ตอนที่15
พี่กาจน์ไม่ติดต่อมาเลย นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วนับจากวันที่ผมมอบกุญแจสำรองให้พี่เขาไป ผมตกอยู่ในภาวะสิ้นหวังอย่างหนัก พวกอัทเองก็ถามถึงพี่กาจน์ว่าทำไมอาทิตย์นี้ไม่เห็นหน้าเลย นั่นสิ ทำไมวะ พี่เขาหายไปไหน อะไรทำให้พี่เขาหายไป
ถ้าสาเหตุมาจากเรื่องของคุณแม่ผมก็อดเป็นห่วงสภาพจิตใจของพี่กาจน์ไม่ได้
แต่ถ้าสาเหตุมันมาจากกุญแจโง่ของผม ผมควรเป็นห่วงสภาพจิตใจของตัวเอง
โอยยยย อกมันตื้อๆ เกิดมาไม่เคยมีอาการนี้ ทำไงดี ปรึกษาพวกอัทก็ไม่ได้ พวกแม่งต้องเอาเรื่องนี้มาล้อผมทีหลังแน่ๆ ผมต้องหาที่ปรึกษาที่ไม่รู้จักพี่กาจน์และไม่สามารถเจอหน้าผมเพื่อแซวได้ทุกวัน
ไอ้เอ็ม เพื่อนสนิทสมัยมอปลายของผมคือเป้าหมายแรกที่คิดถึง
ไม่รอช้า ผมรีบกดโทรออกหามันทันที
รอสายสักพักมันก็รับ”มึงงงงง...”
“เสียงระโหยมาเชียวไอ้ห่า มีปัญหาอะไรจะปรึกษาก็ว่ามา แหมมมม มันน่าน้อยใจมั้ยให้เดา เพื่อนกันแท้ๆหายหน้าไปสองเดือนไม่เคยคิดจะโทรหากัน พอโทรมาปุ๊ปก็ทำเสียงเหมือนจะขาดใจตาย...”มาเป็นชุดเลยครับ มึงเปิดตัวได้แย่มากอ่ะไอ้เอ็ม
“แฮ่ๆ”
“แทงใจดำล่ะสิ ว่ามาเลยมึง กูชอบฟังเรื่องชาวบ้านอยู่แล้ว เดี๋ยวให้คำปรึกษานิดๆหน่อยเป็นของแตบแทน”โอเค๊ใช้คำปรึกษามาจ่ายค่าเผือก เพื่อนผมน่ารักเหมือนเดิมเลยเนอะ
ไอ้เอ็มมันเรียนบริหารที่มหาลัยเดียวกับพี่กาจน์ฉะนั้นผมต้องระวังการเล่าถึงหรือพาดพิงพี่กาจน์อย่างมาก
“คือ มีคนคนนึง...กูเพิ่งให้กุญแจห้องเขาไป แต่พอให้ปุ๊บ เขาก็หายไปเลย แฮ่ๆ มึงว่าเป็นเพราะอะไรวะ”
“มึงนก”“เย้ย ไม่ใช่ดิ คือกูไม่ได้ชอบพี่เขาเว้ย เราแค่สนิทๆกันนิดนึงแล้วพี่เขามีปมในใจค่อนข้างสาหัส เออ เล่าตั้งแต่แรกเลยแล้วกัน คือพี่เขาอยู่มอเดียวกับมึงเว้ย เราเจอกันโดยบังเอิญ ที่บังเอิญกว่านั้นคือกูดันไปหน้าเหมือนคนรู้จักเขาพวกเราเลยสนิทกันเร็ว แต่ช่วงนี้พี่เขาหายหน้าหายตาไปเลย กูควรติดต่อไปก่อนดีมั้ย คือ...กูเสียเซลฟ์ตั้งแต่ตอนที่พี่เขารับกุญแจไปเฉยๆโดยไม่พูดอะไรเลยอ่ะมึ๊งงงง”ผมครางหงิงๆเหมือนลูกหมาตกน้ำ
“บอกคุณสมบัติคร่าวๆของพี่คนนั้นมาซิ”“ก็...หน้าตาดี นิสัยโอเค เซเลป รวย เก่งไปหมดทุกอย่าง เป็นที่รักของทุกคน”
“มึงนกชัวร์” “ก็บอกว่าไม่ได้จีบพี่เขาอยู่ไงเล่า!! ได้โปรดเถอะ ขอคำปรึกษาดีๆหน่อย”ไอ้เอ็มถอนหายใจด้วยความรำคาญเสียงหงุงๆของผมที่ครวญครางไม่เลิก
