคัญกว่า
“เดี๋ยวกูจะอาบน้ำแล้วก็เปลี่ยนชุด ระหว่างนั้นมึงก็แต่งตัวรอไป”
แฟนอาบน้ำรอแล้วเรียบร้อยเนื่องจากกลับมาถึงก่อน
“Yep~” ร่างเล็กรับคำเสียงใสก่อนจะกดจูบลงบนปลายคางแกร่งหนึ่งทีแล้ววิ่งเร็วๆ ไปทางห้องนอน
หินได้แต่มองตามคนที่สดใสเกินเหตุไปแล้วถอนหายใจกับตัวเอง
สงสัยคงต้องพาไปกินข้าวนอกบ้านบ่อยขึ้นซะแล้ว
20 นาทีผ่านไป“ไปกินอาหารญี่ปุ่นนะ มีปูแล้วก็มีเนื้อด้วย มึงกินได้”
หินพยักหน้ารับตามใจยามหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจรถมาถือไว้ในมือ ขณะที่คนซึ่งพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมยืนรอออกจากห้องอย่างใจจดใจจ่อ
“ไข่หวานก็มี ข้าวหน้าปลาไหลก็อร่อย มึงกินได้แน่นอนไม่ต้องห่วง”
มือหนาถูกแกว่งเบาๆ ระหว่างกำลังเดินไปยังลิฟต์พร้อมมีเสียงเจื้อยแจ้วข้างตัวดังตลอดทาง
หินไม่ชอบกินของดิบ จริงๆต้องบอกว่าไม่ค่อยชอบอาหารญี่ปุ่นเลยนอกเสียจากพวกปู กุ้ง เนื้อ และเมนูปลาที่ปรุงสุก ฉะนั้นการอ้อนขอให้ไปทานร้านอาหารญี่ปุ่นจึงต้องใช้สกิลความออดอ้อนเล็กน้อย ยอมทำทุกอย่างให้ร่างสูงอารมณ์ดีแลกกับการที่อีกฝ่ายตามใจ
หินไม่ค่อยอิ่มท้องนักถ้ากินอะไรพวกนี้แฟนรู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อถูกร้องขอก็ยังไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง
“รู้แล้ว กูกินได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
“ถ้ากินอาหารที่ไม่ชอบมึงจะรู้สึกไม่อิ่มท้องเท่าไหร่ กูรู้หรอกน่า”
จากการสังเกตหลายครั้ง หากกินอาหารต่างชาติหินจะกินได้น้อยกว่าปกติ และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงจะเริ่มหาข้าวที่เป็นอาหารไทยหรืออาหารอีสานกินอีกรอบ
คำพูดแสนรู้ดีนั้นทำให้คนฟังเลิกคิ้ว
“มาแฝงตัวอยู่ในกระเพาะกูตั้งแต่เมื่อไหร่”
“กูไม่ใช่น้ำย่อยนะ”
น้ำเสียงและใบหน้ากระเง้ากระงอดเรียกรอยยิ้มให้กับคนมอง หินส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงบ่นงึมงำต่อจากนั้น ก่อนจะรั้งคนขี้บ่นให้ก้าวออกจากลิฟต์ยามประตูเหล็กตรงหน้าเปิดออก
“แล้วมึงสอนเด็กวันนี้เป็นยังไงบ้าง” แฟนหาเรื่องคุยระหว่างเดินไปยังรถ
“ก็ดี เหมือนทุกวัน”
“ทำงานแค่วันจันทร์กับวันพุธ ทำไมไม่เห็นว่างขึ้นบ้างเลย”
งานราษฎร์งานหลวงของหินเต็มไปหมดจนบางสัปดาห์ไม่ได้พักแม้เป็นวันเสาร์อาทิตย์ ถึงบางคราวอยากงอแงแค่ไหนก็ทำไม่ได้เพราะเพียงเท่านี้อีกคนก็เหนื่อยมากแล้ว
“ก็ใครจะเอาแหวนเพชร?”
