บทที่ 13
::สงสัย::
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในห้องสีขาว ร่างกายอ่อนล้าจนขยับมากไม่ได้ สภาพที่นอนอยู่บนเตียงปรับเอนได้กับสายน้ำเกลือโยงยางอยู่ใกล้ๆ ช่างเป็นภาพคุ้นตา เหมือนกับตอนที่ผมฟื้นขึ้นมาหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จะต่างกันตรงที่จ้านไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมอีกแล้ว
“เป็นไงบ้าง” จ้านชะโงกหน้ามาดูผมด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“คันยุบยิบเกือบทั้งตัว รู้สึกคลื่นไส้ แล้วก็เวียนหัวนิดหน่อยด้วย” ถึงเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็คิดว่าตัวเองดีขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นมาก ไม่รู้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าถามจ้านอาจได้ความอะไรบ้าง “ฉันเป็นอะไรไปหรอ”
“มึงแพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง”
“อ้า...” อย่างนี้เอง
“หมอบอกมึงมีอาการแพ้เฉียบพลัน ทำให้หายใจไม่ออกและช็อคจนสลบไป” พูดจบจ้านก็ทำสีหน้าข้องใจ กรอกตาขึ้นคล้ายคนกำลังใช้ความคิด “เมื่อก่อนมึงเป็นแค่ผื่นจ้ำๆ เองนะ แต่ทำไมตอนนี้อาการถึงรุนแรงขึ้นล่ะ”
“เมื่อก่อนฉันไม่ได้เป็นหนักอย่างนี้หรอ”
“อืม ถ้าปกติมึงแพ้กุ้งหนักขนาดนี้กูคงเตือนมึงไปนานแล้ว แต่ก่อนอย่างมากก็แค่ปากบวมกับผื่นขึ้นตามตัว กูจำได้ว่ายังเคยล้อมึงเรื่องนี้อยู่เลย ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นหนักได้วะ” ผมไม่มีความเห็นให้กับสิ่งที่จ้านถาม และดูเหมือนเขาจะเพิ่งรู้ตัวว่าถามผมไปก็ไม่มีประโยชน์ “เดี๋ยวกูไปถามหมอให้ดีกว่า”
จ้านเดินไปที่ประตู กำลังจะจับลูกบิดเพื่อเปิดออก แต่กลับมีใครบางคนเปิดเข้ามาก่อน
ชายวัยสี่สิบผู้เป็นเลขาคนสนิทของลูเซียนคนนี้ ผมทราบชื่อในภายหลังว่าเขาคือ ‘คุณจักรพงษ์’ ตอนที่เกิดเรื่องเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และถ้าเข้าใจไม่ผิด ผมว่าเขาเนี่ยแหละที่ตะโกนบอกให้ใครสักคนโทรเรียกรถพยาบาล
จ้านกับคุณจักรพงษ์ยังคงยืนจ้องหน้ากันอยู่ตรงประตู คนอายุน้อยกว่าไม่มีทีท่าว่าจะเปิดทางให้คนอายุมากกว่าเข้ามา ผมมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
จนกระทั่ง...
“ผมดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้แล้ว” เลขาของลูเซียนยื่นกระดาษใบหนึ่งให้ ผมคิดว่าน่าจะบิลค่าใช้จ่ายตามที่ว่า จ้านมองมันอยู่สักพักก็คว้ามาโดยไม่แสดงสีหน้ายินดียินร้ายอะไร
“เอ่อ... ขอบคุณที่พาผมมาส่งโรงพยาบาลนะครับ” ผมยกมือขอบคุณ และคุณจักรพงษ์เองก็รับไหว้ตามมารยาทก่อนขยับปากพูดบางอย่าง
“ความจริง...”