“ฟังให้ดีนะครับนิทาน มึงไม่ได้เริ่มจีบพี่เขา แต่พี่เขามาอ่อยมึงเพราะมึงหน้าเหมือนคนในอดีตของเขา เท่าที่ฟังพี่เขาน่าจะมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าผู้ชายแหยๆชอบเอาอกเอาใจคนอื่น เวลาว่างชอบเข้าครัว รีดผ้าเรียบกริ๊บ ชุดนักเรียนมึงแทบจะบาดนิ้วกูทุกวัน นิสัยประหนึ่งเจ้าหญิงดิสนี่ย์แบบมึงผู้หญิงอายุมากกว่าที่ไหนก็ไม่เอา พอเขารู้ว่าหน้ามึงผ่านแต่นิสัยมึงไม่ผ่านเขาเลยเผ่นเพราะเห็นมึงเริ่มชอบเขาจริงๆ นี่กูถือว่าพี่เขารักษาน้ำใจมึงอย่างมากแล้วนะ เพิ่งเจอกันใช่มั้ย ตัดใจตอนนี้ยังทันนะ”“กูชอบพี่เขาเหรอ...”คำพูดนี้ของผมนั้นเบามาก เหมือนคนไม่มีแรง หัวใจก็เต้นช้าลงราวกับกำลังจะหยุดลง
“ถามแปลกๆ มีผู้หญิงระดับนั้นมาป้วนเปี้ยนรอบๆตัวผู้ชายหน้าไหนจะไม่หวั่นไหว ถ้าพี่คนนั้นเขามีคุณสมบัติอย่างที่มึงบอกกูจริงๆอ่ะนะ”“อืม พี่เขาเป็นอย่างที่บอกแต่ว่า...”
“แต่?”“เขาเป็นผู้ชาย”
กริบ
ปลายสายเงียบไปเลย ผมไม่ได้ยินกระทั่งเสียงหายใจของมัน กลัวว่าจะช็อคตายคาโทรศัพท์ไปแล้ว
ไม่รู้นะว่าผมเอาความกล้านี้มาจากไหนถึงได้บอกไอ้เอ็มไปว่าคนที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจจนอดรนทนไม่ได้อยู่ตอนนี้คือผู้ชาย ผมคิดแค่ว่าเพื่อนได้ข้อมูลไม่ครบเพื่อนเลยให้คำปรึกษาว่าผมควรตัดใจ ผมหวังเอาไว้อย่างยิ่งว่าเมื่อเพื่อนรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเพื่อนจะบอกให้ผมติดต่อไปหาอีกฝ่ายก่อน
ใช่
ผมแค่ต้องการใครสักคนพูดกับผมว่า มึงก็โทรไปหาพี่เขาดิ ไม่ก็เดินไปที่คณะพี่เขาเลย
ผมอยากเจอพี่กาจน์ อยากได้ยินเสียง แต่ผมกลัว อะไรก็ได้ ใครก็ได้ ช่วยมอบความกล้าให้ผมทีเถอะ
“มึง...ไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย คนอย่างมึงไม่เคยเล่นตลกร้ายแบบนี้”“อืม”
“โอเค โอเค...กูเก็ทแล้ว มาเพื่อน ไม่ต้องห่วง เอ็มคนนี้จะช่วยมึงเอง มึงใจเย็นๆนะ ขอกูตั้งสติแป๊ป ไม่ต้องห่วง ใจเย็นๆ”เพื่อนผมพูดคำว่าใจเย็นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเครื่องจักที่กำลังรวนซึ่งผมก็ปล่อยให้มันพูดคำนั้นวนไปเรื่อยๆเพราะขณะนี้ตัวผมเองก็ต้องการเวลาทบทวนตัวเองเช่นกัน
ถ้าพี่กาจน์เป็นผู้หญิงผมต้องหลงรักพี่เขาแล้วแน่ๆ แต่พี่เขาเป็นผู้ชาย...ตัวผมในตอนนี้ตกหลุมรักพี่เขาหรือยัง?
