ตอนที่ 5
08.21 น. โรงอาหารใต้หอสาม
มือของผมกำลังไล่กดอ่านข้อความในไลน์ที่มีคนส่งมาหาเมื่อเช้าอยู่
สงเหี้ย หอสอง : เด็กไอ้ตั้มเหี้ยอะไร ไม่เข้าใจโว้ย“เหี้ย” ผมอ่านข้อความไอ้สงครามแล้วอดบ่นไม่ได้ กูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง มึงเข้าใจกูม้ายยย
ตั้ม หอสี่ : ปกติกูชอบเลี้ยงข้าวเด็กกูอ่ะ มึงอย่าเพิ่งแดกอะไรเยอะละกัน“โคตรเหี้ย” กำตะเกียบแน่นมากตอนอ่าน
PIPE : วันนี้ทำโปรเจ็กต์ตอนสิบเอ็ดโมงนะเว้ย อาจารย์ว่างแค่ตอนนั้นว่ะ“ฉิบหายยยยย” คราวนี้ตะเกียบในมือผมหล่นกระจายชนิดที่ว่าน่าอายเป็นที่สุด พวกลูกหอเริ่มมองผมด้วยสายตาแปลกประหลาด
“ไหวป่ะเนี่ย” ทนายวางจานอาหารลงตรงหน้าผม “ทำไมดูไม่ค่อยมีสติ”
“งานเข้ากูเยอะ มึงไม่เข้าใจหรอก” ผมตอบเดือนหอปีนี้อย่างเซ็งๆ
“พี่สงครามเหรอ”
“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเรื่องไอ้นั่น”
“อาสาเล่าให้ฟัง เห็นพี่กับพี่สงครามในเซเว่น” ทนายทำหน้ายิ้ม “แลดูมีซัมธิง”
“ซัมธิงค. อะไร”
“ดูคำพูดคำจาสิ ฮ่าๆๆ ผมล้อเล่น”
“เดี๋ยวกูก็แช่งให้แฟนมึงมีคนมารุม”
“ไม่ต้องแช่งหรอกพี่ มันกำลังโดนเลยเนี่ย” ทนายร้องเมื่อเห็นว่าอาสาที่กำลังสั่งอาหารอยู่มีพวกหอสองมายืนแซวอยู่ใกล้ๆ “ไอ้ห่านเป็ดเอ๊ย คลาดสายตากูไม่กี่วิ”
มันลุกขึ้นไปจัดการลากตัวแฟนตัวเองทันที ผมมองอย่างปลงๆ ชีวิตผมมีปัญหา ชีวิตไอ้ทนายมันก็มีปัญหา แม้จะเป็นปัญหาคนละแบบก็ตาม ผมดูไอ้ทนายมองขู่ใส่พวกหอสองอย่างเฉยชา จนกระทั่งนึกอะไรขึ้นมาได้
ไอ้สัด พวกหอสองมาทำเหี้ยอะไรแถวนี้!
“จะไปไหน” ผมกำลังจะไปจัดการแต่ถูกคนคนหนึ่งคว้าคอเสื้อผมเอาไว้จนตัวปลิว “มาคุยกับกูเลยไอ้เหี้ย”
เห็นหน้าสงครามวันนี้แล้วรู้สึกอยากหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก ตอนนี้ปัญหาของผมมีอยู่อย่างมากล้น มันไม่จำเป็นที่จะต้องมาเพิ่มปัญหาให้ด้วยการมาแดกข้าวใต้หอคนอื่นแบบนี้ มันใช่เวลามั้ย
“นั่ง” เสียงมันวางอำนาจ ผมเหนื่อยจนไม่คิดจะขัด ใครจะคิดเหี้ยอะไรก็เรื่องของแม่งแล้ว
F*CK THE WORLD
อดมองไปที่อาสากับทนายอย่างเป็นห่วงไม่ได้ สงครามมองผมอย่างนึกรำคาญ ก่อนที่มันจะหันไปหาลูกหอของมันแล้วพยักเพยิดให้คนพวกนั้นออกไปจากหอสามซะ
พวกมันแห่กันเดินกลับไปภายในเวลาไม่ถึงห้าวินาที
ยอมใจแม่งจริงๆ ใช้แค่สายตาขู่ก็ได้ด้วย
“ทีนี้คุยกับกูได้หรือยัง”
“กูไม่รู้จะคุยอะไร”
“มึงไม่ตอบไลน์กู มึงกล้ามากอ่ะ”
“กูไล่อ่านอยู่ไอ้บ้า”
“มีคนทักมาหลายคนเหรอ”
“ก็เอ่อ...”
