ตอนที่ 70
กาลครั้งหนึ่งแม้จะผ่านมานานปีกว่าแล้วหนูก็ยังจำได้ ไม่ว่าที่ผ่านมามันจะเรียกว่า “พรหมลิขิต” หรือ “ตกกระไดพลอยโจน” ก็ตาม แต่ท้ายที่สุด เมื่อเรามีใครสักคนที่เรียกได้ว่าแฟน หรือคนรักได้อย่างเต็มปาก ก็ไม่มีวินาทีไหนเลยที่เราจะไม่คิดถึงเขา...ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่อยากเจอ หรืออยู่ด้วยกันนานๆ
ขึ้นม.หก เทอมใหม่ ไม่ต้องจับฉลากที่นั่งแบบเดิมแล้ว ไอ้โรจน์ย้ายกลับไปนั่งกับมิ่ง และหนูก็ย้ายไปนั่งกับเพื่อนในกลุ่มตามเดิม แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทั้งการบ้าน ข้าวของ และการทำเวร ทั้งขนมตอนกลางวัน สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ หนูมีความสุข สุขใจที่ทำอะไรให้คนที่เรารักแค่นั้นเอง
ไอ้โรจน์ไม่ได้โรแมนติก หวานแหวว หรือแม้แต่แสดงท่าทีว่ารักหนูออกหน้าออกตา เพียงแต่มันไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับจอยแล้ว เราหาเวลาไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองบ้างนานๆ ครั้ง โทรคุยกันบ้างเหมือนคู่รักทั่วๆ ไป
ช่วงเวลาแห่งความสุขดำเนินมาได้พักใหญ่ๆ หนูเพิ่งค้นพบว่านิสัยเจ้าชู้ของผู้ชายนั้นบางครั้งก็แก้ไขลำบาก ต่อให้รักยังไง แต่ก็ไม่วายต้องมีออกนอกลู่นอกทางบ้างอยู่ดี แต่ไม่รู้ว่าเพราะชำนาญหรือหนูโง่กันแน่ มันถึงเนียนจนหนูไม่ระแคะระคายเลยสักนิด ถ้าไม่มีคนนั้นคนนี้คอยมาเลียบๆ เคียงๆ บอกแบบอ้อมๆ แต่คนมองโลกในแง่ดีอย่างหนูก็ยังมองข้ามจนต้องมาเห็นกับตาตัวเอง
วันหยุดสุดสัปดาห์ หนูชวนโรจน์ไปเที่ยวตามประสา แต่โรจน์มันบอกไม่ว่างหนูก็เลยเปลี่ยนใจออกไปกินอะไรกับเพื่อนในกลุ่มแทน แต่โลกมันก็กลมเกินไป เพราะดันไปเห็นคนรักควงสาวออกเดทที่ห้างเดียวกัน ความร้อนใจทำให้หนูโทรหามันทันที ถามว่าทำอะไรอยู่ที่ไหนกับใคร มันตอบมาหน้าด้านๆ ว่ามันมากินข้าวกับแม่.....
จะเชื่อดีป่ะเนี่ย
นี่แม่คุณมึงไปทำศัลยกรรมมาตั้งแต่ตอนไหนฮึ ถึงหน้าอ่อนเป็นเด็กม.ต้นเลย ไอ้.....ไอ้คนตอแหล
ฮึก ฮึก....ฮือ.... เจ็บมาก ไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน คิดแต่ว่าจะพูดหรือจะทำยังไงดี สาวงามที่สุดในสามโลกอย่างหนู ยอมให้ทำร้ายจิตใจแบบนี้ไม่ได้ ต้องอาละวาด ก่นด่ามันให้เจ็บแสบถึงทรวง แล้วตัดสัมพันธ์บอกเลิกโดยปราศจากน้ำตาแม้สักหยด แต่สิ่งที่คิดนั้นน่าแปลกที่หนูทำไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
หนูได้แต่หนี เป็นนางเอกละครผู้อ่อนแอ กลับไปร้องไห้อยู่บ้านนานสองนาน แล้วหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอ คิดแต่ว่า ถ้ามันมีคนอื่นแล้วมันทิ้งไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้น หนูจะทนได้ไหม?