“กูมาแล้วนิทาน เอ็มพร้อมแล้ว ฟังให้ดีนะ อันดับแรกมึงบอกกูมาทีว่าพี่คนนั้นของมึงชอบผู้ชายรึป่าว”
“ไม่รู้ว่ะ แต่พี่เขาเคยมีแฟนนะ มีแต่คนบอกว่าแฟนเก่าเขาน่ารัก อาจจะไม่ชอบผู้ชายก็ได้ว่ะ โอยย กูท้อ...”
“พี่เขาเคยคบแต่ผู้หญิงเหรอ”“เออ กูไม่รู้ ไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้เลย รู้แค่ว่าเคยมีแฟนแค่คนเดียว นอกนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย”
ไม่รู้กระทั่งชื่อ
รู้แค่ว่าตายแล้ว
“เอ๊า ไอ้ห่านี่ ข้อมูลไม่แน่น ไม่เป็นไร ตอนนี้ให้คิดไว้ก่อนว่าแฟนเก่าพี่เข้าเป็นผู้ชาย แล้วมึงห้ามสืบห้ามถามใครอีกเลยนะ เชื่อให้เหมือนมันเป็นเรื่องจริงว่าพี่เขาเคยคบผู้ชายมาแล้ว มึงจะได้มีความมั่นใจเดินหน้าต่อ ให้กูช่วยแล้วมึงต้องทำตามคำแนะนำของกูจริงๆนะ หนึ่ง...วันนี้มึงไปหาเขาเลย ทำเป็นบอกว่ามึงมาหาเพื่อนเก่าที่คณะเขาแต่บังเอิญเจอเขาพอดี”“พี่เขาจะดูไม่ออกเหรอวะว่ากูเจตนาไปหาเขา”
“ออก”“อ้าว ไอ้หอย”
“ฟังให้จบ พี่เขาดูออกชัวร์แต่ที่กูอยากให้มึงแหกตาดูคือการตอบสนองของพี่เขาหลังจากนั้น ถ้าพี่เขาทำเป็นเชื่อว่ามึงมาหาเพื่อนจริงๆ พอคุยเสร็จสองสามประโยคก็ขอแยกตัวไปแสดงว่ามึงหมดหวังแล้ว แต่ถ้าพี่เขายังต่อความยาวสาวความยืดกับมึงแสดงว่ามึงยังมีโอกาส”“อืม มึงฉลาดว่ะ แต่ช้าก่อน บอกแล้วไงว่าไม่ได้จะไปจีบ แค่เป็นห่วงเฉยๆ พี่เขามีเรื่องไม่สบายใจอยู่”
“จ้าๆ เชื่อจ้า...”ขณะนี้ผมกำลังยืนอยู่หน้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เจ้าเดิมเพิ่มเติมคือผมกำลังยืนขาสั่นแหง่กๆ หลังจากคุยกับเอ็มเสร็จผมก็ถูกมันบังคับให้มาหาพี่กาจน์วันนี้เลยแถมยังกำชับว่าตอนกลางคืนให้โทรไปรายงานมันด้วยผมจึงต้องมาที่นี่อย่างเสียมิได้
แต่ผมไม่รู้น่ะสิว่าพี่กาจน์อยู่ส่วนไหนของคณะ
ไม่รู้แล้วจะทำเป็นบังเอิญเจอได้ไงฟะ!?