“กูไม่ได้พูดสักหน่อย” ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้พูดแต่ดวงตาคู่สวยก็ไม่อาจห้ามความระยิบระยับเอาไว้ได้
ใครสักคนทำงานหนักเพื่อจะให้อะไรสักอย่างเรา เป็นใครก็ต้องดีใจทั้งนั้น
“มึงไม่ได้พูดแต่เดี๋ยวแม่ก็มากดดันกู” แฟนไม่ตอบอะไรกลับ มีเพียงเสียงหัวเราะที่ดังเล็ดลอดอย่างถูกใจ
คนทั้งสองเดินไปยังทางที่จอดรถเอาไว้ประจำ ตลอดสองเดือนไม่ได้มีเพียง Audi A5 Coupé ที่จอดอยู่มุมนั้นเพียงคันเดียว แต่ยังมี Mercedes-Benz The GLA 2 จอดอยู่ข้างกันเนื่องจากแม่ของหินจัดการให้คนขับขึ้นมาส่งให้ ถึงจะมีเบนซ์แต่ลูกชายของคุณนายพรรณก็ยังคงขับ KSR คันเดิม นอกเสียจากว่าไปไหนมาไหนกับแฟนจึงจะยอมขับรถคันใหม่ไป
“เอ๊ะ นั่นรถใคร”
จังหวะการก้าวเดินชะงักกึกเมื่อถัดจากรถของหินไปกลับมีรถของใครบางคนจอดอยู่ ทั้งที่ตลอดสองเดือนมานี้ไม่มี
ทุกคนจะจอดรถที่ประจำของตัวเอง หรือว่าเจ้าของเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่
“สวยไหม”
“สวยสิ มาเซราติเลยนี่”
ปากขยับตอบคนข้างตัวไปตามสัญชาตญาณยามสายตากำลังจับจ้องมองรถป้ายแดงคันนั้นไม่วางตา
ดูจากรอยบนล้อแล้ว เหมือนเพิ่งถอยออกจากศูนย์มาหมาดๆ
“ชอบรึเปล่า”
“ก็ชอบ” คำตอบนั้นทำให้คนฟังยกยิ้มโดยที่คนซึ่งยังคงมองรถคันสวยอยู่ไม่ทันสังเกต
ทว่าระหว่างรอให้หินเปิดรถ สัญญาณของมาเซราติคันหรูก็ดังขึ้นพร้อมไฟหน้ารถที่กะพริบสองสามครั้ง
แฟนรีบหันขวับมองหาเจ้าของหากแต่เห็นเพียงหินที่ยืนอยู่พร้อมรีโมทรถในมือ และมันคงไม่น่าแปลกหากตราสัญลักษณ์บนนั้นไม่ใช่ตราสามง่ามเหมือนที่ประดับเด่นหราอยู่หน้ารถอีกคัน
“นี่?...”
“รถกูเอง เพิ่งจัดการเรื่องเสร็จวันนี้” ดวงตาคนฟังเบิกขึ้นนิดๆ พลางหันกลับไปมองรถสลับกับหน้าของหิน
ไม่คาดคิดว่าหินจะเลือกรถยี่ห้อนี้
“คิดยังไงถึงถอยมาเซราติ”
“ก็ไม่คิดยังไง ชอบ”
ใครจะบอกว่าอะไหล่และศูนย์หายาก หรือไม่เป็นที่นิยมนักในประเทศไทยก็ไม่คิดสน ความไม่เหมือนใครนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เลือก
ไม่เหมือนใครทั้งรถและคน
“แค่ชอบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีเงินด้วย..ไหนบอกว่าไม่รวย” แฟนเลิกคิ้ว ใช้หางตามองอย่างค่อนขอดอีกฝ่ายนิดๆ
ซื้อรถขนาดนี้เรียกว่าไม่รวยคงไม่ได้แล้ว
“ก็ไม่รวย ยืมแม่มาครึ่งนึง” คนฟังเบ้ปากเมื่อได้ยินคำตอบ
“ที่ใจดีพาไปทานข้าวข้างนอกก็เพราะโอกาสนี้?”
