[รบ]
ตอนที่ผมเดินลงมา...ผมก็เห็นธนูมันกำลังดูพนักงานเปลี่ยนบานกระจกให้กับร้านอยู่
ผมนี่แม่งตื่นสายโคตรๆ
“ตื่นแล้วเหรอ” ยุเป็นคนทักผมคนแรก “หิวมั้ย”
“เดี๋ยวกูไปหาเองก็ได้” ผมตอบไปมองธนูไป มันหันมาหาผมอีกครั้ง จากนั้นมันก็เงียบ...
ไอ้สัด กูช็อก
หากอยู่ในสถานการณ์ปกติมันคงเดินมาลูบหัวลูบหาง (?) หรือไม่ก็หอมแก้มจุ๊บหน้าผากผมไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้เฉยเมยใส่ผม
ผมจะคิดไปก่อนว่าเป็นเพราะมันต้องเครียดกับการดูแลร้าน
เท้าของผมพาตัวเองไปยังห้องครัว ตัดสินใจเปิดหาของกินในตู้เย็นแบบง่ายๆ โฮมที่อยู่ใกล้ๆ ส่งเสียงทักทายผม ก่อนที่ผมจะนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัวแล้วแทะขนมปังฝรั่งเศสเล่นๆ
นี่ผมยังง้อมันไม่สำเร็จหรือเปล่าวะ
หรือมีบางเรื่องที่ธนูมันยังติดขัดอะไรบางอย่างอยู่
ตั้งแต่เป็นแฟนกับมันมา...ผมได้เรียนรู้สิ่งที่ทิ้งเอาไว้อย่างค้างๆ คาๆ มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่จะย้อนกลับมาทำร้ายความรักของผมทีหลัง ฉะนั้นในระหว่างที่ผมกำลังกินอาหารเช้าของผมอยู่นั้น ผมก็คิดไปด้วยว่าผมควรจะเข้าไปพูดประโยคไหนกับธนูดี
โชคดีที่เป้าหมายของผมแม่งโผล่เข้ามาในครัว...มันทำท่าจะเดินผ่านผม ผมจึงยกขาพาดเอาไว้ ขวางไม่ให้มันเดินไปไหนได้
ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ผมขายาว
“รบ...กูต้องไปดูคนซ่อมร้าน”
ผมส่งสัญญาณให้โฮมออกไปที่อื่นก่อน...มันส่งยิ้มให้ผมก่อนจะออกไปข้างหลังร้านอย่างว่าง่าย
เมื่อเห็นว่าธนูมันตั้งท่าจะหันหลัง ผมจึงยกอีกขาขึ้นมาพาดไปอีกฝั่ง มันจึงขยับไปไหนไม่ได้อยู่ที่หว่างขาของผม
แฟนผมถอนหายใจ...เริ่มยิ้มเมื่อเห็นว่าผมแกล้ง
“กินขนมปังป่ะ” ผมแกล้งกัดออกมาให้เป็นคำจากนั้นก็กัดเอาไว้ แล้วขยับมันเข้าไปใกล้ธนู...
มันขยับใบหน้าออกห่าง แต่ดูจากสีหน้าแล้ว...มันดูถูกอกถูกใจวิธีป้อนของผมอยู่
“กูไม่แดกแป้ง”
แม่งบอกผมไม่กิน...แต่ไม่รู้ว่าจะเลียริมฝีปากล่างเหมือนอยากกินขนมปังของผมทำไม ผมตัดสินใจเคี้ยวขนมปังชิ้นนั้นก่อนจะพูดไปมันตรงๆ
“เหมือนมึงยังงอนกู”
“คิดมาก” มันเอามือวางไว้ข้างๆ ลำตัวของผมทั้งสองข้าง “แคร์กูขนาดนั้นเลยเหรอ”
ด้วยท่วงท่าหมิ่นเหม่เช่นนี้...ใบหน้าที่ใกล้กันขนาดนี้ ผมรับรู้ได้ในทันทีว่ามันคือเกมระหว่างผมกับมัน
“ก็ไม่เท่าไหร่” ผมแกล้งพูด แสร้งทำเป็นเคี้ยวขนมปังช้าๆ เพราะต้องการยั่วโมโหอีกฝ่าย มันยิ้มมุมปากก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ถ้าไม่แคร์จริงๆ แล้วทำไมไม่ปล่อยกูไป...”
“ไม่รู้”
“...”