หาที่นั่งรอดีกว่า
โอ๊ะ นั่นมันรถของพี่กาจน์นี่หว่า ฮี่ๆ เสร็จโก๋ ซุ่มรอแถวนี้นี่แหละ
เมื่อหาที่นั่งเหมาะได้แล้วผมก็เหลียวซ้ายแลขวาด้วยอาการพิรุธ พี่ช่างแอร์ที่บังเอิญเดินผ่านมาหรี่ตามองผมอย่างสงสัยว่าไอ้เด็กประหลาดนี่มันนั่งทำอะไรหลุกหลิกๆแต่พี่เขาจำผมไม่ได้เนื่องจากวันนี้ผมใส่แมสต์ปิดปากอยู่
“น้องครับ น้อง”
จึกๆ
นั่งไปได้สักพักใหญ่ๆก็มีคนมาสะกิดไหล่ผมจึงหันไปมองอีกฝ่ายว่าเขาต้องการอะไร คนที่เข้ามาทักผมคือเด็กถา’ปัตย์ที่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เป็นผู้ชายที่มากันสองคน คนหนึ่งไว้ผมยาวรวบเป็นหางม้าท่าทางเซอร์ๆ ส่วนอีกคนสวมแว่นตากลมดูคงแก่เรียน
“ครับ?”
“ช่วยพวกพี่ยกของหน่อยได้ป่ะ ลิฟต์ตึกอิฐแม่งเสีย ทางเชื่อมก็ไม่มี ไม่รู้คนออกแบบจะสร้างตึกบ้านั่นเป็นเอกเทศทำไมตึกเดียว นะๆ ช่วยพวกพี่หน่อยนะ”พี่ผมหางม้ายกมือไหว้ขอร้อง ผมเห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้เดินไปรอบๆคณะพี่กาจน์จึงตบปากรับคำ
“หนักไปมั้ย ไม่ไหวบอกพวกพี่ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้สบายมาก”ของที่พวกพี่เขาให้ผมช่วยขนคือลังกระดาษครับ เห็นว่าเป็นเอกการสารที่ภาควิชาไม่ใช้แล้วแต่ยังทิ้งไม่ได้เลยให้ไปเก็บไว้ที่ตึกสี่ชั้นหรือที่เรียกว่าตึกอิฐนั่นเอง” ผมเดินตามหลังพวกพี่เขาขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ใต้ถุนตึกมีนักศึกษานั่งทำงานกันด้วยสภาพอิดโรย สมแล้วที่ใครๆต่างก็ร่ำลือว่าคณะนี้งานเยอะ
“ต้องเอาไปไว้ชั้นไหนนะครับ”ผมเริ่มหอบแห่กๆตอนขึ้นมาถึงชั้นสาม
“ชั้นสี่น้อง อึ๊บไว้นะ อีกนิดๆ โทษคนออกแบบตึกได้เลยใครใช้ให้เอาห้องเก็บของไปไว้ชั้นบนสุด”พี่แว่นกล่าว
“นั่นดิมึง ถึงนี่จะเป็นตึกเก่าก็เหอะ แต่ออกแบบห่วยแตกมากอ่ะ บันไดหนีไฟแม่งก็ง่อนแง่น ใครใช้ให้สร้างยื่นออกไปจากตัวตึกอย่างงั้นวะ กูเคยเดินทีนึงแม่งโคตรหวาดเสียว”พี่หางม้าบ่นเสริม ทำท่าขนพองสยองเกล้าเมื่อนึกถึงภาพบันไดหนีไฟ
