Ep. 23
[ก้อง]
นี่คือคืนแรกของการเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการของผมกับการ์ด
ผมที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเห็นมันกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนที่นอนกลางร้าน...มันเป็นสิ่งที่ผมกับเพื่อนอีกสามคนรวมถึงการ์ดเคยชิน ชินซะจนคิดว่าถ้าพวกเราเปลี่ยนไปนอนเตียงแทนที่จะนอนฟูกนุ่มๆ อย่างเช่นที่นอนเหล่านี้ พวกเราก็คงจะไม่สบายตัวสักเท่าไหร่
ยุกับโฮมหายไปไหนสักที่ ไม่แน่ว่าอาจจะไปเล่นกีต้าร์ร้องเพลงกันอยู่ข้างนอก ซึ่งก็มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอเวลาที่เราทุกคนว่างจากการทำงาน
ไม่เคยมีใครขาดเสียงดนตรีได้เลย...
ถ้าไม่ติดว่าทำงาน ผมกับเพื่อนคงเอาแต่ซ้อมดนตรี ซ้อมดนตรี และก็ซ้อมดนตรี เหมือนอย่างตอนที่อยู่มหา’ลัย
ปกติแล้วการเรียงลำดับการนอนจะเป็นผม ไอ้ยุ ไอ้การ์ด และก็ไอ้โฮม พวกที่อยู่ขอบคือพวกที่มีปัญหาด้านการนอน โฮมมันนอนดิ้นที่สุด ส่วนผมนั้นกรนดังที่สุดเพราะผมคือผู้ใช้แรงงาน ไม่ค่อยได้ใช้สมองเท่าไหร่ ร่างกายผมมักจะเหนื่อยและก็มักจะส่งเสียงกรนเวลาที่ผมนอนหลับพักผ่อน
คืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมอยากให้เกิดการนอนสลับที่กันเกิดขึ้น
ไอ้การ์ดไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มันเปลี่ยนท่าเป็นทิ้งตัวนอนหงาย และก็ยังคงเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย ผมไม่แน่ใจว่ามันมองเห็นว่าผมนั่งอยู่บนที่นอน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมันหรือเปล่า...
หากมีคนสงสัย...คืนนี้ธนูกับรบไม่อยู่ที่นี่ครับ ดูจากความร้อนแรงในห้องเก็บของของพวกมันเมื่อตอนบ่าย ตอนนี้พวกมันคงอยู่โรงแรมที่ไหนสักแห่ง
ที่บ้านของรบมีคนในครอบครัวรบเยอะจนเกินไปน่ะ
พวกเราเริ่มจะเคยชินกับการอยู่บ้างไม่อยู่บ้างของไอ้ธนู...แม้ว่าเมื่อก่อนพวกเราจะขาดมันไม่ค่อยได้ก็ตาม แต่การมีอยู่ของรบทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่เปลี่ยนไป อย่างน้อยมันก็ช่วยลดอาการหวาดระแวงจากการกลั่นแกล้งของพี่นทีไปได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเราได้ใช้ชีวิตอย่างสบายอกสบายใจมากขึ้น
ไม่มีนักเลงอันธพาลกลุ่มไหนกล้ามายุ่งกับกลุ่มของเราอีกแล้ว...
ตอนนี้เหมือนพวกเราได้คนของพี่นทีมาคุ้มกะลาหัวเพิ่มอีกน่ะครับ
ไอ้การ์ดเหลือบมามองผมราวกับเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองกำลังโดนจ้อง
“มีอะไรวะก้อง” มันถาม
“ทำไม”
“...”