นอนคว่ำร่ำไห้ซบหน้าอยู่กับหมอนอยู่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออก หนูลำดับความคิดไม่ทันว่าใครเดินเข้ามา เป็นแม่หรืออีทับทิมกันแน่ หนูพยายามกลั้นสะอื้นเพราะไม่อยากทำให้คนอื่นไม่สบายใจ
เตียงยวบลงแล้วก็มีฝ่ามืออุ่นยื่นมาแตะไหล่เบาๆ
“ฐา..... มึงร้องไห้ทำไมเนี่ย” ผิดคาด.... ไม่ใช่สองคนที่คิดไว้แต่เป็นตัวการของความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลนั่นต่างหาก หนูกลั้นใจขยับตัวลุกขึ้นทั้งที่น้ำตายังนองหน้า พยายามลำดับคำพูดตัวเองช้าๆ ทั้งๆที่ยังสะอื้นเบาๆ
“วันนี้เราไปแหลมทองมา... เราเห็นหมดแล้ว.... โรจน์โกหกเราทำไม”
“ก็รู้ไง ถ้าพูดความจริงแล้วมึงต้องเป็นแบบนี้” มันบอกด้วยหน้าเฉยๆ เหมือนตัวเองไม่ผิดอะไรสัดนิด
“รู้แล้วทำไมยังทำอีกล่ะ? เธอแอบไปคบกับมันตอนไหน”
“ช่างมันเถอะ ทุกอย่างมันจบแล้วล่ะ กูจะไม่ไปเจอกับเค้าอีก มึงสบายใจได้ เพราะกูไม่ได้จริงจังอะไรแต่แรกแล้ว” เออ... อะไรมันจะเริ่มง่ายจบง่ายขนาดนั้น
“ไม่จริงจังแล้วโรจน์ไปยุ่งกับเค้าทำไม? เราผิดตรงไหน โรจน์เบื่อเราแล้วเหรอ?”
“ไม่ได้ผิดตรงไหน แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างนิดหน่อย ก็แค่นั้น”
“.........” หนูพูดไม่ออกมองหน้ามันด้วยสายตาเสียใจผิดหวังอย่างที่สุด
“ก็บอกแล้วไงว่าเลิกแล้ว ไม่ไปแล้ว มึงจะเอายังไงอีก...มึงรู้ไว้ว่ากูไม่ได้เริ่มก่อน เค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาเอง”
“ใครจะเริ่มก่อนไม่สำคัญ แต่มันสำคัญที่โรจน์เล่นด้วยต่างหาก”
“ก็มีคนเอาชิ้นเนื้อมาป้อนให้ถึงปาก ถ้าไม่กินมันก็โง่แล้วสิ”
“แล้วเราล่ะ? ก็เลยต้องยอมเป็นฝ่ายโง่แทนใช่ไหม ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วปล่อยให้คนที่ตัวเองรักไปไหนกับใครยังไงก็ได้งั้นเหรอ? วันนี้มันจบ แล้วพรุ่งนี้ แล้ววันหน้า...เราจะรู้ได้ไงล่ะว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกอ่ะ เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าสุดท้ายโรจน์จะไม่เห็นคนอื่นดีกว่า แล้วก็ทิ้งเราไป...”