“จริง เคยมีคนตกลงมาตายด้วยมึง พวกรุ่นพี่บอกกูมาอีกทีไม่รู้เสี้ยมให้กูกลัวเล่นรึป่าว เห้ย ไม่พูดๆ ชั้นสี่แม่งยิ่งไม่มีคนๆอยู่ น้องก็อย่าจำที่พี่พูดไปเมื่อกี้เลยนะ แค่เสียงนกเสียงกา ปี1กับปี2ยังต้องเรียนบนตึกนี้อยู่นิ”
“อ่า...ผมไม่ได้เรียนสถาปัตย์ครับ”คุยกันมาตั้งนานนี่พวกพี่คิดว่าผมเป็นรุ่นน้องร่วมคณะสินะครับทั้งสองประสานเสียงอ้าวเห้ยพร้อมกันก่อนพี่แว่นจะเป็นฝ่ายเปิดปากขอโทษกัน
“โทษทีน้อง พี่ก็นึกว่าเรียนที่นี่ โทษๆ เผลอใช้เด็กคณะอื่นเข้าให้แล้วไงไอ้ปัน ไอ้ง่าววว”พวกพี่เขาโบ้ยกันไปโบ้ยกันมาพวกเราก็ถึงชั้นสี่พอดี
ชั้นนี้แตกต่างจากชั้นอื่นๆตรงที่เงียบสงัด
ได้ยินเสียงพูดคุยแว่วมาจากด้านล่างและอาคารอื่นก็จริงแต่ชั้นสี่ของตึกอิฐกลับให้บรรยากาศวังเวงเหมือนหลุดเข้ามาอยู่อีกโลกนึง
ไม่มีใครอยู่เลย
ทั้งชั้นมีแค่พวกเราสามคน
แต่ผมกลับได้ยินเสียงฝีเท้า...ที่สี่
“น้องเอากล่องวางไว้หน้าด้านในนั่นนะ เดี๋ยวคนจากแผนกธุรการจะมาจัดการต่อเอง ปิดประตูห้องไม่ต้องล็อคนะ”ผมเป็นคนสุดท้ายที่ถือกล่องเข้ามาในห้อง
เสียงพูดคุยของพี่ทั้งสองคนเริ่มห่างออกไปบ่งบอกว่าพวกเขากำลังจะลงจากชั้น อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวในที่แบบนี้สิครับ! ด้วยความเป็นคนกลัวผีผมจึงรีบวางกล่องไว้ตรงตำแหน่งที่พี่บอกก่อนหันหลังเตรียมวิ่งออกจากห้องเก็บของ
แล้วจู่ๆประตูห้องมันก็ปิด
“เห้ย!!”
อะไรๆๆๆ
ปัง!ๆๆ
เปิดไม่ออก!!
ผมสาบานได้เลยว่าพี่สองคนนั้นไม่ใช่คนปิดประตู แล้วอยู่ดีๆประตูมันปิดเองได้ยังไง ตั้งสติ ใจเย็นๆนิทาน ลมมันอาจจะพัด แล้วลมที่ไหนมันล็อคห้องจากด้านน้องได้วะ!!
“คระ ใครอยู่ข้างนอกครับ!! เปิดประตูให้ผมก่อน ยังมีคนอยู่ข้างในนะครับ มะ...มีคนอยู่ข้างนอกมั้ย...”
เคยมีคนตกลงมาตาย“เชี๊ยยย ไม่เอา อย่าไปคิดถึงมัน มันก็แค่เรื่องเล่า ไม่เอาๆ”
เนื่องจากตอนนี้เพิ่งบ่ายสามเสียงพูดคุยจากอาคารข้างๆเลยช่วยสร้างความอุ่นใจให้ผมได้บ้าง ผมค่อยๆตั้งสติ ต้องโทรให้คนมาช่วย
ผมต่อสายหาพี่กาจน์ ครั้งแรกพี่เขาไม่ยอมรับสายผมจึงกดโทรออกอีกครั้ง อีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง
เห้ย!!