“สงสัยอยากมีที่วางแขน” ผมโอบรอบศีรษะของธนู จากนั้นก็กินขนมปังในท่านั้น กลายเป็นว่าเหมือนผมกอดมันที่ยืนอยู่ ส่วนมันก็เหมือนกำลังยืนกอดผม...
แฟนผมส่งเสียงหัวเราะ มันหอมแก้มผมครั้งหนึ่งก่อนจะกระซิบ
“กูต้องไปคุมช่างนะ”
“ให้การ์ดคุม” ผมต่อรอง
“การ์ดไม่ใช่คนจ่ายเงิน”
“ให้มันมาเอาเงินกับมึงที่นี่”
ธนูขยับใบหน้าออกมาเพื่อมองหน้าผมใกล้ๆ “ยังไงก็ไม่ยอมใช่มั้ย”
“ใช่” ผมยังใจกล้าหน้าด้านพูดต่อไป “โกรธกับมึงวันนึง...รู้สึกเหมือนห่างกันมาเป็นปี กูไม่โอเค”
ธนูมันยิ้มอีกแล้ว...มือของมันโอบรอบคอของผมก่อนจะฝังจูบลงบนที่ขมับผมซ้ำๆ ผมปล่อยให้มันจัดการผมแบบนั้นได้ตามอำเภอใจ เพราะมันรู้สึกดีมาก
“ขอโทษที่งอน” มันบอกผม
“เวลามึงงอนแล้วน่ากลัวฉิบหาย น่ากลัวกว่าตอนที่มึงทำลายข้าวของอีก”
“ยังไงวะ กูไม่ได้ทำร้ายมึงเลยนะ”
ผมมองหน้าธนูแล้วพูด “มันน่ากลัวตรงที่ว่า...กูกลัวมึงไปจากกู”
“บ้า กูไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ”
“ก็มึงเล่นหายไปแบบนั้นอ่ะ”
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าเป็นเพราะกูอินดี้น่ะ”
“อินดี้พ่อง...มึงไปเป็นเป้าตีนให้คนที่สนามแข่งชัดๆ”
“กูก็อยากระบายอารมณ์บ้างไง...พวกนั้นไม่ได้ทำร้ายกูฝ่ายเดียวสักหน่อย” มันยังจะเถียงผมอยู่ได้
“ห้ามทำแบบนั้นอีก” ผมจิ้มอกมันอย่างข่มขู่
“ส่วนมึงก็ห้ามคุยกับนทีลับหลังกูอีก...กูหวง กูไม่ชอบ กูรำคาญมัน”
ผมถอนหายใจ ตัดสินใจส่งโทรศัพท์ไปให้ธนูเพื่อต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ “งั้นมึงเอามือถือกูไปเลย”
“มึงก็แค่อย่าตอบมันก็พอ” ธนูมองมือถือผมอย่างไม่ไว้ใจ
“ขี้หวงเนอะ” ผมแกล้งแซว
“โคตรๆ...ไม่เถียงเลย”
ไม่รู้ผมโรคจิตหรือเปล่าที่บางครั้งผมก็รู้สึกยินดีเวลาที่มันยอมรับว่ามันเป็นคนขี้หึง...
“พี่มึงมาแย่งกูไปจากมึงไม่ได้หรอก ใจกูอยู่นี่ อยู่กับมึงตรงนี้...เพราะงั้นกูจะไปอยู่กับพี่มึงตรงนั้นไปเพื่ออะไร” ผมย้ำเป็นร้อยเป็นล้านครั้งก็ได้ ถ้าธนูมันจะสบายใจ...
“กูรู้”
“...”
“แต่กูก็หึงและก็หวง มันเป็นสัญชาตญาณ”
“...” ผมเคี้ยวไปพยักหน้าไป...รู้สึกป่วยการที่จะแก้ไขจุดยืนของธนูในเรื่องนี้
“นี่มึงไม่เชื่อกูหรือไง”
“กูก็พยักหน้าแล้วเนี่ย” ไอ้เด็กน้อยฟายธนูคนนี้นี่...แม่งต้องการอะไรจากผมอีกวะ
“นึกว่าอยากลองของ” มันหอมแก้มผมอีกครั้ง ผมเลยหอมมันกลับบ้าง “มึงจะปล่อยกูไปได้หรือยังครับ”
“ยังไม่อยากปล่อยเลย” ผมซบใบหน้าลงกับไหล่มัน
“ชอบตัวกูขนาดนั้นเลยเหรอ” มันถามเพราะเห็นว่าผมไม่ยอมปล่อยตัวมันไปสักที
“ก็ใช่ไง...เพราะตัวควายๆ ของมึงนี่มันเป็นแฟนกู”
“หึ...ร่างกายกูมันเป็นของมึงอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กูต้องพาร่างนี้ไปทำมาหากินเพื่อเลี้ยงมึงก่อน ได้หรือเปล่า”
ผมตัดใจผละออกจากมัน วางขาทั้งสองข้างลงเป็นปกติ...ธนูจูบหน้าผากผม จากนั้นก็เดินเลี่ยงไป
อย่างน้อยก็ถือได้ว่าคู่ของเรามีพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ก้าวไปอีกขั้นล่ะนะ...