“กูมองแฟนตัวเองไม่ได้หรือไง”
การ์ดส่ายหน้าเบาๆ ส่งให้ผม จากนั้นก็หันไปเล่นโทรศัพท์ต่อ
“มึงแชตกับใครน่ะ” ผมหรี่ตามองอย่างสงสัย
“เปล่า เช็กคอมเมนต์ในเพจของร้านต่างหาก”
“งั้นเหรอ”
เกือบลืมไปเลยว่าไอ้การ์ดมันก็เป็นมนุษย์ที่บ้างานคนหนึ่ง...ถ้าร้านนี้ไม่มีมันกับรบสักคน ผมเชื่อว่าแม่งคงไปไม่รอด การ์ดช่วยคุมทุกอย่างในร้าน ส่วนรบนั้นช่วยคุมเจ้าของร้านให้อยู่กับร่องกับรอย
“มึง...มีคนมาจีบมั้ยช่วงนี้” ผมค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามไอ้คนฮอตแห่งปีอย่างการ์ด
“ไม่มี” มันตอบง่ายๆ
อืม...ดีแฮะ ผมจะได้ไม่เหนื่อยแสดงความเป็นเจ้าของให้มาก
“แล้วมึงล่ะ กิ๊กกับใครอยู่หรือเปล่า” การ์ดถามบ้าง
จริงๆ แล้วผมก็มีบ้าง แต่ก็เป็นความสัมพันธ์บนเตียงแค่ชั่วข้ามคืน ไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ที่จริงจัง
“ไม่มี” ผมตอบมันอย่างง่ายๆ เหมือนกัน
“อืม”
“...”
“ตอนนี้มึงห้ามมีกิ๊กแล้ว...มึงรู้ใช่มั้ย”
ผมลอบยิ้มมุมปาก “มึงเตือนในฐานะแฟนปลอมๆ หรือแฟนจริงๆ ของกูวะ กูถามหน่อย”
“ตอนนี้กูเป็นแฟนจริงๆ ไปแล้วนี่ จะเตือนในฐานะแฟนปลอมๆ ทำซากอะไร”
ผมก็แค่อยากได้ยินคำยืนยันจากปากมันก็แค่นั้น...ใครจะไปรู้ล่ะครับ เผื่อมันยังอ๊อง...คิดว่าผมเป็นแฟนปลอมๆ ของมันอยู่ ผมก็เสียเปรียบดิ
อุตส่าห์ร้องลั่นร้านว่าชอบมันซะขนาดนั้น
ผมชอบ...มันจริงๆ นะ
อย่างน้อยก็ชอบในระดับหนึ่งล่ะ...ถ้าไม่ชอบ...ผมจะมีความรู้สึกที่ว่าอยากให้มันคิดเหมือนกันกับผมบ้างทำไมกัน
อา ให้ตายเถอะ คู่ผมช่างเป็นคู่ที่เริ่มได้อย่างโคตรงงเหลือเกิน จากแฟนปลอมๆ สู่แฟนกันจริงๆ โดยที่ผมเริ่มชอบก่อน แล้วผมก็ต้องพยายามทำให้มันชอบผมมากขึ้น...ทั้งๆ ที่เป็นแฟนกันไปแล้ว
เหี้ยอะไรวะเนี่ย
“ถ้ามึงเป็นแฟนกูจริงๆ มึงก็ต้องมานอนข้างกู” ผมเอื้อมมือไปหยิบหมอนของมัน...จนมันที่นอนอยู่ถึงกับคอตกหมอน มันรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมองผมด้วยสายตาคาดโทษ “คืนนี้มึงเปลี่ยนที่นอนได้แล้ว”
“นั่นที่ไอ้ยุ”ถ้ามันยอมง่ายๆ ก็คงไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทของคนอย่างไอ้ธนูหรอก...
“ยุมันรู้แล้วนะว่ากูคบกับมึง มึงคิดว่าอย่างมันจะอยากเข้ามาเป็นก้างขวางคอมึงกับกูเหรอ”
“สัด”
“...”
