ขอบคุณทุกท่านที่กดให้คะแนนนะครับ
บทที่ 18
'พ่อตัวร้าย' บีบแตรรถดังๆ ส่งผลให้ยามรักษาการณ์หน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดต้องรีบวิ่งออกมาโวยวาย พอเห็นหน้า 'คู่ปรับ' ที่นั่งอยู่ในรถก็เบ้ปาก
“เปิดเร็วๆ หรือจะให้โทรเรียกผู้กองมาเปิด รู้ไหมนี่ว่าใคร”
“กรุณารอสักครู่นะครับท่าน” ยามพูดแดกดัน สีหน้าตรงกันข้ามกับคำพูด รีบเดินไปเปิดประตูรั้วให้ชายหนุ่มที่กำลังทำหน้ากวนๆ
“ขอบใจน้อง” โชคดีอดกวนไม่ได้ เมื่อประตูเปิด เขาจงใจเข้าเกียร์และเร่งเครื่องแรงๆ ทำให้ยามรีบกระโดดออกไปยืนให้พ้นทาง แต่ชายหนุ่มกลับเคลื่อนรถเข้าไปในจวนผู้ว่าราชการช้าๆ ปล่อยให้ยามมองตามอย่างขุ่นเคืองที่โดนแกล้ง
ปฐพียืนรออยู่หน้าบ้าน ทันที่ที่โชคดีจอดรถ นายตำรวจหนุ่มก็เดินเข้ามาใกล้ แล้วเปิดประตูรถเพื่อขึ้นนั่งคู่คนขับ แต่โชคดีลงจากรถ แล้วบอกให้ปฐพีเป็นคนขับ
“ผมเหนื่อย วันนี้ทำงานทั้งวัน ผู้กองไม่เหนื่อย เป็นคนขับรถก็แล้วกัน”
“ผมมาจากลำปาง”
“อ้าวนึกว่าเป็นตำรวจเมืองน่านไม่ใช่หรือ เห็นอยู่ที่นี่มากกว่าอยู่ที่ลำปางเสียอีก”
“เลิกประชดได้แล้ว เป็นแฟนกันมาประชดกันแบบนี้ เดี๋ยวเจอดีนะ” ปฐพีทำตาวิบวับ
“กลัวซะที่ไหน” โชคดียักไหล่แล้วขึ้นนั่งบนรถ หันไปเร่งปฐพีที่ยังยืนส่ายหน้าช้าๆ อยู่ข้างรถ แล้วบอกให้ไปได้แล้ว
“ผมต้องแวะรับคุณจักริณทร์ด้วย” ปฐพีพูดเสียงเบา เมื่อรถพ้นออกจากประตูรั้วบ้าน “นัดกับคุณจักรเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน”
“เขามาทำไม” โชคดีถาม พยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
...จักริณทร์มาก็ต้องพักบ้านชยุตม์สิ นอนห้องเดียวกัน เตียงเดียวกัน แล้วก็มีอะไรกัน ชยุตม์ออกอาการหื่นขนาดนั้น สงสัยเก็บกดอารมณ์เอาไว้นาน พอแฟนมาเยี่ยม ก็คง...
“อ้าว เดี๋ยวกระจกรถแตก” ปฐพีเตือน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใช้กำปั้นทุบกระจกด้านข้าง “เขาเป็นแฟนกัน ก็ต้องมาเยี่ยมกันเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนประสบอุบัติเหตุ หน้าหล่อๆ ได้แผลมาเยอะแยะขนาดนั้น”
“เยอะที่ไหน แค่ไม่กี่รอย” โชคดีพึมพำ
“เห็นด้วยหรือ” ปฐพีเลิกคิ้วถาม โชคดีไม่ตอบ เมินหน้าออกไปมองนอกรถ นายตำรวจหนุ่มจึงพูดต่อว่า “หรือว่าเป็นคนฝากรอยเอาไว้เอง”
“อย่ามากล่าวหาผมนะผู้กอง” โชคดีปากเข็ง “ปากอย่างคุณคนนั้น คงหาเรื่องใส่ตัว โดนใครที่ไหนต่อยเข้าให้”
“อันธพาล น่าจับขังคุกให้เข็ด” ปฐพีเออออ
...แล้วปากอย่างตัวเองล่ะ ควรจะโดนทำอะไร โดนต่อย หรือโดนจูบ...
...ชยุตม์จูบโชคดี!
...แน่ๆ เลย ชยุตม์ต้องจูบโชคดีแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่โดนต่อยขนาดนั้น...