“มันก็สมควรอยู่หรอก” ยังไม่ทันรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร จ้านก็พูดโพล่งขึ้นมาซะอย่างนั้น “รัณย์ต้องมานอนซมแบบนี้เพราะทำงานอยู่ที่นั่น พวกคุณเป็นเจ้านายก็ต้องออกหน้ารับผิดชอบอยู่แล้ว”
จ้านแสดงความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้ง ผมรู้สึกไม่ดีกับการเป็นตัวกลางที่ทำให้เกิดเรื่อง เข้าใจว่าจ้านห่วงผมมาก แต่มันไม่ใช่ความผิดของใคร ยังดีที่คุณจักรพงษ์เป็นผู้ใหญ่ใจเย็น แม้ไม่รู้ว่าใบหน้าเรียบเฉยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่แววตาที่เขามองมาทุกครั้ง ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นกังวลเลย
“เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นอีก” คุณจักรพงษ์จ้องหน้าเพื่อนสนิทผมอย่างไม่ละสายตา
จ้านยืนนิ่ง... และดูจะนิ่งไปนานมากก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง
“รัณย์เพิ่งฟื้น ต้องการพักผ่อน” เปรียบเหมือนคำเชิญให้กลับดีดีนี่เอง
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัว” เลขาของลูเซียนพูดกับจ้าน จากนั้นคล้อยตามามองผมแวบเดียวแล้วก็เดินหันหลังไป กระทั่งเสียงประตูปิดสนิท จ้านยังคงยืนอยู่ที่เดิม ลักษณ์เหมือนคนกำลังจมอยู่กับความคิดในหัว ผมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน
“จ้าน!” ผมเรียกเขาเป็นครั้งที่สาม ก่อนเจ้าตัวจะได้สติหันมา
“หืม?”
“คิดอะไรอยู่” เขาไม่ตอบคำถามนั้นทันที แต่เลือกที่จะเดินมาหาผมพร้อมสายตาที่เปลี่ยนไป
“ลูเซียนกับคนของเขาที่ไนต์คลับ รู้รึเปล่าว่ามึงแพ้กุ้ง”
“อืม...” ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า “เหมือนลูเซียนจะรู้นะ เพราะตอนที่เห็นฉันกำลังเอากุ้งเข้าปาก เขาก็เดินมาหยิบส้อมออกจากมือฉันเลย”
“ถ้างั้นมึงไม่ต้องไปทำงานที่นั่นแล้วดีมั้ย”
“ทำไมล่ะ! เรื่องนี้ไม่มีใครผิดนะ นายอย่าโทษคนพวกนั้นเลย เขาอาจไม่รู้เรื่องที่ฉันแพ้กุ้งเหมือนที่ลูเซียนรู้ก็ได้” ผมชี้แจงยืดยาว คิดว่ายังไงก็ต้องทำงานที่นั่นต่อ
แต่แล้วจู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว ผมนิ่งไปหลายสิบวิ จ้องลึกเข้าไปในตาของจ้านที่คล้ายว่าอะไรบางอย่างจะบอก และพอทวนคำพูดตัวเองไปถึงคำสุดท้าย ผมก็เริ่มจะเข้าใจ
“หรือว่า...”
“มึงกินกุ้งทั้งๆ ที่ตัวเองแพ้ แถมยังแพ้หนักด้วย” เห็นจ้านขมวดคิ้วแล้วผมก็รู้สึกกังวลตามไปด้วย “หมอนั่นต้องเอะใจเรื่องนี้แน่ กูรับรองได้”
ผมพักฟื้นในโรงเพยาบาลสองวันหมอถึงอนุญาตให้กลับบ้าน จำได้ว่าตอนนั้นจ้านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการแพ้อาหารทะเลของผมเลยสอบถามหมอไป คำตอบที่ได้คือลักษณะของอาการมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะทางร่างกาย หรืออาจเกิดมาจากการที่ผมไม่ค่อยดูแลสุขภาพและมีความเครียดมากเกินไป