“แค่นอนข้างกันเฉยๆ แค่นี้มึงก็เอาเหรอวะ”
“ก็เป็นแฟนกัน...เราก็ต้องทำอะไรที่เพื่อนเขาไม่ทำกัน”
“แต่มึงกับกูเป็นเพื่อนกันมาก่อน”
“ตอนนี้เปลี่ยนเป็นแฟนกันแล้ว...ยังไงเราก็ต้องเริ่มเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนสักที” ผมไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มของการ์ดให้มาวางอยู่ข้างๆ ที่นอนของผมด้วย
“มึง...นอนกรนอ่ะ” การ์ดทำหน้าเหยเก
“อย่าเรื่องมาก มึงเลือกไม่ได้แล้ว”
ถือซะว่าเป็นบาปกรรมของมึงที่กูต้องเป็นไม้กันหมาให้มึงมาตลอดหลายปีก็แล้วกันนะ...ให้มึงได้อยู่ติดกับกูในสถานะแฟนต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ
ยุกับโฮมเข้ามาในห้องพร้อมกับทำการปิดไฟเพราะมันดึกมากแล้ว ไอ้ยุไม่ถามด้วยซ้ำว่าทำไมการ์ดถึงเปลี่ยนที่นอน มันย้ายที่ไปนอนข้างไอ้โฮมโดยอัตโนมัติ เพิ่งสังเกตว่ามันให้สเปซผมกับไอ้การ์ดเสียกว้าง...กว้างเกินความจำเป็น
ผมลืมตาเบิกโพลงในความมืด...แม้จะนอนในห้องห้องนี้มาหลายต่อหลายคืนแต่ไม่เคยมีคืนไหนที่ข่มตาหลับลงยากเท่าคืนนี้อีกแล้ว
หัวใจผมเต้นแรง...เพียงเพราะคนที่นอนอยู่ข้างๆ
ยุกับโฮมเริ่มส่งเสียงกรนนิดๆ ออกมาเป็นที่เรียบร้อย พวกเราหลับง่ายก็เพราะเราทำงานกันหนัก แต่คืนนี้ผมคงเป็นข้อยกเว้นสำหรับความจริงข้อนี้
“ก้อง” เสียงกระซิบเรียกดังขึ้นที่บริเวณข้างหูผม “ทำไมยังไม่นอน”
ไม่ได้มีแต่ผมที่ยังลืมตาอยู่...
“นอนไม่หลับ” ผมตะแคงข้างไปคุยกับการ์ด
“ทำไมวะ”
“ตื่นเต้น”
“...”
“เกิดมาเพิ่งเคยนอนข้างมึง”
“ไอ้เว่อร์” การ์ดตีไหล่ผมเบาๆ “นอนได้แล้ว...พรุ่งนี้ทำงานกันต่อ”
“มึงนอนสิ” ผมพอเห็นหน้ามันจากไฟสลัวที่ส่องมาจากด้านนอก แต่ก็เห็นไม่ชัดเท่าไหร่นัก...
“หลับพร้อมกัน”
“กูไม่รู้ว่าคืนนี้กูจะหลับลงหรือเปล่า”
“มัน...ขนาดนั้นเลยเหรอวะก้อง”
“นั่นน่ะสิ”
ดวงตาสดใสของไอ้การ์ดจ้องมองผม...ก่อนจะส่งยิ้มมาให้เบาๆ
“นอน...ไอ้สัด” มือของมันเอื้อมมาคว้าผ้าห่มของผมให้คลุมไปทั่วทั้งตัวผม “หรือจะให้กล่อม”
“จะบ้าเหรอ” ผมกระซิบสวนกลับไป เพราะไม่อยากรบกวนไอ้ยุกับไอ้โฮม
“คือกู...” การ์ดกระแอมเบาๆ
“อะไรวะ”
“กูดีใจที่ได้มึงมาเป็นแฟนนะ”
ผมไม่คิดว่าการ์ดจะพูดประโยคแบบนั้นออกมา...
“คือที่ผ่านมา...มึงเป็นเพื่อนที่ดีมากเลยว่ะ...ดีจนกูดีใจที่กูได้มึงมาเป็นแฟนจริงๆ” มือของมันเอื้อมมาคว้ามือผมจากนั้นก็จับมือผมเอาไว้ “ขอบคุณมากนะเว้ย”
“...”