...เพราะเหตุนี้ ถึงได้รีบมาขอคบกับเขาเป็นแฟน...
ปฐพีชะลอรถ แล้วจอดข้างทาง โชคดีหันมาถามว่าจอดรถทำไม ปฐพีจึงตอบว่ามีเรื่องอยากจะคุย
“มาคุยอะไรตอนนี้ ไปให้ถึงร้านก่อนค่อยคุยกัน มีเวลาถมเถ”
“จะคุยต่อหน้าคุณจักรได้ยังไงกันล่ะ” ปฐพีทำเสียงดุ
“ก็แล้วทำไมไม่ปฏิเสธเขาไป แฟนนัดทานข้าวยังจะให้คนอื่นไปด้วยอีก”
“ก็ผมนัดกับคุณจักรเขาก่อน แล้วโชคดีเพิ่งมาชวมผมเมื่อกี้ ตอนที่จะขับรถมาหาถึงที่บ้าน จะให้ยกเลิกเขากระทันหันก็น่าเกลียด คุณจักรอุตส่าห์มาจากกรุงเทพฯ และที่สำคัญ ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน พอผมบอกคุณจักร เขาก็ขอยกเลิกด้วยซ้ำไป”
“แล้วทำไมไม่ยกเลิก” โชคดีเลิกคิ้ว เริ่มรู้สึกแปลกๆ กับคำสรรพนามที่ปฐพีใช้เรียกจักริณทร์
“ก็ตามมารยาท”
“ผมไม่มีมารยาทหรือไง”
“เลิกเป็นเด็กดื้อได้แล้วโชคดี”ปฐพีปรามยิ้มๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว ต้องปรับปรุงตัวซักหน่อย อย่างน้อยผมก็อายุมากกว่า ต้องยอมลงให้ผมบ้าง”
โชคดีนิ่ง มองตาวิบวับของปฐพีแล้วเบือนหน้าออกไปมองนอกรถอีกครั้ง
“เป็นแฟนกัน ก็ต้องทำตัวอย่างเป็นแฟน” ปฐพียื่นหน้าเข้ามาชิดแก้ม พูดเสียงต่ำ “ตอนนี้ขอชื่นใจก่อน”
“ผู้กอง กลางวันแสกๆ ในรถข้างถนน อย่าทำอะไรแบบนี้”
“งั้นคืนนี้เราก็ไปหาที่โรแมนติกคุยกัน ออกไปนอกเมืองใกลๆ หารีสอร์ทเล็กๆ ที่ไหนค้างกันซักคืน นะโชคดีนะ”
“บ้าหรือ คิดอะไรอยู่”
“ก็คิดแบบที่แฟนกันเขาคิดยังไงล่ะ จะให้ผมรอต่อไปอีกกี่ปี รอให้แต่งงานส่งตัวเข้าหอหรือยังไง”ปฐพีเสียงดังขึ้น “โชคดี ผมรอมานานหลายปีแล้วนะ เรารู้จักกันมาก็ไม่น้อย ตอนนี้โชคดีเปิดใจรับผมแล้ว เราก็อย่ารีรออะไรกันอยู่อีกเลย”
โชคดีกระสับกระส่าย หันซ้ายหันขวาโดยอัตโนมัติ รู้สึกอ้ำอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนแรกปฐพีพูดยิ้มๆ แต่ตอนนี้ท่าทางเอาจริง
“ผมขอเรียกร้อง ในฐานะแฟน”
“ผมขอปฏิเสธ”
“ในฐานะแฟนหรือ” ปฐพีเสียงเข้ม “ก็ได้ คืนนี้ยังก็ได้ แต่คืนพรุ่งนี้ ห้ามปฏิเสธ ไม่ก็คืนมะรืน คืนต่อๆ ไป จะกี่คืนก็ได้ แต่ไม่ให้เกินหนึ่งอาทิตย์หรอก ยังไงๆ ผมกับโชคดีก็ต้องได้มีอะไรกัน”
“ต้องการแค่นี้เองหรือ เป็นแฟนแล้วต้องการแค่นี้เองหรือ” โชคดีโวยวาย
“แล้วโชคดีต้องการอะไร” ปฐพีเสียงดังขึ้นเหมือนกัน หน้าตาตอนนี้เคร่งขรึมจริงจัง “ที่มาขอคบกับผมแบบแฟน ต้องการอะไร”
