Chapter – 29
หมอครับ ตามหาผมที
เสียงต๊อกแต๊กที่ผมได้ยินอยู่ทุกวันทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัว มันเป็นเสียงรัวคีย์บอร์ดที่เร็วกว่าที่พวกผมทำ ผมเคยได้ยินตอนที่พี่กรเอางานกลับมาทำที่บ้านตอนอยู่เชียงราย ผมงัวเงียครางถามเสียงแหบแห้ง
“พะ... พี่กรเหรอ”
เสียงรัวแป้นหยุดไป ผมกระพริบตา ห้องมืดสลัวที่มีเพียงแสงจอคอมพิวเตอร์ลอดผ่านมาทำให้ผมประหลาดใจ แม้ห้องนี้จะสลัวไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมเกิดอาการแพนิค
เดี๋ยวสิ... ไม่ใช่
ผมสะบัดหัวไล่ความมึน อาการปวดหัวแล่นจี๊ด แว่นตาหายไปจนทำให้ผมมองอะไรไม่ชัดเจน
ผมพยายามลุกขึ้น แต่พอขยับ ความเจ็บแถวๆ ท้องก็แล่นเข้ามา ผมหลุบตามองสาเหตุความเจ็บแล้วแทบจะร้องครางไม่เป็นภาษา
“ฟื้นแล้วเหรอ”
“ใครน่ะ?”
ร่างที่นั่งบนเก้าอี้หมุนหน้าคอมพิวเตอร์หันมาทั้งเก้าอี้ ผมมองหน้าเขาไม่ชัด รู้แค่ว่าสภาพผมตอนนี้ถูกจับให้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงที่ยกพนักขึ้นมาสูงเหมือนเตียงในโรงพยาบาล สายเลือด สายน้ำเกลือระโยงระยาง ผมอยู่ในสภาพนี้มากี่ครั้งแล้วนะ...
“ยาชาน่าจะกำลังหมดฤทธิ์ อาจจะเจ็บนิดหน่อย”
เสียงนั้นใกล้เข้ามา ผมพยายามควานหาแว่นตาของผม แต่มือกลับขยับไปไหนไม่ได้เพราะถูกมัดติดอยู่กับเตียง
“แกเป็นใคร?”
“จำผมไม่ได้จริงๆ ด้วยข้าวปั้น”
ร่างนั้นทิ้งตัวนั่งลงข้างผมบนเตียงที่พยายามขยับออกห่าง นัยน์ตาผมเลิ่กลั่ก หวาดกลัวจับใจ เขาเอาแว่นตามาสวมให้ผม ทำให้ความสามารถในการมองชัดเจนขึ้น
คนตรงหน้าผมเป็นชายอายุไล่เลี่ยกับผม รอยยิ้มใจดีของเขาส่งมาให้ผม แต่แววตาของเขาทำให้ผมรู้สึกจิตตก
“ผมชื่อเหลียนครับ”
“จับผมมาทำไม?”
ผมครางถาม เริ่มนิ่วหน้า เมื่อฤทธิ์ยาชาเริ่มหมด ความเจ็บปวดระบมแล่นไปทั่วร่าง ผมหลุบตามองท้องตัวเองอีกรอบ เสื้อผ้าของผมถูกถอดออกจนหมด... มีเพียงผ้าสีเขียวคลุมไว้หมิ่นเหม่แถวๆ สะโพก ผมหอบหายใจถี่
“ผมตามหาคุณมาตั้งนานแน่ะ พี่ชายผมเขาซ่อนพวกคุณเนียนมากเลยนะ”
มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบหน้าผมที่สะบัดหนีอย่างรังเกียจ น้ำตาคลอเบ้า เสียงเครื่องวัดชีพจรดังติ๊ดๆ ทำให้ผมรู้ว่าหัวใจตัวเองตอนนี้เต้นเร็วขนาดไหน เหงื่อเย็นเม็ดเป้งผุดออกมาตามหน้าผาก
“ซ่อน?”
“ใช่ครับ ไม่สิ... ต้องบอกว่าเขาซ่อนผมจากพวกคุณด้วยแหละ”
ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบมือถือของผมมาชูตรงหน้า
“สนุกกับเกมของผมมั้ย”
“เกมเหี้ยไร!”