“กูไม่รู้หรอกว่าความรักมันคืออะไร กูไม่เคยรักใครแบบที่ไอ้ธนูมันรักรบ หรือรบมันรักไอ้ธนู แต่ตอนนี้กูว่ากูจะเปลี่ยนความคิดตัวเองใหม่ เพราะกูคิดว่ากูน่าจะรู้จักความรักแล้ว”
มันกระซิบได้อย่างน่าฟังมาก...ผมรู้สึกเคลิ้มจนผมนึกอยากฟังมันพูดไปตลอดทั้งคืน
“แล้วความรักสำหรับมึง...มันคืออะไรวะ” ผมถาม...ยังคงมองหน้าไอ้การ์ดที่นอนตะแคงข้างมองหน้าผมเช่นเดียวกัน
“ตอนนี้น่ะเหรอ”
“...”
“ก็มึงไง มึงคือความรักของกู”เหยดเข้...
“กูจะเรียนรู้มันไปพร้อมๆ กับมึง...จากนี้ไปมึงจะกลายเป็นนิยามความรักสำหรับกู ถ้ากูทำได้ดีหรือไม่ดี มึงเอ่ยปากบอกกูได้ตลอดเลยนะ”
มือของผมบีบมือของมันแน่นขึ้น...จากนั้นผมก็ยกมันขึ้นมาจุมพิตที่หลังมือของการ์ดเบาๆ
มันกระพริบตาปริบๆ อย่างตกอกตกใจ...
“บทเรียนแรกที่มึงควรรู้ไว้สำหรับความรักของมึง” ผมพูดเบาๆ “มึงไม่ต้องฝืนตัวเอง ทำตามที่ใจมึงอยากทำ แค่นั้นก็พอ”
“...”
“ตอนนี้...มึงอยากทำอะไรวะ”
“นอน”
“...”
“นอนจับมือมึง”
คำตอบของมันถูกอกถูกใจผมมาก...ไม่เลวเลยสำหรับบทเรียนแรกเรื่องความรักของคนฮอตอย่างไอ้การ์ด
“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ...มึงอยากทำอะไร”
“แสดงบทบาทเป็นแฟนกันให้เนียนต่อหน้ารบกับไอ้ธนู”
คำตอบนี้ไม่ถูกใจผมแฮะ...การ์ดรีบแก้คำพูดตัวเองอย่างรวดเร็วราวกับอ่านใจของผมได้
“กูหมายถึง...กูจะเป็นแฟนที่ดีของมึงต่อหน้าคนอื่นๆ”
ฉลาดตอบฉิบหาย...ผมจูบหลังมือของมันอีกครั้งเป็นการให้รางวัล ซึ่งผมเห็นว่ามันแอบยิ้มเขินทุกครั้งที่ผมทำแบบนี้กับมันนะ...
“ดีมาก”
“...”