“อะไรของมึงเนี่ย เมื่อก่อนกูควงจอยเดินไปเดินมาไม่เห็นมึงว่าสักคำ แล้วนี่เกิดจะมาโวยวายอะไร”
“กับจอยไม่ใช่ว่าเราไม่หึง แต่เราพูดไม่ได้ต่างหาก เรามาทีหลังก็เลยยอม แต่นี่โรจน์ไม่เข้าใจ...” หนูจะพล่ามต่ออีกแต่มันนึกคำอธิบายไม่ออกน้ำตาก็พรูขึ้นมาอีก.... จนอีกฝ่ายต้องรีบห้าม
“พอ....พอเลย เลิกเป่าปี่ซะ แล้วตั้งสติฟังกูดีๆนะ ถึงกูจะมีใครก็ตาม มันก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแหละ กูหายไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ต้องกลับมา คนไทยถึงจะอยากไปกินพิซซ่าแมคโดนัลที่รสชาติแปลกลิ้นบ้าง แต่มันก็คงกินได้ไม่นานหรอก สุดท้ายก็ต้องกลับมากินข้าวอยู่ดี ไม่ว่ายังไงคนกูรักมากที่สุด ก็มีแต่มึงเท่านั้นแหละ”
อ่อนแอ แค่คำว่ารักคำเดียว ก็เปลี่ยนแปลงโลกได้ทั้งใบ
หนูได้แต่เงียบสงบปากสงบคำ แกล้งทำเป็นลืมๆ ไปว่าเจ็บแค่ไหนเวลาถูกนอกใจ
ต้องแกล้งทำเป็นเชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องกลับมา
ยอมโง่ดีว่ายอมสูญเสีย.....
หนูไม่ได้บอกมันไปว่า....
หนูโลภมากกว่านั้น
เพราะหนูไม่อยากเป็นที่สุด ....... แต่อยากเป็นคนเดียว.... มากกว่า.
.
.
.
.
“น้องฐา....น้องฐา”
“คะ?” หนูสะดุ้งพลางหันไปขานรับพี่โต้งที่ขมวดคิ้วใส่ เดินมาแตะข้อศอกเบาๆ
“เหม่ออะไรของเรา เทอาหารจนจะหมดห่ออยู่แล้วเนี่ย”
“อุ๊ย .... ขอโทษค่ะ หนูคิดอะไรเพลินไปหน่อย” หนูตอบ ก้มลงมองโหลปลาทองที่มีอาหารปลาลอยเต็มโหล....
“ให้ทีละหน่อยสิคะ ปลาก็มีแค่สองตัวมันจะไปกินหมดได้ยังไง เดี๋ยวน้ำก็เน่า ปลาก็ตายกันพอดี” พี่โต้งบ่น พลางเดินไปหากระชอนมาช้อนอาหารปลาซากุระออกจากโหล
“ค่า ค่า” หนูรับคำเสียงยาว ใจจริงก็ไม่ได้อยากเลี้ยงปลาแค่สนุกที่ได้ไปตักปลามากกว่า พอได้มาแล้วจะเอาไปผัดกินก็ใช่ที่ เลยต้องเลี้ยงเท่านั้นเอง สัตว์ตัวเล็กแบบนี้ดูแลลำบากชะมัดเลย
“อ้อ... เดี๋ยวศุกร์นี้จะไปเที่ยวนะคะ สอบเสร็จแล้วหาอะไรทำแก้เซ็งหน่อย”
“เที่ยว? ไปเที่ยวที่ไหนเหรอคะ” หนูทำเสียงสูงแล้วหันไปให้สายตาคาดคั้นใส่ทันที
“อ้าว... สนใจด้วยเหรอคะว่าพี่จะไปไหน เห็นปกติเอาแต่บ้างาน” พี่โต้งแซวพลางหัวเราะ
“โธ่พี่... สนใจสิ ไปกับใครบ้างเหรอ?”
“ไม่บอก อยากรู้ก็ไปด้วยกันสิคะ” ต๊ายกล้าชวน กลบเกลื่อนหรือเปล่าเนี่ย...
“แต่..วันศุกร์หนูทำงานนะ ตั้งแต่สอบก็ลามาหลายวันแล้วด้วยอ่ะ”
“ค่ะ... ไม่เป็นไร...พี่ไปคนเดียวได้” พี่โต้งพยักหน้ายิ้มๆ เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าหนูต้องตอบแบบนั้น ทำให้หนูยิ่งคิดหนักขึ้นไปอีกว่าพี่แกใจดีเลยไม่อยากต่อว่าที่หนูเห็นงานดีกว่าหรือใจจริงแกแอบดีใจที่หนูไม่ไปกันแน่
อ้าว... ดูสิแล้วสุดท้ายก็เนียนไม่บอกว่าไปไหนอยู่ดี.....