“อ้าวแหม? ไม่สุภาพซะแล้ว” ไอ้บ้านั่นทำหน้าผิดหวัง
ผมตาพร่ามัว มันปวดหนึบที่แผล แถมเหมือนกับอะไรบางอย่างมันหายไปด้วย ผม... ไม่อยากจะคิด
“จับกูมาทำไม!”
ผมเสียงแข็งถามเขาดังขึ้น ความหงุดหงิดจากความเจ็บปวดและฤทธิ์ยามันทำให้ผมอยากจะแผดเสียงร้อง แผลที่ถูกเย็บอย่างไม่ถูกต้องส่งผลให้เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมา
“ชู่ว! ไม่เอา ไม่เสียงดังสิครับ เดี๋ยวแผลเปิดเยอะกว่าเดิมนะ”
คนที่บอกว่าตัวเองชื่อเหลียนยกนิ้วชี้มาส่ายตรงหน้าผม เขาส่งยิ้มมาให้
“ผมคิดถึงคุณมากเลยนะ ใช้เวลาตามหาคุณตั้งนานแน่ะ”
“มึงเป็นใคร” ผมหยาบคายด้วยโทสะ ผมไม่รู้จักเขา... มั่นใจว่าไม่รู้จัก...
เหลียนทำหน้าผิดหวัง
“ผมคือเพื่อนของคุณไง เราอยู่ในรถคันเดียวกันวันนั้น คุณจำได้มั้ยครับ”
ไม่... ผมจำไม่ได้
ไอ้โรคจิตเอาสองแขนคร่อมหัวผมไว้
“คุณอยากรู้มั้ยว่าทำไมพวกมันต้องเสี่ยงมาจับเด็กในเมืองอย่างเรา ทั้งๆ ที่พวกมันไม่จำเป็นต้องเสี่ยงมาจับเราที่โรงเรียนเลยด้วยซ้ำ เขาจะเอาใครก็ได้ เด็กที่ไม่มีสัญชาติเยอะแยะไป อยากรู้รึเปล่า?”
มือใหญ่เลิกผ้าที่คลุมช่วงล่างผมไว้เล็กน้อย เผยให้เห็นแผลผ่าใหญ่ประมาณฝ่ามือถูกเย็บลวกๆ ผมหอบหายใจถี่ ตาเหลือกมองรอยแผลน่ากลัวก่อนจะเบือนสายตาหนี ไม่พูดและไม่ตอบอะไร จนไอ้คนที่พยายามจะชวนผมคุยพ่นลมหายใจเฮือก
“ทีอย่างนี้ล่ะทำไมไม่อยากรู้”
“รู้ไปจะได้อะไร”
ผมถามกลับก่อนจะร้องลั่นเมื่อเขาใช้นิ้วจิ้มลงไปที่แผล
“คุณนี่มันน่ารำคาญจริงๆ” เขาละมือออกไป ผมน้ำตาไหลพราก ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ไอ้เหลียนอะไรนั่นลูบหัวผมที่ตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะสะบัดหนี “แต่ก็น่ารักเหมือนเดิม”
เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยิบเข็มฉีดยาจากถาดข้างๆ ขึ้นมาถือไว้พลางดูยาในหลอด
“เราสิบเจ็ดคนเป็นเรื่องที่คนพวกนั้นตั้งใจ”
ผมเหลือบตามองเขาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร
“เด็กสิบเจ็ดคนที่ถูกลักพาตัวไปมีอะไรบางอย่างคล้ายๆ กัน อะไรรู้มั้ย? ผมว่าคุณน่าจะจำได้นะ ว่าตัวเองน่ะมีอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าเด็กคนอื่น”
“พิเศษ?... หรือว่า...” คำพูดของพวกผู้ใหญ่ในตอนนั้นเริ่มกลับเข้ามาในความทรงจำ เหตุผลที่ผมสามคนถูกลากออกไปเป็นพวกสุดท้าย
“เพราะกรุ๊ปเลือดของเรา เป็น Rh- ยังไงล่ะ”
“...”