พอกลับมาก็ต้องรักษาตัวอีกหนึ่งวันเต็มๆ เมื่อเริ่มดีขึ้น วันต่อมาผมจึงตัดสินใจไปทำงานโดยให้เหตุผลกับจ้านว่าเรื่องอาการแพ้ของผม แม้จะเสี่ยงว่าอาจสงสัย แต่ก็คงไม่มีใครมานั่งใส่ใจ เพราะผมไม่ใช่คนที่อยู่ในสายตาของลูเซียนอยู่แล้ว หรือต่อให้สุดท้ายโดนจับได้ว่าสูญเสียความทรงจำไปก็ไม่น่าจะส่งผลอะไร ใช่ว่าตัวตนของผมในอดีตไม่ได้ลบไปจากใจของเขาซะเมื่อไหร่
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆ คิดยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น มันอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะรู้ถึงอาการแพ้ที่ผมเป็น แต่อีกใจก็คิดว่าไม่น่าใช่... ไม่อย่างนั้นไทด์จะเลื่อนจานนั้นมาให้ผมกินทำไม
บางครั้งเวลาเห็นเหล่าพนักงานจับกลุ่มคุยกัน เพียงแค่เจอหน้าผมพวกเขาต่างก็แยกย้ายไปคนละทาง ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมเลยปล่อยผ่านและทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โชคยังดีที่ผมเริ่มชินกับงานโดยไม่ต้องมีใครมาคอยบอกแล้ว ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะโดนถามอะไรหรือเปล่า อีกอย่างไทด์ก็ดูสีหน้าไม่ค่อยดี ผมเดินผ่านไม่ยอมสบตา เมินเฉยใส่ ถามอะไรก็ตอบกลับมาสั้นๆ
และในวันที่ผมกำลังเช็คสต๊อกของอยู่หลังร้าน เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็มาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง
“นายรู้ว่าฉันตั้งใจสินะ” ผมค่อยๆ หันไปมองพบว่าเป็นหัวหน้าเด็กเสิร์ฟที่กำลังแสดงสีหน้าบึ้งตึง เมื่อกี้ผมได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็จริง แต่ไม่เข้าใจ
“คุณพูดเรื่องอะไรครับ”
ไทด์ขยับเข้ามาใกล้ผมอีกก้าว จากนั้นก็คว้าคอเสื้อผมขึ้นมา
“ฉันเอายำรวมมิตรทะเลให้นาย เห็นๆ อยู่ว่ามีกุ้งแล้วทำไมถึงกิน ไหนบอกว่าแพ้นักแพ้หนา ตอนไอ้ยักษ์เสิร์ฟให้ผิดก็เคยโวยวายจนร้านแตกมาแล้วจำไม่ได้รึไง อ้อหรือว่า... นายอยากเห็นฉันกลายเป็นคนผิดถึงขนาดลงทุนทำให้ตัวเองเกือบตายน่ะห๊ะ!”
เดี๋ยวก่อน! แบบนี้ก็หมายความว่า...
“คุณรู้ว่าผมแพ้กุ้ง?”
“ใช่!” นัยน์ตาผมเบิกกว้าง พูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงฟังคนตรงหน้าขึ้นเสียงต่อไป “แค่เห็นกุ้งวางบนโต๊ะ นายถึงกับเขวี้ยงจานใส่หัวลูกน้องฉัน มาคราวนี้ถึงขั้นกินเข้าไป… เพราะอะไร? อยากท้าทายฉันนักใช่มั้ย!”
“ผม...”
“อย่าหวังว่าจะได้ยินคำขอโทษจากฉัน” พูดจบไทด์ก็ผลักตัวผมจนเซเกือบล้ม
อะไรกัน? ผมเคยร้ายกาจใส่ยักษ์ขนาดนั้นเชียวหรอ มิน่าช่วงแรกๆ เขาถึงไม่กล้าสบตาผมเลย แบบนี้ก็แปลว่าทุกคนในนี้รู้ว่าผมแพ้กุ้ง แต่ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นไทด์ก็ยังเลื่อนเมนูที่มีกุ้งมาให้ผมทานเนี่ยนะ หรือเขาทำไปเพราะตั้งใจจะกลั่นแกล้ง คงอยากดูว่าตอนที่ผมเห็นของที่กินไม่ได้อยู่ตรงหน้าจะมีปฏิกิริยายังไง... แต่กลายเป็นว่าผมดันกินเข้าไปจริงๆ
แบบนี้นี่เอง ทุกคนถึงพากันอุทานทันทีที่ผมตักกุ้งเข้าปาก...
เอาจริงๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะแพ้ขนาดนั้น เพราะงั้นผมถึงไม่รู้สึกโกรธไทด์สักนิด และยิ่งเขามาพูดกับผมแบบนี้มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความกังวล คงคิดไม่ตกเรื่องที่ตัวเองเกือบหยิบยื่นความตายให้กับใครอีกคน
แม้ไทด์จะชอบขึ้นเสียง ดุร้ายเวลาโมโห ไม่ค่อยอยู่ในกรอบ แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่สร้างความเดือนร้อนให้กับคนอื่น ผมเคยสงสัยว่าเพราะอะไรพนักงานที่นี่ถึงได้รักหัวหน้าจอมหัวรั้นอย่างเขานัก พออยู่มาเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่าเขามักเป็นห่วงคนอื่นอยู่เสมอ ใครดีมาดีกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับ เผลอๆ อาจจัดหนักเต็มสูบด้วยซ้ำ ถึงจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแต่ก็ยังรู้จักผิดชอบชั่วดี ผมเลยคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้เขารู้สึกแย่ไม่น้อย
หลังจากไทด์แสดงแววตาอันโกรธเกรี้ยวที่ไร้ซึ่งความน่ากลัว ผมเห็นเขากำลังจะเดินไป จึงรีบเอ่ยขึ้น
“ผมไม่เป็นไร” ไทด์ชะงักเท้า แล้วหันหลังมากลับมามอง ผมรู้ว่าไม่ใช่เวลามายิ้มให้แต่สมองมันดันสั่งการให้เป็นไปตามนั้น “ผมสบายดีแล้ว หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
ไทด์ยืนนิ่ง ในขณะที่หางตากระตุกเล็กน้อย ในหัวคงคิดอะไรต่อมิอะไรก่อนประมวลมันออกมาเป็นคำพูดที่ยังคงความเป็นตัวเขาอย่างครบถ้วน
“ใครเป็นห่วงนาย”
**
จักรพงษ์เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของลูเซียนพร้อมกับแฟ้มเอกสาร เขาวางมันไว้บนโต๊ะและบอกถึงตารางงานที่ต้องทำในวันนี้ แต่พูดไปได้เพียงเรื่องสองเรื่องลูเซียนก็วางแฟ้มลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ที่ให้ไปสืบ ได้เรื่องอะไรบ้าง... ตกลงว่าวันนั้นรัณย์ไปทำอะไรที่โรงพยาบาล” จักรพงษ์ตั้งใจจะรายงานเรื่องดังกล่าวหลังจากพูดเรื่องงานเสร็จ แต่ดูเหมือนผู้เป็นนายจะต้องการทราบมันเร็วกว่านี้
ย้อนไปหลายอาทิตย์ก่อน อีวานให้คนมาถามหากรัณย์กับลูเซียน บอกเพียงว่าต้องการทวงคำสัญญาบางอย่างกับเด็กหนุ่ม เขาเคยรู้จากปากกรัณย์เองว่าไปตกลงอะไรกับอีวานเอาไว้จึงไม่ได้ซักถาม ขณะนั้นสัญญาณมือถือของกรัณย์ระบุสถานที่ล่าสุดว่าเป็นโรงพยาบาล ลูเซียนไม่ได้สนใจว่ากรัณย์ไปทำอะไรที่นั่น จนเมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายในวันเกิดของไทด์ที่ไนต์คลับเมื่อสองสามวันก่อน เขาถึงเริ่มฉุกคิด
กรัณย์แพ้อาหารทะเล... ลูเซียนรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่มีพนักงานเสิร์ฟเมนูทานเล่นไปผิดโต๊ะ บังเอิญว่าเมนูนั่นเป็นของทะเลและดันถูกวางอยู่ตรงหน้าคนที่แพ้พอดี ขณะนั้นกรัณย์เมามากประกอบกับมีเศรษฐีไฮโซประคบประหงมอยู่ใกล้ๆ จึงไม่มีการไว้ใครหน้าไหน พนักงานร่างเล็กถูกต่อว่าและโดนจานเขวี้ยงใส่จนหัวแตก ทุกคนในนี้จึงให้กิตติศัพท์แก่กรัณย์ว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดีแต่จิตใจน่ารังเกียจ
มาถึงเหตุการณ์ที่กรัณย์กินอาหารทะเลแล้วเกิดช็อคจนหมดสติไปเมื่อหลายวันก่อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองแพ้แต่กลับกินมันอย่างหน้าตาเฉย ลูเซียนเกิดความสงสัยถึงการกระทำนั้น รวมไปถึงอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งคำพูด แววตา และความมุ่งมั่น เขาคิดจนกระทั่งว่าเลยเถิดไปถึงตอนที่เด็กหนุ่มถูกพบตัวที่โรงพยาบาล จากแต่ก่อนไร้ซึ่งความใส่ใจ มาตอนนี้เขากลับสั่งการให้จักรพงษ์ไปตรวจสอบเรื่องนี้แทบทันที
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มันต้องมีคำอธิบาย...