“แค่อยากตามใจมึงแหละน่า”
มือหนาวางลงบนไหล่เล็กก่อนจะดันให้แฟนเดินไปทางฝั่งข้างคนขับ ประตูรถถูกเปิดออกจากนั้นร่างสูงจึงค้อมตัวลงน้อยๆ พร้อมผายมือให้คล้ายเป็นพนักงานขับรถ
“เชิญครับคุณ” ใบหน้าสวยส่ายไปมาพลางพยายามกลั้นยิ้มขณะก้าวเข้าไปนั่งในรถให้พนักงานจำเป็นปิดประตูให้
ไม่นานนักหินก็สอดตัวเข้ามานั่งในตำแหน่งคนขับ เสียงเครื่องยนต์ทำงานดังแผ่วตามราคาที่สูงลิบ กลิ่นความใหม่ของรถยังคงกระจายอยู่จางๆ เมื่อล้อรถหมุนเคลื่อนไปข้างหน้าแฟนก็ยอมรับว่าเกิดความรู้สึกแปลกใหม่เล็กน้อย
แต่ไม่ว่าจะ KSR หรือ Maserati หินยังคงเป็นหิน
--
ใครคิดว่าซื้อรถใหม่แล้วจะได้ออกไปเที่ยวหรือออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น...บอกเลยว่าความเป็นจริงไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด
“พักสายตาบ้างดีไหม มึงอ่านหนังสือมาตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ค่ำแล้วนะ”
แก้วช็อกโกแลตปั่นถูกวางลงพร้อมบิสกิตจานเล็ก ขณะคนที่อ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นมองเพียงเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือมาหยิบช็อกโกแลตไปดูดโดยสายตายังคงจับจ้องที่ตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ
“ใกล้จบแล้ว”
แฟนถอนหายใจเบาๆ พลางเดินกลับไปทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา จากนั้นจึงหยิบหนังสือมาเปิดอ่านระหว่างรอหินออกไปทานข้าวเย็นพร้อมกัน
อีกคนอยู่ในช่วงของการออกข้อสอบไฟนอลสำหรับนักศึกษา หินอ่านหนังสือมากขึ้นจากที่อ่านมากอยู่แล้ว ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงมักขลุกอยู่ในนี้เสมอเมื่อมีเวลาว่าง
“แฟน”
“หืม” คนกำลังนั่งอ่านหนังสือรอเงียบๆ ขานรับพร้อมกับหันไปมองคนเรียก
“มานี่หน่อย”
คนถูกเรียกหาขมวดคิ้วทว่าก็ยอมวางหนังสือลงแล้วเดินไปหาแต่โดยดี
“ว่า”
“วาดรูปเป็นไหม”
“ก็พอได้” แฟนเอ่ยตอบยามจ้องมองหน้าของหนังสือซึ่งมีรูปเครื่องดนตรีหลายอย่างถูกเปิดค้างไว้
“ช่วยวาดรูปนี้แบบขยายใหญ่ๆให้หน่อย”
หินชี้นิ้วลงบนรูปเครื่องดนตรีที่ไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จักมาก่อน ขนาดของภาพนั้นไม่ใหญ่นัก จากการประมวลผลแล้วก็ไม่น่าจะยากเกินความสามารถ
“ได้ จะเอาวันไหน”
“พรุ่งนี้ค่อยวาดก็ได้ วาดลงไอแพด เดี๋ยวกูเอาไปใส่ในข้อสอบ”
“แล้วทำไมมึงไม่วาดเอง”
“หึ สกิลการวาดรูปกู มึงหลับตาวาดยังดีกว่า”
การวาดรูปเป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่ถนัดอันดับต้นๆ เนื่องจากทุกอย่างต้องละเอียดอ่อน มีความสร้างสรรค์มุ่งมั่น คนชอบทำอะไรทื่อๆ ตรงๆ จึงไม่ค่อยชอบศาสตร์ทางด้านนี้นัก