“เอเยนต์ค้ามนุษย์พวกนั้น รับข้อเสนอของใครบางคนมา เขาขอให้หาเด็กที่มีอวัยวะครบถ้วนและเป็นกรุ๊ปเลือดพิเศษที่หายากมากในตลาดมืดของเอเชีย เพื่อซื้อไตและหัวใจของเราไป เราไม่ใช่เด็กล็อตแรกที่ถูกส่งข้ามฝั่งไปพม่า เด็กที่มีราคาพิเศษอย่างเรา แม้แต่เลือดสักหยดยังขายได้ ดังนั้นมูลค่าของเราในตอนนั้นถึงสูงมากจนไม่มีใครกล้าแตะต้องยังไงล่ะ”
เขาเดินกลับมาแล้วฉีดยาลงไปในหลอดสายน้ำเกลือที่ปักอยู่บนแขนผม
“พวกเขาตรวจสอบเรามาก่อนเราก่อนจะจับเราไป ด้วยอำนาจของเงิน ไม่ว่าอะไรก็สามารถซื้อได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งชีวิตคน”
เหลียนยิ้ม เขาถลกเสื้อของตัวเองขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นหลายรอยบนตัวเขา
“ผมถูกผ่าในขณะที่ยังมีสติ พวกมันพูดเรื่องพวกนี้ไม่หยุด เสียงหัวเราะของพวกมันยังดังวนเวียนอยู่ในหัว”
เขากระซิบชิดหูผม
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมถึงไม่ตาย พวกมันทิ้งผมไว้ให้เป็นส่วนแหว่งส่วนขาดทำไม” เขากดมือลงมาทับแผลผมอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่เจ็บเลยสักนิด ยาที่เขาฉีดให้คงเป็นยาชา
“ผมเกลียดพวกคุณที่สามารถมีชีวิตได้อย่างสุขสบายต่อได้ ในขณะที่ผมนอนไม่หลับเลยสักคืน”
“ไอ้โรคจิต”
“ใช่ๆ พี่ชายก็พูดกับผมแบบนั้น แต่ทำไงได้ล่ะ พอผมได้ยินเสียงร้องของพวกคุณ มันทำให้ผมสามารถนอนได้โดยไม่ต้องพึ่งยา”
เขาโน้มตัวลงมากอดผมที่ร่างกายไม่สามารถขัดขืนอะไรได้
“แต่ผมรู้นะข้าวปั้น ว่าคุณก็เป็นเหมือนผม คุณเองก็ยังจำฝังใจกับเหตุการณ์นั้น”
ผมรู้สึกขยะแขยงเขาขึ้นมา โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ผมเห็นตรงหางตา
“ผมจะค่อยๆ เอาแต่ละส่วนของคุณออกมาแทนคนพวกนั้นเองนะ”
มีดผ่าตัดคมกริบถูกยกขึ้นมา ผมเข้าใจกับความรู้สึกสิ้นหวังของเขาแล้วล่ะ
ใครก็ได้... ตามหาผมที
- Akin Part -
ผมติดต่อหาคุณพอร์ชอะไรนั่นได้ไม่ยากเพราะข้าวปั้นทิ้งเบอร์โทรของเขาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน ถ้าหากว่าเขาเป็นคนร้าย ผมอาจจะติดต่อเขาไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมมีปัญญาจะหาตัวเขาเจอได้ไม่ยากอยู่แล้ว
แต่เขากลับรับสาย
“สวัสดีครับคุณพอร์ช ผมอคิน ที่เราเจอกันวันนั้น ผมเป็นเพื่อนพี่ชายของข้าวปั้น”
ผมถามขณะที่กำลังขับรถไปยังจุดหมายที่ขึ้นในจีพีเอส
[“สวัสดีครับคุณอคิน คุณมีอะไรรึเปล่า”]
น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูไม่ปกติ ผมขมวดคิ้ว
“ข้าวปั้นอยู่ไหน?”