“หลายอาทิตย์ก่อนกรัณย์อยู่โรงพยาบาลเพราะต้องเข้ารักษาตัวหลังจากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ครับ และคนที่พาเขามาส่งโรงพยาบาลก็คือคุณจิตตากร” เป็นชื่อจริงของจ้าน ลูกชายนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ “เห็นว่าพักฟื้นอยู่เป็นอาทิตย์ ดูแล้วอาการท่าจะหนัก”
“ได้ข้อมูลทางการรักษามารึเปล่า” ถามเลขาคนสนิท เนื่องจากจำเหตุการณ์ที่กรัณย์เปิดเครื่องโทรศัพท์จนทำให้สามารถเชื่อมต่อกับแอฟหาพิกัดจีพีเอสในมือถือได้ ตอนนั้นลูเซียนโทรเข้ามือถือของกรัณย์และได้คุยกันสักพัก น้ำเสียงของอีกฝ่ายเหมือนคนไม่เป็นอะไร จึงคิดไปว่าคงไม่มีอะไร อาจจะไปเพราะเป็นไข้หวัดธรรมดา หากถามไถ่ไปก็จะดูไม่สมกับเป็นคนที่เพิ่งตัดขาดกัน
ภายหลังจากรู้ว่าไปโรงพยาบาลเพราะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูเซียนก็เอ่ยปากถามอาการของรัณย์ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ในตอนนั้นผ่านมาแล้ว เนื่องจากไม่อาจควบคุมสมองให้หยุดตั้งข้อสงสัยได้
“เรื่องนี้คงยากที่จะใช้เวลาไม่กี่วันในการตรวจสอบครับ เพราะทางโรงพยาบาลไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลคนไข้กับบุคคลนอกง่ายๆ เว้นแต่ว่าเราจะซื้อคนในหรือไม่ก็ใช้นักโจรกรรมข้อมูล” ฟังแล้วก็น่าจะเป็นจริงตามนั้น หากแต่มีบางสิ่งที่ทำให้ลูเซียนต้องขมวดคิ้วเป็นปม
“เมื่อกี้คุณบอกว่ารัณย์พักฟื้นอยู่เป็นอาทิตย์”
“ครับ” จักรพงษ์ตอบโดยไม่มีมองหน้าอีกฝ่าย มือที่ปล่อยไว้ข้างลำตัวถูกนำมากุมไว้ด้านหน้า
“แล้วออกจากโรงพยาบาลวันไหน” ลูเซียนลุกจากเก้าอี้ เดินอ้อมโต๊ะทำงานมายืนประจันหน้ากับเลขาส่วนตัวแล้วค่อยพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ใช่วันเดียวกับที่อีวานไปเจอตัวเขารึเปล่า”
เงียบกริบ... จักรพงษ์ไม่ตอบกลับแม้แต่คำเดียว
“ผมให้คุณไปถามเหตุผลที่ต้องนอนโรงพยาบาลกับเจ้าเด็กนั่นตรงๆ เลยดีมั้ย” ผู้เป็นนายเข้าหัวข้อสนทนาใหม่ ทำให้คนฟังตามไม่ถูก กระทั่งเหลือบไปสบตากับความลึกลับที่ซ้อนอยู่ในดวงตาของคนตรงหน้า
จักรพงษ์ไม่แปลกใจที่คนเจ้าสังเกตอย่างลูเซียนจะจับผิดการกระทำบางอย่างได้ และแน่นอนว่าเขาเองก็เตรียมใจยอมรับผลของมันตั้งแต่ตอนที่ผู้เป็นนายสั่งให้เขาไปสืบเรื่องของกรัณย์ที่โรงพยาบาลแล้ว เนื่องจากตัวแปรคือระยะเวลาการพักฟื้น หากแอดมิดนานก็เท่ากับอาการหนัก