[การ์ด]
ตอนนี้เรียกได้ว่าร้านแบล็คแพ็คของเราอยู่ในช่วงรหัสขาว
เอ่อ...ผมไม่รู้ว่ามีที่ไหนจำกัดความลักษณะเหตุการณ์ของคำว่ารหัสขาวว่ายังไง แต่ที่แน่ๆ สำหรับผมแล้วมันเรียกว่าตอนนี้ผมกับเพื่อนกำลังอยู่ในช่วงระยะปลอดภัย รบดูปกติ และธนูมันก็ดูเคร่งเครียดกับงานซึ่งก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นปกติดี
ฉะนั้น...ผมกับเพื่อนจึงวางใจ ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีผนังกระจกบานไหนที่จะแตกอีก
ผมเพิ่งค้นพบว่ารบคือสุดยอดนัมเบอร์วันในใจของธนู เอ่อ แม้จะฟังดูแปลกๆ แต่มันคนนี้ก็ทำให้เพื่อนของผมนั้นเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากที่เคยต้องพังทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองเวลาโมโหโทโส แต่บัดนี้มันกลับคุมสติเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้ารบ...
เหมือนหมาป่ากำลังแยกเขี้ยวพร้อมจะขย้ำเหยื่อ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นภริยา...แม่งก็เปลี่ยนจากแยกเขี้ยวเป็นหุบปากฉับ
เพื่อนผมมันเป็นแบบนั้นแหละครับ
รบเล่าให้ฟังว่าธนูชอบเตือนถึงความน่ากลัวของมันเวลาหึงหวงและความโกรธถึงขีดสุดหากรบไปยุ่งกับพี่นที แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้โกรธจนรบกลัวอย่างที่มันเตือน ตรงกันข้าม...เพื่อนผมกลับเกรงใจไอ้รบซะจนหนีไปสงบสติอารมณ์ด้วยตัวเอง แทนที่จะระเบิดใส่รบเหมือนอย่างที่ใครๆ คิดกันในตอนแรก
แต่ก็ดีแล้วล่ะ...มันยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะรบ ส่วนไอ้รบก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกับท่านหัวหน้าของผมทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นรหัสแดงหรือรหัสขาว สรุปก็คือพวกแม่งเกิดมาเพื่อเป็นคู่สร้างคู่สมกันนั่นแหละ
“มันแม่งรู้สึกผิด” ผมกระซิบนินทาธนูกับรบ “ทำเป็นจริงจังกับร้าน ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนพังเอง ตลกฉิบหาย”
“กูไม่กล้าคุยกับไอ้นทีอีกแม้แต่คำเดียว” รบมองธนูอย่างเข็ดขยาด “เดี๋ยวแม่งจะทำลายทรัพย์สินอีก”
“อืม อย่าไปทำสิ่งที่มันไม่ชอบ”
ฉับพลันทันที...ก้อนกระดาษจากไหนไม่รู้ก็ลอยมาโดนหัวผม
สัดเอ๊ย ยังไม่ทันจะขาดคำ...