โชคดีหันหน้าออกนอกรถ พ่นลมหายใจแรงๆ ในใจนึกอยากจะเปิดประตูรถเดินหนีปฐพีให้สิ้นเรื่อง แต่ก็ยั้งใจไว้ได้
“เรื่องรัก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะโชคดี คิดอะไรก็อย่าฝืนใจตัวเอง ผมไม่อยากเสียใจภายหลัง และผมก็ไม่อยากให้โชคดีเสียใจภายหลังด้วย รู้ดีนี่ว่าผมห่วงใยโชคดีมากแค่ไหน จะเป็นอะไรกัน ผมก็คอยอยู่เคียงข้าง คอยห่วงใยไม่เปลี่ยนหรอก”
หลังจากต่างคนต่างเงียบอยู่ชั่วครู่ ปฐพีก็ออกรถ แล้วขับไปต่อไปช้าๆ นายตำรวจบอกว่าจักริณทร์รออยู่ที่พระธาตุแช่แห้ง กำลังถ่ายรูป โชคดีนั่งเงียบไม่พูดอะไรตลอดทาง จนกระทั่งรถจอด จึงทักทายจักริณทร์
“ผมต้องขอโทษคุณโชคดีมากๆ บอกผู้กองแล้วว่าให้ไปทานกับคุณโชคดีได้เลย แต่ผู้กองก็ไม่ยอม”
“ไปทานด้วยกันนี่ล่ะครับ ถือว่าเป็นการต้อนรับ”
“เมื่อกี้นี้ชยุตม์ก็โทรมาถามครับ เพิ่งวางสายไป จะชวนผมไปทานข้าว วันนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ มีแต่คนชวนกันทานข้าว”
“งั้นชวนคุณชยุตม์ไปด้วยกันเลยสิครับ” ปฐพีเอ่ยขึ้นมา ไม่สนใจโชคดีที่หันขวับมามองเขาทันที
“กลัวจะทานไม่ได้สิครับ ร้านที่เราจะไปเป็นอาหารพื้นเมืองไม่ใช่หรือ ถ้ารสจัดก็น่าสงสารยุตม์ ปากกำลังเป็นแผล”
“ให้ทานแกงจืดกับไข่เจียวก็ได้ครับ” ปฐพีตอบแล้วหัวเราะประสานกับจักริณทร์ ปล่อยให้โชคดีทำหน้ามุ่ยอยู่คนเดียว
“ไม่รู้โดนอันธพาลที่ไหนอัดมา” ปฐพีเปรย “ถ้ารู้ตัว ผมจะจับขังคุกให้เข็ด ลงโทษให้เข็ดหลาบ เอาให้หนัก”
“โทษฐานที่ซ้อมลูกชายรัฐมนตรีมหาดไทย” จักริณทร์เสริม แล้วหัวเราะประสานกับปฐพีอีกครั้ง ก่อนจะยกโทรศัพท์โทรหาชยุตม์
...อยากต่อยอีกซักหมัดสองหมัด เอาให้หยอดน้ำข้าวต้มเลย ให้ตายสิ..
โชคดีเอนตัวลงกับเบาะ ปล่อยให้ปฐพีคุยกับจักริณทร์อย่างถูกคอ จักริณทร์บอกว่าชยุตม์กำลังจะออกจากที่ทำงาน แต่ขอกลับบ้านไปอาบน้ำก่อนเพราะเนื้อตัวสกปรก จากนั้นจะตามไปที่ร้านอาหาร
รถแล่นไปช้าๆ โชคดีมองออกไปนอกรถ พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลง ขณะที่ข้ามสะพาน เขาอดมองลงไปยังแม่น้ำไม่ได้ แม้เป็นคนละสะพานกับที่เขาและชยุตม์พบกันเมื่อวาน แต่เขาก็อดนึกภาพชยุตม์กับตัวเองนั่งอยู่บนโขดหินริมแม่น้ำเมื่อวานนี้ไม่ได้
...ภาพเสี้ยวหน้าคมเข้มของชยุตม์เป็นสีทองเพราะแสงอาทิตย์ยามอัสดง ใบหน้ายิ้มๆ ของชายหนุ่มประทับอยู่ในความทรงจำเขาอย่างชัดเจน...
...ภาพนั้นคงไม่เลือนหายไปโดยง่าย...
...แล้วชยุตม์ล่ะ จะเห็นภาพอะไร...