“เหี้ยตั้มใช่มั้ย”
“มึงเป็นพ่อกูแล้วเหรอสงคราม ถามจังเลยเนี่ย”
“พี่อ้าย มีอะไรหรือเปล่าพี่” คนเดียวในหอสามที่กล้าต่อกรกับสงครามทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม มันไม่ยอมให้อาสาไปนั่งฝั่งสงครามจึงลากให้นั่งอยู่อีกข้างของมัน โต๊ะที่นี่ก็มีเยอะแยะมั้ยล่ะทนาย “มีเรื่องอะไรกับพี่ผม”
“มาเสือกอะไรตอนนี้เนี่ย ถอยไป”
“เอาไง” ทนายเริ่มลังเลเพราะสงครามดูจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ มันหันมาหาผมอย่างขอความเห็น ผมถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
น่าสงสารอาสาที่ถูกทนายลากไปลากมา คราวนี้ถูกลากไปนั่งที่อื่นเรียบร้อยแล้ว
เมื่ออยู่กันสองคน สงครามจึงเอ่ยปากพูดต่อ “ตอบมา รู้ว่าตัวเองสวยก็อย่าลีลา”
“สวยเหี้ยอะไร” อดเสียงดังขึ้นไม่ได้
“ไม่สวยหรือไง คนทักมาเยอะแยะแบบนี้”
“ไอ้ควายเสียงสั้นๆ”
“มึงด่าออกมาเลยดีกว่า”
“ค.”
“มีเรื่องเหี้ยอะไร และถ้ามึงไม่ตอบภายในสิบวิ กูคว่ำโต๊ะนี้แน่”
มันทำจริงๆ แน่ มันทำชัวร์ๆ ใครจะไปห้ามคนอย่างสงครามได้ ผมคอตกอย่างปลงๆ ไม่คิดว่าปัญหาที่ผมไม่เข้าใจจะถูกแชร์ให้สงครามมันได้รับรู้ ท่ามกลางสายตาของเด็กหอสามที่มองพวกเราอย่างประหลาดใจ ต้องขอบคุณออร่าความอำมหิตของสงครามที่คงทำให้คนภายนอกมองดูเหมือนผมถูกมันข่มขู่ตลอดเวลา ไม่มีทางญาติดีกันแน่นอน ผมจึงไม่ควรคิดมากว่าลูกหอจะมองผมยังไง
ผมเริ่มเปิดปากเล่า สงครามมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างป่าเถื่อนขึ้นเรื่อยๆ พอผมเล่าเสร็จมันก็ลุกขึ้น จากนั้นมันก็เตะถังขยะแถวนั้นจนล้มกระจาย
ไอ้ฟายยยยยย สงสารแม่บ้านโรงอาหารโว้ย
“กูจะไปฆ่าสัดโอม มันเป็นคนเหี้ยยยย!”
“อย่าเสียงดัง”
“หรือจะฆ่าไอ้เหี้ยตั้มก่อนดี ง่ายดี จัดการไปทีละคน”
“สงคราม”
“กูไม่ชอบ ไม่ชอบโว้ย” มันกระทืบเข้าไปที่เก้าอี้ซึ่งติดกับโต๊ะผมจนสะเทือนไปหมด ผมสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก ไม่คิดว่าสงครามมันจะโมโหได้รุนแรงขนาดนี้ “มึงควรเป็นของเล่นของกูคนเดียว ไม่ใช่ของคนอื่น”
“นี่เรียกว่าคำพูดเหรอเนี่ย”
“ควรฆ่ามันยังไงดี ถีบลงจากยอดตึกหรือว่าผลักลงจากภูเขา”
“เหี้ยสงคราม ฟังกูอยู่มั้ยเนี่ย”
“อ้าย กูกำลังคิดหนักอยู่นะ”
“มันไม่เกี่ยวกับมึง”
“มันเกี่ยวตั้งแต่มึงทำหน้าไม่สบายใจแล้ว” สงครามร้อง ผมอดชะงักนิ่งมองมันอย่างทึ่งๆ ไม่ได้ มันเดินหนีไปทิ้งให้ผมอ้าปากค้างตามหลัง