“กูเองก็จะเป็นความรักที่ดีของมึง ไอ้เหี้ยการ์ด”
[การ์ด]
สองวันถัดมา
ไอ้ก้องแม่งเดินหน้าจีบผมอย่างที่มันได้เคยปฏิญาณเอาไว้...ทั้งๆ ที่มันกับผมเป็นแฟนกันแล้วนั่นแหละ
ถึงแม้ว่ามองเผินๆ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับผม...ผู้เป็นคนที่โดนจีบโดยตรง นั่นย่อมรู้ดีว่ามีอะไรเพิ่มเติมจากปกติอยู่มาก
อย่างน้อยก็สายตาหวานๆ นั่นอย่างหนึ่งล่ะ
ไม่รู้อะไรดลใจให้ก้องมันเกิดความรู้สึกลึกซึ้งกับผมขึ้นมา...แต่ถ้าหากผมจะถามคำถามนี้กับมัน ผมควรต้องถามตัวเองด้วยว่าเพราะอะไร แค่สถานะปลอมๆ ที่เป็นพันธะเชื่อมนั้นมันมากเพียงพอที่จะทำให้ผมกับมันกลายเป็นแฟนกันจริงๆ ได้ขนาดนั้นเลยหรือ
ระหว่างที่ผมว่างจากการทำงาน...ผมก็ได้นึกถึงเรื่องนี้ไปด้วย
ทำไมก้องต้องพิเศษกว่ายุ โฮม หรือแม้กระทั่ง...ธนู
สิ่งแรกที่ผมประทับใจก็คือการตอบรับคำขอความช่วยเหลือจากผมของมัน...ที่จริงแล้วมันมักจะเป็นเพื่อนที่มองว่าผมอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม นี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่มันทำให้มันยอมเป็นแฟนปลอมๆ ของผมได้โดยง่ายก็ได้
ยังไม่รวมไปถึงเรื่องที่มันต้องคอยกันไม่ให้พวกผู้ชายหลายคนเข้าใกล้ผม ผมจำได้ว่ามันชอบทำหน้าที่นี้มากกว่าคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด บางครั้งไอ้ยุกับไอ้โฮมมันก็ทั้งขี้เกียจทั้งเบื่อ พวกมันชอบบ่นว่าผมไม่เห็นจะน่ารักตรงไหน ทำไมต้องมีผู้ชายมากมายหมายปองและจ้องจะเข้ามาหาด้วย
มีแต่พวกมันที่ตั้งคำถาม...แต่ก้องนั้นมันไม่เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
แม้ว่าผมกับมันจะรู้ว่าเราสองคนได้ก้าวข้ามเส้นของคำว่าเพื่อน กลายเป็นคำว่าแฟนไปแล้ว แต่ยังไงเราก็ต้องแสดงออกว่าเรานั้นเป็นแฟนกันมานานต่อหน้าไอ้ธนูกับไอ้รบ...ซึ่งนั่นแหละที่เป็นปัญหา
เป็นปัญหามากกว่าตอนที่ก้องมันจีบผมอีก
คือ...เรายังไม่คุ้นเคยกันน่ะ
“อะไรวะก้อง” ผมได้ยินเสียงธนูบ่นแฟน...ของผม “มึงจำเบอร์รองเท้าไอ้การ์ดไม่ได้เหรอ ไหนบอกว่าแอบคบกันมานานเป็นเดือนแล้วไง”
คนถูกถามหันมาขอความช่วยเหลือจากผม ผมชูนิ้วเป็นเลขสี่กับเลขศูนย์ส่งให้มันลับหลังธนู
“เบอร์สี่สิบไง กูเพิ่งนึกได้เมื่อกี้”
“นี่มึงเป็นแฟนมันจริงๆ ป่ะเนี่ย”
“เป็นจริงๆ สิวะ”
อันนี้ไอ้ก้องไม่ได้หลอก...ทุกอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันก่อน เพียงแต่ไอ้ธนูมันไม่รู้
“แล้วมึงขี้หึงป่ะ” ธนูถามต่อไป
ก้องเหลือบมามองผม...เราทั้งคู่ยังไม่มีเหตุการณ์ไหนที่ใกล้เคียงกับคำว่าหึงหวงเลย
ทุกสิ่งทุกอย่างยังใหม่เอี่ยมอ่อง...
“มาก” คำตอบของก้องเหมือนตั้งใจจะพูดกับผมมากกว่า
“งั้นมึงก็ต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว” ธนูส่ายหน้าเบาๆ “นั่นไอ้การ์ดนะ”
“กูรู้...รู้ตั้งนานแล้วว่ามันฮอต”
“ถ้าเคลียร์กับไอ้เหี้ยไหนไม่ได้ให้มาบอกกู...กูจะช่วยมึงอีกตีน เอ๊ย อีกแรงเอง”
“ขอบใจ...แต่ก่อนจะถึงมือของมึง กูก็คงจะสู้สุดใจ”
“...”