ชายหนุ่มทั้งสามคนนั่งคุยกันในร้านอาหารริมแม่น้ำนานเป็นเวลาพอสมควรจนจักริณทร์บ่นขึ้นมาว่าทำไมชยุตม์ยังไม่มาเสียที
“สงสัยรู้ว่าผมมาด้วย เลยไม่อยากเจอหน้าผมก็ได้มั๊งครับ” โชคดีพูดยิ้มๆ
“ทำไมล่ะ ไม่อยากเจอหน้ากันมีเรื่องอะไรกันหรือ หรือว่าโชคดีไปต่อยหน้าคุณชยุตม์” ปฐพีแกล้งยั่ว จักริณทร์หันมายิ้มแล้วส่ายหน้ากับคำพูดของนายตำรวจหนุ่มแล้วพูดว่าปฐพีพูดอะไรก็ไม่รู้
“คุณโชคดีจะมีเหตุผลอะไรไปต่อยยุตม์ล่ะครับ”
“นั่นสิ จะมีเหตุผลอะไร ผมก็พูดเล่นไปยังงั้นล่ะ” ปฐพีพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะบอกให้จักริณทร์ลองโทรหาชยุตม์อีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่รับโทรศัพท์เลย ปกติยุตม์ไม่เคยเหลวไหล เป็นคนตรงต่อเวลา” จักริณทร์บ่น แต่ในใจกลับนึกไปอีกอย่างเพราะเขารู้สึกว่าชยุตม์ทำอะไรแปลกๆ ไปหลายอย่างทีเดียว อย่างน้อยก็ถึงกับลืมไปรับเขาที่สนามบิน
...เหม่อ ใจลอย เหมือนจมอยู่ในความคิดของตัวเอง แม้แต่นอนอยู่บนเตียงก็เอามือก่ายหน้าผากและปล่อยให้ใจล่องลอยไปถึงไหนก็ไม่รู้...
“ไม่รับโทรศัพท์เลยครับ” จักริณทร์พับโทรศัพท์เก็บ สีหน้าเป็นกังวล
“หรือว่ากลับไปอาบน้ำที่บ้าน แล้วเผลองีบหลับไปเพราะเหนื่อย” ปฐพีแสดงความเห็น
“ตามไปดูเลยให้เห็นกับตา” โชคดีเสนอความเห็นบ้าง “ทำตัวแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน คุณจักริณทร์มาทั้งที วันนั้นก็ให้รอเก้อที่สนามบิน”
“ลองโทรไปที่สถานีตำรวจดูดีกว่า” ปฐพีฉุกคิด เกรงว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
“อุบัติเหตุ” จักริณทร์อุทาน
บริกรนำอาหารมาเสริฟ์ ทั้งสามหนุ่มแทบทานไม่ลง ปฐพีง่วนอยู่กับการโทรศัพท์สอบถามรายงานอุบัติเหตุ แต่ไม่ว่าจะโทรศัพท์ไปที่ไหนก็มีรายงานคนเจ็บชื่อชยุตม์
“โรงพยาบาลก็ไม่มี” ปฐพีขมวดคิ้ว
ในที่สุดทั้งหมดก็ตกลงกันว่าจะกลับไปดูที่บ้านแต่ก็พบว่าบ้านปิดเงียบ ห้องน้ำแห้งสนิท ไม่มีร่องรอยว่าเจ้าของบ้านกลับมาอาบน้ำดังที่บอก โชคดีนึกอะไรได้จึงโทรศัพท์หาโต๋เพื่อสอบถามเรื่องชยุตม์แต่คำตอบที่ได้รับทำให้เขาตกใจจนอึ้ง
“แล้วแกทำไมไม่โทรมาบอก” โชคดีตวาดคนที่อยู่ในสาย
“ก็...” โต๋อึกอัก “ก็...”
“เรื่องแบบนี้ทำไมไม่โทรมา”
“แล้วคุณโชคดีเป็นอะไรกับนายช่างล่ะครับ ผมนึกว่าไม่ถูกกันเสียอีก”
“ไอ้...” โชคดีกำลังจะบริภาษเด็กหนุ่ม แต่นึกได้ว่าก็จริงอย่างที่ฝ่ายนั้นพูด โต๋เลยรอดตัวไป
“ผู้จัดการพาไปส่งที่โรงพยาบาลแล้วครับ กว่าจะเอาตัวนายช่างออกมาได้ก็แทบแย่ เกือบจมน้ำตายกันไปหลายคน ประตูน้ำมันพัง นายช่างอยู่ใกล้ที่สุด บอกแล้วว่าไม่ให้เข้าไป แต่นายช่างเป็นห่วง กลัวงานไม่เรียบร้อย” โต๋เล่าเหตุการณ์ให้โชคดีฟัง แต่ประโยคหลังๆ โชคดีไม่ค่อยจะได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มเล่าแล้ว ในใจนึกภาพตามและต่อเติมเข้าไปเองอยู่นาน จนปฐพีต้องสะกิดให้ขึ้นรถเพื่อตรงไปโรงพยาบาล
...ชยุตม์จะเป็นอะไรมากหรือเปล่า แต่จากที่ได้ยินโต๋เล่าให้ฟังท่าทางอาการก็หนักพอดู แต่โต๋ก็มักเป็นคนที่พูดอะไรเกินจริงไปบ้าง...