ทนายกับอาสากลับมานั่งที่โต๊ะเดียวกันกับผมอีกครั้ง มึงสองคนนี่เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย
“ซัมธิง” อาสากระซิบกับทนาย
“ชัวร์” อีกฝ่ายก็เห็นดีเห็นงาม
ผมทำหน้าเย็นชาใส่เด็กสองคนนี้ก่อนจะเดินหนีไปอีกคน นึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปเจอเหี้ยตั้ม
ลานจอดรถหอสี่
ผมมีปัญหาครับตอนนี้ รถคันไหนเป็นของไอ้เหี้ยตั้มวะ รถแพงๆ พวกนี้ดูเหมือนกันไปหมดจนน่าตกใจ
“กูอยู่นี่” ไอ้ตั้มโบกมือเรียกจากรถยี่ห้อพอร์ช ผมถอนหายใจขณะเดินไปเปิดประตูขึ้นนั่งข้างคนขับ ไอ้ตั้มดูอารมณ์ดีกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด ดูมันมีความสุขยังไงชอบกล
มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นหรือเปล่าวะ
“ตั้ม กูว่ามึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกัน”
“อะไรไอ้สัด”
“ไอ้สถานะเด็กมึงอะไรเนี่ย กูยังมึนๆ อึนๆ อยู่เลย”
“กูรู้” ตั้มพยักหน้า “มึงทำตัวตามปกติไปเลย อย่างน้อยก็ช่วยทำให้คุ้มกับเงินสองแสนที่กูเสียไป กูเป็นลูกนักธุรกิจ กูลงทุนกับอะไรกูต้องได้กลับคืนมาบ้าง...”
“เดี๋ยว” ใจผมโฟกัสไปที่จำนวนเงิน “สองแสนอะไร”
“หนี้ไอ้โอมมันแสนนึงไง กูอยากได้ตัวมึง กูก็ต้องจ่ายเป็นสองเท่า”
“เรื่องเหี้ยอะไรเนี่ย” ใครก็ได้ช่วยดีดนิ้วแล้วบอกผมทีว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่จริง
“มึงจะดูตัวเลขในบัญชีที่หายไปมั้ยล่ะ” ตั้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเมสเสจแจ้งเตือนของธนาคาร เงินมันหายไปสองแสนจริงๆ จากเงินที่มีอยู่จำนวนมาก มีกี่หลักวะนั่นน่ะผมมองไม่ทัน ตัวเลขแม่งเยอะอย่างกับรหัสตัวเลขใต้บาร์โค้ด
“นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกันเหรอวะ” ผมยังคงทำใจไม่ได้
“มึงก็เห็นสภาพไอ้โอมแล้ว”
“กูยังติดต่อมันไม่ได้เลย” ไอ้ญาติห่านี่
“ลูกหนี้ก็ชอบทำตัวเหมือนลูกหนี้นั่นแหละ ไม่รับสายใครง่ายๆ หรอก” ตั้มจับพวงมาลัย มันสตาร์ทรถไว้นานแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมออกตัวสักที
“แล้วมึงช่วยกูทำไม”
คำถามนี้ของผมทำเอามันบีบพวงมาลัยแน่นขึ้น
“นี่อาจจะดูเป็นเรื่องล้อเล่นมากกว่าเรื่องเมื่อกี้อีกนะอ้าย”
“...”
“ลึกๆ แล้วกูอาจจะสนใจมึงอยู่” ท้ายประโยคของไอ้ตั้มแผ่วลงไปมากจนผมไม่ได้ยินอะไรเลย
สองแสน สองแสน สองแสน...