“มึงมีสิ่งที่ไม่ถนัดด้วย?” แฟนแสร้งทำเสียงแปลกใจ
“กูก็คนธรรมดาไหม”
“คนธรรมดางั้นก็ต้องกินข้าว นี่ทุ่มกว่าแล้ว”
หินเลิกคิ้วขึ้นพร้อมพยักหน้ารับ ยอมตามใจคนเป็นห่วงด้วยการปิดหนังสือลงแล้วหยัดกายลุกขึ้นเดินอ้อมไปหา ก่อนจะรั้งแฟนเข้ามาจูบ เติมพลังให้จิตใจก่อนไปเติมพลังให้ร่างกาย
กระทั่งจนพอใจจึงผละออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นกอดแฟนเอาไว้นิ่งๆ
เพิ่งรู้ว่าตัวเองล้าขนาดนี้
“สั่งอะไรมาบ้าง” เอ่ยถามถึงอาหารทะเลที่แฟนสั่งมา
“ทุกอย่าง ปลาหมึก กุ้ง ปู มึงบอกว่าอยากกินปูเลยสั่งมาสองถาด”
หินพยักหน้าจากนั้นจึงพาแฟนเดินออกไปข้างนอก เติมพลังให้กับความเหนื่อยล้าด้วยอาหารจนเต็มท้อง
--
สัปดาห์ซึ่งวุ่นกับการออกข้อสอบผ่านพ้นไป แต่ละข้อถูกคัดสรรและผ่านการวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีว่าสามารถคัดกรองความรู้และความสามารถของเด็กจากเรื่องที่เรียนไปได้ ซึ่งผลจากการโหมงานหนักจนแทบไม่ได้พักนั้นก็ส่งผลให้ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือน
เสียงไอที่ดังขึ้นจากหินทำให้คนที่เดินออกจากห้องหลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จขมวดคิ้ว อีกฝ่ายกำลังนั่งดูบอลอยู่บนโซฟากลางห้อง ทว่าไม่นานนักเสียงไอก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอะไร เจ็บคอเหรอ” ร่างเล็กพร้อมกลิ่นหอมอ่อนของครีมอาบน้ำพาตัวเองเดินมาทรุดตัวนั่งลงข้างคนที่นั่งอยู่ก่อน
หินละสายตาจากเกมกีฬามายังคนข้างตัว ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบก็ต้องปิดปากไอเสียก่อน ท่าทางนั้นน่าเป็นห่วงจนแฟนรีบแนบมือเข้ากับซอกคอแกร่ง
“ตัวมึงอุ่น” หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่นเมื่อรู้ว่าหินกำลังไม่สบาย
หลังจากกลับห้องมาก็เห็นไอเพียงไม่กี่ครั้งจึงไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้หินไอถี่พร้อมทั้งตัวอุ่นขึ้นกว่าปกติ
“เจ็บคอ เหมือนจะเป็นไข้หวัด”
ใบหน้าคนตอบเหยเกเมื่อกลืนน้ำลายแล้วรู้สึกเจ็บคอมากกว่าตอนบ่าย ความปวดหนึบเล่นงานไปทั่วทั้งหัวและบริเวณรอบดวงตา
“งั้นเดี๋ยวกูไปเอายามาให้ กินยาแล้วก็นอน พรุ่งนี้มึงมีสอนคาบสุดท้ายไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าคมกดลงรับ
แฟนจึงรีบผละออกไปเอายาให้ ก่อนจะกลับมาพร้อมยาและแก้วน้ำในมือ คนไม่สบายรับมากินโดยไม่อิดออด แต่กลับต่อรองในเรื่องอื่น
“ขอดูบอลคู่นี้จบก่อน” แฟนมองเวลาบนหน้าจอแล้วพบว่าตอนนี้เป็นนาทีที่ห้าสิบเศษๆ
“บอลเล่นกี่นาที”