ผมถามไปตรงๆ อีกฝ่ายเงียบ ก่อนจะถามกลับ
[“คุณถามผมทำไมครับ วันนี้ผมยังไม่ได้เจอเขาเลย”]
“น้องชายของคุณ คือ อี้ เหลียน ใช่มั้ย?” ผมเลี้ยวไปยังซอยลึกในหมู่บ้านหนึ่งแถบชานเมือง ก่อนจะจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง
“ผมอยู่หน้าบ้านคุณ”
อีกฝ่ายตัดสายไป ผมจึงกดโทรหาคนที่น่าจะซ่อนอยู่แถวนี้ ไม่นาน... แทนที่มันจะรับสาย เจ้าของร่างกำยำสมส่วนในชุดเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ขาดๆ ไม่สมกับตำแหน่งก็เดินออกมาจากมุมหนึ่ง ปากคาบบุหรี่ติดมาด้วย ผมเหลือบตามองเขา
“หน้าตาดุอย่างกับหมาบ้า” คนที่ผมขอให้ช่วยแสยะยิ้มให้ แต่ผมไม่มีอารมณ์จะมาถกเถียงอะไรกับมันตอนนี้
“มึงสั่งคนไว้รึยัง”
“ก็ล้อมบ้านไว้หมดแล้ว เหลืออย่างเดียวคือยิง”
“...”
มันพูดจริง ไม่ได้พูดเล่น
ขุนทัพ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าสัวตระกูล หริเจียรวัฒน์ ผู้มีอำนาจมืดซุกซ่อนอยู่ทุกซอกทุกมุมของไทยรวมถึงแถบเอเชีย ไม่มีใครในวงการมืดไม่รู้จักนามสกุลนี้ ถ้าไม่จำเป็น ผมก็ไม่อยากขอให้มันช่วยนักหรอก
ชายผู้มีรอยสักบนแขนทั้งสองข้างหัวเราะก่อนจะเอาแขนมาคล้องคอผม
“จะเอายังไง จะเก็บ จะเผา จะระเบิด เลือกมา” มันยื่นข้อเสนอให้
“เอาคนของกูคืนมาก็พอ”
“แหม สั่งเป็นเมียเลย”
ผมตวัดตามองมันอย่างไม่พอใจ ขุนทัพยกมือยอมแพ้ เดินเข้าไปกดกริ่งหน้าบ้านแล้วคุยผ่านอินเตอร์คอม ผมมองการกระทำเรื่อยเปื่อยแล้วอยากชักปืนออกมายิงมันแทนจริงๆ
“สวัสดีคร้าบ มารบกวนดึกไปหน่อย แต่ยังไงช่วยเปิดประตูหน่อยได้มั้ยครับ”
ภายในไม่มีเสียงตอบรับ ผมล้วงกระเป๋ากางเกง ขุนทัพหันมามองผมที่เริ่มหมดความอดทนก่อนจะถอนหายใจ ใบหน้าคมเข้มคร้ามแดดยกมือสั่งให้ลูกน้องที่อยู่ไกลๆ สตาร์ทรถได้ ขุนทัพลากผมกลับไปในรถของตัวเองโดยที่เขาเป็นคนเข้าไปนั่งฝั่งคนขับแล้วยื่นมือถือของตัวเองให้ดูแทน
“เด็กมึงยังโอเคน่า คนของกูแฮกระบบมือถือคืนให้ละ เจอสัญญาณจีพีเอส อยู่ในบ้านเนี่ยแหละ ใจเย็น”
ผมไม่พูดอะไร มองสัญญาณในมือถือที่ยังกระพริบอยู่อย่างมีความหวัง
ขณะที่ผมนั่งอยู่ในรถออดี้ของตัวเอง ก็มีรถบรรทุกหกล้อห้อตะบึงมาจากถนนด้านหลังด้วยความเร็วที่ไม่สามารถเบรกได้ในระยะนี้ ผมเหลือบตามองกระจกมองหลัง รถคันใหญ่ที่เหยียบคันเร่งจนมิดแล่นผ่านรถผมไป พุ่งชนโครมยังประตูอัลลอยด์สูงสามเมตรจนกระเด็น โชคดีที่บ้านหลังนี้อยู่ท้ายซอยพอดีจึงทำให้รถบรรทุกไม่ไปเสยกับบ้านหลังอื่นก่อน
การกระทำเช่นผู้ก่อการร้ายไร้อารยธรรมแบบนี้ ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากเรียกใช้เท่าไหร่
“เอ้า ประตูเปิดละ ไปกันเลยมั้ย”
“ถ้ามึงถามกูอีกคำ กูชกคว่ำแน่”