จำนวนเงินที่มากมายมหาศาล (สำหรับวัยอย่างผมซึ่งยังหาเงินเองไม่เป็น) มันลอยไปลอยมาอยู่ในหัว จนถึงวินาทีนี้ผมก็ยังติดต่อไอ้โอมมาเคลียร์เรื่องนี้ไม่ได้ ฉะนั้นตลอดช่วงเวลาทำโปรเจ็กต์กับไอ้ธัชและก็ไอ้ไปป์ ผมไม่มีสติเลย ใจมัวแต่คิดไปถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นซึ่งตลกราวกับเป็นนิยายที่คนสติไม่ดีแต่งขึ้น
มันเป็นความจริงที่ผมต้องเจอจริงๆ เหรอ นี่ผมกลายเป็นเด็กไอ้เหี้ยตั้มไปแล้วเหรอ เป็นแบบที่ผมไม่ได้สมัครใจจะเป็นเนี่ยนะ
“เมื่อเช้าใครมาส่งวะ” ไอ้ธัชเอ่ยระหว่างที่มันกำลังนั่งเช็กส่วนประกอบของเครื่องยนต์อยู่
“มึงสองคนไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” ไปป์มองหน้าผมกับธัชสลับกัน ธัชมันส่ายหน้า ในขณะที่ผมนั้นไม่รู้จะตอบพวกมันดีหรือเปล่า
“รถหรูซะด้วยนะ” หน้าไอ้ธัชมีแววจับผิด “กูได้กลิ่นพวกหอสี่มาแต่ไกล”
“ไอ้เหี้ยตั้มน่ะ” ผมตอบ เพราะปิดไปเดี๋ยวมันก็หาทางไปสืบเองอยู่ดีว่ารถใคร
“ไอ้ตั้มเนี่ยนะ มึงไปญาติดีกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อวานมั้ง”
ไอ้ธัชเลิกคิ้วอย่างงงๆ ส่วนไอ้ไปป์ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าไปเลย คล้ายกับต้องการคาดคั้นผมต่อยังไงชอบกล
“มึงก็รู้ว่าพวกหอสี่มันเจ้าเล่ห์จะตาย” ไปป์กล่าว “โดยเฉพาะประธานหอมัน มึงไปยุ่งกับมันทำไม”
“กูไม่ได้อยากยุ่งเลย แต่กูมีปัญหาส่วนตัวว่ะ”
“ปัญหาอะไร มึงมาหากูก็ได้นะเว้ยอ้าย”
“...”
“มึงเดือดร้อนเรื่องเงินเหรอ”
“ไม่ใช่โว้ย” พอมีพวกหอสี่มาเกี่ยวข้องทีไรเป็นอันต้องพูดถึงเงินทุกทีไป “ปัญหาส่วนตัวที่กูพูดไม่ได้ มันเกี่ยวกับครอบครัวกู”
ใครจะไปกล้าเล่าว่าญาติเป็นหนี้แล้วเอาตัวผมเป็นตัวชดใช้หนี้ นอกจากน่าอายแล้วยังน่าสมเพชฉิบหาย
“อย่าเพิ่งเซ้าซี้กูตอนนี้เลยว่ะ วินาทีนี้กูยังงงกับชีวิตกูอยู่เลย”
ธัชพยักหน้าเข้าใจเพราะรู้ว่าผมดูแลตัวเองได้ชัวร์ๆ แต่ไอ้ไปป์เนี่ยสิ ดูยังไงมันก็ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
“หรือมึงกับตั้มกำลังคุยกันอยู่?”
“ไม่ใช่” ผมรีบร้องปฏิเสธ
“ไม่มีใครได้นั่งรถไอ้ตั้มง่ายๆ นะ แม้กระทั่งเด็กมัน” ธัชเอ่ยลอยๆ “ประธานหอกูไปทำอะไรถูกใจประธานหอสี่เข้าล่ะเนี่ย”
“แล้วคนอย่างมึงไปรู้เรื่องของประธานหอสี่ได้ยังไง” ผมถามคืน
“โอ้ย ชีวิตพวกมันใครๆ ก็พูดถึง รวยมหาศาลล้านแปดขนาดนั้น”
“...”
