บทที่ 36“งานแค่นี้เจ้ายังทำไม่ได้อีก จะไปไหนก็ไป” เอสเปอร์ตะโกนไล่หัวหน้าฝ่ายที่เข้ามาสอบถามถึงกระบวนการทำงานที่ตนยังไม่เข้าใจนัก ทำเอาหัวหน้าฝ่ายรีบวิ่งออกมาจนแทบหลบหินทับกระดาษแทบไม่ทัน
เอสเปอร์ก้มมองเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าหลังจากไล่คนไม่ได้ความให้พ้นหน้า ตัวหนังสือหวัดไปมาชวนเวียนหัว เขากวาดเอากองเหล่านั้นออกจากโต๊ะโดยไม่สนใจน้ำหมึกที่หกเลอะเปรอะจนลายอักษรนั้นถูกกลบไป
อารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่อยู่กับที่นัก บางครั้งเขาเองอดสงสารบรรดาคนงานที่ต้องมารองรับอารมณ์ของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งๆที่เขาเองก็พยายามข่มใจไว้อย่างมาก
ทว่าเพียงแค่เผลอใจคิดไปถึงคนที่ควรจะอยู่เคียงข้างเขาในตอนนี้ขึ้นมา ก็ทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งสูงขึ้น ข้อผิดพลาดอะไรเล็กๆน้อยๆก็ดูจะขวางหูขวางตาไปเสียหมด
ไหนจะต้องทำงานอย่างหนักในการดูแลนครในช่วงฟื้นฟู ปวดเมื่อยตัวไปหมด ยิ่งคิดถึงมือนุ่มที่คอยนวดให้เขาอยู่เสมอ
คิดถึงตรงนี้มันก็เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าคมเข้มขึ้นอย่างอดไว้ไม่ได้
เอสเปอร์คิดถึงเสียงบ่นโวยวาย ว่าทำไมถึงต้องนวดให้ด้วย คิดถึงใบหน้างอง้ำ ปากบางที่อ้าหุบออกคำบ่นต่างๆนาๆ แล้วไหนจะต้องมีการเสกลูกไฟมาขว้างใส่อีกหากเริ่มที่จะตอบโต้ไม่ได้
แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามเสียทุกครั้ง
เอสเปอร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อคิดคำนึงแล้ว ชีวาสเองแทบจะไม่เคยปฏิเสธเขาเลย ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาต้องเถียงคอเป็นเอ็นกว่าจะยอม เอาเถอะไม่ว่าจะใช้วิธีการใด สุดท้ายผลลัพที่ได้ก็นับว่าน่าพอใจไม่น้อย
แต่ในตอนที่เจ้าไม่อยู่แบบนี้รู้ไหมว่ามันเหงาแค่ไหน
เอสเปอร์ถอนหายใจแหงนมองดูฟ้าที่ไกลออกไป คิดถึงคนที่รัก ที่ไม่ได้อยู่ข้างกาย ปล่อยให้หัวใจของเขาล่องลอย
‘ชีวาส………’เกรย์เองต่อยๆเดินไปยังห้องทำงานของไทนอส เขาเดินช้าผิดปกติ ทุกก้าวที่วางลงพื้นพรม ทุกห้วงคำนึงที่หวนคิดถึงวันวานที่ผ่านพ้น
ใบหน้าของไทนอสในวันแรกที่พบกันยังตราตรึงในจิตใจของเขาไม่จางหาย รอยยิ้มพร้อมกับมือที่ยื่นเข้ามาฉุดเขาให้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง นับจากวันนั้นก็เป็นเขาเองที่เฝ้าแอบมองไทนอสอยู่ไกลๆ และพยายามดันตัวเองให้เข้าไปใกล้ไทนอสมากที่สุด……..และเขาก็ทำได้
เพียงแต่การเข้าใกล้ในครั้งนี้เขากลับพบว่าได้ทำร้ายตัวเองเข้าเสียแล้ว
ไทนอสไม่เคยคิดที่จะมองเกรย์ด้วยสายตาเกินคำว่าเพื่อนได้เลย หากเพียงใกล้แค่กาย
แต่ใจนั้นช่างห่างกัน
เกรย์เคาะประตูแล้วก้าวเข้าไป ภาพที่เห็นแอลนอนฟุบลงกับโต๊ะโดยมีเสื้อคุมของไทนอสคลุมทับไว้กันหนาว ทำเอาเขาอิจฉาและน้อยใจไปพร้อมกัน