“เก้าสิบ”
“จบเกมแล้วต้องไปนอนทันทีนะ”
หินรับคำพลางทิ้งหัวลงมาบนตัก แฟนขยับให้อีกคนนอนได้สบายมากขึ้นพร้อมทั้งเอื้อมมือไปหยิบหมอนมารองใต้หัวให้
กลายเป็นว่าเลยต้องมานั่งดูบอลไปด้วย จวบจนกระทั่งหมดเวลาการแข่งขัน
ร่างสูงที่เกือบเคลิ้มหลับเพราะฤทธิ์ยาดันตัวลุกขึ้นด้วยท่าทางสะโหลสะเหล มือบางแนบไปตามซอกคอและหน้าผากของหินอีกครั้ง เมื่อพบว่าอุณหภูมิเหมือนจะเริ่มสูงขึ้นจึงเร่งให้อีกคนไปนอน
ตลอดคืนร่างเล็กคอยลุกขึ้นมาดูอาการคนป่วยเป็นระยะ แม้จะไม่ได้มีไข้ขึ้นสูงแต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับน่าเป็นห่วง ความกังวลกับอาการของหินส่งผลให้แฟนไม่อาจข่มตาหลับได้สนิทไปจนถึงเช้า
“มึงมีสอนบ่ายใช่ไหม กูว่าไปหาหมอก่อนสักหน่อยดีกว่า เจ็บคอกับตัวร้อนขนาดนี้ถ้าไม่ฉีดยาอยู่ไม่ไหวแน่”
ตื่นเช้ามาอาการของหินหนักขึ้นจนกลืนน้ำลายยังลำบาก ลมหายใจร้อนผ่าว ดวงตาแดงเรื่อจากพิษไข้ ในปากขมปร่าจนทานข้าวต้มไปได้เพียงไม่กี่คำก็วางช้อนลง
“สอนเสร็จ ค่อย ไป” แต่ละคำถูกเอ่ยออกมาช้าๆ
“กว่ามึงจะสอนเสร็จ ไปเดี๋ยวนี้ กูโทรลางานแล้ว”
แม้อยากจะดื้อดึงให้รอไปหาหมอทีเดียวแต่ความเป็นห่วงที่ฉายชัดและสีหน้าจริงจังนั้นก็ทำให้หินยอมลุกขึ้น ร่างเล็กกุลีกุจอหยิบกระเป๋าทำงาน จัดการทุกอย่างพร้อมทั้งทำหน้าที่ขับรถให้กระทั่งถึงโรงพยาบาล
ทันทีที่เดินเข้าไปกลิ่นแอลกอฮอล์ก็ปะทะเข้ากับจมูกจนคนป่วยย่นหน้า แฟนเข้าไปติดต่อพยาบาลและเมื่อมีเอกสารต้องกรอกก็เลื่อนมาให้เขียน พอเสร็จเรียบร้อยจึงเหลือเพียงนั่งรอพบหมอ
“เพราะมึงทำงานหนัก พักผ่อนก็น้อยเลยป่วยแบบนี้”
คนข้างตัวบ่นให้ คนถูกว่าซึ่งไม่มีแรงตอบมากนักจึงทำเพียงเอื้อมมือไปจับมือเล็กเอาไว้แล้วส่ายหน้าบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ดุแต่กู ทีตัวเองน่ะนะ”
“...” หินเถียงไม่ออก ได้แต่ยกยิ้มกับการเป็นฝ่ายถูกบ่น ขณะที่แฟนก็พูดถึงเรื่องอาการป่วยไม่หยุดจนพยาบาลเข้ามาเชิญเข้าไปในห้องตรวจ
เมื่อหมอตรวจทุกอย่างจนเรียบร้อยและรู้ว่าต้องไปสอนนักศึกษาต่อในช่วงบ่ายจึงแนะนำให้ฉีดยา เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถสอนโดยมีสภาพแบบนี้ได้
ขณะหมอบอกให้ขึ้นไปรอบนเตียงหินก็มือไม้เย็นเฉียบ หน้าที่ซีดจากการไม่สบายยิ่งซีดหนัก ช่องท้องวูบโหวงจนต้องเอื้อมมือไปจับมือแฟนเอาไว้
“เป็นอะไร ทำไมมือเย็น”
แฟนหันมาถามด้วยความเป็นห่วง มือเล็กวางทับลงบนมือใหญ่อีกชั้นหากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกสั่นไหวนั้นลดน้อยลง ในหัวมีเพียงภาพเข็มแหลมๆ ที่กำลังจะทิ่มลงบนผิวเนื้อ
เขากลัวเข็มฉีดยา
“กู...”