“ของของใครใครก็ต้องรักต้องหวงป่ะวะ”
เหี้ย..ไอ้สัดก้อง
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างแรง ยิ่งตอนที่ธนูมันหันมาทำสีหน้าหยอกล้อผม ผมก็ยิ่งรู้สึกเขินอายจนอยากมุดหลบไปอยู่ที่อื่น
“เยี่ยม” ธนูดูพึงพอใจมาก “งั้นกูจะฝากไอ้การ์ดไว้กับมึงเต็มๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“หา”
“ตอนนี้กูคงไม่ค่อยว่างดูแลไอ้การ์ดแล้วเพราะกูมีแฟน...ตอนนี้ไอ้การ์ดเองก็มีแฟนอย่างมึง เพราะงั้น...กูฝากมันไว้กับมึงหน่อยนะ”
“...”
“ดูแลเพื่อนเราดีๆ ด้วย กูไว้ใจมึงมากนะไอ้ก้อง” ธนูตบไหล่ของไอ้ก้องพร้อมกับลุกเดินหนี...ก้องหันมามองสบตาผม จากนั้นก็ส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ราวกับว่ามันเพิ่งผ่านด่านอะไรบางอย่างมา
“นั่นคือความไว้ใจสูงสุดเชียวนะ” ไอ้ยุโผล่มากระซิบข้างหูผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “ธนูมันห่วงมึงมากนะการ์ด แต่มันก็ฝากมึงไว้กับไอ้ก้อง”
“มันคงรู้แหละว่าก้องดูแลมึงได้...เนอะ” ไอ้โฮมพยักเพยิดไปทางไอ้ยุ
“เพราะมึงคือความรักของมัน”
“แล้วมันก็คือความรักของมึง”
ไอ้สัด...ทำไมผมรู้สึกคุ้นหูจังวะ
“กูจะเป็นแฟนที่ดีของมึงต่อหน้าคนอื่นๆ”
“กูเองก็จะเป็นความรักที่ดีของมึง ไอ้เหี้ยการ์ด”สิ้นเสียงล้อเลียนของไอ้โฮม ผมก็รู้แทบจะในทันทีว่าพวกมันแม่งแอบฟังพวกผมคุยกันตอนกลางคืน ผมรีบวิ่งไล่เตะมันทั้งสองอย่างบ้าคลั่งโดยมีก้องมองตาม พอผมเล่าให้ก้องฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้ก้องมันก็รับไม้ต่อ...วิ่งไล่เตะไอ้โฮมกับไอ้ยุแทนผม
โชคดีที่ธนูมันอยู่ในห้อง...ท่าทางของมันจะง่วนอยู่กับการโทรคุยกับรบ ผู้ที่ตอนนี้น่าจะอยู่ต่างจังหวัดเนื่องจากมันไปเยี่ยมธาตุกระดูกของคุณตากับคุณยายของมัน
ถ้ามันไม่ยุ่งอยู่ล่ะก็...มันก็คงจะหยิบรองเท้าสักข้างแล้วโยนมาใส่พวกผม
โทษฐานที่วิ่งไล่จับกันอย่างกับเด็กประถม
[รบ]
[กลับมาได้แล้ว] ผมไม่คิดว่าเสียงปลายสายของธนูจะเหมือนเด็กที่กำลังอ้อนขนาดนี้
“หา”
[ร้านไม่มีมึงแล้วมันแปลกๆ]
“เอ่อ...ธนู กูลาแค่วันเดียว เดี๋ยวตอนเย็นก็เจอกันแล้ว”
[ไม่รู้ล่ะ กูอยากให้มึงกลับตอนนี้เลย]
ผมยิ้มกับไอ้คนเอาแต่ใจในแทบจะทุกๆ สถานการณ์...