“ผมทำเพื่อคุณได้ครับ” จักรพงษ์พูดสั้นๆ
“เพื่อผมงั้นหรอ? เรื่องที่อีวานตามตัวเด็กนั่นจนเจอ ถ้าเขาไม่โทษว่าผมเป็นคนส่งตำแหน่งให้อีวาน... ผมก็คงไม่มีวันรู้ว่าคุณแอบขัดคำสั่ง” ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “วันที่รัณย์ออกมาจากโรงพยาบาล คุณบอกตำแหน่งเขาให้อีวานรู้ แล้วค่อยมารายงานผมตอนที่เขาถูกพาตัวไปแล้ว ใช่หรือเปล่า”
ลูเซียนนึกถึงตอนที่กรัณย์เข้ามาในไนต์คลับด้วยท่าทางดึงดัน และต่อว่าเขาเรื่องที่ตัวเองถูกพาตัวไปอย่างไม่เต็มใจ ตอนนั้นชายหนุ่มรู้ในทันทีว่าเป็นฝีมือของเลขาคนสนิท เพียงแต่ไม่ปริปากพูดออกไป เพราะต่อให้กรัณย์จะเข้าใจผิดอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องทักท้วง จนถึงเหตุการณ์ที่กรัณย์แพ้กุ้งอย่างรุนแรงก็ทำให้เขาเกิดสังหรณ์บางอย่าง ก่อนจะได้รู้ว่ามันคือเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก
“ตอนนั้นผมบอกคุณว่ายังไง? ไม่ว่ารัณย์จะพยายามหลบหน้าอีวาน หรือเป็นตายร้ายดียังไงก็ให้นายอยู่เฉยไว้ใช่มั้ย... วันแรกที่ตรวจจับสัญญาณมือถือได้ คุณรายงานผมว่ารัณย์อยู่ที่โรงพยาบาล พอสัญญาณหายไปผมก็สั่งทันทีว่าไม่ต้องตามต่อ แต่สุดท้ายคุณก็ยังเอาเรื่องไปบอกอีวานจนได้” ลูเซียนขยับเทคไนตัวเองให้คลายออก ก่อนจะพูดต่อ “คุณรอให้รัณย์ออกจากโรงพยาบาลก่อนค่อยติดต่ออีวาน ฉะนั้นคุณก็ต้องรู้ว่ารัณย์พักฟื้นอยู่ที่นั่นกี่วัน... ถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีหน้ามาบอกผมว่าไม่รู้เรื่องอาการของเขาอีกหรอ”
เสียงกร้าวเต็มไปด้วยความดุดัน บรรยากาศในห้องทำงานคุกรุ่นไปด้วยแรงโทสะ ขณะนี้จักรพงษ์ควรตระหนักถึงคำพูดของผู้เป็นนาย แต่เขากลับแสยิ้มออกมาแทน
“เด็กคนนั้นมีอิทธิพลต่อคุณจริงๆ” ลูเซียนหางตากระตุกกับสิ่งที่ได้ยิน “หลังจากรู้ว่ารัณย์อยู่ที่โรงพยาบาลคุณก็รีบโทรไปทันที คงอยากรู้มากว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงไปอยู่ที่นั่น... โดยไม่สนใจเลยว่าเขาประกาศตัดขาดกับคุณไปแล้ว”
“หุบปาก!”
คล้ายถูกจุดไฟให้โหมกระหน่ำอยู่ภายในอก ลูเซียนโมโหกับคำพูดเหล่านั้นแต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่ เห็นแก่คนตรงหน้าที่อายุมากกว่าและทำงานอยู่ข้างกายเขามานาน
หากทว่า...
“ถ้าการตัดเขาออกจากชีวิตมันเป็นเรื่องยาก อย่างน้อยผมก็ควรจัดการให้คุณด้วยตัวเอง”**
TBC.