“คนไข้เชิญบนเตียงเลยค่ะ” พยาบาลเข้ามาย้ำอีกครั้ง
“หะ ให้ แฟน เข้าไปด้วย ได้ไหม ครับ” ถึงจะเค้นคำพูดออกมาได้ยากลำบากแต่หินก็พยายามเนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญ
ประโยคที่ทำให้แฟนรู้สึกแปลกใจส่วนพยาบาลนั้นเพียงแค่ระบายยิ้มแล้วรับคำ
“มึงกลัวเข็มเหรอ” แฟนเอ่ยถามขึ้นเมื่อพยาบาลถอยออกไปให้ความเป็นส่วนตัว
“อืม” คนตัวโตรับคำเสียงแผ่วพลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่นให้คนมองยิ้มขัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดล้อคนป่วยแม้จะมีความแปลกใจเล็กๆ เนื่องจากไม่รู้มาก่อน
แฟนพยุงหินให้ไปนอนรอหมอบนเตียงโดยที่คนป่วยไม่ยอมปล่อยมือเลยสักวินาที ไม่มีความเขินอายต่อหมอหรือพยาบาลใดๆ เพราะความกลัวมีมากกว่า
เมื่อคุณหมอเตรียมยาและอุปกรณ์เรียบร้อยก็เดินเข้ามาหาพร้อมทั้งปิดม่านรอบเตียง ถึงตอนนี้มือหนาที่จับกันไว้ยิ่งบีบแน่นขึ้น
“เจ็บนิดเดียว เหมือนมดกัดไง” แฟนก้มลงกระซิบบอกขณะที่คุณหมอก็แอบอมยิ้ม
“ไม่ต้องกลัวนะครับ เจ็บนิดเดียวเท่านั้น”
หินอยากตะโกนตอบหมอไปว่ามันห้ามความรู้สึกกลัวไม่ได้แต่สิ่งที่ทำคือหลับตาลงแน่น กระชับมือของแฟนเข้าหาตัวยามที่สะโพกกำลังถูกสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดไปมาเบาๆ
ลมหายใจของคนกลัวหอบกระชั้น ใจเต้นระส่ำยิ่งกว่าตอนลุ้นผลสอบ ก่อนสัมผัสอ่อนโยนที่ลูบไล้ไปมาตรงช่วงไหล่จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ถึงจะช่วยได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ใบหน้าซีดขาวเอียงข้างมองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง แฟนจึงพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้มส่งกำลังใจยามมือก็ลูบไล้ปลอบประโลมไม่ห่าง และเมื่อปลายเข็มเจาะผ่านผิวเนื้อลงมาเปลือกตาหนาก็หลับแน่น สัมผัสได้ถึงตัวยาที่ถูกดันเข้าสู่ร่างกายช้าๆ ในความรู้สึก พยายามไม่เกร็งเท่าที่จะสามารถทำได้
เป็นช่วงเวลาที่แทบลืมหายใจ เหมือนโลกหยุดหมุน
“เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้ ทานจนกว่ายาจะหมดนะ”
ยามเข็มฉีดยาถูกดึงออกแล้วได้ยินประโยคนั้นเหมือนลมหายใจที่ถูกพรากออกไปได้กลับคืนมา อาการเจ็บแปลบบริเวณถูกฉีดยายังคงแสลงใจคนป่วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถขยับตัวลงจากเตียงได้โดยไม่ทรุดลงกับพื้น
“มึงนั่งรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวกูไปจ่ายเงินก่อน” แฟนหันมาบอกหลังจากออกจากห้องตรวจมาแล้ว
“อืม”
ลมหายใจถูกสูดเข้าปอดลึกเพื่อบรรเทาความสั่นไหวของตัวเองยามสายตาจับจ้องอยู่บนร่างเล็กซึ่งเดินตรงไปยังช่องชำระเงิน
แม้จะอายที่แฟนรู้ว่ากลัวเข็มแต่ก็อุ่นใจกับการดูแลเอาใจใส่ของอีกคน
ไม่ใช่แค่เขาที่ดูแลแฟน แต่แฟนก็ดูแลกันดีไม่ต่าง
--
มหาลัย xxxห้องทำงานส่วนตัวของหินมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ห้องทำงานกว้างถูกแบ่งเป็นห้องของใครของมันโดยมีผนังเป็นกระจกขุ่นคั่น ทุกคนในห้องนี้เป็นอาจารย์พิเศษที่เข้าคณะเพียงบางวันจึงไม่ค่อยวุ่นวายนัก
“จบเทอมนี้แล้วมึงจะสอนต่อหรือเปล่า”