...รอให้กลับถึงบ้านก่อนเถอะ จะเตะซักสองสามที ชยุตม์เจ็บยังไม่โทรมาบอก แล้วยังมีหน้ามาพูดกระทบกระเทียบเขาอีก...
จักริณทร์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ โชคดีกับปฐพีหลังจากพูดโทรศัพท์เสร็จ ใบหน้าเคร่งขรึมแปลกไปจากที่เคยเห็นยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจ
“คุณพ่อยุตม์กำลังมาจากแม่ฮ่องสอนครับ ผู้กองกับคุณโชคดีอยากกลับไปก่อนก็ได้ ตอนนี้เรารอหมออย่างเดียว”
“นายช่างคงไม่เป็นอะไรมาก” ปฐพีปลอบ วางมือบนไหล่ของจักริณทร์แล้วบีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ
“ขอบคุณครับ” จักริณทร์ยิ้มเศร้าๆ “ขออย่างเดียว อย่าให้ถึงกับต้องเข้าไอซียูเลย แต่ถ้าอาการไม่หนัก ทำไมต้องเข้าห้องผ่าตัดนานขนาดนี้”
ปฐพีกับโชคดีนั่งเป็นเพื่อนจักริณทร์ชั่วครู่จนกลุ่มพนักงานจากรีสอร์ทเข้ามาสมทบจึงปลีกตัวออกมา ขณะที่เดินไปที่รถ นายตำรวจหนุ่มปลอบให้โชคดีไม่ต้องกังวลเพราะชยุตม์ต้องไม่เป็นอะไร
“พ่อเขาเป็นถึงรัฐมนตรีมหาดไทย หมอต้องรักษาเต็มที่ล่ะ”
“มาบอกผมทำไม ไปบอกคุณจักริณทร์โน่น” โชคดีพูดเบาๆ
“กับจักรผมก็พูดแบบนี้เหมือนกัน” ปฐพีตอบ “ทำไมจะบอกโชคดีไม่ได้ล่ะ ก็เห็นทำท่าห่วงใยเขาไม่แพ้จักร”
“จักร” โชคดีหันไปสบตากับปฐพี “เลิกเรียกคุณจักริณทร์ว่า คุณจักร ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็...”
“อย่าลืมนะว่าเป็นแฟนผมอยู่” โชคดีพูดเสร็จก็เปิดประตูรถขึ้นนั่งบนเบาะด้านคนขับ
“ให้ผมขับดีไหม” ปฐพีเดินมายืนอยู่ข้างรถ
“ผมขับได้ ไม่ได้ตกใจตัวสั่นระริกเหมือนคุณจักรจนขับรถไม่ได้หรอก” โชคดีตอบ “ผมไม่เหมือนจักร ไม่ต้องห่วงผมขนาดนั้น”
ปฐพีถอนหายใจ ส่ายหน้ายิ้ม แล้วเดินอ้อมไปอีกด้านของรถกระบะโฟรวีลด์ พร้อมกับพำพำเบาๆ ว่า “จริงๆ เลย คนอะไรก็ไม่รู้”
“ขึ้นรถสิครับ หรือถ้ายังไม่อยากกลับก็ไปนั่งเป็นเพื่อนคุณจักริณทร์ เอ๊ย จักร ก็ได้นะ” โชคดีแกล้งเหน็บแนมอีกฝ่าย
“พอเถอะโชคดี” ปฐพีแกล้งทำหน้าบึ้ง “มาแกล้งทำเป็นหึงแฟนนี่ต้องการอะไร หึงจริงหรือหึงเล่น”
โชคดีไม่ตอบ เข้าเกียร์แล้วถอยรถอย่างรวดเร็วโดยมีปฐพีคอยปรามว่าให้ระวังชน คนขับใจร้อนบอกว่าไม่กลัวเพราะมีตำรวจลูกชายผู้ว่าราชการนั่งมาด้วย
“พ่อใหญ่ซะอย่าง อะไรก็ง่ายไปหมด” โชคดีพูดเบาๆ แล้วพุ่งรถออกไปจากประตูรั้วโรงพยาบาล ไม่สนใจหันไปมองปฐพีที่นั่งมองเขายิ้มๆ ด้วยสายตาขำๆ
...ฉุนที่ตัวเองไม่ได้นั่งเฝ้าชยุตม์งั้นสิ แทนที่จะเป็นตัวเองกลับเป็นจักริณทร์ ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าโชคดีคิดยังไงกับชยุตม์...