“แม่งเอาอีกแล้ว” รบอดที่จะบ่นไม่ได้ “นี่การ์ดเพื่อนมึงไงวะ”
ธนูยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้...คนอย่างมันไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผล
“ทำตัวน่าด่า” รบพึมพำ “แต่ปล่อยมันดีกว่า...กูกับมันเพิ่งจะดีกัน ยังไม่อยากให้มีประเด็นอะไรกันอีก”
ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ไอ้หน้าหล่อเจ้าของร้านตรงนั้นเลยครับผม...ต้องคอยดูว่ามันจะคุมสติและอารมณ์ตัวเองได้มากแค่ไหน นี่แหละที่สำคัญ
ผมแอบมองรบอย่างเป็นห่วง...จากที่เคยนั่งยิ้มและแซวผู้ชายหน้าตาน่ารักๆ อยู่ดีๆ บัดนี้กลับต้องมาปรับตัวปรับหัวใจให้เข้ากับไอ้คนที่เดาอารมณ์ยากอย่างธนู
ผมจะไม่เรียกมันว่าเวรกรรม...แต่จะขอเรียกมันว่าพรหมลิขิต
อาการหึงหวงทุกห้านาทีของธนูยังไม่จบแค่นั้น
แม้วันนี้มันจะยืนคุมคนทำผนังกระจกทั้งวัน แต่สายตาของมันก็ยังสอดส่องไปที่รบอย่างไม่มีหยุดพัก ตอนที่รบออกไปช่วยก้องขนของ ผมที่อยู่ในร้านต้องคอยหลบลูกบาสที่มันโยนกระทบผนังเล่นๆ
เอ่อ ไม่รู้เรียกว่าแม่งโยนเล่นหรือโยนจริงจัง
รบโผล่เข้ามาตอนที่ธนูมันกำลังหน้าบึ้งตึงได้ที่พอดี
“ไปไหนมา” มันถามน้ำเสียงขุ่น
“ไปขนของ” รบตอบ “มึงเป็นอะไรไป”
“หงุดหงิด”
“...”
“กลัวมึงหาย”
โอย...ไอ้เด็กน้อยของโลกใบนี้ แฟนมึงตัวติดมึงจะตาย มึงยังจะกลัวเขาหายอีกเหรอ
ผมลูบหน้าผากตัวเองอย่างเครียดแทนไอ้รบ (ไม่รู้จะไปเครียดแทนแม่งทำไมเหมือนกัน)
“กูไม่หายหรอก จะกล้าหายได้ไง” เชี่ยรบแม่งก็เล่นไปกับเพื่อนผมด้วย “ห่างจากมึงแค่สองนาทีกูก็คิดถึงมึงแล้ว”
เอากับพวกมันสิ...สงสัยคงคิดว่าไม่มีใครได้ยินมันทั้งคู่ล่ะมั้ง
ได้ข่าวเมื่อวานโกรธกันอยู่ไม่ใช่เหรอวะ...
ทุกคนใจเย็นๆ ครับ เหตุการณ์แบบนี้มันยังมีมาอีกเรื่อยๆ
“มีอะไร” ผมได้ยินเสียงไอ้ธนูถามตอนที่รบกำลังทำหน้าเซ็งใส่โทรศัพท์
“พี่มึงทักมา”
หลังจากที่รบพูดจบ...จู่ๆ ธนูก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา ผมเอามือปิดปากตัวเองทันทีเพราะคิดในใจไว้แล้วว่าต้องไว้อาลัยให้กับโทรศัพท์ไอ้รบเนื่องจากธนูมันต้องโยนทิ้งแน่ๆ แต่เปล่าเลย...มันกลับโยนไปที่ที่นั่งตรงหน้าตุ๊กตาหมาป่า
“พ่องตาย” ธนูบ่น
“ด่ากูเหรอ” รบก็ยังเสือกจะไปรับคำด่ามันอีก
“กูจะด่ามึงทำไม” เออ บูชาขนาดนั้นจะกล้าด่าอะไรวะ “รำคาญว่ะ...จะมายุ่งกับมึงทำไมนักหนา”
“...”
“หรือกูควรบุกไปสั่งสอนแม่ง”
“ถ้ามึงกล้าไปถิ่นนที...กูก็จะขอฆ่ามึงก่อน” รบขู่อย่างน่าขนลุก
ผมแอบเห็นว่าเพื่อนผมหลุดกระพริบตา ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงอะไรกับไอ้รบอีก
ผลัดกันข่ม ผลัดกันสมยอม...ช่างเป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อ
ความวุ่นวายมันยังมีอีกครับ...