แย่แล้ว... หนูกำลังจะกลายเป็นกะเทยเก็บกด ประเภทที่ว่าต้องคอยส่งสายตาชนิดหนึ่งไปยังคนรักตลอดเวลา แต่เมื่ออีกฝ่ายหันมามองตรงๆ ก็ต้องแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร มันอึดอัด มันอัดอั้นตันใจ อยากรู้แต่ไม่อยากถาม
เธอจะมีใครหรือเปล่า ...นั่นคือความจริงที่ฉันอยากรู้
ติดอยู่ในใจแต่ไม่อยากถาม.... กลัว...รับมันไม่ไหว เศร้า น้องฐาเศร้า แต่ก็ไม่รู้จะทำฉันใดดี รู้แต่ทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้แน่ๆ
หนูจำต้องเปลี่ยนอาชีพ จากพนักงานพาร์ทไทม์ร้านหมูกระทะเป็นนักสืบสาวจำเป็นอีกแล้ว
แต่แย่ตรงที่หนูความรู้สึกช้าไปหน่อย เอาแต่คิดมากจนลืมดูว่าวันนั้นพี่โต้งคุยโทรศัพท์ตอนกี่โมง พอนึกขึ้นมาได้แล้วไปเช็กโทรศัพท์ดูก็พบว่าช่วงหกโมงเย็นถึงสามทุ่ม มีสายเข้าออกประมาณสองสามสาย
Whit
Mon
M
แล้วไงต่อล่ะ? จะให้โทรไปถามปลายสายว่าแอบเป็นกิ๊กพี่โต้งหรือเปล่ายะ แบบนี้มันก็ ตื้นเกินไปอ่ะ แล้วถ้ามีกรณีที่ว่าพี่โต้งเกิดหัวหมอทำลายหลักฐาน ลบเบอร์ผู้ร้ายตัวจริงทิ้งไปแล้วล่ะ ยิ่งไปกันใหญ่ ใครจะไปทำ
ยิ่งเรื่องไปเที่ยวแล้วไม่ยอมบอกว่าไปที่ไหนกับใครมันยิ่งมีพิรุธหนัก บางทีแกอาจจะหาเวลแวบไปหากิ๊กก็ได้จริงมะ? จนป่านนี้หนูยังไม่หายข้องใจ โอ๊ย...ปวดหัว ไมเกรนแด๊กแล้วเนี่ย อะไรก็ไม่รู้ หนูทนอยู่กับความระแวงสงสัยแบบนี้ต่อไปไม่ไหวหรอก เสียทองท่วมหัว เสียตัวยังดีกว่า เอ๊ยไม่ใช่...
แต่แทนที่จะมาเครียด เพราะหากิ๊กพี่โต้งไม่เจอ หนูว่าหนูควรจะอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปหาที่ไหน เพราะสุดท้ายถ้าผู้ร้ายยังอยู่ ยังไงก็ต้องกลับมายังสถานที่ก่อเหตุอยู่แล้วจริงไหม?