“ตกลงมึงกับไอ้ตั้มไม่ได้มีอะไรกันใช่ป่ะวะอ้าย เพราะถ้ามีกูว่าลูกหอเราจะมีปัญหา ไม่มีใครชอบพวกหอสี่เลยนะเว้ย”
“กูไม่ได้ชอบมันโว้ยไอ้เหี้ยธัช”
“อะแฮ่ม” เสียงคนกระแอมขัดจังหวะบทสนทนาของพวกเรา เด็กคณะนิเทศฯ ปีสี่อย่างไอ้ตั้มมาปรากฎตัวอยู่ในตึกสาขาวิศวกรรมยานยนต์ได้ยังไงก็ไม่รู้ ทำให้ไอ้ธัชถึงกับทำไขควงหล่น
“มาทำเหี้ยอะไร” ไปป์ถามตั้มอย่างไม่ไว้ใจ
“มารับไอ้อ้าย” ตั้มตอบสีหน้าเฉยๆ
“ทำไมต้องมารับ ออกไปไกลๆ”
“เกิดอะไรขึ้น” ความวุ่นวายระลอกที่สามกำลังจะตามมา ไอ้สงครามซึ่งควรอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินก็ดันมาโผล่ที่ตึกสาขาของผมอีกคน “มีเหี้ยอะไรกัน”
ไปป์มองหน้าสงคราม สงครามมองหน้าตั้ม ไอ้ตั้มมองหน้าผม ส่วนผมไม่รู้จะมองใครดี
“แม่เจ้าโว้ย” ไอ้ธัชถอยหลังกรูด ผมจะถอยหลังตามมันแต่ไอ้สงครามคว้าตัวผมเอาไว้
“มึงไม่ต้องไปไหนเลย”
“กูทำงานค้างไว้อยู่”
“มึงต้องไปคุยกับกูและก็ไอ้เหี้ยตั้ม”
ตั้มหันมาจ้องสงครามเขม็ง ผมเริ่มภาวนาในใจไม่ให้พวกมันใช้ความรุนแรงกันในนี้
“เออ ก็ได้” ผมวางปากกากับสมุดพร้อมออกไปกับพวกมันสองคน แต่ไอ้เหี้ยไปป์ก็คว้าแขนผมเอาไว้
“กูไปด้วยได้หรือเปล่า”
ผมไม่เข้าใจสีหน้ากับสายตาของไปป์ มันดูเป็นห่วงผมมากจนเกินไป
“ไม่ต้อง” สงครามตอบแทน จากนั้นก็กระชากแขนผมให้เดินไปข้างหน้า ไอ้ตั้มรีบเดินตามมา อาจเป็นเพราะมันกลัวว่าผมจะหัวคะมำจากแรงฉุดของไอ้สงคราม
ผม ไอ้ตั้ม และก็ไอ้สงครามยืนอยู่หน้าคณะวิศวฯ ท่ามกลางสายตาหลากหลายคู่ นานๆ ทีชาวบ้านชาวช่องจะมีโอกาสได้เห็นประธานหอสามคนยืนอยู่ด้วยกัน เขาคงมองเพราะมันเป็นเรื่องประหลาด ส่วนผมกำลังรู้สึกหวาดระแวงถึงขั้นหวั่นวิตก กลัวฉิบหายว่าสงครามมันจะทำอะไรไอ้เชี่ยตั้มตรงนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นความสงบสุขของหอพักทั้งหกคงจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝ่ามือและก็ฝ่าตีนของไอ้สงครามเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครกล้าลงมือกับมันก่อนหรอกครับ เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะไม่รู้พิษสงของไอ้เหี้ยสงครามจริงๆ
“จะคุยตรงนี้ กลางแดดเปรี้ยงๆ เนี่ยนะ” ไอ้ตั้มผู้รักสบายเอามือปิดหน้ากันแดด
“สำอางจริงๆ ไอ้เหี้ยอ้ายต่างหากที่ควรกลัวแดดมากกว่ามึง”
“อ้าวไอ้สงคราม กูยืนอยู่เฉยๆ นะครับ” ไอ้เรื่องห่วงหล่อนี่ทำไมต้องโยนมาให้ชาวหอสามอย่างผมรับอยู่เรื่อย
“มีอะไรจะคุยก็ว่ามา” ตั้มที่สูงน้อยกว่าสงครามหน่อยพยายามหยีตาสู้แดด
“กูรู้เรื่องมึงกับไอ้เหี้ยนี่แล้ว” สงครามพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มแข็ง “กูไม่เห็นด้วย”
“มึงกำลังเสือกเต็มๆ”
“กูยอมรับ”
“...”