ขุนทัพหัวเราะลั่นก่อนจะเหยียบคันเร่งออดี้ของผมจนมิดแล้วพุ่งตัวเข้าไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แม้ไม่ต้อนรับ แต่ผมก็จะเข้าไปเอาตัวคนของผมคืน
ทันทีที่รถหลายสิบคันจอดอยู่ที่หน้าตัวคฤหาสน์ ไฟในบ้านก็เปิดพรึ่บขึ้นพร้อมกัน ร่างสูงของคุณพอร์ชเดินออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด เขายังอยู่ในชุดไปรเวททั้งๆ ที่ตอนนี้ตีสี่กว่าแล้ว เหล่าชายฉกรรจ์ลูกน้องของขุนทัพพากันลงจากรถมายืนล้อมหน้าล้อมหลังลูกพี่ไว้ ส่วนคุณพอร์ชก็มีบอดี้การ์ดส่วนตัวที่จำนวนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดยืนคุมเจ้านายอยู่เช่นกัน
ผมมองสถานการณ์ที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วทำหน้าเครียดเขม็ง
“มึง... เอ้ย ไม่ใช่... คุณคือคุณพอร์ชใช่มั้ย เพื่อนผมมันบอกว่าน้องมึง... เชี่ย... น้องคุณเอาตัวเด็กมันไป”
ขุนทัพผู้ไม่คุ้นเคยกับคำสุภาพทักทายเจ้าของบ้านแทนผม
“คุณจะมาบุกรุกทำลายข้าวของบ้านคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
เจ้าของบ้านล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเอง สายตาเย็นชา
“ข้าวปั้นอยู่ไหน”
ผมถามเสียงห้วน คุณพอร์ชหรี่ตา
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว”
“อี้ เหลียน คือน้องชายของคุณใช่มั้ย?”
คุณพอร์ชเงียบไป ก่อนจะผายมือเชิญพวกผมเข้าไปในบ้าน
“เข้ามาคุยกันก่อนสิครับ”
คนที่เดินตามเข้ามาด้านในมีเพียงผม ขุนทัพ และลูกน้องอีกสองคน คุณพอร์ชเชิญพวกเราให้นั่งตรงโซฟารับแขกในห้องโถง เขาสั่งให้คนรับใช้เสิร์ฟน้ำให้ตามมารยาท แต่พวกผมไม่คิดจะแตะต้องมัน
เจ้าของบ้านหลังใหญ่ยิ้มให้
“ถ้าพวกคุณมาตามหาข้าวปั้นที่นี่ คุณหาเขาไม่เจอหรอกครับ”
ผมขมวดคิ้วยุ่ง มองหน้าขุนทัพที่ยักไหล่ให้ เขายกมือถือขึ้นมากดส่งอะไรก็ไม่รู้
“อี้ เหลียนคือน้องชายตามนิตินัยของผม เขาเป็นลูกนอกสมรสของผู้มีอิทธิพลของฮ่องกง เขาถูกส่งมาอยู่ไทยโดยแม่ของเขาเพราะไม่อยากให้ลูกชายถูกทารุณกรรมราวกับสัตว์แบบนั้น และแม่ของเขาก็คือพี่สาวของผมเอง เราเป็นอาหลานกันตามสายเลือด”
เจ้าของบ้านล้วงโทรศัพท์มือถือของข้าวปั้นขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ผมหยิบขึ้นมาดู เครื่องไม่ได้ดับแต่ผมติดต่อเขาไม่ได้ คงเป็นเพราะอีกฝ่ายแฮกมือถือของเขาแล้วตัดการเชื่อมต่อทั้งหมด
“วันนี้ผมนัดคุยกับคุณข้าวก่อนที่ผมจะบินไปฮ่องกงวันนี้ กะจะเล่าความจริงให้ฟัง แต่เขากลับหนีออกมาก่อน ผมตามออกมาไม่ทัน เจอแค่โทรศัพท์มือถือที่ทำตกไว้ คนของผมบอกว่าอี้ เหลียนพาตัวคุณข้าวขึ้นรถไปแล้ว ผมสั่งให้คนของผมตามหาอยู่แต่ดูเหมือนอี้ เหลียนจะตัดการเชื่อมต่อทั้งหมดของเขาทิ้งจนผมตามหาไม่เจอ”