ไม่ได้นะ พี่จะหมางเมินผมตอนไหนก็ได้แต่ไม่ใช่ตอนนี้
Nithan : พี่กาจน์ช่วยด้วย ผมติดอยู่ในห้องเก็บของ ชั้น4ตึกอิฐ มาเร็วๆนะผมกลัว TT
ผมคิดว่ามือถือน่าจะอยู่ในมือพี่เขาเพราะผมเล่นโทรไปตั้งหกสายพี่เขาต้องเห็นแน่นอนและมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด พี่กาจน์กดเข้ามาอ่าน มันขึ้นว่าอ่านแล้วแต่ไม่มีข้อความใดๆตอบกลับมา
ผมพยามสงบสติอารมณ์
ค่อยเดินไปนั่งบนกล่องที่แบกขึ้นมาเอง หลอดไฟในห้องเริ่มกระพริบติดๆดับๆนั่นทำให้ผมใจแป้ว เพราะห้องเก็บของนี้มีแค่ช่องระบายอากาศเล็กๆพอให้แสงรอดเข้ามาไม่มาก ถ้าไฟดับก่อนที่จะมีคนมาช่วยผมคงสติแตกตายอยู่ในห้องนี้แหละ และพวกพี่ๆก็จะมีเรื่องเล่าเรื่องใหม่ นอกจากจะมีเด็กตกบันไดหนีไฟตายแล้วยังมีคนกลัวผีตายห่าอยู่ในห้องเก็บของ
"โอ๊ยยย แม่จ๋า พาพี่กาจน์มาเร็ว...”
โครม!!
“วะ แว๊กกกกกกกก”ผมสะดุ้งจนตกกล่องลงไปกองอยู่กับพื้น ก็อยู่ดีๆประตูเก่าๆบานนั้นก็ถูกถีบออก เสียงสายโซ่คล้องกุญแจตกกระแทกพื้นเสียงดังก้อง บานประตูด้านบนถึงกับหลุด
และคนที่เข้าเดินเข้ามาก็คือพี่กาจน์
“นิทาน...นิทาน...”
“พี่กาจน์!!”
พี่เขาหอบจนตัวโยน ผมสาบานได้เลยว่าผมเพิ่งส่งข้อความไปหาพี่กาจน์เมื่อสองนาทีที่แล้วนี้เองแสดงว่าพี่เขาต้องรีบวิ่งมาแบบรีบสัสๆอ่ะ ดูจากปริมาณเหงื่อกับอาการหอบแทบขาดใจของร่างสูง
“นิทาน เป็นอะไรมั้ย มีใครทำอะไรรึป่าว พี่ขอโทษ เมื่อกี้พี่เรียนสัมมนาอยู่ พี่ขอโทษ”
“มะ ไม่เป็นไรครับ”
ทีแรกผมจะแจ้นออกจากห้องทันทีที่มีคนมาช่วยครับ แต่พี่เขาแทรกตัวเดินเข้ามากอดผมเอาไว้ก่อน แถมยังพูดคำว่าขอโทษซ้ำไปซ้ำมา
“ขึ้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ขึ้นมากับใคร เขาขังนิทานไว้ในนี้ทำไม”แขนแกร่งกระชับกอดผมแน่น พี่กาจน์ดูเป็นห่วงผมเอามากๆจนผมอดดีใจไม่ได้ อย่างนี้ต้องเล่าให้ไอ้เอ็มฟังหน่อยแล้วว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมคิดมากไปเองทั้งหมด พี่กาจน์ยังใจดีกับผมเหมือนเดิม
“ผมช่วยเขาขนลังขึ้นมา แต่ลมมันพัดประตูปิด มันเก่าแล้วผมเลยเปิดไม่ออก ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ พี่กาจน์กลับไปเรียนต่อเถอะ”อันที่จริงผมไม่รู้สาเหตุที่ประตูเปิดไม่ออกหรอก แต่ในเมื่อชั้นนี้ไม่มีใครจะให้ผมโทษอะไรได้นอกจากลม
พี่กาจน์ผละตัวออกช้าๆ นัยน์ตาสีเทาไหววูบมองผม
“แต่...ตอนที่พี่มา...ประตูมันถูกโซ่คล้องไว้จากข้างนอก...”
__________________________
อะแฮ่มๆ ความรู้สึกหลังอ่านตอนนี้จบเป็นยังไงกันบ้างคะ /จ่อไมค์สัมภาษณ์/
ความจริงตอนนี้เราชอบช่วงที่นิทานโทรไปหาเพื่อนม.ปลายมากเลยนะ ชอบที่น้องโดนแซะว่าเป็นเจ้าหญิงดิสนี่ย์ 555