“ทำไงถึงจะไม่ให้ไอ้เหี้ยอ้ายมีสถานะว่าเป็นเด็กของมึง”
ณ ชั่วเวลาขณะนั้น ผมมองหน้าสงครามอย่างเผลอไผล จริงๆ เรื่องนี้แม่งโคตรจะไม่เกี่ยวกับมัน มันสามารถไปออกกำลังกายชิลๆ ไปเรียน ไปทำโปรเจ็กต์ ไปทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่ต้องมาสนใจเรื่องนี้ แต่มันกลับสนซะงั้น อีกทั้งยังบากหน้ามาคุยกับไอ้เหี้ยตั้มโดยที่ไม่สนใจว่าตั้มจะเอาเรื่องนี้ไปขยายต่อหรือเปล่า
สถานะของเราสามคนแม้จะดูแข็งแกร่งแต่ก็ค่อนข้างเปราะบาง บางครั้งการเป็นประธานหอมันก็ทำให้เราทุกคนวางตัวยาก ที่แน่ๆ ผมไม่ควรสนิทกับประธานหออื่นมากจนเกินไป แต่ดูเหมือนไอ้ตั้มมันจะไม่แคร์ความจริงในเรื่องนี้เลย เพราะมันยังลากผมไปเป็นเด็กมันได้ ช่างบ้าบอจริงๆ
มันจะว่ายังไงเรื่องที่สงครามเพิ่งถามไป
“มึงถามจริงจังหรือมึงถามเล่นๆ” ตั้มเหลือบมองผมก่อนตอบสงคราม
“ดูหน้ากูเอาก็แล้วกัน”
มันจริงจัง...ไม่ต้องเสียเวลาสืบให้ยากเลยครับ
“ก็ต้องเสียเงินให้กูสองเท่า เหมือนที่กูจ่ายให้เจ้าหนี้ไอ้เหี้ยโอมก่อนจะได้ไอ้อ้ายมา”
ผมหลับตาลงอย่างเจ็บปวดรวดร้าว
กูเป็นคนไม่ใช่สิ่งของ แม่งโยนไปโยนมาเหมือนกูเป็นกระดูกให้หมามาแย่งกันแทะยังไงยังงั้น
“เท่าไหร่” สงครามดูไม่ตกใจกับเรื่องบ้าๆ พรรค์นี้ บ้านมันก็มีฐานะในระดับหนึ่งครับ คงจะชินกับอะไรแบบนี้ล่ะมั้ง ผมไม่เห็นจะเคยชินเหี้ยไรเลย
“สองเท่าของสองแสน”
“สี่แสน” สงครามมองหน้าผม จากนั้นก็ลากสายตาตั้งแต่ศีรษะไปจรดปลายเท้า “ราคาไอ้อ้ายแพงไปป่ะเนี่ย ลดหน่อยเด๊ะ”
ผมควรจะโกรธหรือรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ดีครับ สงครามแม่งกวนตีน
“ก็ถ้าไม่จ่าย...” ไอ้ตั้มคว้าไหล่ของผมหมับ “เชี่ยอ้ายมันก็ยังเป็นเด็กกู”
“ต้องเป็นนานเท่าไหร่”
“สัญญาที่ไอ้โอมมันทำไว้ก็หนึ่งเดือน”
สงครามมองผมก่อนจะถาม “ไหวป่ะเดือนนึง”
“ไหวก็บ้าดิวะไอ้สัด” ผมพยายามสะบัดแขนไอ้ตั้มออก สงครามเข้ามาช่วยด้วยการลากตัวผมไปอีกฝั่ง อย่าคิดว่ามันจะลากเบาๆ ครับ มันกระชากจนผมเกือบล้ม
พลังของแม่งไม่ใช่แค่พลังช้างสาร แต่เป็นแมมมอธสาร แรงเยอะขนาดนี้มึงไปเป็นยอดมนุษย์ช่วยกู้โลกดีกว่า
“กูขอโทรไปหาแม่ก่อน” สงครามพูด “เดี๋ยวกูจะจ่ายให้”
“ตอนนี้ถ้ากูยังไม่ได้ตังค์ อ้ายมันก็ยังต้องไปกับกู”
“กูไม่ให้ไป”
“เสือกไรสงคราม”
“กูเสือกเพราะกูต่อยเป็นเนี่ยแหละ มึงจะเอายังไงไอ้ตั้ม”
ไอ้ตั้มกระพริบตาปริบๆ มันไม่ยอมเสียมาดประธานหอง่ายๆ แต่ดูก็รู้ว่ามันเองก็แอบหวั่นหมัดของสงคราม
“กูให้เวลาไม่เกินสี่ทุ่ม” ตั้มพูดขึ้นในที่สุด
“เออ”
“ถ้าเกิน...มึงจะไม่มีโอกาสได้ตัวไอ้อ้ายอีก”
“รู้แล้ว”
ตั้มมองหน้าผม จากนั้นก็เดินหนีกลับไปยังรถของมัน ผมกำลังจะอ้าปากคุยกับสงคราม แต่อีกฝ่ายก็กดกุญแจรถแล้วเดินนำผมไปยังรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ชักช้าทำไมล่ะ ตามมาสิเดี๋ยวไม่ทัน”
“ไปไหนวะ”
“ไปหาเงินไงไอ้สัด สี่แสนนะเว้ยไม่ใช่สี่บาท”
ผมมองอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นสงครามมันชักสีหน้าผมจึงรู้ตัวว่าควรรีบขึ้นรถ ก่อนที่มันจะโวยวายไปมากกว่านี้
[มีต่อนะคะ]