...แล้วนี่เขาต้องยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้หรือนี่ เขาควรจะยอมรับอย่างที่เขาปลอบซ่งให้ยอมรับใช่หรือไม่...
กลับถึงร้าน โต๋ถูกโชคดีเรียกมาพบเพื่อต่อว่าที่ไม่รู้จักโทรศัพท์แจ้งข่าวร้าย คุณเตือนใจกลับมาถึงร้านทันได้ยินที่โต๋ตอบโต้ชายหนุ่ม
“ก็ผมไม่นึกว่าคุณโชคดีจะสนใจ”
“ระวังปากไว้เถอะ เดี๋ยวนี้ปากดีขึ้นนะเอ็ง” โชคดีชี้หน้าเด็กหนุ่ม
“ก็จริงอย่างมี่เด็กมันพูด” คุณเตือนใจแทรก “ไหนบอกว่าไม่ชอบหน้านายช่างไงล่ะ ทำไมเป็นห่วงเป็นใย มาโกรธอะไรไอ้โต๋มัน”
“ไอ้โต๋มันพูดกวน” โชคดีกระแทกเสียง
“ผมเปล่า” โต๋เสียงอ่อย
“จะไปไหนก็ไปให้พ้นๆ หน้าเลย” โชคดีไล่ โต๋รีบผลุบหายไปทันทีไม่ต้องรอให้ถูกไล่ซ้ำ
“แล้วนี่กลับบ้านทำไม ห่วงเขานักทำไมไม่เฝ้าไข้” คุณเตือนใจถามลูกชาย
“แฟนเขามาแล้ว ก็ให้แฟนเขาเฝ้าสิแม่” โชคดีเดินหนีมารดาขึ้นชั้นบน ทิ้งให้มารดายืนส่ายหน้ามองตาม
“มันทำเหมือนผู้หญิงมีเมนส์เลยว่ะ”
คุณเตือนใจมองตามลูกชายแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกสงสารลูกของตัวเองยิ่งนัก เธอรู้จักลูกชายดี โชคดีเป็นคนที่มีความซับซ้อนภายใต้บุคลิกที่ตรงไปตรงมา ดูเหมือนจะเปิดเผยความรู้สึก แต่ในขณะเดียวกันก็เก็บความรู้สึกเอาไว้ คนทั่วไปจะเห็นว่าเป็นคนโผงผาง คิดอะไรก็พูดไปแบบนั้น แต่เธอรู้ว่า ลูกชายคนเดียวนั้นเป็นคนเก็บความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ จนแม้แต่ตัวเองก็ยังจัดการกับความรู้สึกสับสนของตัวเองไม่ได้
...ใครล่ะจะช่วยให้โชคดีพ้นจากพันธนาการทางอารมณ์...
...ปฐพีหรือชยุตม์...
...เธอยอมรับว่าแม้จะเป็นห่วงไม่อยากให้ลูกเจออะไรคล้ายๆ กับที่เธอเจอ แต่เธอก็อยากให้ลูกมีความสุข ได้สัมผัสกับความรัก ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนั้นก็แล้วแต่เวรแต่กรรม เพราะท้ายที่สุด คนเราก็จะเอาชนะมันได้...
...จริงสิ เธอยังเอาชนะความเจ็บปวดครั้งนั้นได้เลย เธอสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมาได้ แต่เธอก็รู้ว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขในการได้รักกับพ่อของโชคดีก็เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้น...
...หากลูกชายของเธอสมหวังในรัก เธอก็จะดีใจมาก และหากคิดให้ตลก ถ้าโชคดีมีความรัก คนแถวนี้ก็คงสงบสุขกันไปตามๆ กัน...
...ร้ายนัก ต้องมีความรักถึงจะดี...
**18********
::::::::::::: จะมีบ้างไหม ที่ใครจะรักผม :::::::::::::