[กูจะไปรับที่สนามบิน]
“จะบ้าเหรอ แดดดี้จอดรถไว้ เดี๋ยวกูกลับบ้านก่อน”
[ไม่ เดี๋ยวมันช้า กว่ามึงจะกลับไปเอารถ และกว่ามึงจะขับมาหากู...]
“ธนู” ผมส่ายหน้าเบาๆ กับโทรศัพท์ อดปลื้มไม่ได้ที่ธนูมันไม่อยากอยู่ห่างกับผมนานๆ
[ยังไงกูก็จะไปรับมึงที่สนามบิน]
“ก็ได้ๆ” ผมยอมในที่สุด
[แลนด์กี่โมง]
“น่าจะเกือบสองทุ่ม”
[ดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ]
“ลองเดาดู”
[รบ...มึงก็แค่บอกมาตรงๆ ไม่ง่ายกว่าเหรอ]
“...”
[ดอนเมือง]
“สุวรรณภูมิเว้ย” ผมหัวเราะอย่างนึกสนุก
[เฮ้อ]
“ทำไม”
[ไกล]
“ไม่ต้องมารับแล้วดีกว่ากูว่า” ผมไม่อยากให้มันลำบาก...อีกอย่างหนึ่งมันอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่ผมต้องบินกลับกรุงเทพฯ
[คิดไปแล้วว่าจะไปรับก็ต้องไปรับสิวะ กูอยากเห็นหน้ามึงตั้งแต่มึงเดินออกมาจากเกตเลย]
“มึงนี่ก็เว่อร์เหมือนกันนะ” ยิ่งคบกับมันก็ยิ่งค้นพบว่าคนอย่างมันมีเรื่องให้ตกตะลึงมากขึ้นทุกวัน
[หืม…] เสียงธนูฟังดูแปลกไป
“อะไรเหรอ”
[มีสายเรียกซ้อน…แป๊บนึงนะ]
“…”
[ไม่รับดีกว่า]
“อ้าว ทำไมล่ะ”
[ไม่ชอบรับสายเบอร์แปลก]
“เผื่อเขามีเรื่องฉุกเฉิน”
[ถ้าคนที่โทรมาไม่มีเรื่องฉุกเฉิน แต่กลับโทรมาจีบกูแทนล่ะ]
ไอ้นี่มันเก่งเรื่องการกระตุกอารมณ์ของผมแฮะ “ก็ไม่ต้องรับ”
[เห็นมั้ย…เราสองคนคิดตรงกัน]
“…” ผมมองไปที่ครอบครัวซึ่งกำลังทานอาหารกันอยู่หลังจากที่เราทุกคนไปเยี่ยมธาตุกระดูกของคุณตาคุณยายเสร็จ
[โทรมาอีกแล้วว่ะ]
“เบอร์เดิมหรือเปล่า”
[ใช่]
“กูว่าเริ่มแปลกๆ แล้วนะ”
[นั่นสิ]
“…”
[วางสายไปแล้ว]
“นี่ กูต้องวางสายแล้วเหมือนกัน ยังกินข้าวไม่เสร็จเลย”
[อ้าวเหรอ ทำไมไม่รีบบอกกูล่ะ]
“ก็…อยากคุยกับมึงเหมือนกัน”
[โอ๊ย…ไอ้คนปากหวาน]
“หึ” ผมยิ้ม…แต่ก็ต้องหุบยิ้มฉับเมื่อเห็นรันกำลังมองมาด้วยสายตาล้อเลียน
[แล้วเจอกัน]
“โอเค แล้วเจอกัน”
[เดี๋ยวจะรีบไปรับเลย]
“ได้”
[รักมึงนะ]
“ระ…” ผมกำลังจะบอกรักมันกลับไป…แต่ธนูมันกลับกดวางสายไปซะก่อน อดรู้สึกเสียดายไม่ได้แฮะ
ไม่เป็นไร…ยังไงเย็นนี้ผมกับมันก็เจอกันอยู่ดี
[ มีต่อนะคะ ]