ไทนอสหันหน้ามาสบตากับเขา
ถึงจุดนี้เกรย์ไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้เลยว่าเขารักชายที่อยู่เบื้องหน้านี้มากเท่าไร
‘ไทนอส’หมอหนุ่นทรุดนั่งอยู่หน้าตู้ใบใหญ่ เขาค่อยๆเอื้อมมือหยิบเอาข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดจัดเรียงใส่กระเป๋าเดินทาง ความจริงแล้วเขาควรจะทำเสร็จนานแล้ว ทว่าฮีลเองในตอนนี้เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง เขาเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ แววตาหมองหม่นไร้แววตา คราบน้ำตาที่ยังคงให้เห็นทำเอาใบหน้าหล่อเหลานั้นดูหมองไป
การพบเจอเกรย์อีกครั้งนั้นอยู่เหนือการควาดคิดของเขา….ทั้งๆที่เขาเองก็ทำใจต่อการจากลาได้แล้ว แต่เพียงใบหน้านั้นหวนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง กำแพงที่เขาเองเคยตั้งไว้กลับพังลงไม่มีชิ้นดี
เพียงแค่เห็นรอยยิ้ม โลกของเขากลับสดชื่นขึ้นมใหม่
เพียงน้ำตาที่ไหลริน ก็ทำเอาเขาอยู่ไม่สุข
เพียงเห็นแววตาที่คอยจ้องมองคนอื่น เขาเองแทบทนไม่ได้
ฮีลหัวเราะให้ตนเองเบาๆ ในที่สุดของทั้งหมดก็ถูกบรรจุใส่กระเป๋าสะพายใบใหญ่
‘ได้เวลาเสียที’
เมื่อก่อนเขาเองก็ยังทำได้ การใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีเกรย์ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
เขาเพียงต้องยอมรับละอยู่กับมันให้ได้ ก็แค่ชีวิตที่ไม่มีคนที่รักอยู่
‘ลาก่อนเกรย์’สูงขึ้นไปเหนือก้อนเมฆใหญ่ที่ลอยเอื่อยอยู่บนนภา เทพแห่งสงครามที่กำลังเดินผ่านห้องสมุด ได้หยุดทักคนรู้จักที่เอาแต่เหม่อจ้องกองหนังสือที่สุมอยู่จนแทบจะล้อมทับเอา
“เป็นไงบ้าง” เขาทักขึ้นอย่างเป็นกันเอง รอยแผลที่กรีดยาวผ่านแขนข้างขวายังสดใหม่ นั่นเป็นรอยที่ได้มาจากการเดินทางของเขา บทลงโทษของท่านมหาเทพ
“ได้ข่าวว่า การเดินทางของเจ้าหนักเอาเรื่องนี่” เทพแห่งสงครามพิจพิเคราะห์เสาะหารอยบาดแผล แต่หาได้พบไม่ เอลาสหรือเทพแห่งความรู้ยังคงสง่างามเช่นเคย
เอลาสหันไปสบตาผู้มาเยือนชั่วครู่พอรับรู้ว่าเป็นใคร แล้วก้มหน้าลงคัดแยกหนังสือที่ยังค้างไว้ต่อไป
“ข้าว่าเจ้าพูดน้องลงนะ” เทพตัวใหญ่ยังหาเรื่องที่จะคุยต่อ นานๆครั้งที่เขาจะได้มีเวลาว่างแบบนี้ น้อยเหลือเกินที่จะได้พบเจอกันคนที่เขาเองคิดถึงมาตลอด คิดถึงคนที่เป็นต้นคิดที่จะเล่นเกมบ้าๆนั่น
เอลาสหาได้สนใจ เขาบรรจงคัดหนังสือต่อไปอย่างเหนื่อยหน่าย จนในที่สุดเทพแห่งสงครามก็เป็นคนถอยออกไปเอง ห้องสมุดกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง และนั่นทำให้เอลาสได้ยินเสียงของใจตนเอง
เขาคนนั้นจะเป็นอย่างไรกัน
เขาคนนั้นที่ทำให้ใจสั่น
อยากพบเจ้าอีกสักครั้งฮิ้ววววววววว.........................ฮิ้ววววววววววววววว