ลาออก แบบนี้ต้องลาออก มันคือทางออกสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะงาน ไม่ว่านม หรืออะไรก็คงต้องช่างหัวมัน ปล่อยมันไปก่อน จับปลาสองมือคงไม่เข้าท่า ต้องเอาสองมือนั้นไปจับไก่ให้มั่นเสียยังจะสร้างสรรกว่า หนูจะเกาะติดพ่อค้าตับไปทุกหนแห่ง ดูซิจะหลุดรอดสายตาไปหากิ๊กได้ตอนไหน
และแล้ว วันศุกร์ก็มาถึงในที่สุด พวกเราสอบเสร็จแล้ว หนูนั่งรอพี่โต้งตั้งแต่บ่ายเพื่อรอให้เขากลับมา แน่นอนว่าเรื่องที่หนูลาออกและตั้งใจจะตามพี่โต้งไปด้วยวันนี้ หนูยังไม่ได้บอกเขา เพราะถ้าวันนี้พี่แกมีแผนจะไปหากิ๊กหรืออะไรก็ตามแต่ถ้ารู้ว่าหนูจะไปด้วย หนูเชื่อว่ายังไงก็คงไม่กล้ายอมให้รถไฟชนกันแน่ๆ ดังนั้นหนูก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วรอให้พี่โต้งโทรไปยกเลิกนัดกับกิ๊ก นั่นล่ะจะเป็นการชี้ตัวคนร้ายไม่ผิดตัวแน่ๆ
เจ๋งๆ สึโก้ย Good idea ไม่มีใครฉลาดไปกว่านี้แล้วล่ะ....
หนูภาคภูมิใจเมื่อคิดหาแผนการจับตัวคนร้ายได้สำเร็จ รอจนพี่โต้ง อาบน้ำ แต่งหล่อ เรียบร้อย จึงค่อยๆ ถามเสียงอ้อมแอ้มว่า
“พี่คะ หนูไปด้วยได้มะ?”
“ฮึ.... ไหนว่าจะไปทำงานไง”
“ไม่ทำละเปลี่ยนใจ อยากอยู่กะพี่มากกว่า นะนะ ให้หนูไปด้วย “ หนูบอกใช้สองมือจับแขนพี่โต้งเขย่าอย่างออดอ้อน
“ค่ะ ... อยากไปก็ไปแต่งตัวสิ หรือจะไปชุดนี้?” พี่โต้งบอกง่ายๆ ทำให้หนูยิ้มแล้วรีบกุลีกุจอหายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไวว่อง พลางคิดกับตัวเองว่า ทำไมมันง่ายจังแฮะ
วันนี้หนูแต่งตัวง่ายมาก เสื้อยืดกับกางเกงยีนแค่นั้นเอง แล้วก็คว้าเสื้อกันหนาวมายืนแต่งหน้านอกห้องนอน จนพี่โต้งหันมามองอย่างแปลกใจเพราะมันไวเกินแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ใจจริงอยากเลือกชุดสวยๆ แต่หนูกะว่าจะไม่คลาดสายตาเลยแหละ เลยยอมไม่สวยมากหนึ่งวัน ไปยืนเบียดกับพี่โต้งที่หวีผมอยู่นานไม่ยอมเสร็จซะที กำลังลุ้นว่าพี่โต้งจะเดินไปหยิบโทรศัพท์แล้วโทรหาใครหรือเปล่า ก็เห็นดูเฉยๆ สบายๆ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรทั้งนั้น
ลุ้นตัวเกร็งตั้งนาน ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากพี่โต้งแค่หล่อเกินห้ามใจ ส่วนหนูแต่งตัวเหมือนเด็กกะโปโล เพราะความรีบ ไม่มีวี่แววว่าพี่แกจะโทรหาใครเลย จนกระทั่งขึ้นรถแล้วนั่นแหละ พี่แกถึงได้หยิบโทรศัพท์ ขึ้นมาต่อสาย
หนูทำเป็นไม่สนใจหันไปมองนอกรถ แม้ว่าหูจะผึ่งตั้งใจฟังสุดฤทธ์เลยก็ตาม
ตึกตัก ที่แกเงียบไปคง กำลังฟังเสียงรอสายรอให้อีกฝ่ายรับ.....
ตึกตัก ๆ ....ตื่นเต้น กำลังลุ้นว่าพี่โต้งโทรหาใคร....
"ฮัลโหล"
รับสายแล้วใช่ไหมคะ?
“ฮัลโหล ซา มึงออกมายัง.......”
TBC
no comment
สวัสดีปีใหม่นะคะ หาไปข้ามปีเลย หวังว่าจะมีคนคิดถึงกันบ้าง....