“มันยังทักมาอยู่” ธนูจ้องมองโทรศัพท์ของรบอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “พ่องตาย กูจะไปฆ่ามัน”
เพื่อนผมทำท่าจะพุ่งตัวออกไปหาพี่นทีจริงๆ แต่รบมายืนขวางมันไว้พร้อมกับจ้องหน้า
ธนูจึงได้สงบลง...จากนั้นก็เดินไประบายอารมณ์ข้างนอกร้าน
“รบ”
เชี่ย ผมนึกว่าทุกอย่างจะสงบลงแล้ว แต่เปล่าเลย...ไอ้ธนูแม่งกำลังจะสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีกเรื่อง
“ขึ้นห้องกัน...กูอยาก”
ไอ้รบที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมถึงกับสำลักอากาศ...เมื่อเห็นว่าผมมองอยู่ มันจึงเดินเข้าไปตีไอ้ธนูเบาๆ
“เจ็บตัวอยู่ก็ไม่เจียม...” รบกระซิบ แต่สกิลการเผือกของผมมันอยู่ในขั้นแอดวานซ์แล้วครับ มันกระซิบเบาแค่ไหนผมก็ได้ยินอยู่วันยังค่ำ
“ตรงนั้นกูไม่ได้เจ็บ” ธนูยิ้มอ่อยเหยื่อ
ฉิบหายแล้ว นี่ผมต้องมาฟังเรื่องบ้าอะไรอยู่ ผมกำลังจะเลิกสนใจคู่รักคู่นั้นแล้ว แต่บังเอิ๊นบังเอิญ...ไอ้รบมันดันพูดเสียงดังลอยเข้ามาในหูผม
“ขอคิดก่อน...ถ้าทำตัวดีกูจะพิจารณาดูอีกที”
ผมเห็นเพื่อนผมมันเดินเข้าไปคุยกับแฟนมัน อ่านปากของมันได้ว่า... ‘อย่าคิดนาน’
โว้ยยยยยยย ช่วยไปรักกันไกลๆ หน่อยได้มั้ยวะ ไอ้พวกบ้านี่
เหตการณ์สุดท้ายในวันนี้...ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับรบตรงๆ แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับธนูเพราะผมอยากให้มึงเลิกหึงผมกับรบสักที ยังไงมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว ฉะนั้นผมจึงอยากให้มันเลิกคิดมากซะ
แต่สิ่งที่ผมได้กลับมามีเพียงแต่หน้าบึ้งตึงของธนู...
“กูเลิกหึงมันไม่ได้หรอก มึงคิดว่าคนอย่างมันมีอีกสิบคนบนโลกใบนี้หรือยังไง”
“กูรู้ แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างมันกับกูหรอก จริงๆ นะ” กูเหนื่อยจะเป้าให้ก้อนกระดาษจากมึงแล้วโว้ยยย
“ไม่ต้องเข้าใกล้มัน”
“พวกกูคุยกันแบบเป็นเพื่อนกัน”
“มองไปทีไรแล้วกูรู้สึกเป็นส่วนเกินทุกที”
“นี่มึงพูดจริงป่ะเนี่ย”
“พูดจริง”
“เฮ้ย” ผมร้องเสียงหลง “มึงไหวป่ะเนี่ย รบกับกูต้องทำงานด้วยกันอีกนาน...ถ้ามึงทำใจเรื่องนี้ไม่ได้ กูขอแช่งให้มึงหึงจนขาดใจตายไปเลย”
ธนูชักสีหน้าแล้วตวัดสายตาหันมามองผม ผมทำเป็นเชิดหน้า...แม้ว่าตัวของผมจะเริ่มสั่นไปหมดแล้วก็ตาม
“งั้นเหรอ...แต่ก็นะ ก่อนหน้านั้นมึงคงต้องตายจากตีนกูก่อน”
มันขู่ผมจนผมหงอและคอตก...
“หรือกูต้องหาแฟนสักคนวะ” ผมส่งเสียงออกไปอย่างเหน็ดเหนื่อยใจ คนขี้หึงอย่างธนูที่แม่งโคตรบ้าจริงๆ รบทนคนอย่างมันเข้าไปได้ยังไง
“อืม” ธนูทำท่าคิด “ความคิดเข้าท่า”
อ้าว มติผ่านเฉยเลยว่ะ!
เดี๋ยวก่อนนะ นี่ผมต้องลงทุนหาแฟนมาให้ตัวเองเพื่อให้เพื่อนผู้มีความหึงเข้าขั้นบ้าคลั่งเลิกหึงผมเหรอวะ ผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้มั้ง
บอกตามตรงนะ ผมไม่รู้เลยว่าระหว่างผมกับหาแฟนและรอคอยให้เพื่อนธนูของผมมันเลิกมีความขี้หึง...อย่างไหนมันจะเกิดขึ้นก่อนกัน
หรือกูแม่งต้องหาแฟนจริงๆ เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินจากคนที่ชื่อธนู...
To be continued