ผมฟังแล้วกำมือที่ถือมือถือของข้าวปั้นไว้แน่น
“อี้ เหลียน คือเด็กที่หายตัวไปก่อนที่ตำรวจจะเข้าทำการช่วยเหลือเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนใช่มั้ย” ผมถามด้วยแววตาเครียดเขม็ง คุณพอร์ชหลุบตาหนีก่อนจะพยักหน้ารับ
คุณพอร์ชยกชาร้อนขึ้นมาจิบก่อนจะเล่าให้ฟัง
“เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาหนีออกมาในวันที่ตำรวจเข้าไปช่วย ผมเองก็ให้คนของผมตามหาเขา... โชคดีที่เราเจอเขาในป่าติดกับชายแดน ร่างกายที่ถูกผ่าออกยังมีรอยเย็บชัดเจน เขาบอกผมว่า... ตำรวจไว้ใจไม่ได้ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหนีออกมาจากการช่วยเหลือ”
ขุนทัพหัวเราะเมื่อฟังเรื่องราวโศกนาฏกรรมของคนที่ตัวเองไม่รู้จัก
“แหงสิวะ เด็กหายไปตั้งสิบเจ็ดคน ถ้าไม่มีพวกเบื้องบนรู้เห็นด้วย อะไรๆ ทำไมมันจะง่ายขนาดนั้น”
คุณพอร์ชเว้นช่วงไปเล็กน้อย
“เหลียนเป็นเด็กที่ความจำดีเป็นเลิศมาตั้งแต่เด็ก เขาจำหน้า จำชื่อ จำลักษณะท่าทางของคนที่เกี่ยวข้องได้หมดทุกคน นั่นทำให้เขาจำเหตุการณ์นั้นฝังใจ ฝังทุกรายละเอียดจนกลายเป็นโรคทางจิตขึ้นมา”
“เขาฆ่าเด็กทำไม”
ผมถามถึงคดีที่ข้าวปุ้นเล่าให้ฟัง โดยมั่นใจด้วยว่าเด็กที่ถูกฆ่าเป็นฝีมืออี้ เหลียน เพราะเด็กสี่คนนั้นเป็นคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ลักพาตัวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน รวมถึงวิธีการฆ่าและเอาไตออกไปเหมือนคนมีความหลังฝังใจกับเรื่องนี้
คุณพอร์ชเงียบไป ก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมา
“เขากลับไปเชียงราย เขาบอกว่าเขาเจอวิธีที่ทำให้เขานอนหลับได้แล้ว”
เท่านั้นก็เกินพอสำหรับคำตอบ
“ตลอดสิบเจ็ดปี เด็กคนนั้นไม่เคยนอนหลับสนิท เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ ผมนึกว่าเขาจะดีขึ้นแล้วจึงพาเขากลับมาอยู่บ้านตั้งแต่สิบปีก่อน จนกระทั่งวันนึง ที่เขามาบอกผมว่าหมอให้ยาตัวใหม่กับเขา... มันทำให้เขาหลับได้ เขาไปๆ กลับๆ เชียงรายอยู่หลายปี จนกระทั่ง... มีข่าวนั่นออกมา ผมจึงรู้ว่ายาของเขาคืออะไร”
ในกลุ่มคนมีอาการทางจิตจากบาดแผลทางใจนั้น มีการแสดงออกทางอาการไม่เหมือนกัน ผมเข้าใจเรื่องนั้น วาริศนั้นปกติ เขาไม่มีอาการฝังใจกับเหตุการณ์ในอดีตเพราะเขาละทิ้งมันไว้ด้านหลัง ในขณะที่ข้าวปั้น ยังคงฝันร้ายกับความรู้สึกผิดจนทำให้เกิดอาการโฟเบียที่แคบและที่มืด แต่ในกรณีของอี้ เหลียน เขาถูกทารุณกรรมมาตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังถูกผ่าเอาอวัยวะออกไป จากที่ข้าวปั้นเคยเล่า เขากับเด็กที่เหลือรอดไม่มีใครถูกเอาอะไรออกไปเหมือนคนอื่นๆ
นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อี้ เหลียนเกิดคำถามว่า แล้วทำไมต้องเป็นเขาคนเดียวที่โดน
เขาเอาความโชคร้ายมาลงที่คนอื่นเพื่อรักษาตัวเอง
“ผมไม่ได้สนับสนุนให้เขาทำแบบนี้ แต่ผมก็ห้ามเขาไม่ได้ เหลียนฉลาดมาก ผมพยายามรื้อหาข้อมูลเก่าของเด็กที่รอด พบว่าเขาฆ่าไปแล้วหลายคน คุณไม่ทันรู้ตัวหรอกคุณหมอ ถ้าคุณจำได้... วันนั้นที่ร้านกาแฟใกล้โรงพยาบาลของคุณ วันที่คุณข้าวเขาไปปรึกษาหมอจิตแพทย์เกี่ยวกับโรคโฟเบีย วันนั้น ผมกับเหลียนก็อยู่ในร้านด้วย”
“โคตรบังเอิญ” ขุนพลโพล่งขึ้นมา ผมหันไปมองหน้ามัน เขาเลิกคิ้วให้ก่อนจะก้มลงกดมือถืออีกรอบ
“ผมพยายามกันเขาให้ออกห่างจากข้าวปั้นและวาริศ ผมใช้งานเป็นข้ออ้างในการติดต่อกับเขา ส่งข้อความไปเพื่อหวังให้เขาระวังตัว และไม่อยู่คนเดียว”
“Watch your back” ผมทวนข้อความจากอีเมลของข้าวปั้น
“ใช่ครับ แต่เหลียนแฮกเบอร์ข้าวปั้นได้และซ้อนข้อความขอตัวเองลงไปจนทำให้เขาสงสัย ผมจึงส่งจดหมายเตือนไปอ้อมๆ ให้เขารู้ตัว”
“ทำไมคุณไม่บอกไปตรงๆ” ผมไม่เข้าใจการกระทำของเขา คุณพอร์ชยิ้มเศร้า
“คุณรักข้าวปั้น ผมก็รักเหลียนเหมือนกันนะครับ”
ผมเงียบไป
“สิ่งที่ผมจะทำให้เขาได้ คือพยายามให้เขาไม่ทำผิดไปมากกว่านี้”
“กูเจอแล้ว” อยู่ดีๆ ขุนทัพก็พูดขึ้นมา เขาส่งมือถือให้ผม มันเป็นพิกัดใหม่ที่อยู่แถวๆ ท่าเรือขนส่งไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไหร่ ขุนทัพสั่งให้คนของตัวเองที่อยู่แถวนั้นทำการค้นหาทันที ส่วนผมลุกขึ้น หมดเรื่องจะสนทนากับเขา ต่อจากนี้ไปคงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
คุณพอร์ชดูแปลกใจกับความรวดเร็วในการค้นหา เขาหัวเราะหึหนึ่งครั้ง
“ขนาดผมยังไม่สามารถหาเขาได้เลย”
ขุนทัพหันมามองเจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์แล้วแสยะยิ้มใส่
“ถ้าน้องมึงแฮกได้ ทำไมน้องกูจะแฮกไม่ได้ การหาคนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกูเลย ต่อให้ CCTV ประเทศเราจะห่วยแตกแค่ไหนก็เถอะนะ”
ผมกลับขึ้นรถของตัวเองโดยคราวนี้มีขุนทัพเป็นคนนั่ง เขาคาดเข็มขัดแน่นพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“อย่าเกินร้อยห้าสิบเลยนะมึง กูขอล่ะ”
ผมไม่ตอบ เข้าเกียร์แล้วเหยียบมิดทันที
เพื่อนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
**** เหตุการณ์ในเรื่องเป็นแค่เรื่องสมมติเท่านั้น ไม่ต้องตามหารายละเอียดใดๆ ดั่งเช่นเรื่องโคนันที่คดีไม่มีอยู่จริง ****
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น