วันนี้หน้าที่อาจารย์พิเศษในเทอมนี้ของหินก็จะจบลง คำถามนั้นทำให้คนฟังถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับเชื่องช้า
“อาจารย์เขา ขอให้ สอนต่อ”
แต่ละคำถูกเปล่งออกมาแผ่วเบา ตามมาด้วยการไออีกเล็กน้อย ทว่าก็รู้สึกดีขึ้นกว่าตอนตื่นนอน ไม่รู้ว่าด้วยฤทธิ์ยาที่ฉีดเข้าไปหรือเป็นเพราะการอุปทานไปเอง
“ก็ดีแล้ว ถือว่าได้ถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่น”
หินไม่รู้ว่าควรดีใจหรือไม่เพราะงานอาจารย์ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ทุกอย่างทุกขั้นตอนต้องผ่านกระบวนการคิดอย่างดี อีกทั้งยังต้องมีจิตวิญญาณของผู้ให้อยู่เต็มเปี่ยม
เขายังทำได้ไม่ดีขนาดนั้น รู้ตัวดี แต่เมื่อได้รับมอบหมายแล้วคงต้องพยายามให้ดีที่สุด
“มึงพักเถอะ นี่หมอน เดี๋ยวเที่ยงกูจะปลุกให้ทานข้าว”
ตุ๊กตาปลาวาฬที่แฟนถือขึ้นรถหินมาด้วยเผื่ออีกคนจะพักผ่อนถูกยื่นให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน มือหนายื่นมารับแล้วเอาไปรองหัวตัวเองพลางปิดเปลือกตาลงด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน
ระหว่างนั้นแฟนก็เดินสำรวจห้องนี้ไปเงียบๆ การตกแต่งโดยรอบเหมือนห้องทำงานทั่วไปที่นอกจากโต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ และเอกสารต่างๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมากนัก เมื่อดูนั่นดูนี่จนพอใจคนไม่มีอะไรทำจึงกลับมานั่งลงที่เดิม นั่นคืออีกฝั่งของโต๊ะทำงานซึ่งเป็นตำแหน่งตรงข้ามกับคนที่นั่งหลับ
คิดย้อนไปถึงตอนหินโดนฉีดยาแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ผู้ชายตัวใหญ่ที่เก่งแทบทุกอย่างกลับกลัวเข็มฉีดยาอันเล็กๆ
ซุปเปอร์แมนของเขาก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน...
มองไปมองมาโทรศัพท์มือถือจึงถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง นิ้วเรียวกดเข้าไปในไอจีสตอรีก่อนจะหามุมกล้องให้เห็นหินเพียงครึ่งซีก จากนั้นจึงกดถ่ายพร้อมทั้งเปลี่ยนฟิลเตอร์แล้วใส่ข้อความว่า
‘คนป่วย’เมื่ออัพโหลดเสร็จเรียบร้อยก็เก็บโทรศัพท์ลงที่เดิม ร่างเล็กผุดลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมไปหาอีกคน ดวงตาที่ทอดมองใบหน้าเซียวเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
เข้าใจตอนที่ตัวเองไม่สบายแล้วว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร
“หายไวๆคนหื่น น้องเป็นห่วงจะแย่แล้ว”ประโยคที่เจ้าตัวเคยพูดถูกเอ่ยออกไปก่อนสัมผัสบางเบาจะทาบทับลงบนแก้มสาก ความร้อนบนผิวลามไล้มายังริมฝีปากเนื่องจากการแนบชิด ขณะกำลังจะผละออกแรงฉุดรั้งมากมายก็ดึงให้ต้องล้มลงบนตักแกร่ง
“ยังไม่หลับอีกหรือไง” แฟนถามขึ้นเมื่อตั้งสติเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้นได้
“ถ้าหลับจะได้ยินเหรอว่าน้องเป็นห่วง”
เปลือกตาคนป่วยปรือเปิดพร้อมด้วยมุมปากที่โค้งขึ้นอย่างไม่อาจเก็บความรู้สึก
“รู้ว่าเป็นห่วงก็รีบหาย”
เสียงที่เอ่ยออกไปแผ่วเบา มีความรู้สึกเขินอายเพียงเล็กน้อยจากการถูกจับได้ หากแต่ที่ส่งผลให้เขินอายยิ่งกว่าคือสรรพนามคำว่าน้องที่ออกจากปากของอีกคน
“จะพยายาม”
คำตอบรับมาพร้อมกับสัมผัสอ่อนโยนบนแก้มเนียนราวกับเป็นการเอาคืน
“พักได้แล้ว ตัวมึงยังร้อนอยู่เลย”
เพราะความใกล้ชิดนี้จึงทำให้สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากตัวของหิน และอาจจะผสมกับความร้อนจางๆ บนหน้าของตัวเองไปด้วย
“พักท่านี้แหละ” ท่านี้ที่ว่าคือการพิงหน้าผากลงกับไหล่เล็กของคนบนตัก
“หนักจะตาย ปล่อยเร็ว เดี๋ยวคนเข้ามาเห็นด้วย”
“ไม่มีใครเข้ามาหรอกน่า พูดเยอะ กูเจ็บคอนะ”
คนป่วยแสร้งไอขลุกขลักให้แฟนยอมตามใจโดยการนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ถึงจะเป็นห่วงว่าหินจะหนักแต่ในเมื่อเจ้าตัวเป็นฝ่ายเรียกร้องจึงปล่อยเลยตามเลย
ระหว่างทำหน้าที่เป็นหมอนจำเป็นแฟนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา พยายามขยับเพียงมือและนิ้วเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนพักผ่อน
กระทั่งได้เวลามื้อเที่ยงจึงปลุกหินให้ตื่นมาทานข้าวที่แวะซื้อใส่กล่องมา พร้อมทั้งให้ทานยาเรียบร้อย
บ่ายโมงตรงอาจารย์ศิลาของนักศึกษาก็ออกจากห้องพักไปสอนเด็กที่ชั้นหก ด้วยอาการป่วยที่ดีขึ้นเล็กน้อย พอให้มีเสียงสอนได้แม้จะทรมานอยู่มากก็ตาม
16.00 น.ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นให้แฟนขมวดคิ้ว หินเพิ่งกลับมาจากสอนเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วก่อนจะออกไปคุยกับอาจารย์ซึ่งอยู่อีกห้อง
ทันทีที่ประตูถูกเลื่อนเปิดจากคนด้านนอกแล้วสายตาของคนทั้งสองสบกันก็ราวกับมีประกายไฟออกมาโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด
คล้ายกับต่างฝ่ายต่างรับรู้โดยสัญชาตญาณ
“อาจารย์หินไม่อยู่เหรอคะ” ฝ่ายนั้นถามขึ้น
“
พี่หินออกไปคุยกับอาจารย์อีกคนอยู่ครับ”
สรรพนามบ่งบอกความสนิทสนมเป็นการย้ำเตือนสถานะอันดับแรก แฟนยังคงความมีมารยาททั้งทางน้ำเสียงและสีหน้า ทว่าความเป็นมิตรนั้นเคลือบแฝงด้วยบางอย่างที่อีกฝ่ายก็รู้ดี
“เหรอคะ เห็นว่าอาจารย์ไม่สบายไอเลยซื้อยามาให้น่ะค่ะ”
คนฟังเหลือบมองถุงยาในมือของคนพูดก่อนจะระบายยิ้มน้อยๆ
ยิ้มทั้งที่รู้สึกเหมือนมือจะกระตุก
สู่รู้นัก!
“เมื่อเช้าพาไปหาหมอมาแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องกินยา
ตัวอื่น”
คำสุดท้ายถูกเน้นหนักจงใจสื่อความหมายถึงยาและเจ้าของถุงยาจนฝ่ายนั้นหน้าม่าน
“งั้นไอขออนุญาตรออาจารย์ในห้องนะคะ พอดีมีเรื่องข้อสอบที่อยากจะถามน่ะค่ะ”
ปากพูดว่าขออนุญาตแต่ร่างบางในชุดนักศึกษาแสนพอดีตัวกลับย่างกรายเข้าในห้องเป็นที่เรียบร้อย
“เชิญครับ” แฟนรับคำโดยที่รอยยิ้มยังคงไม่ห่างหายไปจากใบหน้า
ฮอตเหลือเกินนะอาจารย์ศิลา ถึงขั้นมีเด็กมานั่งรอในห้อง
“เอ๊ะ มีหนูแอบเข้ามาในห้องอีกแล้วเหรอเนี้ย”
แฟนทำทีเป็นสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดหน้าฟีดของเฟซบุ๊กค้างไว้ ทว่าคำว่าอีกแล้วซึ่งจงใจบ่งบอกถึงการเคยมาห้องนี้ทำให้มือที่อยู่บนเมาส์กำแน่น
“มีรูตรงไหนที่ยังไม่ปิดอีกนะ วันนั้นก็คิดว่าปิดหมดแล้วนี่นา”
วันนั้นตามมาอีกคำ
ริมฝีปากบางถูกขบกัดอย่างขมกลั้นอารมณ์ พยายามไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ผ่านทางสีหน้าให้อีกฝ่ายได้ใจ และก่อนที่จะเกิดสงครามเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้น ตามมาด้วยร่างของหินซึ่งปรากฏตัวอยู่หน้าห้องที่ไม่ได้ปิดประตู
(มีต่อ)